Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 418
“ไอ้เจ้าไบรอันนั่นอยู่ที่ไหน!?”
ชายวัยกลางคนร่างผอมผู้นั้นแผดเสียงตะโกนดังลั่น หลังจากที่พังประตูปราสาทเข้ามาพร้อมฉุดกระชากลากถูแฟนนี่มาตามทาง
ดูเหมือนว่าทหารคุ้มกันมากมายที่คอยประจำการอย่างหนาแน่นอยู่ตามทางเดินจะจำชายวัยกลางคนร่างผอมผู้นั้นได้ ทุกคนต่างนิ่วหน้าอย่างเป็นกังวล แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่มีใครกล้าหยุดชายคนนั้นไว้เลย
ด้วยความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของหานซั่วในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ก็ทำให้เขาได้รับสถานะที่สูงส่งมากทีเดียว และแม้แต่ในนครออซเซ็น ก็เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเจอใครสักคนที่กล้าเล่นงานพวกขุนนางชั้นสูงได้โดยอำเภอใจ มีเพียงทหารไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้จักชายผู้นั้นและรู้สึกกราดเกรี้ยวในทีแรก แต่สุดท้ายก็ต้องนิ่งเงียบไปทันทีที่พวกทหารที่เจนสนามมากกว่าอธิบายให้ฟัง ท่าทีของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป และแฝงไปด้วยความเคารพยำเกรงเมื่อมองไปยังชายผู้นั้นอีกครั้ง
เสียงร้องตะโกนนั้นดังให้ได้ยินไปทั่วทุกห้อง รวมถึงห้องประชุมชั้น 3 ของปราสาทที่หานซั่วและคนอื่น ๆ กำลังรวมตัวกันอยู่ ทั้งผู้เฒ่าฮานน์ บอริส อีฟวี่ จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรล และจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัส ตลอดจนเอมีสและคนอื่น ๆ ขององครักษ์ชุดดำที่ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ลอว์เรนซ์ เอมีส และคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หันไปจ้องมองหานซั่วทันทีด้วยดวงตาเป็นประกาย ในขณะที่เอมิลี่นั้นรู้สึกอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีผลลัพธ์อันคาดไม่ถึงมากเพียงใดเกิดขึ้นหลังจากการปรากฏตัวของชายผู้นี้
“เขามาที่นี่ทำไมกัน?”
ท่าทีของผู้เฒ่าฮานน์เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน หลังจากที่จ้องมองหานซั่วซึ่งกำลังยิ้มอย่างหดหู่มาพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าไปมีเรื่องบาดหมางกับเขามารึ?”
หานซั่วเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความกระอักกระอ่วน ก่อนจะพูดอธิบายด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ข้าไม่ได้ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรอกครับ แต่เอาเถอะ รับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนก็แล้วกัน ข้าจะลงไปดูเอง”
“ไบรอัน ชายผู้บ้าคลั่งคนนี้ จะไปยั่วยุเขาไม่ได้เชียวนะ เจ้าก็ปฏิบัติกับเขาอย่างระมัดระวังด้วยแล้วกัน”
เมื่อหานซั่วลุกขึ้นยืนจากที่นั่งและกำลังจะออกไป ลอว์เรนซ์ก็พูดกับเขาด้วยท่าทีแปลก ๆ
“ข้าจะจำไว้”
หานซั่วตอบ และตรงไปยังทางออกทันที
