Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 403.1
ในขณะที่ยาบำรุงชีวิตช่วยให้ทรังคส์ก้าวไปสู่พลังในระดับปรมาจารย์จอมดาบ มันก็ยังช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย เส้นชีพจรของเขามีความแข็งแรงมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป คงเป็นเพราะเหตุนี้ หานซั่วจึงสามารถใช้พลังของเวทย์ปีศาจช่วยเขาฟื้นฟูร่างกายหลังจากที่กลับมาถึงฐานที่มั่นของกองกำลังทหารรับจ้างพิฆาตวิญญาณเรียบร้อยแล้ว
ตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อหานซั่วพาทรังคส์ที่บาดเจ็บสาหัสกลับไปยังฐานที่มั่นของกองกำลังฯ เหล่าทหารรับจ้างทุกคนต่างก็เดือดดาลและอยากจะสู้กับกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ให้ตายไปข้าง เมื่อพวกเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทหารรับจ้างบางคนถึงกับพุ่งตัวออกไปทันทีอย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็ถูกกิลเบิร์ตรั้งตัวเอาไว้ตามคำสั่งของหานซั่ว
กิลเบิร์ตถือว่ามีตำแหน่งที่สำคัญภายในกองกำลังฯ มากทีเดียว แม้ว่าพวกเขาจะถูกกิลเบิร์ตห้ามไว้อย่างไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะขัดขืนอำนาจของกิลเบิร์ตไปมากกว่านั้น
และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน เพราะในหมู่ทหารรับจ้างนั้นให้ความสำคัญและเทิดทูนบูชากันที่พละกำลังความแข็งแกร่งเป็นหลัก คนที่มีหมัดหนักที่สุดจะยิ่งได้รับการยกย่อง ภายในกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ แม้แต่ความแข็งแกร่งของทรังคส์ก็ยังเป็นรองมังกรดำกิลเบิร์ต และในเมื่อกิลเบิร์ตอยู่ในกองกำลังฯ มาเป็นเวลานาน เหล่าทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงกลัวและการรับมือได้ยากของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างคำสั่งของทรังคส์หรือของกิลเบิร์ต
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ขณะที่กิลเบิร์ตกำลังห้ามปรามพวกทหารรับจ้างที่กำลังโกรธเกรี้ยว หานซั่วก็มุ่งหน้าไปยังที่พักด้านในอย่างไม่ลังเลใจ เขาออกคำสั่งกิลเบิร์ตโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามอง
“ใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุดทรมานคนพวกนั้นให้ข้า แต่ไม่ว่ายังไง ก็อย่าเพิ่งให้พวกมันตายไปเสียก่อน เมื่อทรังคส์ฟื้นตัวดีแล้ว ทรังคส์จะจัดการกับพวกนั้นด้วยตัวของเขาเอง”
เมื่อพูดจบ หานซั่วก็พาทรังคส์เข้าไปยังห้องด้านใน ทิ้งเอซาและคนที่เหลือซึ่งถูกหอกกระดูกเสียบขาไว้ข้างหลัง
ขณะที่แกรนท์และคนอื่น ๆ จ้องมองเอซาและพวกที่ถูกตัดเส้นเอ็นจนขาด และถูกหักกระดูกตั้งแต่หัวจรดเท้า พวกเขาก็คุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชังที่อยู่ภายในใจ เมื่อหานซั่วจากไป พวกเขาตามกิลเบิร์ตไปและแต่ละคนก็เลือกเหยื่อของตนเอง ก่อนจะพาพวกนั้นไปยังคุกที่ทั้งมืดและชื้นแฉะ ซึ่งมีอุปกรณ์การทรมานมากมายอยู่ในนั้น!
