Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 425
หานซั่วคิดว่าเป็นเพราะเขาโลภมากเกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่เตรียมวิธีรับมือดี ๆ เอาไว้เลย
ขณะที่จิตของเขาเชื่อมโยงกับคมมีดพิชิตมาร และพลังงานด้านลบที่สับสนวุ่นวายภายในคมมีดพิชิตมารก็กระจัดกระจายออกไปทั่วทุกที่ มันค่อย ๆ ส่งผลกระทบต่อจิตใจที่สงบนิ่งของหานซั่ว และทำให้ความปรารถนาที่จะฆ่าเริ่มครอบงำจิตใจของเขา ราวกับมีสารพิษก่อตัวขึ้นและทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ท่าจะไม่ดีแล้วสิ! หานซั่วตื่นตระหนก
ความรู้สึกนี้ไม่ได้ปรากฏออกมาเป็นเวลานาน หานซั่วรู้ว่านี่คือสัญญาณของการเข้าสู่ ภาวะปีศาจ คมมีดพิชิตมารยังคงดูดกลืนพลังงานด้านลบภายในนครออซเซ็นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หานซั่วก็ดูดกลืนจิตสังหารผ่านกระแสพลังที่หมุนวน พลังทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัยการควบคุมของหานซั่ว และหากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นที่ฝั่งใด ก็จะส่งผลกระทบกับอีกฝั่งหนึ่งทันที
ดวงตาของหานซั่วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แสงสีแดงดุจเลือดเริ่มเปล่งประกายออกมาจากทั่วทั้งร่างพร้อมกับพลังงานชั่วร้ายที่แผ่กระจายออกมา ซาบาคัสและคาเรลซึ่งอยู่ในปราสาททั้งคู่ ต่างรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหานซั่ว
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
คาเรลตื่นตระหนกขณะมองไปยังหลังคาที่หานซั่วยืนอยู่
ตูม! ตูม! ตูม!
ทันทีที่คาเรลพูดจบ เสียงแตกหักบางอย่างก็ดังขึ้นจากทิศทางที่เขากำลังมองไป ลำแสงสีแดงสดมากมายพุ่งออกมา ทำให้เศษซากกองหินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านเรือนในบริเวณนั้นแตกกระจายไปทั่ว
ซาบาคัสจ้องมองอย่างงุนงง จากนั้นก็หายตัวไปยังบริเวณที่หานซั่วนั่งขัดสมาธิอยู่ทันที เขาพบว่าสีหน้าของหานซั่วนั้นบิดเบี้ยวอย่างโหดเหี้ยมและน่าสะพรึงกลัว พลังงานภายในกระแสพลังที่หมุนวนซึ่งอยู่ด้านบนพลันบังเกิดลำแสงสีแดงดุจเลือดที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของหานซั่วราวกับกระแสไฟฟ้า
พลังงานชั่วร้ายและโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจากร่างของหานซั่ว และเมื่อมีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างที่อยู่โดยรอบต่างพังครืนลงไปตาม ๆ กัน และทหารส่วนหนึ่งในปราสาทและไม่ทันระวังก็ได้รับผลกระทบจากพลังอันแรงกล้านั้นทันที ภายในชั่วพริบตาเดียว ทหารนับร้อยคนก็ถูกฆ่าตาย
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสหน้าถอดสีทันที เขาไม่พูดอะไรและรีบสร้างม่านพลังป้องกันขึ้นมา จากนั้นก็ตั้งสมาธิเพื่อรวบรวมพลังจิต และตะโกนเรียกหานซั่วด้วยเสียงอันดัง
“ไบรอัน!”
ดวงตาของหานซั่วที่กำลังตกอยู่ในภาวะปีศาจกลายเป็นสีแดงก่ำ ราวกับว่ามีเลือดไหลวนอยู่ในดวงตาของเขาและดูน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เสียงตะโกนดังลั่นที่เกิดจากการรวบรวมพลังจิตของซาบาคัสเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของหานซั่วราวกับเข็มอันแหลมคม หานซั่วรู้สึกปวดหัวเล็กน้อยและเริ่มรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาของเขากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้น และร้องคำรามดังก้องท้องฟ้า จิตสังหารปริมาณมากผสมผสานอยู่ในเสียงคำรามนั้น ในขณะที่ซาบาคัสกำลังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน หานซั่วก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับสายฟ้า และหายเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเลือด
เสียงคำรามอันน่าสยดสยองดังก้องไปทั่วทั้งเขตเหนือราวกับเสียงฟ้าร้อง เหล่ายอดฝีมือต่างรู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่แฝงอยู่ในเสียงคำรามนั้น ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าบริเวณที่หานซั่วอยู่ และสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นรึ?”
