Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 403.2
ทั้งลอเรตัน ฟลอริด้า และ อดัม เมนโล ไม่มีใครรู้เลยว่าทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกหานซั่วจับตาดูไว้หมดแล้วทุกฝีก้าว อีกทั้งยังรู้สึกมั่นอกมั่นใจว่าแผนการโจมตีของฝ่ายตนจะต้องเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย อย่างน้อยการโจมตีระลอกแรกของสัตว์วิเศษบินได้จะลงไปถึงที่ได้อย่างง่ายดาย เพื่อสร้างความเสียหายมหาศาลต่อกองกำลังทหารรับจ้างพิฆาตวิญญาณ และเมื่อสามารถขนส่งยอดฝีมือเพื่อเสริมกำลังได้อย่างต่อเนื่อง ก็เท่ากับว่าพวกเขาจะสามารถเผด็จศึกได้สำเร็จในคราเดียว
โชคร้ายที่พวกเขาคาดเดาไม่ถูกเลยว่าหานซั่วเองก็ล่วงรู้แผน และสามารถเตรียมการป้องกัน “อย่างลับ ๆ” ด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น เมื่อมีฝูงการ์กอยล์จำนวนมาก หานซั่วก็มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับการโจมตีอันรุนแรงของเหล่ายอดฝีมือกลุ่มแรกได้ย่างแน่นอน
และเมื่อยอดฝีมือกลุ่มแรกถูกฆ่าตายทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อกำลังใจในการต่อสู้ของพวกเขา ยอดฝีมือกลุ่มต่อไปก็จะไม่กล้าที่จะสั่งให้สัตว์วิเศษบินได้ร่อนลงมา ด้วยความได้เปรียบทางลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ หานซั่วก็เชื่อว่ากลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 กลุ่มจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแน่นอน
ขณะที่ปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนกำลังสอดส่องทุกการกระทำของทั้ง 3 กลุ่ม หานซั่วก็สั่งให้แกรนท์และคนอื่น ๆ ช่วยกันรวบรวมทหารรับจ้างที่มีฝีมือในการซุ่มยิงมารวมตัวกัน ธนูและลูกศรทุกชนิด รวมทั้งหอกและทวนมากมายถูกนำออกมาเตรียมไว้จนหมดคลัง เพื่อรอการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือกลุ่มแรกที่จะมาพร้อมกับเหล่าสัตว์วิเศษบินได้
ขณะที่เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ลอเรตันได้พูดคุยถกเถียงกับคนอื่น ๆ กันเป็นเวลานาน ในที่สุด พวกเขาก็สามารถจัดสรรกำลังคนจากยอดฝีมือทั้ง 300 คน เพื่อให้ช่วยกันปกป้องนักเวทย์ผู้ทรงคุณค่านับ 10 คนที่แฝงตัวอยู่ในนั้น เรียกได้ว่ายอดฝีมือกลุ่มแรกนั้นเป็นการรวมตัวของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดจากกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 กลุ่มเลยก็ว่าได้ แม้แต่นักดาบที่อ่อนแอที่สุดในนั้นก็ยังเป็นถึงนักดาบระดับสูง
กลางคืนที่มืดสนิทสามารถอำพรางการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ในคืนนั้น แม้แต่หมอกก็ลงหนามากกว่าปกติ แผนการนั้นจึงกลายเป็นภารกิจยามค่ำคืนที่เป็นไปตามความคาดหมาย
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ขณะที่พระจันทร์เต็มดวงค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและฉายแสงสุกสว่างแต่งแต้มท้องฟ้ายามราตรี หน้าผาอันเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณก็ถูกปกคลุมไปด้วยมวลหมอกสีขาว ในตอนนั้น ทั้งฮาร์พี อินทรีน้ำแข็ง กริฟฟิน เปกาซัส และสัตว์วิเศษบินได้หลากหลายชนิดกว่า 200 ตัวก็มาถึง พวกมันกำลังรวมตัวกัน ตามคำสั่งของ อดัม เมนโล ผู้นำกลุ่มอิทธิพลตระกูลเมนโล