หานซั่วนำทรังคส์เข้าไปยังห้องที่ทำด้วยหินเปล่งประกาย เขานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังทรังคส์ และวางฝ่ามือบนแผ่นหลัง ค่อย ๆ ส่งผ่านพลังแก่นมนตราของเวทย์ปีศาจเข้าไปยังร่างกายของทรังคส์ มันค่อย ๆ ซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะเหตุนี้ พลังแก่นมนตราของเวทย์ของปีศาจจึงมีความลึกลับมากกว่าออร่าต่อสู้ที่เป็นเพียงพลังแห่งการสังหาร มันสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าด้วยการฝึกฝนอันหนักหน่วง และการรักษาหรือฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก็เป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ที่ว่านั้น
สภาพร่างกายของทรังคส์ในตอนนี้ คือเส้นเอ็นทั่วทั้งแขนขาของเขาล้วนฉีกขาด อย่างไรก็ตาม ออร่าต่อสู้ของทรังคส์ยังคงอยู่ และเมื่อเส้นเอ็นของเขาได้รับการรักษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันก็จะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อความแข็งแกร่งของเขา เพราะสำหรับนักดาบแล้ว การที่มีเส้นเอ็นฉีกขาด แทบจะบ่งบอกได้ว่าคนผู้นั้นได้กลายเป็นคนพิการไปในทันที ไม่ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เอซาและคนอื่น ๆ ทำกับเขานั้นหนักหนาสาหัสมากจริง ๆ
ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือนักเล่นแร่แปรธาตุภายในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ ความสามารถในการรักษาร่างกายและเส้นชีพจรของพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบเท่าหานซั่วได้ ดังนั้น จึงถือได้ว่าหานซั่วคือผู้ครอบครองวิธีแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้สำหรับคนส่วนใหญ่ และร่างกายของทรังคส์ซึ่งถูกเสริมสร้างโดยยาบำรุงชีวิต ก็ง่ายต่อการชำระล้างสิ่งผิดปกติด้วยการโคจรแก่นมนตราของหานซั่ว
ในขณะที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ แก่นมนตราก็หลั่งไหลราวกับสายน้ำที่แสนอ่อนโยนและห่อหุ้มบรรดาเส้นชีพจรที่เสียหายเอาไว้ พลังของหานซั่วโลดแล่นเข้าไปภายในร่ายกายของทรังคส์ ทั้งผสานเส้นชีพจรที่เสียหาย และกระตุ้นพลังงานจากยาบำรุงชีวิตให้หลั่งไหลมายังเส้นชีพจรเหล่านั้น
ร่างกายของทรังคส์แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่ก็ยังห่างไกลกับความแข็งแกร่งของหานซั่วมากเช่นกัน ดังนั้น ขณะที่หานซั่วรักษาอาการบาดเจ็บของทรังคส์ เขาจึงไม่ได้ใช้แก่นมนตราในปริมาณที่มากนัก เขาเพียงต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพของเส้นชีพจร เพื่อที่จะได้เยียวยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม
ขณะที่เวลาผ่านเลยไปอย่างเงียบ ๆ หานซั่วซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังทรังคส์ก็ไม่ได้ใส่ใจกับอาการที่ดีขึ้นตามลำดับของทรังคส์มากนัก เพราะเส้นชีพจรต่าง ๆ เพียงต้องการการฟื้นฟูอย่างช้า ๆ จากแก่นมนตราของหานซั่ว ดังนั้น หานซั่วจึงสามารถใช้แก่นมนตราไปใช้ในเรื่องอื่นได้ด้วยเช่นกัน
การหายตัวไปของทรังคส์และบรรดายอดฝีมือจากกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ถูกพบโดยกลุ่มคนผลัดต่อไปที่เข้าไปในถ้ำ ทำให้กลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ต่างโกลาหลวุ่นวาย และไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งลอเรตัน ฟลอริด้า และ อดัม เมนโล ต่างร่วมมือกันสืบสวนเรื่องนี้ด้วยความกระวนกระวายใจ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะคาดเดาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าถ้ำที่ถูกซ่อนเร้นไว้อย่างดีเยี่ยมนั้นถูกค้นพบได้อย่างไร ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามีสายลับอยู่ในกลุ่มของพวกเขา และคิดว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการในเรื่องนี้
กลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 เข้าใจว่าทรังคส์ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย และกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน กลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ที่เคยไม่สนคุณธรรมใด ๆ ยกเว้นผลประโยชน์ส่วนตน ต่างก็ตระหนักดีว่าไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว ลอเรตันและกลุ่มอิทธิพลที่เหลือ จึงตัดสินใจจะร่วมมือกันเพื่อจู่โจมกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณในทันที
ในเมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากการที่พวกเขาต้องการทำลายกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณโดยที่ไม่ต้องเผชิญกับความสูญเสียใด ๆ ด้วยแผนการจับตัวทรังคส์เอาไว้นั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า แม้ว่ากลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 จะเคยต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนาน พวกเขาต่างรู้ดีว่าในครั้งนี้จะต้องเผชิญความสูญเสียที่เลี่ยงไม่ได้ พวกเขาจึงไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องพวกนั้นได้อีกต่อไป
ด้วยคำสั่งของพวกเขา ทั้งกองกำลังฯ ไคโร กองกำลังฯ เคียวรุ้ง ตระกูลเมนโล รวมทั้งกองกำลังฯ ขนาดเล็กอีก 5-6 กองซึ่งรวมพลังกันด้วยผลประโยชน์ ก็สามารถรวมกำลังคนได้มากกว่า 6,000 คน และกำลังมุ่งหน้าไปยังกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณด้วยความอาจหาญ
พวกเขาเดินทางจนไปหยุดทัพที่อาณาเขตฐานที่มั่นของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ แล้วบรรดาผู้นำก็มารวมตัวกัน และเริ่มถกเถียงกันว่าจะโจมตีกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณอย่างไรดี
ภูมิประเทศของฐานที่มั่นกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณนั้นมีความพิเศษมากทีเดียว มันตั้งอยู่บนที่ราบที่ยื่นออกมาจากใต้หน้าผา ราวกับก้อนหินขนาดยักษ์ที่วางตัวอยู่ตรงจุดแบ่งครึ่งของภูเขา ที่ตั้งแห่งนี้ เมื่อมองจากพื้นที่ด้านล่างจะเห็นเป็นเพียงพื้นที่ราบสีขาวที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกหนา และมีเพียงเส้นทางเดียวที่จะขึ้นมายังหน้าผาด้านบนนั้นได้
แต่อย่างไรก็ตาม หากมีคนพยายามจะขึ้นมาด้านบน คนของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณก็จะรู้ได้ทันที และการถูกโจมตีจากด้านบนนั้นถือเป็นเรื่องที่หนักหนามากทีเดียว เป็นไปได้ว่าความสูญเสียของกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 อาจจะมากมายเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้เสียอีก
ตามที่ภาษิตกล่าวไว้ การขึ้นภูเขาเป็นเรื่องง่าย แต่การกลับลงมานั้นยากยิ่งกว่า และคำกล่าวนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะอธิบายการต่อสู้ในลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ ในเมื่อการปิดล้อมตำแหน่งที่ตั้งที่ว่ายากแล้ว การปีนหน้าผาขึ้นไปก็เป็นเรื่องลำบากแสนสาหัสเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม การปีนกำแพงเมืองขึ้นมา แม้ว่าจะต้องเสียเปรียบอย่างมากเมื่อต้องเจอกับการโจมตีจากด้านบน แต่ก็ยังพอเป็นไปได้ที่จะเงยหน้าสู้ฟ้าและใช้อาวุธปัดป้องการโจมตีที่กำลังโถมเข้ามา เช่นนั้นแล้ว ภูมิประเทศเช่นนี้ เมื่อลงจากหน้าผาก็จะเป็นการยากที่จะรับมือกับการโจมตีจากด้านล่าง และอาจเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างด้วยเช่นกัน