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลรีบถามซาบาคัสที่ชะงักไป ด้วยเพราะเขามาไม่ทันการณ์ และเห็นเพียงแสงสีแดงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ไม่รู้ ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน!”
ซาบาคัสได้สติ และรีบสายศีรษะพลางตอบคำถามอย่างลนลาน เขาจ้องมองไปยังกลุ่มเมฆสีเลือดขนาดมหึมาที่กำลังหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และพูด
“แต่ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เมื่อครู่ไบรอันดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มีพลังอันแข็งแกร่งบางอย่างแฝงอยู่ในร่างกายของเขา มันทรงพลังมากจนขนาดข้ายังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไปหมดเลย”
คาเรลตกใจอย่างที่สุด เพราะเขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของซาบาคัสเป็นอย่างดี เมื่อเขาได้ยินซาบาคัสพูดว่าเขารู้สึกสะพรึงกลัวกับพลังที่หานซั่วแสดงออกมา คาเรลก็ตอบด้วยความเคร่งขรึม
“ข้าสัมผัสได้ถึงจิตสังหารและความชั่วร้ายในเสียงคำรามของไบรอัน ข้าก็คิดว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน”
“ข้าเองก็กังวลเรื่องนั้น เมื่อครู่ สายตาของเขาช่างไร้ความรู้สึกและดูไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เขาช่างแตกต่างไปจากไบรอันที่เรารู้จัก ข้าแน่ใจว่าจะต้องมีบางอย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาแน่ ๆ”
ซาบาคัสรู้สึกไม่ดีนักขณะที่เขาตอบคาเรล
ทันใดนั้น คาเรลก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก
“ดูนั่นสิ! เมฆสีเลือดบนท้องฟ้ากำลังเคลื่อนไหว! โอ้… มันกำลังมุ่งหน้าไปทางพวกแอชเบิร์นนี่นา!”
“ทุกคน เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรรึ?”
ฟีเรนซีปรากฏตัวขึ้นและถามด้วยท่าทีสงบ
เอมีส เอมิลี่ และคนอื่น ๆ ก็มาพร้อมกับฟีเรนซี พวกเขาต่างได้ยินเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากบริเวณนี้ ซึ่งทำให้ในหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย จึงตามขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แฟนนี่และฟีบี้ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 ก็หยุดคุยกันทันทีและรีบตามมาด้วยความตกใจ พวกเธอไม่รู้เลยว่าทำไมหานซั่วถึงได้คำรามออกมาเช่นนั้น พวกเธอจึงรู้สึกเป็นกังวลและตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ซาบาคัสไม่ได้ตอบคำถามของฟีเรนซี แต่กลับขมวดคิ้วและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เดิมที ก้อนเมฆสีเลือดนั้นจะลอยตัวนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือปราสาท และดูดกลืนพลังงานด้านลบจากทั่วทั้งเขตเหนือ แม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
แต่ทว่า ในตอนนี้ ก้อนเมฆสีเลือดหนาแน่นเหล่านั้นกำลังเคลื่อนที่แล้ว!