แม้ว่าลอว์เรนซ์จะคุ้นเคยกับอารมณ์และนิสัยใจคอของหานซั่วเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกวางใจนัก จึงตามเขาออกไปเช่นกัน ในขณะที่คนอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในห้องล้วนเป็นผู้มีสถานะสูงส่ง และบางคนก็รู้จักฟีเรนซี เมื่อเห็นว่าลอว์เรนซ์ลุกขึ้นและเดินออกไป พวกเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกตาม ๆ กันไป ทิ้งไว้เพียงจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัส และจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลไว้ภายในห้องเพียงลำพัง
ทั่วทั้งจักรวรรดิแลนซล็อต ว่ากันว่าคนเดียวที่ทำให้ดยุคแอชเบิร์นและเจ้าชายชาลส์รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงมากที่สุดก็คือฟีเรนซี เทพสงครามแห่งชายแดนทางใต้เท่านั้น และผู้ที่สามารถปกป้องชายแดนทางใต้ให้รอดพ้นจากเผ่าออร์คที่กระหายเลือด ก็ไม่ใช่ใครนอกจากชายผู้บ้าคลั่งคนนี้ด้วยเช่นกัน
ในบรรดาเมืองเล็ก ๆ นับสิบเมืองในชายแดนใต้ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่ห้าวหาญ หลายต่อหลายปีในการสู้รบกับดินแดนออร์ค หล่อหลอมให้ทหารและอัศวินทุกคนมีความแข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก หน่วยรบของอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิจึงไปรวมตัวกันอยู่ที่ชายแดนใต้ด้วยกันทั้งนั้น และหากปราศจากผู้นำคนนี้ ชายแดนใต้อันกว้างใหญ่จะกลายเป็นเพียงดินแดนของพวกออร์ค และจักรวรรดิแลนซล็อตก็จะถูกออร์คผู้ป่าเถื่อนเหล่านี้รุกรานมากขึ้นเรื่อย ๆ
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
กล่าวได้ว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกสงครามกลางเมืองครั้งนี้ สถานะของฟีเรนซีในชายแดนใต้ก็จะไม่มีวันได้รับผลกระทบใด ๆ สาเหตุเป็นเพราะว่า นอกจากชายผู้บ้าคลั่งคนนี้แล้ว ก็ไม่มีใครสักคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ในชายแดนใต้ได้อีก ดังนั้นแล้ว เขาจึงกลายเป็นคนที่มีอิสระมากที่สุดและสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ
และด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น หากเขาต้องการแล้วล่ะก็ เขาสามารถประกาศอิสรภาพและแยกตัวออกจากจักรวรรดิแลนซล็อต เพื่อก่อตั้งอาณาจักรชายแดนใต้เป็นของตนเองเลยก็ย่อมได้
“เจ้าเด็กเวรนั่นอยู่ไหน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
ฟีเรนซีเดินไปเรื่อย ๆ และร้องตะโกน แม้ว่าจะมีทหารคุ้มกันเป็นจำนวนมากอยู่บริเวณโดยรอบ ก็ไม่มีใครสักคนที่กล้าขัดขวางเขา และได้แต่จ้องมองพร้อมหลีกทางให้เขาอย่างเงียบ ๆ
“ท่านพ่อ!”
แฟนนี่ซึ่งถูกฟีเรนซีดึงตัวเอาไว้ ก็มีใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายที่ตนเองมีพ่ออย่างเขา
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ไอ้เด็กบ้านั่นคิดจะเป็นเสือผู้หญิงตั้งแต่อายุเท่านี้เลยรึ ข้าจะเป็นคนสอนบทเรียนให้รู้สำนึกเอง ไม่สนหรอกว่าเขาจะเป็นเจ้าเมืองของนครเบรทเทลบ้าบออะไรนั่น ถ้าเขาทำให้ข้ายัวะ ข้าก็จะประกาศสงครามกับเขาไปเลย ยังไงจักรวรรดิแลนซล็อตก็กำลังวุ่นวายอยู่แล้ว เติมเชื้อไฟลงไปอีกสักหน่อยก็ไม่มีผลอะไรหรอก!”