อย่างแรก เป็นเพราะหมอกหนา อย่างที่สอง พวกเขาจำต้องระมัดระวังมากกว่าปกติระหว่างที่ปีนลงไป เพราะการลื่นไถลอาจทำให้พวกเขาตกลงไปตายได้ สำหรับทรังคส์ที่สามารถหาสถานที่แห่งนี้พบและใช้เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างมาก แม้สถานที่แห่งนี้ยากที่จะโจมตี หรือบุกเข้ามา แต่พวกเขาก็จำต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงเกินคาดทีเดียว
ในขณะนี้ แม้ว่าลอเรตันและคนอื่น ๆ จะจับเป็นทรังคส์ได้ พวกเขาก็ไม่กล้าจะบุ่มบ่ามโจมตีกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณอยู่ดี อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทรังคส์ถูกช่วยเหลือไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญกับภูมิประเทศที่พิเศษเช่นนี้ แม้ว่าวิธีการเข้าไปนั้นจะทำให้พวกเขาต้องถกเถียงกันเป็นเวลานานก็ตาม
ทั้งสามคนเป็นคนฉลาด และเข้าใจว่ากองกำลังที่นำหน้าบุกไปก่อนเป็นพวกแรกจะต้องพบกับความสูญเสียมากที่สุดอย่างแน่นอน จึงไม่มีใครอยากเป็นกลุ่มแรกเลยสักคน อย่างไรก็ตาม คนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่มีกลุ่มอิทธิพลใดเต็มใจที่จะอาสาเป็นผู้นำการโจมตีที่เทียบได้กับการส่งตัวเองไปตายแบบนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องจู่โจมเต็มที การเจรจาจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย
ขณะที่พวกเขาถกเถียงกัน ต่างก็ไม่มีใครอยากส่งให้คนของตัวเองนำหน้าไปก่อน เมื่อพวกเขานึกถึงกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณที่ไม่ได้มีฝีมือด้อยไปกว่าพวกเขา และที่นี่เป็นภูมิประเทศที่ง่ายสำหรับฝ่ายที่ยืนหยัดป้องกัน ลอเรตันจึงปวดหัวเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
“ถ้าอย่างนั้น เราลองเฝ้าสังเกตุการณ์ที่หน้าผานี่ดูก่อน พวกมันไม่มีทางอยู่บนนั้นได้ตลอดไปหรอก ทั้งอาหารและน้ำจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน พอพวกมันลงมาจากฐานแล้ว เราก็ค่อยฆ่าพวกมันง่าย ๆ ด้วยพลังความแข็งแกร่งของพวกเรา เพราะถ้าขืนบุกขึ้นไป เราคงต้องเจอกับการโจมตีที่หนักหนาเอาการ แต่ไม่ว่ายังไง ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกมันเหมือนกันที่จะเป็นฝ่ายลงมาเอง เราน่าจะขังพวกมันให้แห้งตายกันไปเองได้โดยปิดกั้นทางออกเอาไว้แบบนี้นะ”
ฟลอริด้ามีท่าทีเคร่งขรึมขณะเสนอแผนการร้ายนี้ออกมา
ทุกคนรู้ว่าแผนนี้เข้าท่ามากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะก่อให้เกิดสงครามล้างผลาญที่แสนยาวนานโดยไม่รู้วันสิ้นสุด ใครจะรู้ว่ากองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณจะมีสเบียงเก็บไว้มากเพียงใด และหากพวกเขามัวแต่เสียเวลาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่ฐานที่ตั้งของพวกเขาหรือเปล่า
“พวกเจ้าทุกคนก็รู้ดีว่าไอ้เจ้ากิลเบิร์ตอะไรนั่นเป็นมังกรดำ ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังฯพิฆาตวิญญาณยังมีนักเวทย์อีกหลายคนที่สามารถใช้เวทย์เหินหาวได้ ถ้าพวกมันบินออกไปและเอาแหวนมิติขนเสบียงกลับมาล่ะก็ เราไม่รู้เลยว่าต้องเสียเวลาอีกนานแค่ไหน ข้าไม่คิดว่าแผนนี้จะเข้าท่านักหรอกนะ”
อดัม เมนโล ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสนอความคิดของเขาออกมา
“งั้นท่านคิดว่าพวกเราควรทำยังไงล่ะ?”
