Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 415
เมื่ออัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้หานซั่วต้องบาดเจ็บหนัก เห็นว่าหานซั่วหันหลังกลับและบินไปหาลอว์เรนซ์แล้ว เขาก็ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ไล่ตามไปเพื่อโจมตี
นอกจากจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรล ยังมีจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์อยู่ในทิศทางที่หานซั่วกำลังบินไป เมื่อฝั่งนั้นมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ถึง 2 คน ในขณะที่จอมขมังเวทธ์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์เด็มพัสก็ยังไม่ฟื้นตัวดี อัศวินศักดิ์สิทธิ์จึงรู้สึกหวาดวิตกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่ออัศวินศักดิ์สิทธิ์ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เหล่ายอดฝีมือจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างตลอดจนผู้ใต้บังคับบัญชาของแอชเบิร์นและเจ้าชายชาลส์ก็ไม่กล้าที่จะลงมืออย่างโง่เขลาและรนหาที่ตายด้วยเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาจึงได้แต่จ้องมองไปยังหานซั่วอย่างยอมจำนน ขณะที่เขาตะโกนออกมาอย่างบันดาลโทสะ และบินกลับไปหาลอว์เรนซ์
ในตอนนี้ คฤหาสน์ของลอว์เรนซ์ถูกทำลายจนพังพินาศจากการต่อสู้ของสองยอดฝีมือระดับศักดิ์สิทธิ์และ “เวทย์ผ่าปฐพี” สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาในตอนนี้มีเพียงซากปรักหักพังและความรกร้างว่างเปล่า
บรรดาคนรับใช้ คนงาน และสาวใช้ในคฤหาสน์ของลอว์เรนซ์ต่างถูกฆ่าตายจนหมด ในตอนนี้ มีเพียงเหล่าบริวารคนสนิทไม่ถึง 10 คนอยู่ข้างกายเขา ในทางกลับกัน แม้จะต้องพบกับความสูญเสียจาก “เวทย์ผ่าปฐพี” ด้วยเช่นกัน แต่ทางศัตรูก็ยังมีเหล่ายอดฝีมือเหลืออยู่มากกว่า 400 คน ที่มีความแข็งแกร่งอันน่าตกใจจากหลากหลายอาชีพ และยังมีเสียงเกือกม้าเหล็กอีกจำนวนมากที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่ายังมีกำลังเสริมอีกจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่
จอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์หายใจออกมาเบา ๆ ขณะที่เส้นแสงสีม่วงจำนวนมากลอยออกมาจากร่างของเขา แล้วออร่าเยียบเย็นที่กัดกินถึงกระดูกก็แผ่กระจายออกมาพร้อมกับแสงสีม่วงเหล่านั้น
หลังจากที่เด็มพัสเป็นจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์และมีความเชี่ยวชาญขั้นสูงในการจัดการกับพลังจิต แม้ว่าจะถูกออร่าอันหนาวเย็นรุกรานเข้าสู่ร่างกายจนสามารถแช่แข็งร่างของเขาได้ แต่เมื่อเขาควบคุมสติได้ และใช้ความแข็งแกร่งของพลังจิตในการจัดการกับความหนาวเย็น ออร่านั้นก็มิอาจทำอันตรายต่อชีวิตของเขาได้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ออร่าเยือกเย็นจากคมมีดพิชิตมารแผ่ซ่านเข้าไปในร่าง ก็เป็นหลังจากที่เขาต่อต้านมันแล้วถึง 2 ครั้งด้วยเวทมนตร จึงมีเส้นแสงอันหนาแน่นของพิษเยือกเย็นเพียงไม่กี่เส้นที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาได้ และผู้ที่เป็นถึงจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางที่จะถูกฆ่าตายเพียงเพราะพิษแห่งความหนาวเย็นเพียงเล็กน้อย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หลังจากที่เด็มพัสจัดการกับออร่ากันเยือกเย็นภายในร่างกายแล้ว เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ แต่โชคยังดีที่เขาสามารถตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที อีกทั้งยังมียอดฝีมือมากมายปกป้องเขาอยู่ข้าง ๆ มิเช่นนั้น หากหานซั่วมีโอกาสจู่โจมอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เด็มพัสได้รับพิษแห่งความหนาวเย็นเข้าไป เขาคงต้องจบชีวิตไปแล้วเป็นแน่
ช่างเป็นศาสตร์ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ เด็มพัสรู้สึกตกตะลึง และจ้องมองไปยังหานซั่วที่อยู่ไกลออกไป แม้จะได้รับบาดเจ็บตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่กลับยังดูร้ายกาจและไม่สิ้นพิษสง ขณะที่หานซั่วมุ่งหน้ากลับไปหาลอว์เรนซ์ เขาก็นึกถึงคำทำนายของเกรซขึ้นมาในใจ หรือว่าเรื่องที่คน ๆ นี้จะนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์ของจักวรรดิแลนซล็อต …จะเป็นความจริง?
