Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 406
เมื่อหานซั่วกลับมายังกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ เขาก็พบว่าแกรนท์ได้ช่วยประคองทรังคส์ให้มานั่งอยู่ตรงใจกลางสนามฝึกซ้อม และกำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่
ทรังคส์ยังคงอ่อนแอเป็นอย่างมาก แม้ว่าบาดแผลมากมายจะได้รับการรักษาแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาหายดีหากไม่นอนพักผ่อนให้เพียงพอสัก 10-15 วัน แต่อาการบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุดคือเส้นเอ็นบริเวณข้อมือและข้อเท้า ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 1 เดือนเพื่อให้มันสมานกันจนคืนความแข็งแรงดังเดิมอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าทรังคส์เป็นห่วงกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม เส้นเอ็นของเขาก็เสียหายรุนแรงเกินไป เขาจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนแรงราวกับคนพิการ ที่ไม่สามารถขยับมือหรือเท้าได้เลย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
โชคยังดีที่ดวงตาของเขาเริ่มชินกับแสงบ้างแล้ว ขณะที่เขาจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าแม้เขาต้องทนทรมานกับอาการบาดเจ็บ แต่แรงใจของเขาก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงไป
“นี่เจ้าออกมาอยู่ตรงนี้ทำไมกัน ช่วงนี้ถ้าเจ้านอนพักอยู่ข้างในดี ๆ แล้วรอให้ฟื้นตัวกว่านี้ก่อนจะดีที่สุดนะ อย่าห่วงเลย พวกผู้บุกรุกพ่ายแพ้ยับเยินกลับกันไปหมดแล้ว อย่างน้อยในระยะสั้น ลอเรตันก็จะไม่มีมาคุกคามเจ้าได้อีกอย่างแน่นอนเลยล่ะ”
หานซั่วเหาะลงมาอยู่ข้าง ๆ ทรังคส์พร้อมตำหนิ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ข้ารู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว ฮะ ๆ ๆ ก็ข้าไม่อยากเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องรอให้คนมาส่งข่าว ทั้ง ๆ ที่กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณกำลังตกอยู่ในอันตรายที่สุดอยู่นี่นา”
ทรังคส์ยิ้มตอบ เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนิ่วหน้าถาม
“ไบรอัน ฟลอริด้าตายแล้วเหรอ?”
หานซั่วพยักหน้า
“ใช่ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากฆ่าเขาด้วยด้วยตัวเอง แต่ถ้าเราฆ่าเขาเสียตอนนี้เลยมันจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามากกว่าน่ะ เพราะการตายของเขา จะต้องทำให้กองกำลังฯ เคียวรุ้งแตกคอกันอง เท่ากับว่าศัตรูของเราจะลงลดไปอีกมาก ข้าก็เลยปล่อยเขาไปไมได้น่ะ”
ทรังคส์ถอนหายใจและพูดอย่างขมขื่น
“เฮ้อ… การที่ไม่ได้ฆ่าเขาด้วยมือของข้าเองมันน่าเศร้าก็จริงอยู่ แต่ยิ่งเขาตายเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับพวกเรามากเท่านั้นจริง ๆ ถ้าข้ากำจัดเขาให้ได้เสียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เรื่องวุ่นวายพวกนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น จะเรียกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของข้าก็ได้นะ”