เมื่อฟลอริด้าเห็นว่าความคิดของเขาถูกคัดค้าน หน้าตาของเขาก็บิดเบี้ยวทันทีขณะเอ่ยปากถาม อดัม เมนโล
อดัม เมนโล นิ่งเงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังตัดสินใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองลอเรตัน และฟลอริด้า
“ตระกูลของเรายังพอมีสัตว์วิเศษบินได้ที่เลี้ยงจนเชื่องแล้วอยู่บ้าง ถ้าเอาพวกมันมา ก็พอจะขนคนขึ้นไปได้ราว 300 คนต่อรอบ ถ้า 300 คนนี้คัดแต่ยอดฝีมือจากกลุ่มของพวกเราทั้งหมด และให้พวกเขาใช้เวทย์โจมตีขนานใหญ่เพื่อจู่โจมทันทีที่ไปถึง พวกเขาน่าจะพอตรึงกำลังไว้ได้สักระยะ หลังจากนั้น พวกสัตว์วิเศษบินได้ก็จะพาคนของเราขึ้นไปส่งอีกระลอก ถ้าใช้วิธีนี้ล่ะก็ ข้าคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องค่อย ๆ บุกฝ่าไปอย่างช้า ๆ แล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างรู้สึกดีใจ ฟลอริด้ายิ้มอย่างตื่นเต้นและพูดขึ้น
“ตาแก่ ท่านนี่มีทางออกที่ดีจริง ๆ ทำไมถึงไม่รีบบอกตั้งแต่แรกล่ะ?”
อดัม เมนโล มีท่าทีเคร่งขรึม ขณะที่ดวงตาของเขากลอกไปมาขณะใช้ความคิด …ก็สัตว์วิเศษพวกนั้นคือพวกที่ปกป้องฐานของข้า และข้าต้องใช้พวกมันเพื่อจัดการกับพวกเจ้าทั้งหมดในตอนท้ายต่างหาก ถ้าไม่ใช้ประโยชน์สำหรับพวกเราเองจะไปมีความหมายอะไร แล้วจะเอาพวกมันออกมาพร่ำเพรื่อไปทำไมกัน…? แน่นอน อดัม เมนโล ไม่ได้พูดความคิดเหล่านี้ออกมาดัง ๆ เพียงแค่แสดงท่าทีสงบและนิ่งเงียบกลบเกลื่อนเอาไว้
“เอาล่ะ ด้วยวิธีนี้ ทุกปัญหาก็แก้ไขได้หมดแล้ว ถ้าพวกเราสามารถทำลายล้างกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณได้ ส่วนแบ่งของตระกูลเมนโลจะให้มากที่สุดก็แล้วกัน มาเถอะ… เรามาหารือกันต่อดีกว่าว่าจะส่งยอดฝีมือจากแต่ละกลุ่มอิทธิพลไปกี่คน”
ลอเรตันหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ขณะพูดเสียงดังกับผู้นำของกลุ่มอิทธิพลอื่น ๆ
หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ หานซั่วที่พาทรังคส์เข้าไปยังที่พักด้านในภูเขาก็ออกมาจากถ้ำในที่สุด ทั้งกิลเบิร์ต แกรนท์ และคนที่เหลือต่างรีบวิ่งกรูเข้ามารอฟังข่าว เมื่อแกรนท์เห็นหานซั่ว เขาก็รีบร้องถาม
“นายท่าน ทรังคส์เป็นยังไงบ้าง?”
“อย่าห่วงเลย ถ้าได้พักสักเดือน ทรังคส์ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ”
หานซั่วปลอบใจกิลเบิร์ต แต่สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันทีหลังจากนั้น
“ตอนนี้กองกำลังของกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 และกลุ่มขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง เดินทัพเข้ามารออยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว พวกมันกำลังถกเถียงหาทางจัดการกับพวกเราอยู่ กำลังคนของพวกมันมีประมาณ 6,000 คน พวกเราต้องคอยตั้งรับกันดี ๆ แล้วล่ะ”
“เรามีกำลังคน 1,700 คน แต่ด้วยภูมิประเทศที่ได้เปรียบแล้ว พวกมันก็ลืมเรื่องที่จะโจมตีเราง่าย ๆ ไปได้เลย เหอะ… ผู้นำของเราถูกพวกมันทรมานจนมีสภาพแบบนี้ เราต้องทำให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม ใครที่มันกล้าหน้าด้านบุกเข้ามาจะต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเรา!”