“ไบรอัน จ…เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?”
ฟีบี้ดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อหนีให้หลุดจากคาเรล น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มขณะพุ่งตัวเข้ามาหาหานซั่ว มือที่เนียนนุ่มของเธอสั่นเทาขณะเอื้อมไปสัมผัสใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลร้ายแรงของเขา
“แค่นี้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
หานซั่วฝืนยิ้มขณะปลอบโยนฟีบี้ที่กำลังสะอื้นไห้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปจับมือของฟีบี้ที่สัมผัสบาดแผลของเขาอยู่ ก่อนจะเดินไปหาลอว์เรนซ์
สีหน้าของลอว์เรนซ์เต็มไปด้วยความวิตกกังวลขณะที่เขารีบร้องถาม
“ผู้รักษา! ผู้รักษาอยู่ไหน!?”
“ตาย ตายกันไปหมดตั้งนานแล้วล่ะ!”
จอมขมังเวทย์ธาตุมืดคราวลีย์ผู้ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อลอว์เรนซ์ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหยิบยาออกมาขวดหนึ่ง และส่งให้หานซั่ว
“รีบใส่นี่ที่แผลเร็วเข้า!”
“ศิษย์พี่!”
โบลแลนด์ นักฆ่าชราที่เฝ้ามองหานซั่วมาตลอดร้องเรียกขึ้นเบา ๆ
โบลแลนด์ไม่ได้เยาว์วัยอีกต่อไป และในฐานะนักฆ่า เขาก็เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ มาแล้วทุกรูปแบบ แม้เขาไม่ได้แสดงความวิตกกังวลออกมาต่อหน้าหานซั่ว แต่จิตสังหารจากร่างของเขากลับคุกรุ่นและหนาแน่นขึ้นมากกว่าเดิม แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างหานซั่ว
“ข้าไม่เป็นไร”
หานซั่วยิ้มตอบ อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูก และไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกวางใจได้เลย ส่วนฟีบี้ก็พูดอะไรไม่ออก และเริ่มร้องไห้โฮอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ เลือดหยุดไหลออกมาจากแผลหมดแล้ว ศาสตร์ต่อสู้ที่ข้าฝึกฝนอยู่พิเศษมากนะ แผลพวกนี้ดูน่ากลัวก็จริง แต่มันไม่ส่งผลกับข้าเท่าไหร่นักหรอก”
เมื่อหานซั่วเห็นทุกคนพยายามจะทายาที่ตัวของเขา เขาจึงทำได้เพียงอธิบายออกไป
เมื่อได้ยินว่าหานซั่วไม่เป็นไร ทุกคนก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เมื่อพวกเขาลองพิจารณาร่างกายของหานซั่วดี ๆ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
บาดแผลทั่วร่างของหานซั่วที่ก่อนหน้านี้มีขนาดเท่านิ้วมือและชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่บัดนี้เลือดทั้งหมดกลับจับตัวเป็นลิ่มแข็งราวกับน้ำแข็ง บาดแผลที่เหวอะลึกไปถึงกล้ามเนื้อสีแดงสดก็สั่นระริกราวกับมีหนอนตัวเล็ก ๆ ชอนไชอยู่ภายใน มันกำลังผสานเข้าด้วยกันและค่อย ๆ หดเล็กลงในที่สุด
แม้จอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลจะจ้องมองด้วยความสงสัย แต่ท่าทีของเขากลับสงบนิ่ง เขาหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นและเพ่งมองไปยังบาดแผลบนร่างกายของหานซั่วอีกครั้งราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
มันกำลังหดเล็กลงจริง ๆ !