การเคลื่อนตัวของเมฆสีเลือดทำให้สภาพอากาศแปรปรวนเป็นอย่างมาก แรงกดดันนั้นหนักอึ้งราวกับน้ำหนักของภูเขาทั้งลูก ออร่าชั่วร้ายปริมาณมหาศาลค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากปราสาท และตรงไปยังตำแหน่งของแอชเบิร์นและพันธมิตรของเขา
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“เอมิลี่ เจ้ารู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เอมีสขมวดคิ้วขณะพยายามขอคำอธิบายจากเอมิลี่
ในบรรดาคนที่อยู่ที่นั่น เอมิลี่เป็นคนที่คุ้นเคยกับหานซั่วมากที่สุด เมื่อเอมีสร้องถาม ทุกคนต่างก็หันมามองที่เอมิลี่ด้วยสีหน้าสงสัยและงุนงง
“นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ไบรอันพูดถึงก็ได้ค่ะ มันคือการเข้าสู่ภาวะปีศาจ เขาเคยพูดว่าภาวะเช่นนี้จะทำให้เขาคุ้มคลั่งจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้ ภาวะที่น่ากลัวนี้จะอันตรายมาก แต่ก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะข้าได้ยินมาจากเขาแค่นี้เอง”
เอมิลี่ขมวดคิ้วและอธิบายออกมาทันที
ขณะที่เอมิลี่อธิบาย ทุกคนซึ่งได้เห็นอาคารบ้านเรือนมากมายถูกพังทลาย และทหารคุ้มกันปราสาทจำนวนหนึ่งก็ต้องตายลงอย่างน่าเศร้า ก็เข้าใจในสิ่งที่เอมิลี่อธิบายทันที แม้แต่ซาบาคัสและคาเรลก็ไม่กล้าที่จะไปยังบริเวณที่แอชเบิร์นอยู่ แต่หานซั่วกลับรวบรวมเมฆโลหิตที่หนาแน่นและมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้นโดยตรง ช่างเป็นการกระทำที่บ้าระห่ำซึ่งเขาคงไม่กล้าทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ
“โอ…ไม่นะ! งั้นก็หมายความว่าไบรอันกำลังตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ! แถวนั้นมีแต่ยอดฝีมือมากมายเต็มไปหมด แล้วเขาเองก็สูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว พวกเราจะทำยังไงดี?”
คาเรลพูดอย่างเป็นกังวล
“นั่นสิ แต่เราคงต้องรับมือแบบค่อยเป็นค่อยไป และคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาไว้ให้ดี ถ้าหากมีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็ เราจะได้หาทางช่วยเขาได้ทัน!”
ซาบาคัสถอนหายใจและตอบออกมา
ขณะที่ซาบาคัสพูด คริสตัลสีฟ้าขนาดเท่าศีรษะก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา หลังจากนั้น เขาก็ร่ายเวทย์ คริสตัลพลันส่องแสงสีฟ้าขึ้นมาทันที แสงสีฟ้านี้เป็นเหมือนระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นเมื่อหินถูกโยนลงไปในทะเลสาบซึ่งพริ้วไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่ซาบาคัสร่ายเวทย์อย่างต่อเนื่อง คลื่นแสงสีฟ้าที่อยู่ภายในคริสตัลก็ค่อย ๆ สงบลง เมื่อซาบาคัสร่ายเวทย์เสร็จ คริสตัลลูกนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏภาพบางอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน
ภายในคริสตัล เผยให้เห็นภาพของหานซั่วที่ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงดุจเลือด ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ และมีคมมีดพิชิตมารลอยอยู่เหนือศีรษะ มวลเมฆสีเลือดที่อยู่รอบ ๆ กำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งขณะที่เขามุ่งหน้าไปทางแอชเบิร์น
ซาบาคัสเคลื่อนนิ้วมือทั้ง 5 ของเขาไปทั่วคริสตัล ทำให้ภาพที่อยู่ในนั้นมองเห็นได้ใกล้ขึ้น และเปลี่ยนไป ครั้งนี้เผยให้เห็นภาพของแอชเบิร์น เจ้าชายชาลส์ และเหล่าพันธมิตร ในกลุ่มคนเหล่านั้น อัศวินศักดิ์สิทธิ์และจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์เด็มพัส ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึงขณะที่มองไปยังเมฆสีเลือดที่เคลื่อนตัวมาทางพวกเขา
“คริสตัลลูกนี้ มาดามเกรซเป็นคนให้ข้ามา แม้ว่ามันจะไม่สามารถเห็นอนาคตได้ แต่มันก็สามารถทำให้เราเห็นเหตุการณ์ในบริเวณที่ต้องการ ซึ่งเราจะไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ด้วยเหมือนกัน”
ซาบาคัสอธิบาย
“หืม… ท่านมีของดีอยู่แต่กลับซ่อนเอาไว้ตั้งนาน เห็นแก่ตัวชะมัด!”