ทรังคส์และแกรนท์เป็นเพื่อนกันมานานหลายปี และยังเคยร่วมงานกันที่กองกำลังฯ เคียวรุ้ง เขาจึงไม่สามารถสะกดกลั้นความโกรธของตัวเองไว้ได้และตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
หานซั่วเข้าใจความโกรธเกรี้ยวของแกรนท์เป็นอย่างดี อย่งไรก็ตาม เขาก็เล่าต่อถึงสิ่งที่ได้ยินมา
“ตระกูลเมนโลจะส่งสัตว์วิเศษบินได้มาช่วย สัตว์วิเศษพวกนี้จะขนคน 300 คนมาได้ในแต่ละครั้ง ถ้ามีนักเวทย์สัก 10 คนในกลุ่มคน 300 นั้น จะมีเวทย์สังหารขนาดใหญ่มากมาย และคงทำให้พวกเราลำบากกันไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้วระหว่างนั้น พวกสัตว์วิเศษบินได้ก็จะกลับไปขนมาอีก 300 คนเป็นระลอกที่สอง ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ก็ลืมเรื่องความได้เปรียบของสถานที่ไปได้เลย เพราะงั้นเราจะไม่มีวันลดระดับการป้องกันลง และจะต้องมีการเตรียมการอย่างเหมาะสม ไม่งั้นพวกเราคงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้แน่ ๆ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานซั่วพูด แกรนท์ก็ตกใจมาก แต่ก็สงบสติอารมณ์ในทันที เขารู้ว่าหากเป็นจริงอย่างที่หานซั่วพูด คนจำนวน 1,700 คนของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของคนถึง 6,000 คนได้อย่างแน่นอน
“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี?”
แกรนท์สงสัย
นายท่าน ลาเนียกับข้าสามารถคืนร่างเดิมและจัดการกับพวกมันจากบนฟ้าได้นะ”
มังกรดำกิลเบิร์ตตะโกนขึ้นมาอย่างชั่วร้าย พร้อมที่จะทำการสังหารหมู่คนเหล่านั้น
“ถ้ามีแค่นักดาบธรรมดา ๆ สัก 300 คน ลาเนียกับเจ้าที่คืนร่างเดิมก็คงจะพอ แต่ยังไงซะ พวกมันมีนักเวทย์อยู่ในกลุ่ม 300 คนนั้นด้วย พวกเจ้าทั้ง 2 คนไม่สามารถต้านทานการโจมตีของยอดฝีมือมากมายขนาดนั้นได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของพวกมันคือการขึ้นมาถึงที่นี่ แล้วเจ้ากับลาเนียจะป้องกันพวกมันได้สักกี่คน? ถึงนี่จะเป็นความคิดที่ดี แต่มันก็ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดไม่ได้หรอก”
หานซั่วจ้องมองมังกรดำผู้เกรี้ยวกราดที่สงบลงด้วยข้อเท็จจริงนี้
“ถ้างั้นพวกเราต้องทำยังไงล่ะคะ?”
คราวนี้เป็นไฮดร้าลาเนียที่เอ่ยปากถาม ทั้งลาเนียผู้แสนยั่วยวนและกิลเบิร์ตผู้หื่นกระหายช่างเป็นคู่แท้ที่สวรรค์สร้างมาจริง ๆ เมื่อสองเผ่าพันธุ์ผู้คลั่งไคล้กามารมณ์มาอยู่เคียงข้างกัน ความรู้สึกปั่นป่วนบางอย่างที่แผ่ออกมาจากคนทั้งคู่ก็ยังทำให้หานซั่วต้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“นั่นสิ นายท่าน ท่านคิดว่าเราต้องทำยังไง?”
กิลเบิร์ตมีท่าทีสงสัยขณะถามหานซั่วอย่างขมขื่น
“เราจะทำตามที่เจ้าเสนอมา เจ้ากับลาเนียคอยจัดการพวกมันบนฟ้า แล้วข้าก็จะอัญเชิญฝูงการ์กอยล์ออกมาช่วยเจ้า เมื่อพวกมันใกล้จะลงมาถึง เหล่านักธนูด้านล่างจะยิงขึ้นไปทันที ตราบใดที่ยอดฝีมือกลุ่มแรกที่บุกเข้ามาถูกฆ่าตายจนหมด แค่นั้นก็ยากสำหรับพวกมันที่จะหวังชัยชนะในศึกครั้งนี้แล้วล่ะ”
หานซั่วตอบกิลเบิร์ตและพ่นลมอย่างดูถูก
**********************