คาเรลกระพริบดวงตาอันเป็นประกายอย่างรัวเร็ว เพราะก่อนหน้านี้ เขาเห็นมากับตาของตนเอง ว่าบาดแผลของหานซั่วเคยมีขนาดเท่าวงรอบนิ้วและมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่เลือดจะหยุดไหลหมดแล้ว แม้แต่บาดแผลก็ยังมีขนาดเล็กลงจนมีขนาดเท่าความกว้างของตะเกียบเท่านั้น
ตั้งแต่ที่หานซั่วพุ่งตัวออกมาจากใต้ผืนดิน จนกระทั่งส่งเจ้าผีดิบธาตุดินกลับไปยังมิติมืด และบินมาหาพวกเขา ทั้งหมดนี้กินเวลาอย่างมากก็เพียง 2 นาทีเท่านั้น!
สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เวลา 2 นาทีที่อาจทำได้เพียงเดินเข้ามาก็ยังไม่พอ ช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตาตื่นใจในเวลาอันสั้น คาเรลจึงถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ส่วนโบลแลนด์ก็มีท่าทีตื่นเต้น ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของบาดแผลบริเวณหน้าท้องของหานซั่ว บาดแผลนี้อยู่ใกล้กับตัวอ่อนปีศาจ และขณะนี้ก็มีขนาดเล็กเท่าความกว้างของไม้จิ้มฟันเท่านั้น ห่างไกลจากความเหวอะหวะน่าสะพรึงกลัวในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
ศาสตร์อสูร! นี่ต้องเป็นความยิ่งใหญ่ของศาสตร์อสูรแน่ ๆ! โบลแลนด์ร้องตะโกนอยู่ในใจ เขาผู้ซึ่งกำลังจะได้ศึกษาศาสตร์อันลี้ลับนี้ ก็รู้สึกถึงหัวใจของตนเองที่เต้นรัวเร็วขึ้นมาในทันที ความตื่นเต้นในหัวใจกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้
“เอาล่ะ ทุกคนไม่ต้องมาคอยดูแลข้าหรอก เดี๋ยวข้าก็ฟื้นตัวแล้วล่ะ ตอนนี้ พวกเราน่าจะคิดหาทางขัดขวางการโจมตีของคนพวกนั้น และซื้อเวลาให้ท่านซาบาคัสก่อนดีกว่านะ”
หานซั่วหันไปมองเหล่าศัตรูและพูดขึ้นอย่างใจเย็น
เมื่อหานซั่วออกปากเตือน ทุกคนต่างก็เห็นความผิดปกติบนร่างกายของเขา และเมื่อได้ยินหานซั่วพูดด้วยท่าทีสงบเหมือนเช่นเคย พวกเขาก็ตระหนักถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายและมองไปยังศัตรู ทันใดนั้น ก็เห็นว่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์และจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์เด็มพัสกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสเป็นคนเดียวที่ไม่ได้หันไปมองหานซั่ว ในตอนนั้น เขากำลังใช้คทาเวทมนตร์สร้างวงเวทย์มิติที่ซับซ้อนขึ้นบนพื้นหินอันราบเรียบ
วงเวทย์มิติที่ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างของสี่เหลี่ยมที่ยาวกว่า 3 เมตร ทุกครั้งที่ซาบาคัสวาดคทาเวทมนตร์เป็นทาง เส้นแสงจะปรากฏขึ้นและพลังธาตุเวทมนตร์จะลอยออกมาจากยอดแหลมของคทาเวทมนตร์ และเข้าไปยังแต่ละเส้นแสงของวงเวทย์มิตินั้น
ซาบาคัสกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ ในดวงตาของเขา ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากวงเวทย์มิติที่อยู่ใต้เท้า เขาเพิกเฉยต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินสั่นสะเทือน เขาก็ไม่มีอาการแม้แต่จะขมวดคิ้ว
ในฐานะจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้อย่างแน่นอนหากซาบาคัสต้องการจะหายตัวไปเพียงลำพังคนเดียว และหากว่าเขาต้องการ เขาก็สามารถพาคนอีกสัก 2-3 คนไปกับเขาด้วยได้เช่นกัน แต่โชคร้าย ครั้งนี้มีคนสำคัญอยู่เยอะเกินไป และซาบาคัสเองก็จะไม่เพิกเฉยต่อชีวิตของคนอื่น ดังนั้น เขาจึงต้องพึ่งวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายนี้เท่านั้น
อัศวินศักดิ์สิทธิ์และจอมขมังเวทย์ธาตุดินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามา ต่างจงใจที่จะขัดขวางซาบาคัสจากการร่ายเวทย์ และการที่นำกำลังคนมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็วางแผนที่จะกำจัดทุกคนที่นี่ให้หมดในครั้งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่รู้จบที่อาจตามมาในภายหลัง
ขณะที่เด็มพัสกำลังบินเข้ามา คทาเวทมนตร์อีกอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์ขึ้นอีกครั้ง สายตาของเขาจับจ้องไปที่หานซั่ว ราวกับว่าหานซั่วคือศัตรูตัวฉกาจ
“ระวังให้ดี เราจะให้ใครรบกวนซาบาคัสไม่ได้เด็ดขาด!”
เมื่อจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลหายจากอาการตกตะลึงและตั้งสติได้ เขาก็รีบออกคำสั่งทันที
ในทุกสถานการณ์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมกลายเป็นผู้นำ คำพูดของคาเรลทำให้ทุกคนที่อยู่ฝ่ายลอว์เรนซ์ต่างเรียกสติของตนเองกลับคืนมา จากนั้นก็กระจายตัวและจัดกระบวนเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยมีซาบาคัสเป็นศูนย์กลาง เพื่อที่จะยื้อเวลาให้ซาบาคัสให้นานที่สุด
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมต่อสู้เพื่อยื้อเวลาให้ซาบาคัส ซาบาคัสที่เพ่งสมาธิไปยังวงเวทย์มิติก็ร้องขึ้นมา
ทุกคนมีท่าทีผ่อนคลายลง และภายใต้การควบคุมของซาบาคัส ลอว์เรนซ์และคนอื่น ๆ ที่อ่อนแอกว่าต่างก็เข้ามายืนอยู่ในวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายอย่างพร้อมเพรียง
“อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ตะโกนเสียงดังขณะพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อุกกาบาตถล่ม!”