“นอกจากฟลอริด้าแล้ว อดัม เมนโล ก็ตายแล้วเหมือนกัน ทั้ง 2 คนเป็นเสาหลักของกองกำลังฯ เคียวรุ้งและตระกูลเมนโล การตายของพวกเขาต้องส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อทั้ง 2 กลุ่มอิทธิพลอย่างแน่นอน ส่วนตอนนี้ ก็ยังมีกำลังคนอีกประมาณ 3,000 คนที่โอบล้อมเราไว้ รวมถึงพวกที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของลอเรตัน แต่ข้าก็แน่ใจว่าพวกเขาจะจากไปอีกไม่นานนี้แล้วล่ะ”
หานซั่วอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ให้ทรังคส์ฟัง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาของที่นี่แล้วล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็มีปัญหามากมายที่ต้องจัดการ เรื่องลอเรตัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง เพราะข้าตั้งใจจะจัดการเขาให้ได้อยู่เหมือนกัน”
ทรังคส์ตอบ
“ก็ตอนนี้เหลือแค่ลอเรตันคนเดียวแล้วนี่ ข้าจัดการเขาได้ไม่ยากหรอก ไม่ได้เสียเวลาอะไรขนาดนั้นหรอกน่า”
หานซั่วมองทรังคส์ด้วยความประหลาดใจ
“ดูจากความสูญเสียที่เขาได้รับแล้ว เขาคงจะไม่มาหาเรื่องเจ้าไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยนะ”
“ไบรอัน หุบเขาแสงตะวันมีกฎของมันอยู่ ถ้าข้าต้องการจะทำให้ชาวบ้านชาวเมืองของที่นี่เชื่อมั่นในตัวข้าแล้วล่ะก็ ข้าไม่สามารถพึ่งความแข็งแกร่งของเจ้าเพียงอย่างเดียว และข้าต้องจัดการกับลอเรตันและกองกำลังฯ ไคโรให้ได้ด้วยตัวเองอย่างเปิดเผยเท่านั้น ถึงจะครอบครองอำนาจภายในหุบเขาแสงตะวัน และชนะใจทุกคนที่อยู่ในนั้นได้สำเร็จ”
ทรังคส์ที่ดูอ่อนแรง แต่พูดตอบหานซั่วด้วยความเด็ดเดี่ยว
หานซั่วตกตะลึงไปในทันที เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา
“แต่ว่า… อาการบาดเจ็บของเจ้า…”
“ฮ่า ๆ ๆ อย่าห่วงเลย ใช่ว่าข้าจะรีบพุ่งไปจัดการลอเรตันตอนนี้เลยเสียเมื่อไหร่ อย่างที่เจ้าพูดนั่นล่ะ ตามนิสัยส่วนตัวของลอเรตันแล้ว ถ้าไม่มั่นใจเต็มร้อย เขาก็ไม่กล้าบุกโจมตีที่นี่สุ่มสี่สุ่มห้าหรอก และในเมื่อสัตว์วิเศษบินได้ของตระกูลเมนโลก็ถูกเจ้าฆ่าตายไปเกือบหมด พวกเขาเองก็คงไม่กล้าทำอะไรด้วยเหมือนกัน
อีกอย่าง เรายังมีกิลเบิร์ตอยู่ที่นี่ทั้งคน เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็จะยอมแพ้ไปเองนั่นแหละ เจ้าวางใจเถอะ หลังจากที่ผ่านการโดนทรมานมาขนาดนั้น ข้าก็ไม่คิดจะอยู่เฉยไปวัน ๆ อีกต่อไปแล้วล่ะ แล้วข้าก็มั่นใจว่าจะกำจัดลอเรตันกับกองกำลังฯ ไคโรให้ราบคาบเลยด้วย”
ท่าทีของทรังคส์ดูเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างที่สุด ดูเหมือนว่าการที่เขาถูกทรมานเจียนตายก่อนหน้านี้ จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของทรังคส์
เมื่อหานซั่วได้ยินดังนั้น เขาก็จ้องมองลึกเข้าไปในตาของทรังคส์ และรู้สึกลังเลใจอย่างบอกถูก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยิ้ม
“ในเมื่อเจ้ายืนกรานอย่างนั้น ข้าก็คงไม่เข้าไปแทรงแซงปัญหาของหุบเขาแสงตะวันแล้วล่ะ แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าเจ้าลำบากหรือเกิดอะไรขึ้นล่ะก็ ต้องรีบรายงานข้าให้เร็วที่สุดเลยนะ!”