ฟีเรนซี พูดอย่างหยาบคาย
ซาบาคัสกระแอมไอและยิ้มอย่างขมขื่นขณะอธิบาย
“การใช้คริสตัลลูกนี้จะต้องสูญเสียพลังจิตในปริมาณมาก ทั้งระยะทางที่จำกัด และไม่สามารถได้ยินเสียงได้ มันห่างไกลจากพลังลึกลับที่สามารถมองเห็นและได้ยินทุกสิ่งอย่างของไบรอันมากมายนัก เพราะเหตุนี้ข้าถึงได้เก็บเอาไว้ ไม่ใช่เพราะข้าเห็นแก่ตัวหรอก”
“เอาล่ะ ๆ มาดูกันดีกว่า ว่าไบรอันจะเจอปัญหาอะไรรึเปล่า”
คาเรลพูดกับฟีเรนซีอย่างหมดความอดทนและหันไปให้ความสนใจกับภาพที่เปลี่ยนไปภายในคริสตัลของซาบาคัส
ขณะที่ซาบาคัสและคนอื่น ๆ กำลังเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เกิดขึ้นภายในคริสตัลอย่างใจจดใจจ่อ ขุนนางผู้อ่อนแอจำนวนหนึ่งที่อยู่ทางฝ่ายของแอชเบิร์นกำลังทุกข์ทรมาน เพราะแรงกดดันมหาศาลของเมฆสีเลือดทำให้พวกเขาเริ่มหายใจติดขัด
“บัดซบ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ ๆ ถึงมีเมฆสีแดงลอยมาทางนี้ล่ะ!”
เจ้าชายชาลส์รู้สึกถึงหัวใจที่ถูกบีบ ความกดดันนั้นราวกับภูเขาทั้งลูกกดทับลงมาบนร่าง ทำให้เขารู้สึกชาไปทั่วทั้งตัว ทว่าเขาทำได้เพียงสบถออกมาขณะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเท่านั้น
“ท่านระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
แม้แต่แอชเบิร์น ดยุคแห่งจักรวรรดิแลนซล็อต ซึ่งไม่ได้รับการฝึกฝนทั้งศาสตร์การต่อสู้หรือเวทมนตร์ใด ๆ เขาจึงสัมผัสถึงแรงกดดันและแรงกระตุ้นที่วุ่นวายกระหายเลือดได้มากกว่า สำหรับแอชเบิร์นซึ่งมักจะเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น แต่เห็นได้ชัดว่าแรงกดดันนี้จะต้องอันตรายถึงตายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยปากถามอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเด็มพัสทันที
ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่พวกเขามองขึ้นไปยังกลุ่มเมฆสีเลือดบนท้องฟ้า พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมฆสีเลือดพวกนั้นแฝงไปด้วยพลังงานอันมหาศาลที่กำลังเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ดูดกลืนพลังงานด้านลบซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น และความหวาดกลัวของเหล่าทหารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกฆ่าตายในสนามรบ พลังงานที่อยู่ในเมฆสีเลือดนั้นจึงมากเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ ทำให้ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คนต้องรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย
“นี่จะต้องเป็นฝีมือของเจ้าไบรอันนั่นแน่ ๆ ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของมันในเมฆสีเลือดพวกนี้!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์** พูดด้วยท่าทีสงบขณะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
** Blount = เบลานต์ อ่านแบบควบกล้ำ 1 พยางค์
“เจ้านั่นเรอะ? ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นใกล้ตายแล้วหรอกรึ? แล้วจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีกได้ยังไงกัน!”