เมื่อเด็มพัสร่ายเวทมนตร์ธาตุดินอันยืดยาวเสร็จสิ้น เสียงครืนสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้นเบื้องบนของทุกคน ราวกับว่ากำลังมีอุกกาบาตนับร้อยหล่นลงมา
เห็นได้ชัดว่าเวทย์อุกกาบาตถล่มที่เป็นเวทย์ขนาดใหญ่ ก็สามารถส่งผลกระทบอันน่ากลัวเมื่อมันเจาะจงลงยังมายังพื้นที่เล็ก ๆ เช่นนี้
คทาหัวกะโหลกปรากฏขึ้นในมือของหานซั่วทันที ส่งให้หอกกระดูกจำนวนมากพุ่งออกไปบนท้องฟ้าราวกับห่าธนู พร้อมทั้งโล่กระดูกสีขาวก็กางออกอย่างงดงาม และปกป้องทุกคนจากอันตรายเบื้องบน
นักเวทย์หลายคนช่วยกันร่ายเวทมนตร์ป้องกันขึ้นมา ส่วนจอมดาบศักดิ์สิทธิ์คาเรลก็ถือดาบยาวในมือ และมองขึ้นไปด้านบนด้วยสายตาเยือกเย็น เตรียมพร้อมป้องกันการโจมตีที่อาจหลุดรอดลงมาได้ทุกขณะ
ซู่… ซู่…
ขณะที่เหล่าอุกกาบาตกำลังตกลงมาด้านล่าง ก็บังเกิดเสียงแปลกประหลาดที่ดังก้องไปทั่วฟ้า
หานซั่วเงยหน้ามองขึ้นไป และพบว่าอยู่ดี ๆ ท้องฟ้าก็แยกตัวออกและก่อตัวเป็นหลุมดำ ราวกับมีอสูรยักษ์กำลังอ้าปากกว้างและฉีกแผ่นฟ้าออกจนกลายเป็นสีดำ ตอนนั้นเอง ฝูงอุกกาบาตที่ทรงพลังก็ค่อย ๆ ถูกกลืนกินเข้าไปในหลุมดำขนาดใหญ่นั้นทีละน้อย จนเวทมนตร์ป้องกันของหานซั่วก็ไม่ถูกโจมตีและไร้ซึ่งรอยขีดข่วนอย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะ ตาพวกเจ้าแล้ว!”
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสชี้ไปยังวงเวทย์ด้านหน้าและบอกคนที่เหลือ ซึ่งก็คือหานซั่ว คาเรล คราวลีย์ และฟีบี้ เขามีท่าทีสงบ ไร้ซึ่งความตื่นกลัวแม้กำลังเผชิญหน้ากับอันตราย ซึ่งน่าประหลาดใจยิ่งนัก!
หานซั่วจ้องมองไปยังจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสด้วยความประหลาดใจ ซาบาคัสในตอนนี้ไม่มีรอยยิ้มเป็นมิตรเช่นเคย สมาธิอันแน่วแน่ของเขาให้ความรู้สึกเคร่งขรึมจริงจัง และหลุมดำขนาดยักษ์บนฟ้าที่กลืนกินฝูงอุกกาบาตเข้าไปก็คือเวทมนตร์ที่ร่ายขึ้นโดยชายชราผู้นี้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หานซั่วไม่ได้ยินซาบาคัสออกเสียงร่ายเวทมนตร์ใด ๆ ออกมาเลย ทำให้หานซั่วรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ตระหนักว่าซาบาคัสสามารถร่ายเวทย์ในใจได้ ดูเหมือนว่า แม้ทั้งคู่จะเป็นจะเป็นจอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความสามารถด้านเวทมนตร์ของซาบาคัสนั้นดูจะสูงกว่าเด็มพัสอย่างเห็นได้ชัด
“ไปเถอะ!”
ขณะที่หานซั่วกำลังมึนงง ฟีบี้ก็คว้าตัวเขาไว้ และผลักให้เขาเข้าไปในวงเวทย์มิติของซาบาคัส
แต่ก่อนที่หานซั่วจะทันได้ตอบโต้ ซาบาคัสก็เปิดการทำงานของวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเรียบร้อยแล้ว ลำแสงสีขาวส่องสว่างขึ้นมา ขณะที่หานซั่วและคนอื่น ๆ ต่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
มีเพียงจอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสที่ยังคงอยู่ในพื้นที่นั้น ส่วนยอดคทาเวทมนตร์ที่แหลมคมของเขาทิ่มลงด้านล่าง ทำให้วงเวทย์ที่เขาพยายามสร้างขึ้นมาแทบตาย ต้องแตกสลายไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“เด็มพัส ข้าไม่คิดเลยว่าคนระดับท่านจะขัดขวางอนาคตของจักรวรรดิแลนซล็อต ในฐานะที่เป็นสหายของท่านมานานหลายปี ข้ารู้สึกเสียใจกับท่านจริง ๆ!”