ฟีเรนซีตะโกนขึ้นอย่างกราดเกรี้ยวระหว่างที่ลากแฟนนี่ขึ้นไปยังชั้นสอง
เดิมที ฟีเรนซีนั้นค่อนข้างปลาบปลื้มมากทีเดียวตอนที่แฟนนี่เล่าให้ฟังถึงตัวตนและสถานะของไบรอันให้ฟังในทีแรก เพราะตัวเขาเองก็เคยได้ยินกิตติศัพท์และผลงานความสำเร็จในชื่อของไบรอันมาบ้างเช่นกัน จึงคิดว่าไบรอันคือผู้ที่ตอบโจทย์ความคาดหวังของเขาและคู่ควรมากพอ และการที่แฟนนี่แต่งงานกับเขาก็จะไม่ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียเกียรติอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ฟีเรนซีก็ไม่พอใจไบรอัน หลายครั้งที่เขาอุตส่าห์เดินทางมาถึงนครออซเซ็น แต่ไบรอันก็ไม่เคยมาพบเขาเพื่อแสดงความเคารพเลยสักครั้ง จึงทำให้ฟีเรนซีรู้สึกโกรธมากพอควร ถึงเขาจะพอเข้าใจและยอมรับได้ว่านครออซเซ็นในตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่าใดนัก แต่เมื่อเขาใช้อำนาจของตนเองเพื่อสืบข่าวคราวเกี่ยวกับหานซั่วให้มากขึ้น เขาถึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว หานซั่วเองก็คบอยู่กับฟีบี้ ผู้เป็นหัวหน้าสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ด้วยเช่นกัน
ข่าวนี้ทำให้ฟีเรนซีที่อยู่ไกลออกไปจากนครออซเซ็นรู้สึกช็อกมากทีเดียว ทันทีที่รู้เรื่อง ฟีเรนซีก็คิดว่าหานซั่วนอกใจลูกสาวของตน เขาเกือบจะบุกเข้าไปที่คฤหาสน์ของหานซั่วแล้วอาละวาดให้มันรู้แล้วรู้รอดเสียแล้ว แต่เขาก็พยายามอดกลั้นเอาไว้และมาถามแฟนนี่ด้วยตนเองแทน
และสิ่งที่เขาได้รับรู้ก็คือ ไม่เพียงแต่แฟนนี่จะรู้ถึงการกระทำอันบาปหนาของหานซั่วอยู่ก่อนแล้ว แต่เธอยังพูดอย่างเอียงอายอีกว่าตนเองยอมรับในเรื่องนี้ได้ การยอมรับของแฟนนี่เกือบทำให้ฟีเรนซีเป็นลมล้มพับไปด้วยความโมโห แล้วแฟนนี่ยังเล่าอย่างกล้าหาญอีกว่า นอกจากฟีบี้แล้ว หานซั่วยังมีผู้หญิงอีกคนที่ชื่อเอมิลี่ จุดนี้เองที่ทำให้ฟีเรนซีระเบิดอารมณ์ออกมาถึงขีดสุด ก่อนจะรีบลากตัวแฟนนี่ออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพื่อมาหาหานซั่วและคุยกันให้รู้เรื่อง
“…ข้าคือไบรอัน”
หานซั่วที่วิตกกังวลและอับจนหนทางยืนอยู่บนบันไดหินที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นที่ 2 และ 3 เขาจ้องมองไปยังฟีเรนซีที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเดือดดาล
“ใจกล้าหน้าด้านดีเหมือนกันนี่ ที่ยอมโผล่หัวออกมา ไม่เลวเลย ไม่เลวเลยจริง ๆ!”
ฟีเรนซีกัดฟันกรอด ก่อนจะหันขวับไปคว้าหอกมาจากมือของทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนหนึ่ง และเขวี้ยงใส่หานซั่วด้วยความรวดเร็ว
หอกอันเป็นประกายนั้นพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าสีเงิน และมาถึงตรงหน้าหานซั่วในชั่วพริบตา
ฟีเรนซีเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกล้าสามารถ อีกทั้งยังเป็นถึงอัศวินนภา การจู่โจมของเขาจึงเต็มไปด้วยออร่าต่อสู้ที่ไม่ได้ออมแรงไว้เลยแม้แต่น้อย
หานซั่วรู้อยู่แล้วว่าฟีเรนซีไม่มีทางยอมปล่อยวางง่าย ๆ เขายกมือซ้ายขึ้นมา และคมมีดพิชิตมารก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ปลายแหลมของหอกจนเกิดเสียง แคร๊ง! ดังลั่น ทำให้หอกนั้นพังทลายและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ท่านพ่อ! ไหนท่านบอกว่าจะมาคุยไงคะ!”