“อย่าห่วงไปเลยน่า กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณของพวกเราไม่โง่หรอก ข้ารู้ดีว่าต้องทำอะไร”
ทรังคส์ยิ้มตอบ
“กิลเบิร์ต เจ้าอยู่ที่นี่ จนกว่าทรังคส์จะฟื้นตัวก็ดูแลเขาให้ดี ๆ ล่ะ!”
หานซั่วหันไปมองกิลเบิร์ตและออกคำสั่ง
“เข้าใจแล้ว นายท่าน”
กิลเบิร์ตรับคำ
เพราะทรังคส์อยากจะใช้พลังความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อที่จะสามารถยึดอำนาจปกครองภายในหุบเขาแสงตะวันได้อย่างมั่นคง เขาจึงไม่สามารถพึ่งพาพาคนอื่นให้จัดการทุกอย่าง และต้องกวาดล้างขุมอำนาจเดิมอย่างกองกำลังฯ ไคโรแห่งหุบเขาแสงตะวันเสียให้จงได้ และด้วยวิธีนั้น เขาถึงจะได้รับความเคารพยำเกรงจากผู้คน
สำหรับทรังคส์ที่มีความคิดเช่นนั้น จึงทำให้หานซั่วประหลาดใจ แต่ก็รู้สึกชื่นชมในคราเดียวกัน ซึ่งนี่ก็พิสูจน์แล้วว่าทรังคส์คือผู้ที่มีความคิดความสามารถอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น หานซั่วก็มองเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในตัวของทรังคส์ตั้งแต่ที่ไปช่วยเหลือเขากลับมา ทรังคส์นั้นทั้งเข้มแข็งและเหี้ยมโหดมากขึ้น และไม่ใช่คนที่ไม่ระมัดระวังและจิตใจดีอีกต่อไปแล้ว
เพราะบทเรียนที่ผ่านมานั้นช่างอำมหิตเกินทานทน ทรังคส์ซึ่งผ่านการถูกทรมานที่สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าความตาย ทำให้สถานการณ์หลังจากนี้ก็ไม่มีเรื่องใดที่ยากเกินเขาจะรับไหวอีกต่อไปแล้ว หานซั่วรับรู้และเข้าใจว่าทำไมทรังคส์ถึงขอร้องให้เขาจัดการลอเรตันด้วยตัวเอง นอกเหนือจากการใช้ลอเรตันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ เขาก็ยังอยากขัดเกลาทักษะการต่อสู้ของตนเองกับลอเรตันอีกด้วย
ในตอนนี้ ทั่วทั้งหุบเขาแสงตะวัน มีเพียงลอเรตันคนเดียวที่สามารถต่อกรกับเขาได้ ซึ่งหากหานซั่วรีบฆ่าลอเรตันเสียตอนนี้ ทรังคส์ก็จะสูญเสียคู่ฝีมือที่เหมาะสมไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่จะเสียใจ แต่เขาอาจสูญเสียหนทางเดียวในการบรรลุสู่ระดับพลังต่อไปด้วยเช่นกัน และเขาจำเป็นต้องต่อสู้กับลอเรตันเท่านั้น เขาถึงจะสามารถพัฒนาขีดความสามารถได้อีกครั้ง
เมื่อเข้าใจเจตนาของทรังคส์ดีแล้ว หานซั่วก็ไม่ดึงดันในความคิดของตนเอง และปล่อยให้เรื่องราวของหุบเขาแสงตะวังเป็นไปอย่างที่ควร เขาบอกลาทรังคส์และกิลเบิร์ต ก่อนจะจากไปยังสุสานแห่งความตาย
เมื่อมาถึง หานซั่วก็ทำตามความตั้งใจเดิมของตนเองอีกครั้ง และลงไปสำรวจยังชั้นข้างล่างทันที
เหตุผลที่เขาเดินทางมายังสุสานแห่งความตายในครั้งนี้ เป็นเพราะข้อมูลที่เขาได้รับมาจากวูล์ฟ หากไม่ใช่เพราะกิลเบิร์ตเรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เขาก็คงได้ลงไปสำรวจยังชั้นใต้ดินที่ 3 ของสุสานแห่งความตายไปแล้ว
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หลังจากที่เคยมีประสบการณ์มาแล้ว การสำรวจของหานซั่วจึงสบาย ๆ ไม่ต่างอะไรจากการเดินเล่นในสวน หานซั่วใช้พลังจิตของเขาผ่านม่านพลังของ 2 ชั้นแรกลงมาได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังชั้นที่ 3 แล้วเขาก็หยุดเดิน เมื่อสัมผัสได้ถึงม่านพลังนั้น
หานซั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง รวบรวมพลังจิตของตนเอง ก่อนพุ่งตัวตรงเข้าไป
เปรี้ยง…!!!