ยอดฝีมือทั้ง 300 คนจากทุกกลุ่มอิทธิพลกำลังรอคอยสัตว์วิเศษบินได้เหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว และด้วยคำสั่งของผู้นำ ยอดฝีมือทุกคนก็ขึ้นขี่บนหลังของสัตว์วิเศษทุกตัวที่ถูกทำให้เชื่อง โดยที่ อดัม เมนโล และฟลอริด้าก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนั้นด้วย
แต่ฟลอริด้าเองก็เป็นนักเวทย์อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้สัตว์วิเศษบินได้เพื่อเป็นพาหนะ ส่วน อดัม เมนโล ยังคงขี่นกร็อกปีกทองของเขาเช่นเคย ซึ่งมันเองก็หายดีแล้วเพราะเขาทุ่มเททรัพยากรอย่างมหาศาลไปกับการเยียวยารักษามัน แต่อย่างไรก็ตาม ขนที่เป็นสีทองอร่ามของมันก็บางลงไปอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มันดูน่าเวทนาไม่น้อยทีเดียว
ที่นกร็อกปีกทองต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะมันพยายามปกป้อง อดัม เมนโล เป็นเหตุให้เขามีความจงเกลียดจงชังต่อหานซั่วอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถึงได้ร่วมวางแผนลอบทำร้ายทรังคส์กับกลุ่มอื่น ๆ ในครั้งนี้
ในขณะที่ลอเรตันที่แม้จะเป็นถึงนักรบคลั่งระดับ 3 ที่แข็งแกร่งกว่าทั้ง อดัม เมนโล และฟลอริด้า เขาก็ไม่สามารถบินได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็จำเป็นต้องมีใครสักคนคอยควบคุมดูแลเรื่องต่าง ๆ อยู่ข้างล่าง ทำให้ลอเรตันต้องคุมทัพอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้เข้าร่วมกับการโจมตีระลอกแรก
ภายใต้แสงสลัวของพระจันทร์ เหล่าสัตว์วิเศษบินได้ก็สยายปีกออก และเกาะกลุ่มกันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจนบดบังแสงจันทร์ ลอเรตันก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองสัตว์วิเศษแต่ละตัวที่บินตามกันไป และรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ทรังคส์ถูกช่วยเหลือไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะไม่ว่าเขาจะมองจากมุมไหน กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณก็ควรจะตกอยู่ในสถานการณ์คุ้มคลั่งหลังจากสูญเสียทรังคส์ซึ่งเป็นผู้นำไปแล้วแท้ ๆ แม้ว่าเขาจะรู้ถึงพลังความแข็งแกร่งของกิลเบิร์ตเป็นอย่างดี แต่เขาก็เคยรู้จักสนิทสนมกับกิลเบิร์ตมาก่อน จึงรู้ว่ากิลเบิร์ตเป็นเพียงลิ่วล้อที่ไม่สามารถคิดแผนการอันแยบยลใด ๆ ได้อย่างแน่นอน
เหตุผลที่ลอเรตันเฝ้ารอมานาน เพราะเชื่อว่ากองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณจะยอมละทิ้งฐานที่มั่นเพื่อออกมาเพื่อโจมตี ซึ่งจะทำให้ลอเรตันและพวกสามารถกวาดล้างยอดฝีมือของกองกำลังฯ ได้อย่างง่ายดาย แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ กองกำลังฯ ยังคงสงบและตั้งมั่นอยู่ที่เดิมอย่างเหนือความคาดหมาย ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ออกมา แต่ยังเรียกยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบให้กลับไปรวมตัวกันที่นั่นอีกด้วย
