Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 424.2
มวลหมอกที่ปลดปล่อยออกมาจากคมมีดพิชิตมารนั้นเปล่งประกายสวยงามเป็นสีแดงโลหิต มันปกคลุมไปทั่วพื้นที่รอบบริเวณปราสาท และเมื่อมีหมอกเหล่านี้บดบัง แสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาก็ทำให้พื้นเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงสด ทั้ง ๆ ที่มีเลือดไหลนองอยู่ทั่วทุกที่อยู่แล้ว สนามรบในตอนนี้จึงดูราวกับโลกที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
และแสงสีแดงนั้นก็เหมือนกับมีพลังบางอย่างที่สามารถกระตุ้นความโกรธเกลียดเคียดแค้นไร้ที่สิ้นสุดที่แฝงลึกอยู่ในจิตใจของผู้คนให้เผยออกมา ทั้ง 2 ฝั่งในสนามรบต่างทวีความบ้าระห่ำขณะพุ่งเข้าโจมตีศัตรูราวเครื่องจักรสังหาร ส่งผลให้ความสูญเสียของทุกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวในเวลาอันรวดเร็ว
กระแสพลังหมุนวนซึ่งก่อเกิดจากพลังแก่นมนตราของหานซั่วนั้นเป็นเหมือนกับหลุมดำที่สูบเอาจิตอาฆาตสังหารที่อบอวลอยู่เต็มท้องฟ้าของเขตเหนือเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่จอมขมังเวทย์และปรมาจารย์จอมดาบบางคนจะสามารถสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของพลังงานนั้นได้ แต่ในฐานะยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ ทั้งซาบาคัสและคาเรลก็สามารถสัมผัสถึงความปั่นป่วนได้ชัดเจนยิ่งกว่า
ทั้งคู่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึงและหวาดกลัวต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า เพราะชั่วขณะที่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเหนือปราสาท พวกเขาก็คิดไปว่าเป็นการโจมตีของศัตรู จึงได้แต่ตระหนกตกใจและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“พวกท่านต้องทำลายไอ้ปรากฏการณ์แปลก ๆ ทั้ง 2 อย่างนั่นให้ได้นะ มันต้องเป็นแผนการอะไรสักอย่างของพวกศัตรูที่หวังโจมตีเราแน่ ๆ!”
ฟีเรนซีเองก็สับสนไม่แพ้กัน เพราะเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับพลังทำลายล้างของเวทย์ต้องห้ามมาบ้าง และหากปรากฏการณ์ทั้ง 2 ที่เกิดขึ้นเหนือปราสาทนี้เป็นผลมาจากเวทย์ที่ว่านั่นล่ะก็ ผู้คนที่อยู่ในเขตนี้จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างแน่นอน และไม่ว่าฟีเรนซีจะบัญชาการรบได้ยอดเยี่ยมสักเพียงใด แต่ก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถหลบหนีให้พ้นจากการโจมตีที่กินวงกว้างขนาดนั้นได้
ยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คนหันมามองฟีเรนซีด้วยความงุนงง ซาบาคัสลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความสงสัย
“พลังงานของทั้ง 2 ปรากฏการณ์นั้นแปลกประหลาดเกินไป ข้าคิดว่าไม่ใช่ทั้งศาสนจักรแห่งแสงสว่างหรือแม้แต่เด็มพัสที่สร้างพวกมันขึ้นมาได้หรอก พลังงานพวกนี้เต็มไปด้วยความโกลาหลและการล่าสังหาร ถ้าเทียบกับพลังงานที่เป็นแก่นของทั้ง 2 ฝ่ายที่ว่ามา ข้าว่ามันต้องมีอะไรไม่ถูกต้องแน่ ๆ!”
“ข้าก็สัมผัสได้ถึงความต่างนั้นเหมือนกัน ถ้าแอชเบิร์นมีใครบางคนจากศาสนจักรแห่งความหายนะคอยหนุนหลังอยู่ ก็พอจะมีความเป็นไปได้บ้างว่าเวทมนตร์ที่น่ากลัวนี้ตั้งใจจะจู่โจมพวกเรา แต่ในเมื่อพลังงานนี้เต็มไปด้วยออร่าที่ชั่วร้าย และศาสนจักรแห่งความหายนะก็ไม่มีทางที่จะร่วมมือกับศาสนจักรแห่งแสงสว่างอยู่แล้ว พวกเราก็ตัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งไปได้เลย เรื่องนี้แปลกประหลาดจริง ๆ”
สีหน้าของคาเรลเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่เขาค่อย ๆ เผยความคิดออกมา
หลังจากที่ได้ฟังคนทั้งคู่ เอมีสก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าเป็นศาสนจักรแห่งความหายนะ แล้วเป้าหมายของพวกนั้นก็คือแอชเบิร์นกับคนของเขา? เพราะมีอัศวินศักดิ์สิทธิ์จากศาสนจักรแห่งแสงสว่างอยู่ทางฝั่งนั้นด้วย ทั้ง 2 ศาสนจักรนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอยู่แล้ว จะใช่ฝีมือพวกนั้นรึเปล่านะ?”
ตามจริงแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งแฝงอยู่ในใจของเอมีสด้วยเช่นกัน ในฐานะหนึ่งในสามผู้ทรงอิทธิพลขององครักษ์ชุดดำ เอมีสจึงรู้จักหานซั่วดีกว่าใคร และเขาก็คิดว่าหานซั่วอาจจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับศาสนจักรแห่งความหายนะ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มศัตรูตลอดกาลอย่างศาสนจักรแห่งแสงสว่างให้ได้อยู่แล้ว เมื่อศาสนจักรแห่งแสงสว่างก็ปฏิบัติต่อหานซั่วในฐานะศัตรูตัวฉกาจเช่นกัน ศาสนจักรแห่งความหายนะก็จะต้องพยายามเอาชนะใจหานซั่วและหวังที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีต่อเขาอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยเช่นนั้นรังแต่จะทำลายชื่อเสียงของหานซั่ว สำหรับเอมีส คาเรล และซาบาคัส ทั้งศาสนจักรแห่งความหายนะและศาสนจักรแห่งแสงสว่างก็เป็นเพียงลัทธิทางศาสนา พวกเขาไม่ได้มีทั้งความเคารพหรือความเกลียดชังต่อทั้ง 2 องค์กรเฉกเช่นคนทั่วไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้มีอคติกับหานซั่วที่เป็นไปตามความคิดเห็นของเอมีส
แต่อย่างไรก็ตาม เหล่าชนชั้นสูงของจักรวรรดิแลนซล็อตมักจะมีความรู้สึกต่อต้านศาสนจักรแห่งความหายนะที่ฝังลึกในจิตวิญญาณ และเอมีสก็ไม่ต้องการทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหานซั่ว เขาจึงไม่ได้พูดความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา
ซาบาคัส คาเรล และคนอื่น ๆ ต่างสะดุ้งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินการคาดการณ์ของเอมีส ไม่นานนัก ทั้ง 2 คนก็จ้องหน้ากัน และคาเรลก็ร้องขึ้นมา
“โอ้ นั่นก็อาจเป็นไปได้เหมือนกัน!”
“เหอะ! แล้วถ้าอีกไม่นาน ไอ้ของประหลาดนี่เกิดจู่โจมพวกเราขึ้นมาจะทำยังไง? ถ้าพวกท่านไม่คิดจะแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง จนปล่อยให้เวทย์สังหารขนาดใหญ่นี่ตกใส่หัวพวกเราจริง ๆ ก็ไม่ต้องมาเสียเวลาสู้ในสงครามนี้แล้วล่ะ ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเราก็ต้องตายห่ากันหมดอยู่ดี!”
ฟีเรนซีไม่สนใจคำอธิบายใด ๆ และตะคอกใส่ยอดฝีมือทั้ง 2 คน
คำพูดของฟีเรนซียิ่งทำให้คาเรลและซาบาคัสลังเลจนเริ่มไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะรับมือต่อไปอย่างไร เพราะหากพวกเขาตัดสินใจผิดพลาด ก็จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และผลลัพธ์เหล่านั้นก็หนักหนาเกินกว่าที่คนทั้งคู่จะรับได้ไหว
ขณะที่ทุกคนกำลังลังเลอยู่นั้น เอมิลี่ก็เดินลงมาจากชั้นสอง เมื่อได้ยินบทสนทนานั้นมาแต่ไกล เธอก็เอามือปิดปากและหัวเราะคิก ก่อนจะพูดออกมา
“ปรากฏการณ์พวกนั้นเป็นฝีมือของไบรอันอย่างแน่นอนค่ะ พวกท่านไม่ต้องกังวลไปหรอก”
เมื่อได้ยินที่เธอพูด ทุกคนก็ผงะไปทันที และเอมีสก็รีบร้องถาม
“เจ้าแน่ใจได้ยังไง?”