หลังจากซาบาคัสทำลายวงเวทย์มิติแล้ว เขาก็ถอนหายใจ พลางมองไปที่เด็มพัสที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าไม่เชื่อในคำทำนายไร้สาระนั่นหรอก การจะให้ลูกนอกสมรสขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิแลนซล็อตถือเป็นเรื่องเสื่อมเสีย นอกจากตัวข้าแล้ว ก็ยังมีขุนนางอีกมากมายในจักรวรรดิที่จะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเช่นนี้เพื่ออนาคตของจักรวรรดิ ท่านเองก็เป็นคนดื้อรั้นหัวชนฝา ท่านไม่ควรเชื่อคำทำนายของผู้พยากรณ์ที่สติเลอะเลือนแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แถมยังวางเดิมพันอนาคตของจักรวรรดิไว้กับคนนอกรีต ในเมื่อเขาเป็นสาวกที่ร้ายกาจของศาสนจักรแห่งความหายนะ แล้วเขาจะนำความรุ่งเรืองมาสู่จักรวรรดิแลนซล็อตได้ยังไงกัน?”
เด็มพัสทักท้วงซาบาคัส และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อในโชคชะตาเลยแม้แต่น้อย
“ซาบาคัส ข้าเคารพในตัวท่านอย่างมาก และเคยได้ยินวีรกรรมของท่านมามากมาย แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็คงต้องพูดว่า แม้ท่านจะช่วยลอว์เรนซ์และคนที่เหลือ ท่านก็ไม่สามารถเปลี่ยนชะตาของพวกเขาได้หรอก ตอนนี้ ทั้งนครออซเซ็นตกอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านดยุคแอชเบิร์นและเจ้าชายชาลส์แล้ว และลอว์เรนซ์กับคนอื่น ๆ ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน”
อัศวินศักดิ์สิทธิ์หัวเราะร่าขณะพูดกับซาบาคัส
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก!”
ซาบาคัสมองไปยังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ และพูดด้วยท่าทีสงบ
“อย่างน้อยก็มีอยู่ที่หนึ่งล่ะ ที่พวกเจ้าไม่สามารถควบคุมได้ง่าย ๆ”
ศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำนั้นมีการป้องกันอย่างแน่นหนาเสียยิ่งกว่าพระราชวังหลวงเสียอีก แม้ว่าพวกเขาจะยึดพระราชวังได้ ศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำก็ไม่สามารถโค่นล้มได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน ในฐานะผู้อาวุโสแห่งองครักษ์ชุดดำ ซาบาคัสเองคือคนที่สร้างค่ายกลป้องกันขึ้นมากมายในภูเขาออร์ดัส เขาย่อมรู้ดีเกี่ยวกับการป้องกันอันน่าเกรงขามของที่นั่น
“ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก ว่าศูนย์บัญชาการใหญ่ขององครักษ์ชุดดำนั้นยากที่จะโจมตีจากด้านนอก”
อัศวิวนศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าเคร่งขรึมขณะพูด แต่เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาไม่นานหลังจากนั้น
“แต่ยังไงซะ ถ้าข้างในเกิดวุ่นวายขึ้นมาเอง สถานการณ์ก็คงจะเปลี่ยนไปจนท่านคาดไม่ถึงเลยล่ะ!”
จอมขมังเวทย์ห้วงมิติศักดิ์สิทธิ์ซาบาคัสมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของอัศวินศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่พูดพล่ามอะไรกับพวกนั้นอีก ก่อนจะวาดคทาเวทมนตร์และหายตัวไปพร้อมกับประกายแสงเจิดจ้า
*************************