เมื่อข่าวการหายตัวไปของทรังคส์แพร่กระจายออกไป ลอเรตันก็รู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด หลังจากพิจารณาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าอาจมีมือที่มองไม่เห็นแฝงเร้นอยู่ภายในกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณและควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง และเพราะตัวตนลึกลับนี้เองที่ทำให้กองกำลังฯ สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้
“ข้าอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ ในตอนนี้สถานการณ์ในนครออซเซ็นกำลังโกลาหลถึงขีดสุด เจ้าบ้านั่นไม่น่าจะมาถึงนี่ได้หรอก…”
ลอเรตันยกมือขึ้นเกาหัวพลางพึมพำกับตัวเอง
“หัวหน้า ครั้งนี้พวกเราน่าจะปลอดภัยกันแล้วล่ะ คนที่ท่านกำลังกังวลไม่มีทีท่าว่าจะโผล่มาเลย ข้าเพิ่งได้ข่าวมาเมื่อวานว่าเขายังอยู่ในนครออซเซ็น เพราะงั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะเดินทางมาถึงหุบเขาแสงตะวันได้ในตอนนี้ อย่าคิดมากเลยครับ พวกเราจะกวาดล้างกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณได้แน่ ๆ”
แฮร์ริสเข้าใจดีว่าลอเรตันกำลังเป็นกังวลในเรื่องใด เหตุผลที่ลอเรตันยอมลงมือในครั้งนี้ก็เพราะมั่นใจว่าหานซั่วกำลังยุ่งเกินกว่าที่จะมาวุ่นวายกับปัญหาในหุบเขาแสงตะวัน มิเช่นนั้นแล้ว ลอเรตันก็คงรู้สึกลังเลไม่น้อย
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถึงทรังคส์จะแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ข้าเป็นกังวลหรอก แต่เป็นเจ้านั่นต่างหากที่จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรามากที่สุด เฮ้อ น่าเสียดาย ทั้งทรังคส์และเจ้านั่นต่างก็เป็นคนจริงด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่ใช่เพราะกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณของทรังคส์กลับกลายเป็นเสี้ยนหนามที่คุกคามกองกำลังฯ ของเราแบบนี้ บางทีข้าอาจจะยังเป็นเพื่อนกับพวกเขาเหมือนเดิมก็ได้”
ลอเรตันถอนหายใจพลางพูดกับแฮร์ริส
“ก็พวกเขาตัดสินใจเลือกทางนี้เอง ตอนแรกที่พวกเขามาถึงหุบเขาแสงตะวัน หัวหน้าก็หยิบยื่นสันติและมิตรภาพให้แล้ว แต่พวกนั้นก็ปฏิเสธ และในเมื่อสถานการณ์มันบานปลายมาถึงจุดนี้ หัวหน้าก็โทษตัวเองที่ต้องใช้ไม้แข็งไม่ได้หรอกครับ ทุกอย่างมันเป็นเพราะความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาที่หวังจะฮุบอำนาจในมือเราก็เท่านั้นเอง”
แฮร์ริสขมวดคิ้วพลางพูดปลอบใจลอเรตัน
“ช่างมันเถอะ เรื่องนี้เราเลิกพูดถึงกันดีกว่า อย่างไรก็ตาม ข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หวังว่าครั้งนี้เจ้าฟลอริด้ากับ อดัม เมนโล จะไม่ทำให้ข้าผิดหวังอีกก็แล้วกัน”
ศีรษะล้านเลี่ยนของลอเรตันเปล่งประกายเพราะแสงจันทร์ ซึ่งหมายความว่าเหล่าสัตว์วิเศษบินได้ของ อดัม เมนโล ไม่ได้บดบังแสงจันทร์อีกต่อไป และมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ ๆ หมอกปกคลุมหนาเรียบร้อยแล้ว
“ทุกคนระวังตัวให้ดี ถึงพวกมันจะมองไม่เห็นเรา แต่เราก็ต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือทุกอย่างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!”