แฟนนี่ตะโกนขณะพยายามผลักฟีเรนซีด้วยทั้ง 2 มือ และจ้องมองไปยังหานซั่วด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“ก็คุยกันอยู่นี่ไง ไม่งั้นข้าจะถ่อเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเองคนเดียวเรอะ? ถ้าเจ้าเด็กนี่สามารถฆ่า เลอาห์ เคน ได้ แถมยังมีพวกตาแก่หงำเหงือกคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ตั้งหลายคน ถ้านี่ไม่เรียกว่าคุย ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว!”
ฟีเรนซีจ้องมองแฟนนี่ ก่อนจะหันไปดุเธอ
“ยัยหนู ปล่อย พ่อมีเรื่องจะคุยกับเขาอีกเยอะเลย!”
ผู้เฒ่าฮานน์ เอมีส และคนอื่น ๆ มาอยู่ข้าง ๆ หานซั่วพอดีกับที่ได้ยินฟีเรนซีพูดถึง “ตาแก่หงำเหงือก” ผู้เฒ่าฮานน์จึงรู้สึกโกรธขึ้นมา ก่อนจะชี้หน้าฟีเรนซีและตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว
“เจ้าคนเถื่อน เรียกใครตาแก่หงำเหงือกไม่ทราบ!?”
“ก็ไม่ได้พูดถึงท่านสักหน่อย…”
ฟีเรนซีพ่นลมอย่างเย็นชา
สีหน้าของผู้เฒ่าฮานน์ผ่อนคลายลง เขาตัดสินใจที่จะไม่สาวความต่อไป แต่สิ่งที่จะทำให้เขาโกรธมากกว่าเดิมกลับกลายเป็นประโยคต่อไปของฟีเรนซี
“แต่ข้าหมายถึงพวกท่านทุกคนเลยต่างหาก! รวมถึงตาแก่คาเรลที่อยู่ข้างในนั่นด้วย! อย่าคิดว่าหลบอยู่ข้างในแล้วข้าจะไม่รู้นะว่าท่านอยู่ที่นี่!”
ฟีเรนซีเยาะเย้ยเมื่อเห็นสีหน้าวางใจของผู้เฒ่าฮานน์ ก่อนจะพูดต่อประโยคให้จบ
หานซั่วจ้องมองฟีเรนซีด้วยความตกตะลึง พลางคิดในใจว่าชายคนนี้ช่างมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีใครเหมือนเลยจริง ๆ ดูเหมือนว่าผู้ที่กล้าเล่นงานดยุคแอชเบิร์นจนเสียหน้านั้นต้องเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเช่นเขาตามที่ร่ำลือ
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“บัดซบ! เจ้าหมาบ้านี่ ข้าเคยไปมีเรื่องบาดหมางกับเจ้าเมื่อไหร่กัน?”
ผู้เฒ่าฮานน์แทบไม่เคยโกรธใครมาตลอดหลายปี แต่กลับสามารถโกรธเคืองฟีเรนซีทันทีที่พบหน้า เพราะอยู่ดี ๆ ก็ถูกหยาบคายใส่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ก็ลูกสะใภ้ของเจ้ามายั่วผู้ชายของลูกสาวข้าเองนี่นา! แถมลูกศิษย์ของคาเรลก็ยังมาให้ท่าเขาอีกคน! ทุเรศที่สุด! พวกท่านรวมหัวกันกลั่นแกล้งเพราะเห็นว่าข้าอยู่ไกลถึงชายแดนใต้รึไง!?”