เจ้าชายชาลส์เย้ยหยัน
นอกจากยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คน ยังมีนักดาบและนักเวทย์จำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่นี่ รวมถึงกองกำลังทหารอีกหลายพันคน ชาลส์ย่อมคิดว่าหานซั่วจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน
แม้ว่าทั้งอัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์และเด็มพัสจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่ก่อตัวอยู่ภายในเมฆสีเลือดนั้นได้จริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ขวัญกำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ หากเบลานต์และเด็มพัสบอกความจริงออกไป ย่อมทำให้เหล่าทหารเกิดความหวาดกลัวอย่างแน่นอน
เบลานต์และเด็มพัสมองหน้ากันไปมา แล้วเด็มพัสก็เริ่มร่ายเวทย์เพื่อสร้างม่านพลังป้องกันแอชเบิร์นและคนอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาได้รับอิทธิพลจากพลังงานภายในเมฆสีเลือด และไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวก่อนการสู้รบจะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริง
“นักเวทย์ธาตุลม ใช้พายุทอร์นาโดพัดเมฆสีเลือดนั่นออกไป!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์เบลานต์สั่งให้เหล่านักเวทย์ที่อยู่ข้างกายลงมือในทันที
ในขณะที่กลุ่มเมฆสีเลือดก่อตัวจนมีขนาดใหญ่ขึ้นและหนาแน่นขึ้น เบลานต์ก็สามารถสัมผัสถึงพลังงานด้านลบที่ควบแน่นอยู่ภายในเมฆสีเลือดได้อย่างชัดเจน ขณะที่เด็มพัสซึ่งเป็นจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ธาตุดิน เขาจึงไม่มีพลังที่สามารถต่อต้านกลุ่มเมฆสีเลือดที่อยู่บนท้องฟ้าได้ มีเพียงความสามารถของนักเวทย์ธาตุลมเท่านั้นที่จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ดีที่สุด
ด้วยคำสั่งของเบลานต์ เหล่านักเวทย์ธาตุลมที่อยู่ฝ่ายแอชเบิร์นก็เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พลังงานธาตุลมก่อตัวหนาแน่นขึ้นจนก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโดและพายุเฮอริเคนขนาดต่าง ๆ ที่มุ่งหน้าไปทางกลุ่มเมฆสีเลือดซึ่งกำลังจะเข้าถึงตัวพวกเขาเต็มที
อย่างไรก็ตาม บางอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผน กลุ่มเมฆสีเลือดนั้นไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่ถูกพลังเวทมนตร์ธาตุลมมากมายถาโถมเข้าใส่ มันกลับลอยตัวใกล้เข้ามายังบริเวณที่แอชเบิร์นและคนอื่น ๆ อยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่เหล่านักเวทย์ธาตุลมต่างชะงักงันไปด้วยความตกตะลึง นักเวทย์ที่มีสายตาเฉียบคมคนหนึ่งก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ขณะที่ชี้ไปยังเมฆสีเลือดกลุ่มนั้น
“ดูนั่นสิ! มีใครบางคนอยู่ตรงใจกลางกลุ่มเมฆนั่นด้วย!”
ขณะที่นักเวทย์คนนั้นร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว คนอื่น ๆ ต่างก็พุ่งความสนใจไปตรงใจกลาง และเพ่งมองไปยังร่างซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงดุจเลือด ประกายแสงเหล่านั้นแผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่างของเขาราวกับสายฟ้า ดูราวกับว่าเขาสามารถควบคุมกลุ่มเมฆสีเลือดนั้นได้ ทันใดนั้นเอง ร่างนั้นก็ร้องคำรามดังลั่น ขณะที่เขาลดระดับลงมาพร้อมกับกลุ่มเมฆสีเลือด
เพียงเสี้ยววินาที พลังงานชั่วร้ายที่มีแรงกดดันราวกับภูเขาทั้งลูกก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่ จู่ ๆ อาวุธที่กราดเกรี้ยวและโคจรไปรอบ ๆ กลุ่มเมฆสีเลือดก็พุ่งลงมาราวกับอุกกาบาตที่พุ่งด้วยความเร็วสูงจนวาดแสงสีแดงเป็นทางไว้เบื้องหลัง พลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นแหวกอากาศลงมาจนเกิดเสียงหวีดแหลมที่ดังบาดหู
ภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงฉาน เบลานต์และเด็มพัสต่างมีสีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
“ถอย!”
เด็มพัสร้องตะโกน มือของเขาคว้าแอชเบิร์นและเจ้าชายชาลส์เอาไว้ ก่อนจะรีบใช้เวทย์เหินหาวพาพวกเขาถอยร่นไปในระยะไกลด้วยความรวดเร็วทันที
**************************