อดัม เมนโล พูดกับคนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ ขณะนั่งอยู่บนหลังของนกร็อกปีกทอง
“หัวหน้า วางใจเถอะ พวกเรารู้ดีว่าต้องทำยังไง”
คนของตระกูลเมนโลตอบด้วยรอยยิ้ม พลางกำคทาเวทมนตร์ของตนไว้แน่นในมือเพื่อเตรียมพร้อม
ห่างจากกองบินของตระกูลเมนโลไม่มากนัก ดวงตาของฟลอริด้ากำลังเปล่งประกายขณะสอดส่ายหาสิ่งผิดปกติทุกอย่างที่อยู่โดยรอบ ก่อนจะหันไปกระซิบกระซาบกับลูกน้องที่ไว้ใจได้กลุ่มหนึ่ง ราวกับจะพูดคุยหารือเรื่องปฏิบัติการในภายหลัง
เมื่อกลุ่มคนเดินทางผ่านเข้าไปในหมอกหนา พวกเขาก็มาถึงพื้นที่ ๆ หมอกเริ่มเบาบาง และอีกเพียงไม่กี่ร้อยเมตร พวกเขาก็จะเข้าสู่อาณาเขตของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ
ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาดำทะมึนค่อย ๆ ปรากฏร่างขึ้นมาจากมวลหมอกและกลายเป็นมังกรดำขนาดมหึมา ดวงตาสีอำพันที่ส่องประกายราวกับโคมไฟกำลังจับจ้องไปยังผู้บุกรุกทั้ง 300 คน แล้วลมหายใจมังกรที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าก็ถูกพ่นออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมื่อพัฒนาร่างจนกลายเป็นสุดยอดสัตว์วิเศษระดับ 2 พิษในลมหายใจมังกรของกิลเบิร์ตก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม และในสภาพอากาศชื้นเช่นนี้ จึงทำให้พิษมีฤทธิ์ทวีคูณมากขึ้นอีก ทำให้นักดาบและนักเวทย์ที่ขี่มาบนหลังของฮาร์พีกว่า 10 คน กลายเป็นเหยื่อกลุ่มแรกที่ถูกสังเวยด้วยละอองพิษของกิลเบิร์ตในทันที
ความรู้สึกชาบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วอกของพวกเขาอย่างฉับพลันราวกับถูกบดทับด้วยภูเขาทั้งลูก นอกจากฮาร์พีที่เป็นสัตว์วิเศษมีพิษเหมือนกันแล้ว มนุษย์ทุกคนบนหลังของมันก็ตกสู่สภาพหน้ามืดวิงเวียนและมีเลือดพรั่งพรูออกมาทางปากและจมูก นอกเหนือจากฤทธิ์ของพิษแล้ว ความรุนแรงของลมหายใจมังกรก็ยังน่าสะพรึงกลัวไม่แตกต่างกัน เหล่าฮาร์พีต่างส่งเสียงกรีดร้องแหลมเมื่อถูกพัดกระเด็นออกไปจนเหวี่ยงคนที่นั่งบนหลังให้ตกลงไปตาม ๆ กัน
“มังกรดำ! มันคือมังกรดำตัวนั้น!”
เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกร้องดังขึ้นทันที ในขณะที่บางคนเพิ่งจะสังเกตเห็นกิลเบิร์ต
“พวกเจ้ากล้าบุกเข้ามาในอาณาเขตของข้า ตายซะเถอะ!”
น้ำเสียงทรงพลังของกิลเบิร์ตดังก้องไปทั่วท้องฟ้า เมื่อเขาสะบัดคออีกครั้ง ลูกไฟที่กราดเกรี้ยวก็ถูกพ่นออกไป แผดเผาสัตว์วิเศษและคนขี่ที่กระจัดกระจายอยู่บนฟ้าอีกนับสิบ
“โจมตี! มันก็แค่มังกรดำตัวเดียว ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก!”
อดัม เมนโล แผดเสียงออกมา แล้วนกร็อกสีทองที่เขาขี่อยู่ก็กระพือปีกอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดพายุที่กินรัศมีนับ 10 เมตร และเบี่ยงลูกไฟของกิลเบิร์ตออกไปทางด้านข้างได้สำเร็จ
ขณะนั่งอยู่บนหลังร็อกปีกทอง อดัม เมนโล ก็ถือหอกที่เปล่งรัศมีสีเงินและพุ่งเข้าใส่กิลเบิร์ตด้วยความเร็วราวสายฟ้า ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เหล่านักเวทย์ที่เตรียมพร้อมก็ยิงเวทมนตร์กระหน่ำใส่กิลเบิร์ตอย่างต่อเนื่อง
หากมีเพียง อดัม เมนโล เพียงคนเดียว กิลเบิร์ตก็คงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ก็เป็นไปอย่างที่หานซั่วพูดไว้ไม่มีผิด การโจมตีระลอกแรกนั้นรวบรวมเหล่ายอดฝีมือจากทั้ง 3 กลุ่มอิทธิพลไว้จริง ๆ และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่กิลเบิร์ตสามารถรับมือได้ด้วยลำพังเพียงคนเดียว เมื่อเวทมนตร์ธาตุต่าง ๆ ถาโถมเข้ามา กิลเบิร์ตก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบการโจมตีและกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหมอกหนาอีกครั้ง
“เหอะ! ก็แค่มังกรดำ จะแน่สักเท่าไหร่กันเชียว!”
