Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 402
ทันใดนั้นเอง เอซาก็เดินถอยกลับเข้ามาทีละก้าว เมื่อเสียงฝีเท้า “อีกเสียงหนึ่ง” ดังก้องสะท้อนไปทั้งถ้ำ
ตึง…. ตึง…. ตึง….
อสูรมิติมืดตนหนึ่ง ร่างของมันมีความสูงกว่า 2.5 เมตร ลำตัวประกอบไปด้วยกระดูกสีขาวโพลนที่โบกไปมาอย่างไร้ระเบียบเมื่อก้าวเดิน และมันกำลังย่างกรายเข้ามาในถ้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ
อสูรตนนี้ก่อร่างขึ้นมาจากกระดูกที่แหลมคมราวกับหอก พวกมันกระจายตัวแผ่ออกไปราวกับกลีบดอกไม้ที่เบ่งบาน และกีดขวางเต็มทางเดินที่แสนคับแคบอย่างสมบูรณ์ ทุกย่างก้าว ออร่าแห่งความตายที่อบอวลหนาแน่นปะทะเข้ากับทุกประสาทสัมผัสของพวกเขา และย้ำเตือนทุกคนว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มาจากโลกนี้
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ในฐานะอสูรมิติมืดระดับสูง อสูรกระดูกจำต้องแบกรับข้อจำกัดของพันธสัญญาเมื่อถูกอัญเชิญเข้ามายังโลกนี้ สิ่งที่มันนำพามาจากมิติมืด มีทั้งออร่าแห่งความตาย ความเปลี่ยวร้างว่างเปล่า และความเกลียดชังต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดของโลกนี้ และด้วยเหตุผลที่มันเป็นอสูรเปี่ยมสติปัญญา มันจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
เมื่อมันเดินมาถึงปากทางเข้า พลังของพันธสัญญาก็สั่งให้มันหยุด สัญชาตญาณที่ต้องการจะฆ่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องหน้าถูกบังคับให้ต้องหยุดด้วยเช่นกัน เพราะตอนแรกที่มันมาถึง มันก็ได้พยายามต่อสู้ดิ้นรนต่อพันธสัญญาของผู้ร่ายเวทย์อัญเชิญอย่างดุเดือด และสุดท้ายก็รู้ว่าผู้อัญเชิญสามารถทำลายความแข็งแกร่งของมันได้ ดังนั้น มันจึงยอมจำนนแต่โดยดี
เมื่อทุกคนที่อยู่ในถ้ำมองไปทางเอซา พวกเขาก็เห็นอสูรกระดูกร่างมหึมาได้ปิดกั้นทางออกไว้แล้วทั้งหมด และด้านหลังหอกที่กวัดแกว่งของอสูรกระดูก ก็ยังมีเสียงดังสะท้อนของฝีเท้าหนัก ๆ อีกจำนวนมาก ทำให้หัวใจที่ตื่นตระหนกของพวกเขาต้องเต้นรัวเร็วราวกับกลอง
เพียงแค่ชั่วอึดใจ ก็ปรากฏดวงไฟวิญญาณจำนวนหนึ่งลอยตัวอยู่ด้านหลังอสูรกระดูก ราวกับโคมไฟดวงเล็ก ๆ ที่ลอยเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้า เมื่อดวงไฟวิญญาณลอยมาถึงตัวอสูรกระดูก ทุกคนก็สามารถมองเห็นเงาของอัศวินร่างยักษ์จำนวนหนึ่งภายใต้แสงของลูกไฟนั้น แสดงให้เห็นว่าพวกมันขวางทางออกเอาไว้หมดแล้ว
ณ จุดนั้น ทุกคนที่อยู่ในถ้ำก็รู้ทันทีว่าทางออกเพียงทางเดียวถูกปิดตาย หากพวกเขาต้องการจะออกไป หนทางเดียวคือจัดการกับอสูรกระดูกและอัศวินปีศาจให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ใครจะล่วงรู้ได้ว่า ยังมีอสูรมิติมืดอยู่อีกนับไม่ถ้วน นอกเหนือจากอสูรกระดูกและอัศวินปีศาจอยู่อีกหรือไม่?