“ฮะ ๆ ๆ ก็มีแค่เขาคนเดียวนี่คะที่สามารถจัดการกับพลังงานรูปแบบนี้ได้ ข้าเองก็เคยเห็นเขาทำอย่างนั้นกับตามาแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลจริง ๆ ค่ะ ยังไงก็ต้องเป็นเขาแน่ ๆ เพราะข้าไม่เคยพบใครอื่นที่สามารถควบคุมพลังงานของพวกทหารที่ตายในสนามรบและหลงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และผืนพิภพแบบนี้มาก่อน วางใจเถอะค่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเลยจริง ๆ”
เพราะเอมิลี่รู้ความลับมากมายของหานซั่ว เธอจึงยิ้มขณะอธิบายให้ทุกคนฟัง
เมื่อเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของเอมิลี่ จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลก็รู้สึกตัว และหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ใช่ จริงด้วย ต้องเป็นไบรอันแน่ ๆ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยดวลกับเขา พลังที่เขาใช้ตอนนั้นก็คล้าย ๆ กับพลังที่คละคลุ้งอยู่บนท้องฟ้านี่จริง ๆ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากที่ได้ยินเจ้าพูดขึ้นมานี่แหละ อย่างงี้นี่เอง!”
คำพูดของคาเรลดูมีน้ำหนักกว่าเอมิลี่อย่างเห็นได้ชัด คำบอกเล่าของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ไม่นานนัก ซาบาคัสก็เหาะขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเฝ้ามองปรากฏการณ์ทั้ง 2 ให้ชัด ๆ และพบว่าภายในหลุมดำขนาดใหญ่ กระแสพลังงานอันแปลกประหลาดบางอย่างกำลังถูกกลั่นกรองออกมาจากกระแสพลังที่หมุนวน ก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของหานซั่วที่อยู่บนหลังคาของปราสาททีละน้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซาบาคัสก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที เขาร่อนลงมาอยู่เบื้องหน้าทุกคนด้วยท่าทีสงบ พลางยิ้มและอธิบาย
“เป็นฝีมือไบรอันจริง ๆ”
“ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้เขาก็บอกไว้ว่าต้องใช้เวลาฝึกฝนสักหน่อย แล้วอยู่ดี ๆ เขาก็รีบพุ่งตัวออกไปจากห้องรับรองที่พวกเราอยู่ทันที ดูเหมือนว่าเขากำลังฝึกฝนศาสตร์ต่อสู้ของเขาอยู่ พวกท่านไม่ต้องกังวลนะคะ”
เอมิลี่อธิบาย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเอมิลี่อีกครั้ง ทุกคนก็มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจ เพราะต่างทึ่งกับศาสตร์ต่อสู้อันลี้ลับของหานซั่ว
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยถกเถียงกัน หานซั่วก็กำลังเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ เมื่อเขาค่อย ๆ สูญเสียการควบคุมตนเองเพราะความเปลี่ยนแปลงของพลังงานอันโกลาหลทุกรูปแบบที่คุกรุ่นอยู่ในคมมีดพิชิตมาร
เมื่อมีคนตายเป็นจำนวนมากจากผลของสงครามกลางเมือง จึงทำให้มีพลังงานความหวาดกลัว และความเคียดแค้นชิงชังอบอวลอยู่ในนครออซเซ็นมากเกินไป เหล่าทหารจากทั้ง 2 ฝ่ายที่ตายจากไปต่างทิ้งความมุ่งมั่นอันแรงกล้าไว้เบื้องหลัง และเพราะปริมาณที่มากเกินไปนี้เอง พลังงานเหล่านี้จึงไม่สามารถผสานเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้พลังงานภายในคมมีดพิชิตมารเกิดความสับสนอลหม่านถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตาม คมมีดพิชิตมารก็ยังคงดูดซับพลังงานด้านลบภายในนครออซเซ็นอย่างต่อเนื่อง มวลหมอกสีเลือดค่อย ๆ หนาแน่นมากขึ้นทุกที ในขณะที่หานซั่วเองก็รู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียการควบคุมตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันทีที่หานซั่วได้สติ พลังงานปริมาณมหาศาลที่ถูกดูดซับไว้ในคมมีดพิชิตมารก็เกิดความวุ่นวายสับสนขึ้นมา และหานซั่วก็ควบคุมคมมีดพิชิตมารได้อย่างยากลำบาก พลังงานด้านลบมากมายมหาศาลเหล่านั้นไม่สามารถผสานเข้ากันได้เนื่องจากความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างรุนแรง แต่มวลของพลังงานเดิมที่แฝงอยู่ในคมมีดพิชิตมารก็ยังพยายามที่จะผสานเข้ากันให้จงได้
ผลก็คือ ภายในคมมีดพิชิตมารเกิดความสับสนอลหม่านถึงขีดสุด พลังงานเหล่านั้นพลุ่งพล่านราวกับมังกรที่เหินทะยานอยู่ภายในมวลหมอกสีดำ ออร่าที่ทั้งชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอำมหิตค่อย ๆ หลั่งไหลเข้าสู่หมอกสีดำนั้น และส่งผลต่อเหล่าทหารของทั้ง 2 ฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในสนามรบ
****************************