อดัม เมนโล เยาะเย้ยด้วยเสียงอันดัง พลางชูมือขึ้นและพูด
“ตำแหน่งของเราถูกเปิดเผยแล้ว เราต้องรีบมุ่งหน้าเข้าไปที่นั่นทันที อย่าปล่อยให้พวกมันมีโอกาสเตรียมตัว!”
“บุกเข้าไป! หลังจากสิ้นสุดคืนนี้ กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณจะถูกกวาดล้างไปจากหุบเขาแสงตะวันตลอดกาล!”
ฟลอริด้าเองก็ร้องตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะใช้เวทย์เหินหาวบินขึ้นไปสมทบกับกลุ่มของ อดัม เมนโล
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏเสียงประหลาดบางอย่างดังสะท้อนขึ้นมาจากทุกทิศทาง
ฟึ่บ… ฟึ่บ… ฟึ่บ… ฟึ่บ… ฟึ่บ… ฟึ่บ…ฟึ่บ…
“แปลกจริง นั่นเสียงอะไรน่ะ!”
ทหารรับจ้างคนหนึ่งที่คิดเหมือนกันกับคนอื่น ๆ กำลังมองไปยังบริเวณโดยรอบด้วยความสับสน โดยไม่รู้เลยว่าเสียงประหลาดที่ดังขึ้นมานั้นคืออะไรกันแน่
เพียงเสี้ยววินาที ก็มีเงาของสัตว์ประหลาดจำนวนมากบินเข้ามาโอบล้อมพวกเขาไว้ราวกับฝูงแมลงที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น แล้วสิ่งที่พวกเขาเห็น ก็คือฝูงการ์กอยล์นับพัน ๆ ตัว พวกมันเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบขณะกำลังบินเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
การ์กอยล์ไม่ใช่อสูรมิติมืดที่ทรงพลังมากมายอะไรนัก เรียกได้ว่าพลังการต่อสู้ของพวกมันด้อยกว่าสัตว์วิเศษบินได้แทบทุกชนิดของตระกูลเมนโล
แต่อย่างไรก็ตาม ในครานี้ พวกมันก็มากันเป็นฝูง…
เพราะการ์กอยล์ไม่เคยปรากฏขึ้นเพียงครั้งละหนึ่งถึงสองตัว และในเมื่อพลังจิตของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หานซั่วจึงสามารถอัญเชิญการ์กอยล์ได้มากกว่า 4,000 ตัวภายในคราเดียว และทำให้พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับก้อนเมฆดำทะมึน
สิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ย่อมน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเพียงยุง หรือมดแมลงอื่น ๆ หากพวกมันยกพลมาเป็นฝูง ก็ย่อมถือเป็นฝันร้ายต่อสัตว์ที่แม้จะแข็งแรงกว่า สำหรับการ์กอยล์ที่มีพลังต่อสู้ที่จัดว่าไม่ธรรมดา เมื่อพวกมันรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ จึงยิ่งทำให้พวกมันน่ากลัวมากขึ้นไปอีก และในขณะที่การ์กอยล์ปิดล้อมพื้นที่จนครบทุกตารางแล้ว เหล่ายอดฝีมือกลุ่มแรกที่คิดว่าการลอบโจมตีของตนจะไม่ทำให้อีกฝ่ายไหวตัว ต่างก็นิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“นักเวทย์ธาตุแสง! จัดการไอ้พวกสัตว์โสโครกให้ข้าที!”