ภายในถ้ำเล็ก ๆ ที่คับแคบ หากมีอสูรมิติมืดจำนวนมาก แต่พวกเขากลับไม่มีนักเวทย์ธาตุแสงอยู่เลยสักคนเดียว ก็เป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ ในหัวของพวกเขากำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อค่อนข้างแน่ใจว่าอสูรมิติมืดเหล่านั้นยังไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาในถ้ำมากไปกว่านั้น หัวใจที่ตื่นตระหนกของพวกเขาก็สงบลงเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองหานซั่วอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง หานซั่วตัดโซ่ออกจากตัวทรังคส์จนหมดแล้ว และได้ทายาหลากหลายชนิดลงบนร่างกายของเขา แม้กระทั่งบาดแผลที่กำลังเน่าก็ถูกทำความสะอาดจนหมด ระหว่างนั้น ใบหน้าของหานซั่วเคร่งขรึมและดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
“เคานต์ไบรอัน นี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของท่าน และการช่วยเหลือทรังคส์ ก็เท่ากับท่านกลายเป็นศัตรูของกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ในหุบเขาแสงตะวันแห่งนี้ ท่านควรจะพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี ๆ นะ!”
ทรัลลาพูดตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสามารถรวบรวมความกล้าและพูดกับหานซั่วท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องอยู่
หานซั่วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และไม่แม้กระทั่งหันไปมองหน้าเขา!
ขณะที่เขาวางมือขวาทาบลงบนหลังของทรังคส์ แสงสีดำก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของเขา แล้วทรังคส์ที่หมดสติไปก็สัมผัสได้ว่าพลังชีวิตที่เหือดแห้งของเขากลับฟื้นฟูขึ้นทีละน้อย
ทรังคส์ค่อย ๆ รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา และด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูกดำ เขาก็รีบตะโกนออกมาด้วยสภาพร่างกายอันอ่อนแอ
“เอซา ข้าจะฆ่าเจ้า! ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
จอมเวทย์สายฟ้าเอซาได้ยินเสียงตะโกนอันอ่อนแรงของทรังคส์อย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกระดาษในทันที นิ้วมือของเขากุมคทาเวทมนตร์เอาไว้แน่น สายตาของเขาสอดส่ายไปมาและจ้องมองไปทางด้านหลัง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นดวงตาที่ลุกโชนของอสูรกระดูกและบรรดาอัศวินปีศาจผู้ขี่ม้าศึกที่หายใจเป็นไฟ เขารีบหันหน้ากลับมาในทันที
หลังจากพยายามร้องตะโกนด้วยเสียงอันแผ่วเบา ทรังคส์ก็ค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมา พละกำลังและพลังชีวิตก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย เขาลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของหานซั่ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นใบน่าอันน่าสะพรึงกลัวของหานซั่ว ทรังคส์ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ริมฝีปากที่แห้งผากของเขาขยับอย่างช้า ๆ
“ไบรอัน… เจ้ามาแล้วเหรอ?”
หานซั่วพยักหน้า และถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ข้ามาช้าไปหน่อย เจ้าเลยต้องบาดเจ็บหนักขนาดนี้”
“ข้ายังไม่ตายซะหน่อย ไม่ถือว่าช้านักหรอก ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าก็ยังมีความหวังที่จะได้แก้แค้น แม้จะถูกตัดแขนขา อย่างน้อยข้าก็ยังมีฟัน และข้าก็จะขย้ำไอ้พวกสัตว์นรกนี่ให้ตายให้หมด!”
เสียงของทรังคส์ไม่ได้ดังมากนัก แต่ความประสงค์ร้ายที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกชัน
อีกฟากหนึ่ง เอซารู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ สายตาของเขาสอดส่ายไปรอบ ๆ และมองไปยังทรัลลา ในขณะที่ทรัลลากำลังปรึกษากับคนของกองกำลังฯ ไคโรอย่างเงียบ ๆ ช่องว่างระหว่างคนของกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 นั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้กันอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าพวกเขาตระหนักแก่ใจแล้วว่าควรทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการที่มีศัตรูคนเดียวกัน
หานซั่วยังคงไม่สนใจการกระทำของพวกเขาเช่นเคย เขามีเพียงสายตาที่จ้องมองทรังคส์อยู่เท่านั้น หลังจากที่ทรังคส์พูดจบ หานซั่วจึงพูดขึ้น
“อย่าห่วงเลย เจ้ากินยาบำรุงชีวิตเข้าไปแล้ว ต่อให้เจ้าถูกเฉือนเส้นเอ็นจนขาด ข้าก็สามารถรักษาเจ้าจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อยู่ดี”
“กิลเบิร์ต มาตรงนี้ แล้วช่วยดูแลทรังคส์ให้หน่อย!”