ทันทีพลังจิตของหานซั่วสัมผัสกับม่านพลัง เขาก็ถูกความรุนแรงอันมหาศาลของพลังบางอย่างถาโถมเข้าใส่ ราวกับมีงูตัวเล็ก ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเลื้อยทะลุเข้ามาในหัวของเขา ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานไร้ที่สิ้นสุด
โชคยังดีที่หานซั่วเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เขาจึงรีบกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ เพ่งพลังจิตให้มากขึ้นเพื่อผ่านม่านพลังนั้นไปให้ได้เหมือนกับ 2 ชั้นที่ผ่านมา คทาหัวกระโหลกในมือของเขาเปล่งแสงทั้ง 3 สีเป็นประกายเจิดจ้า
ผั่วะ !!!
หานซั่วกระเด็นออกมาในทันที โดยที่ม่านพลังไม่ทันได้แตกออก และชั่วขณะที่หานซั่วรู้สึกหวาดกลัวที่สุด พลังที่ราวกับงูจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามาในหัวของหานซั่วก็กลับคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นลายเส้นสัญลักษณ์เวทมนตร์ที่ส่องแสงสว่างสดใส
ในฐานะที่หานซั่วเรียนรู้เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายมานาน เมื่อสัญลักษณ์เวทมนตร์นั้นปรากฏขึ้นมาในหัว เขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด ไม่นานนัก แสงทั้ง 3 สีของคทาหัวกระโหลกในมือของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อลำแสงปีศาจทั้ง 3 เลื้อยขึ้นมาตามแขนของหานซั่ว ก่อนจะค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ
แล้วพวกมันก็โคจรขึ้นไปที่หัวของหานซั่ว พร้อมนำพาสัญลักษณ์เวทมนตร์มากมายที่เรียบเรียงกันจนกลายเป็นมนตร์คาถาบางอย่างที่หานซั่วสามารถเข้าใจได้ รวมถึงรายละเอียดของมันอีกหลายบรรทัด
หานซั่วจ้องมองอย่างคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ และรีบนึกถึงข้อมูลที่ปรากฏขึ้นในหัวนั่นทันที ช่วงที่คาถาและรายละเอียดต่าง ๆ กำลังฝังแน่นลงในความทรงจำ เวลาไม่ได้ผ่านไปนานนัก เพราะด้วยระดับการพัฒนาสมองของเขาแล้ว ในที่สุดหานซั่วก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ
“ถ้ายังไม่ได้บรรลุสู่การเป็นจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายศักดิ์สิทธิ์ ม่านพลังจะยังไม่เปิด และในชั้นนี้ก็รวบรวมความลับที่จะทำให้นักเวทย์ผู้ใช้ความตายกลายเป็นเทพเอาไว้…”
“คทาหัวกระโหลกมีพลังพิเศษ 3 อย่าง นอกเหนือจากพลังอย่างแรกที่ช่วยเพิ่มพลังเวทย์ให้เป็นทวีคูณ ความสามารถอีก 2 อย่างที่เหลือก็จำเป็นต้องใช้การร่ายคาถาที่จำเพาะ ซึ่งก็คือ…”
“อาคมแห่งความหวาดกลัว อาคมแห่งความอ่อนแอ และอาคมแห่งอายุ ทั้งคาถาและวิธีที่จะใช้งานอาคมเหล่านี้ก็คือ…”
สัญลักษณ์เวทมนตร์มากมายวนเวียนอยู่ในหัวของหานซั่ว ในที่สุดพวกมันก็ผสมผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นข้อมูลรายละเอียดทั้งสาม ข้อมูลแรกนั้นเป็นเรื่องที่จอมขมังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าสู่ชั้นต่อไปได้ ข้อมูลที่สอง คือคาถาสำหรับการคืนความหนุ่มสาวและการเดินทางเข้าไปยังมิติมืด และข้อมูลสุดท้าย คือเหล่าอาคมที่สาปสูญไปเป็นเวลานานของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายนั่นเอง
ชั้นต่อไป รวบรวมความลับที่จะทำให้นักเวทย์ผู้ใช้ความตายกลายเป็นเทพเอาไว้!