ฟีเรนซีเป็นคนบ้าป่าเถื่อนอย่างที่ผู้เฒ่าฮานน์เคยกล่าวไว้จริง ๆ เพราะเขาแทบสาปส่งคนทุกคนที่เจอ
เมื่อพูดจบ ใบหน้าสวยงามของเอมิลี่ก็ซีดเผือดอย่างน่ากลัว ส่วนหานซั่วก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ภายในใจ พลางคิดว่าสถานการณ์กำลังดิ่งลงเหวมากขึ้นทุกที
แน่นอนว่าท่าทีของผู้เฒ่าฮานน์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันด้วยเช่นกัน เขาจ้องมองฟีเรนซีด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะร้องถามออกไป
“เจ้าหมายความว่ายังไงกัน? พูดให้ดี ๆ นะ! ถ้าเจ้ากล้าทำให้ชื่อเสียงตระกูลข้าต้องแปดเปื้อนล่ะก็ ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด!”
จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลและจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสเดินออกมาตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ และพวกเขาก็ได้ยินบทสนทนานั้นเช่นกัน คาเรลจ้องมองฟีเรนซีอย่างไม่พอใจ และตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“เจ้าต้องการอะไร? จักรวรรดิของเรากำลังวุ่นวายมากพออยู่แล้ว เราไม่ว่างพอจะมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระของเจ้าหรอกนะ!”
“ก็เจ้าหนุ่มนี่มีทั้งฟีบี้และเอมิลี่ แล้วยังกล้าดีมาวุ่นวายกับลูกสาวของข้าอีก พวกท่านไม่รู้กันบ้างเลยรึไง!?”
ฟีเรนซีไม่หวั่นเกรงต่อความโกรธเกรี้ยวของผู้เฒ่าฮานน์และคาเรลเลยแม้แต่น้อย เขาเย้ยหยันและหยุดไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าพูดไปแค่นั้นยังสร้างความวุ่นวายไม่มากพอ จึงพูดต่ออย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่มีวันปล่อยไปง่าย ๆ แน่ ตราบใดที่ไม่ยอมตกลงกันให้ดี ๆ สงครามกลางเมืองในนครออซเซ็นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าอยู่แล้ว อยากจะทำอะไรกันก็ทำ ใครจะอยู่ใครจะตาย ข้าก็ไม่ได้สนใจสักนิด เหอะ! ต่อให้จักรวรรดิแลนซล็อตต้องล่มสลายไปจริง ๆ ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครมารังแกลูกสาวข้าเด็ดขาด แต่ถ้าพวกท่านคิดจะลองดีล่ะก็ ข้าจะจัดให้ จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งเลยก็ได้!”
เมื่อพูดจบ สายตาทุกคนก็จับจ้องไปมาระหว่างหานซั่ว แฟนนี่ เอมิลี่ และฟีบี้ ในขณะที่ผู้เฒ่าฮานน์และคาเรลต่างก็หน้าถอดสี ใจหนึ่งก็ช็อกกับความจริงที่ถูกเปิดเผยอย่างกะทันหัน ส่วนอีกใจหนึ่งก็ตกตะลึงกับคำพูดและท่าทีอันต่ำทรามของฟีเรนซี
สำหรับผู้เฒ่าฮานน์และคาเรลแล้ว ชั่วชีวิตของพวกเขาต่างอุทิศให้จักรวรรดิแลนซล็อตมาโดยตลอด เรียกได้ว่าเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างแท้จริงก็คืออนาคตขอองจักรวรรดิ ซึ่งแตกต่างจากชายผู้บ้าคลั่งอย่างฟีเรนซีที่ไม่สนใจใยดีอย่างสิ้นเชิง
“เอมิลี่ ที่เขาพูดมา… จริงรึเปล่า?”
ผู้เฒ่าฮานน์ทำสีหน้าละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะหันไปถามเอมิลี่ ซึ่งท่าทีของเธอเหมือนจะร้องไห้โฮออกมาได้ทุกขณะ
****************************