หานซั่วตะโกนไปทางด้านหลังของทรังคส์ เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นจากใต้ดินครู่หนึ่ง ไม่นานนัก มังกรดำกิลเบิร์ตก็โผล่ขึ้นมา
เมื่อปีศาจอาคมพบทรังคส์ที่กำลังถูกทรมานด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อน หานซั่วก็รีบสั่งให้กิลเบิร์ตเข้ามาทางใต้ดินให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ขณะเดียวกัน เขาอัญเชิญเหล่าอสูรมิติมืดออกมาเพื่อปิดทางออกของถ้ำไว้ เมื่อหานซั่วมาถึงตัวทรังคส์ มังกรดำกิลเบิร์ตก็ยังอยู่ใต้ดินเพราะเชื่องช้ากว่าเล็กน้อย
หลังจากที่กิลเบิร์ตปรากฏตัว เขาก็จ้องมองทรังคส์ด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ จากนั้นก็คำรามออกมาด้วยความกราดเกรี้ยว
“ข้าจะกินพวกเจ้าให้หมด!”
ในช่วงนั้น กิลเบิร์ตมักจะอยู่กับทรังคส์เสมอ บางสิ่งบางอย่างเติบโตงอกงามขึ้นในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง ทรังคส์เป็นคนดี เขาปฏิบัติต่อกิลเบิร์ตด้วยความเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ สำหรับมังกรดำกิลเบิร์ต นอกจากข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง เมื่อเขาเห็นว่าทรังคส์ถูกทรมานจนแทบจำไม่ได้ เขาจึงไม่สามารถสะกดกลั้นความเดือดดาลไว้ในใจได้อีกต่อไป
หานซั่วยกมือหยุดกิลเบิร์ตไว้ และออกคำสั่งอย่างเย็นชา
“เจ้าดูแลทรังคส์อยู่ที่นี่ ส่วนพวกคนที่อยู่ในถ้ำ ข้าจะจัดการเอง”
“นายท่าน ข้าอยากจะฆ่าพวกมัน ข้าก็อยากจะล้างแค้นให้ทรังคส์เหมือนกัน!”
มังกรดำกิลเบิร์ตไม่สามารถทนเห็นทรังคส์ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ได้ กระทั่งแรงสะอื้นบางอย่างก็ปรากฏอยู่ในน้ำเสียงของเขา แสดงให้เห็นว่ากิลเบิร์ตทั้งโกรธและเศร้าโศกเสียใจมากแค่ไหน
“วางใจเถอะ เจ้ามีโอกาสแน่ ๆ ทั้งเจ้าและทรังคส์จะมีโอกาสทำแบบนั้นอย่างแน่นอน!”