หานซั่วตกตะลึงถึงขีดสุดขณะจ้องมองตรงไปยังเส้นทางเบื้องหน้าที่มีม่านพลังขวางกั้น เขาค่อนข้างช็อกกับข้อมูลใหม่มากมายในหัวจนเขาได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
แล้วหานซั่วก็ค่อย ๆ รวบรวมสติอีกครั้ง เขายังทำอะไรกับข้อมูลส่วนแรกไม่ได้มากเท่าใด แต่ข้อมูลที่ 2 และ 3 นั้นถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับเขาในตอนนี้มากมายเลยทีเดียว
สำหรับพลังพิเศษทั้ง 3 อย่างของคทาหัวกระโหลกนั้น พลังแรกที่สามารถเพิ่มพลังเวทมนตร์ให้มากขึ้นเป็นทวีคูณไม่จำเป็นต้องร่ายคาถาใด ๆ เพิ่มเติม แต่ในขณะเดียวกัน พลังในการคืนความหนุ่มสาวและการถอดวิญญาณเพื่อเดินทางไปยังมิติมืดนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำกันได้ง่าย ๆ ยกตัวอย่าง การที่วิญญาณจะเดินทางไปมาระหว่างมิติมืด จำเป็นต้องใช้คาถาที่ซับซ้อนมากมาย ตลอดจนความสามารถในการเข้าใจจิตวิญญาณของตนเองอย่างถ่องแท้
และการที่จะใช้พลังคืนความหนุ่มสาวได้สำเร็จ ก็จำเป็นต้องใช้พลังงานที่แฝงอยู่ภายในคทาหัวกระโหลก ซึ่งมันไม่ใช่พลังที่ไม่ว่าใครก็จะสามารถทนรับได้ไหว และต้องเป็นผู้ที่คทาหัวกระโหลกยอมรับเท่านั้น จึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับพลังงานของคทาหัวกระโหลก
ก่อนหน้านี้ วูล์ฟได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้ที่ผ่านเงื่อนไขดังกล่าว และจากที่วูล์ฟเล่า ดูเหมือนว่าผู้ที่เป็นสาวกของศาสนจักรแห่งความหายนะจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติทุกคน โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่มานานเกินกว่าจะนับได้ ก็สามารถใช้พลังงานนี้หวนคืนสู่ความเยาว์วัยอีกครั้ง
ทั้งอาคมแห่งความหวาดกลัว อาคมแห่งความอ่อนแอ และอาคมแห่งอายุ คือเวทมนตร์โบราณขนาดใหญ่ของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตาย ศัตรูผู้ที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ อาคมแห่งความกลัว จะก่อให้เกิดความหวาดผวาขึ้นในจิตใจ ทั้งความรู้สึกนึกคิด การตัดสินใจ และขวัญกำลังใจของพวกเขาจะเหือดหายไปในทันที ตรงข้ามกับ อาคมแห่งความอ่อนแอ ซึ่งจะส่งผลให้ศัตรูสูญเสียพลังความแข็งแกร่งทางร่างกาย ทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาลดลงไปอย่างมาก
และแน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ อาคมแห่งอายุ แต่อย่างไรก็ตาม อาคมนี้ก็สามารถใช้ได้โดยจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เพราะผู้ที่อยู่ในระดับนั้นจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณอย่างยิ่งยวด และเมื่อเขาใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งในการร่ายอาคมแห่งอายุออกมา จะทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ภายใต้อาคมนั้นแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว
หากสิ่งมีชีวิตนั้นอยู่ภายใต้อาคมในช่วงระยะเวลานานพอสมควร มันก็จะตายลงเพราะความแก่ชราในทันที นี่คือเวทมนตร์ที่ชั่วร้ายที่สุดเพราะเป็นการสูบเอาพลังชีวิตจากวิญญาณของศัตรู ซึ่งไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากเพียงใด หากไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะต้านทานใด ๆ ได้เลย
หานซั่วในตอนนี้สามารถฝึกฝนอาคมแห่งความกลัวและอาคมแห่งความอ่อนแอได้แล้ว และเนื่องจากทั้งคู่เป็นเวทย์อาคมขนาดใหญ่ จึงสามารถส่งผลกระทบได้เป็นบริเวณกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้อาคมทั้ง 2 อย่าง พร้อมกันกับการอัญเชิญกองทัพอสูรมิติมืดออกมา ก็เรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายสำหรับเหล่าศัตรูเลยทีเดียว
บางที อาจเป็นเพราะความได้เปรียบในการผสานรวมกันของอาคมทั้ง 2 อย่าง กับกองทัพอสูรมิติมืด ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งและไร้เทียมทานเกินไปในยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตาย พวกเขาจึงถูกนักเวทย์ทุกคนจากทุกสมาคมในอาณาจักรรวมพลังกันกำจัดและกวาดล้างจนหมดสิ้น และนับแต่นั้นมา อาคมทั้งสามจึงอันตรธานหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
และเหตุผลที่อาคมแห่งอายุสามารถฝึกฝนได้โดยจอมขมังเวทย์ผู้ใช้ความตายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ก็อาจเป็นเพราะพลังของมันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะสามารถทับซ้อนกับอาคมอีก 2 อย่างก็เป็นได้
เพราะไม่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นจะแข็งแกร่งสักเพียงใด เมื่ออยู่ภายใต้อาคมแห่งอายุและหนีออกไปไม่ทัน ร่างกายของมันก็จะแก่ชราลงทันที หรือต่อให้ถูกอาคมสัมผัสและหนีออกไปได้ อวัยวะหรือบางส่วนของร่างกายนั้นก็จะยังคงได้รับผล และไม่มีทางที่จะเยียวยารักษาให้หายได้เลย
แต่อย่างไรก็ตาม คทาหัวกระโหลกของหานซั่วก็สามารถฟื้นฟูเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากอาคมแห่งอายุ ให้หวนคืนความหนุ่มสาวได้ เมื่อรวมอาคมนั้นกับคทาหัวกระโหลกเข้าด้วยกันแล้ว ทุกอย่างก็ถือว่าอยู่ในการควบคุม ซึ่งแปลว่าเขาจะสามารถส่งคนของเขาผ่านเข้าไปภายใต้อาคมเพื่อสะกัดกั้นศัตรู และเมื่อศัตรูยอมล่าถอยหรือตายลงแล้ว หานซั่วก็ค่อยใช้คทาหัวกระโหลกคืนความเยาว์วัยที่คนของเขาสูญเสียไปให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง
และในที่สุด การฝึกฝน รวมทั้งคาถาเวทมนตร์สลับซับซ้อนมากมายของอาคมโบราณทั้ง 3 ซึ่งถือเป็นความลับที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายทั่วทั้งอาณาจักร ในตอนนี้ กลับฝังแน่นอยู่ในหัวของหานซั่วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
************************