ฟลอริด้าผวาไปเพียงไม่กี่วินาที ก่อนจะเป็นคนแรกที่กู่ร้องขึ้นมาเมื่อฝูงการ์กอยล์กำลังบินเข้ามาใกล้
เมื่อสิ้นเสียงตะโกน ฟลอริด้าก็เรียกคทาเวทมนตร์ของตนออกมาและเริ่มร่ายเวทย์ด้วยเช่นกัน ก่อนจะส่งพลังวงแหวนที่อัดแน่นไปด้วยธาตุแสงซัดเข้าใส่ฝูงการ์กอยล์ และวงแหวนนั้นก็ทำให้การ์กอยล์กว่า 30 ตัวสลายร่างกลายเป็นเถ้าธุลี
ในกลุ่มยอดฝีมือนี้มีนักเวทย์ธาตุแสงคนอื่น ๆ อีก 7 คน พวกเขาต่างไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนจึงรีบปลดปล่อยเวทมนตร์ธาตุแสงที่ตนเองเชี่ยวชาญออกมาทันทีที่เห็นฟลอริด้าเปิดการโจมตี และทุกครั้งที่เวทมนตร์ธาตุแสงถาโถมเข้าใส่ ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับฝูงการ์กอยล์มากมายทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ฟลอริด้าที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงจอมเวทย์ธาตุแสง ในขณะที่คนอื่น ๆ ก็มีตั้งแต่นักเวทย์ระดับสูง ไปจนถึงนักเวทย์ฝึกหัด และยังมีข้อจำกัดของพลังจิต ทำให้พวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์สร้างความเสียหายให้กับการ์กอยล์ได้เพียง 200 ตัว ซึ่งแทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อจำนวนในฝูงทั้งหมดที่มีถึง 4,000 ตัวเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าพวกโง่! อสูรมิติมืดกลัวเวทมนตร์ธาตุแสงก็จริง แต่เวทมนตร์ธาตุอื่น ๆ ก็ใช้ได้เหมือนกัน! จะมัวอึ้งอยู่ทำไม รีบโจมตีเข้าสิ!”
เมื่อ อดัม เมนโล เห็นว่านักเวทย์คนอื่น ๆ เอาแต่มองดูนักเวทย์ธาตุแสงโจมตี เขาก็ดุด่าพวกนั้นด้วยความโมโห
เมื่อโดน อดัม เมนโล ตวาด คนเหล่านั้นก็สะดุ้งเฮือกทันที และนักเวทย์แต่ละธาตุก็เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งเวทย์คมวายุ เวทย์สายฟ้าและอสรพิษอัคคีต่างพวยพุ่งเข้าใส่ฝูงการ์กอยล์จากทุกทิศทาง และคร่าชีวิตการ์กอยล์ไปเกือบ 500 ตัวในคราเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม ในชั่วขณะนั้นเอง เหล่าการ์กอยล์ก็บินเข้ามาใกล้ ก่อนจะกระจายตัวกันออกไปกัดและรุมขย้ำนักเวทย์เหล่านั้นโดยเฉพาะ แม้แต่สัตว์วิเศษที่พวกเขาขี่อยู่ก็พยายามต่อสู้กับฝูงการ์กอยล์อย่างเอาเป็นเอาตาย
ทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏรัศมีแสงสวยงามบางอย่างบนท้องฟ้า เมื่อมีเงาดำทะมึนบินฉวัดเฉวียนไปมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของคนที่กำลังตกจากที่สูง พวกเขาถูกฉีกร่างจนขาด และแม้แต่กระดูกก็ถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด
“หึหึหึ… ข้ากลับมาแล้ว มาดูกันซิว่ารอบนี้พวกเจ้าจะจัดการกับข้ายังไง!”
มังกรดำกิลเบิร์ตร้องตะโกนขึ้นด้วยความหยิ่งผยอง ร่างกายมหึมาของเขาสยายปีกจนสุด
ที่ด้านข้างของมังกรดำกิลเบิร์ต ไฮดร้าลาเนียที่มีหัวมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับปลาหมึกขนาดยักษ์ เธอและมังกรดำกิลเบิร์ตต่างพุ่งเข้าใส่เหล่ายอดฝีมือที่กำลังถูกฝูงการ์กอยล์จู่โจม
“ฟลอริด้า เราเจอกันอีกแล้วสินะ!”
เสียงของหานซั่วดังก้องขึ้นทันที หลังจากที่อัญเชิญการ์กอยล์อีกฝูงหนึ่งขึ้นมา ตัวเขาเองก็ค่อย ๆ ก้าวเดินอยู่กลางอากาศ และตรงมาหาฟลอริด้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านหลังของหานซั่ว การ์กอยล์จำนวนมากกำลังส่งเสียงหวีดร้องและกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ปรากฏร่างของอสูรมิติมืดบินได้ขนาดมหึมาอีกตัวหนึ่ง มันกำลังบินเข้ามาใกล้ท่ามกลางการ์กอยล์ฝูงนั้น เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กผู้น่าเกรงขามกำลังชูหอกยาว 3 เมตรของมันขึ้นสูง ขณะขี่อยู่บนหลังของอสูรกระดูกและตามหลังหานซั่วมาติด ๆ
***********************