หานซั่วพูดขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ดูแลเขาให้ดี อย่าให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บอะไรอีก”
กิลเบิร์ตที่แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เสียงของเขาสั่นเครือไปด้วยอารมณ์รุนแรงขณะพยักหน้ารับคำ เขาถือถังน้ำเพื่อช่วยทำความสะอาดคราบเลือดออกจากบาดแผล และทำได้เพียงสบถพลางสะอื้นออกมา
“บ้าที่สุด ทำไมถึงได้ประมาทขนาดนี้ เจ้าโง่เอ๊ย…”
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
สำหรับทรังคส์ ความเจ็บปวดทำให้เขาไร้ซึ่งความรู้สึกไปเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นมังกรดำกิลเบิร์ตแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาจนถึงจุดที่ทำให้เขาถึงกับร้องไห้ และหานซั่วที่ข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้จนทำให้เขามีท่าทางชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัว ความอบอุ่นอย่างน่าประหลาดนี้ค่อย ๆ ผสานรวมเข้ากับแก่นมนตราที่หานซั่วส่งผ่านมายังร่างของเขา และกำลังฟื้นฟูร่างกายที่บาดเจ็บ
“เจ้า… เจ้าต้องการอะไร? พวกเราไม่กลัวเจ้าหรอกนะ คิดใคร่ครวญให้ดีก่อนเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าหานซั่วกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาด้วยสีหน้าน่ากลัว หลังจากอาการบาดเจ็บของทรังคส์ดีขึ้นแล้ว เอซาก็ตะโกนอย่างดุร้ายขณะที่ภายในใจนั้นขลาดกลัวอย่างที่สุด
โดยไม่เสียเวลาเปลืองคำพูดใด จู่ ๆ หานซั่วก็กลายร่างเป็นกระแสพลังสีเลือด และพุ่งตรงเข้าไปยังใจกลางของคนพวกนั้นด้วยความเร็วราวสายฟ้า เขาทั้งเตะและต่อย เสียงกระดูกที่แตกหักดังก้องไปทั่วถ้ำนั้นชวนให้ขนหัวลุกอย่างน่าประหลาด
ด้วยพื้นที่ที่คับแคบ ทักษะเวทย์ปีศาจของหานซั่วจึงได้เปรียบที่สุด เมื่อการโจมตีที่รุนแรงและบ้าคลั่งสาดเข้าใส่ทุกคนในนั้น ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานเขาได้อีกต่อไป แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นคือจอมดาบทรัลลาและจอมเวทย์ธาตุสายฟ้าเอซา ก็ไม่สามารถโต้ตอบหรือทำอะไรหานซั่วได้เลย
ภายในไม่กี่นาที ผู้มีฝีมือทั้ง 15 คน จากกลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 ที่อยู่ในถ้ำซึ่งจับตัวทรังคส์ไว้ ไม่เพียงแต่จะถูกหักกระดูก พวกเขายังถูกตัดเส้นเอ็นจนขาดอีกด้วย การบาดเจ็บเช่นนั้นสำหรับนักดาบและอัศวินซึ่งฝึกฝนออร่าต่อสู้มา หมายความว่าพวกเขาต่างไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย สำหรับนักเวทย์อย่างเอซา นอกเหนือจากอาการบาดเจ็บที่เหมือนกับคนอื่น ๆ หานซั่วยังตัดลิ้นของเขาอีกด้วย ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถร่ายเวทย์ใด ๆ ได้อีก
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก เมื่อทรังคส์หายดีแล้ว เขาจะค่อย ๆ ถลกหนังเจ้าทั้งเป็น ถึงจะสาสมกับความเจ็บปวดที่เจ้าทำกับเขาไว้”
เมื่อมองไปที่กองเศษเนื้อที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เช่นเดียวกับเอซาที่กระอักเลือดออกจากปากเพราะลิ้นถูกตัดออกไป หานซั่วถึงได้ประกาศชะตากรรมของพวกเขาออกมา
เมื่อทั้งเส้นเอ็นถูกตัดขาดและกระดูกที่หัก เอซาไม่สามารส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมาได้เลย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเสียใจ เขาเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าทรังคส์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เสียใจที่ไม่ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง และฆ่าหานซั่วเสียตั้งแต่ทีแรกที่หานซั่วก้าวเท้าเข้ามาในหุบเขาแสงตะวัน
น้ำเสียงของมังกรดำกิลเบิร์ตค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ แต่ยังคงมีร่องรอยของความทุกข์ทรมานใจอยู่ ร่างกายที่อ่อนแรงของทรังคส์ค่อย ๆ ฟื้นกำลังกลับมาทีละน้อย ด้วยการช่วยเหลือของมังกรดำและเวทย์ปีศาจของหานซั่ว เขาก็สามารถยืนได้อีกครั้ง แต่ก็ด้วยความยากลำบากเต็มที
ทรังคส์มองไปยังเอซาที่อยู่ในสภาพน่าสมเพชเวทนา ทันใดนั้น เขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ขณะที่ทรังคส์หัวเราะราวกับคนเสียสติ ความเจ็บปวดที่เขาต้องทนมาตลอด 2-3 วันดูเหมือนจะถูกปลดปล่อยไปกับเสียงหัวเราะนั้น เขาจ้องมองไปที่เอซาอย่างแน่วแน่ขณะที่หัวเราะออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่กักขังเอซาไว้ราวกับคุกน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ จนเขารู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก
เอซาตระหนักดีว่าการที่เขาตกอยู่ในกำมือของทรังคส์แล้วในครั้งนี้ ความทุกข์ทรมานที่เขาต้องทนคงจะมากมายเสียยิ่งกว่า เอซาที่ระบายอารมณ์โกรธเกรี้ยวลงบนร่างกายของทรังคส์ตามที่ใจเขาต้องการ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อทรังคส์ฟื้นตัวแล้ว ทรังคส์จะทรมานเขาจนตาย ซึ่งทั้งร่างกายที่พิการและลิ้นที่ถูกตัดออก ภายใจจิตใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง และโชคร้ายสำหรับเขา ด้วยสภาพตอนนี้ เขาไม่สามารถแม้กระทั่งร้องขอความตาย และทำได้เพียงรอสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็คือความทรมานไร้ที่สิ้นสุดนั่นเอง
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เสียงหัวเราะเสียสติของทรังคส์ก็เงียบลง เขาหัวเราะหนักจนน้ำตาไหลออกมา หลังจากที่เขาสงบสติอารมณ์ได้ ทรังคส์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบามาก ๆ
“ไบรอัน ครั้งนี้เป็นเพราะลอเรตัน ฟลอริด้า และ อดัม เมนโล จับมือเป็นพันธมิตรกัน ไม่งั้นข้าคงหนีออกไปได้นานแล้วล่ะ”
เมื่อบรรลุพลังในระดับปรมาจารย์จอมดาบ ภายในหุบเขาแสงตะวัน ก็มีเพียงนักรบคลั่งระดับ 3 ลอเรตันเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ เป็นเพราะความเชื่อมันของทรังคส์ที่จะกล้าทำอะไรโดยปราศจากความกลัว แต่โชคร้ายที่เขาประเมินค่าความชั่วร้ายและไร้ยางอายของคนอื่น ๆ ต่ำเกินไป จึงได้ถูกลอบทำร้ายและจับตัวได้แบบนี้
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ข้ารู้หมดแล้วล่ะ ไม่มีใครหนีรอดการแก้แค้นของเจ้าไปได้หรอก ข้าสัญญา”
หานซั่วหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่งและให้สัญญากับทรังคส์ด้วยท่าทีสงบ
“ไบรอัน ข้าไม่คิดเลยว่าลอเรตันจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ เมื่อคืนก่อน ลอเรตันยังนั่งดื่มและพูดคุยกับข้าอยู่เลย ฮะ ๆ ๆ ข้านี่มันโง่จริง ๆ ที่มองข้ามเขาไป”
ทรังคส์ยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อลอเรตัน
“ลอเรตันเอ๋ย… ลอเรตัน…”
หานซั่วพึมพำขึ้นมา 2 ครั้ง สายตาของเขาเย็นชาขึ้นมาในทันที
“นายท่าน ร่างกายของทรังคส์ยังบาดเจ็บสาหัส เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก เรารีบออกไปกันดีกว่า”
มังกรดำกิลเบิร์ตปาดน้ำตาออก โดยไม่สนกลิ่นเหม็นและคราบสกปรกจากร่างของทรังคส์ เขาพยุงทรังคส์ไว้กับตัว
หานซั่วพยักหน้าเห็นด้วย แล้วอสูรกระดูกที่ปิดทางเข้าถ้ำไว้ก็เดินออกไป เปิดทางให้นักรบผีดิบอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาแทน ด้วยคำสั่งของหานซั่ว พวกมันก็หิ้วร่างที่กองเกลื่อนบนพื้นขึ้นมา
ระหว่างนั้น หานซั่วสั่งให้อสูรกระดูกทิ้งกระดูกออกมานับสิบชิ้น นักรบผีดิบใช้ความแหลมคมของกระดูกเหล่านั้นเสียบเข้าไปที่ขาของคนเหล่านั้นราวกับเสียบปลาที่กำลังจะย่าง และสร้างความเจ็บปวดให้กับพวกเขามากขึ้นอีก
“ไปกันได้แล้ว!”
หานซั่วร้องสั่ง พร้อมกับร่ายเวทย์ แล้วอสูรมิติมืดตนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงทางลึกเข้าไปในถ้ำก็อันตรธานหายไป ทำให้เส้นทางนั้นกว้างขึ้นมาในทันที
*********************