Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 401
หานซั่วไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากนักก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ด้วยพลังของปีศาจอาคมที่ล่องลอยไปสอดแนมตามที่ต่าง ๆ ผู้อยู่เบื้องหลังที่มุ่งร้ายกับทรังคส์และกองกำลังทหารรับจ้างพิฆาตวิญญาณในครั้งนี้ก็คือ ฟลอริด้าแห่งกองกำลังฯ เคียวรุ้ง ส่วนกลุ่มอื่น ๆ อย่างตระกูลเมนโล และลอเรตัน แห่งกองกำลังฯ ไคโรเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
“บนโลกนี้ไม่เคยมีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร มีแต่ผลประโยชน์ที่เป็นชั่วนิรันดร์” คงเป็นคำกล่าวที่อธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ได้เหมาะสมที่สุด
ในอดีต ลอเรตันเป็นศัตรูที่เคยแข่งขันกันกับฟลอริด้าเพื่อแย่งชิงอำนาจมาก่อน ทั้งหานซั่วและทรังคส์ก็เคยอยู่ข้างเดียวกันกับเขา แม้แต่คืนที่ลอเรตันถูกกลุ่มอิทธิพลถึง 4 กลุ่มโอบล้อมและจนมุมอยู่ในหุบเขาเล็ก ๆ หานซั่วยังเคยช่วยเหลือจนเขาสามารถรอดชีวิตออกมาได้
นับแต่นั้นมา กองกำลังฯ ไคโร และกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งลอเรตันและทรังคส์ต่างให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ในสายตาของคนภายนอก ก็มักจะมองว่าทั้ง 2 กองกำลังคือพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับชื่อเสียงของหานซั่วที่โด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิแลนซล็อต ก็ทำให้กองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลลำดับที่ 5 ของหุบเขาแสงตะวันได้ในที่สุด และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทรังคส์ก็สังหารกุสตามจอมเชือดได้สำเร็จ ทำให้ชาวเมืองในหุบเขาแสงตะวันตื่นตกใจกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก แม้แต่ลอเรตันและฟลอริด้าที่เคยเป็นศัตรูผู้รบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงอำนาจในการปกครองหุบเขาแสงตะวันกันมาก่อน ต่างก็คิดเหมือนกันว่าสถานการณ์เริ่มเปราะบางมากขึ้นทุกที
เมื่อผลประโยชน์ถูกคุกคาม มิตรภาพระหว่างเพื่อนหรือพันธมิตรก็จะกลายเป็นสิ่งที่สามารถบิดเบือนได้ไม่ต่างอะไรจากคำมั่นสัญญาของพวกนักการเมือง ฟลอริด้าและลอเรตันจึงร่วมมือกันทันที แม้แต่ อดัม เมนโล ที่เคยถูกหานซั่วทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสเมื่อครั้งก่อน ก็ดูจะมีความสุขเสียเหลือเกินและรีบกระโดดเข้ามาร่วมในแผนชั่วครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ผลที่ได้ก็คือ ทรังคส์ถูกลอเรตันและพวกลอบทำร้ายในระหว่างทางที่กำลังกลับจากแหล่งกบดานของเจเน็ต ส่วนทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับทรังคส์ก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด ทรังคส์เพียงคนเดียวที่ถูกจับเป็น และถูกนำมาขังไว้ในถ้ำลับที่อยู่ตรงใจกลางหุบเขา ในขณะที่กลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 กลุ่มต่างส่งยอดฝีมือมาช่วยกันจับตาดูเขาเอาไว้
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ที่พวกเขายังไม่ฆ่าทรังคส์ในทันที ก็เป็นเพราะทุกกลุ่มต่างปรารถนาในทรัพย์สินเงินทองของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ ซึ่งตอนนี้พวกเขายังมีข้อมูลเกี่ยวกับฐานที่มั่นของกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณไม่มากนัก จึงตั้งใจว่าจะเค้นความลับจากทรังคส์ให้ได้ก่อนที่จะเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับทางฝั่งของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ความดื้อรั้นหัวแข็งของทรังคส์ก็มากเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้ หลังจากพยายามทรมานและขู่กรรโชกมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่พวกนั้นต้องการ เช่นนั้นแล้ว ร่างกายของเขาจึงเต็มไปด้วยรอยไหม้ดำจากสายฟ้า และรอยฟกช้ำดำเขียวมากมายจนดูราวกับว่าเขากำลังเข้าใกล้ความตายมากขึ้นทุกที
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง ณ คฤหาสน์หลังหนึ่งในหุบเขาแสงตะวันที่ได้รับการคุ้มกันโดยกองกำลังฯ ไคโร ผู้นำกลุ่มอิทธิพล 3 กลุ่มกำลังปรึกษาหารือกันเรื่องการจู่โจมกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณ เพราะกองกำลังฯ ได้ออกจากหุบเขาแสงตะวันไปเป็นเวลานานมากแล้ว ในขณะที่ลอเรตันและพวกก็รู้ตำแหน่งที่แม่นยำของฐานที่มั่นนั้นแล้ว แม้จะไม่ได้รับคำตอบจากทรังคส์ก็ตาม
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าพื้นที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากเพียงใด แต่พวกเขาก็ตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อกวาดล้างกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณด้วยกันโดยไม่รอจนมาถึงวันที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหวก่อน เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทั้ง 3 กลุ่มได้ส่งคนของตนเองออกไปเพื่อสำรวจพื้นที่ จนกระทั่งพบที่ ๆ น่าจะเป็นแนวป้องกันชั้นแรกของฐานที่มั่น และวางแผนกันว่าจะจู่โจมในอีกไม่กี่วันนี้
บรรดากลุ่มอิทธิพลของหุบเขาแสงตะวันล้วนเป็นผู้ที่กรำศึกสงครามมามากมาย แต่ทุกกลุ่มต่างเกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อหานซั่วสังหารจอมขมังเวทย์ธาตุแสงเฟอร์กูสัน ก็ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างฟลอริด้าและศาสนจักรแห่งแสงสว่างก็จืดจางลงไป แต่อย่างไรก็ตาม เพราะมีความลับของเหมืองแร่เงินอยู่ที่นี่ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อย ๆ มั่นคงขึ้นอย่างช้า ๆ
และเป็นเพราะหานซั่ว จอมเวทย์เอ็ดวิน ซึ่งเป็นคนของศาสนจักรแห่งความหายนะก็ไม่มายุ่งวุ่นวายกับกองกำลังฯ พิฆาตวิญญาณอีกต่อไป จากเดิมที่เอ็ดวินเคยร่วมมือกับลอเรตัน ก็ค่อย ๆ ตีตัวออกห่าง และเอ็ดวินถึงกับมาพบทรังคส์บ่อย ๆ เพื่อเสนอความช่วยเหลือ แต่ทรังคส์ก็ตอบปฏิเสธความหวังดีของเขากลับไปเสียทุกครั้ง
เมื่อทราบข่าวการหายตัวไปของทรังคส์ เอ็ดวินก็พยายามสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังพันธมิตรของทั้ง 3 กลุ่มอิทธิพลในหุบเขาแสงตะวัน และกองกำลังฯ เคียวรุ้งที่มีศาสนจักรแห่งแสงสว่างคอยหนุนหลัง เอ็ดวินจึงไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงแม้ว่าจะรู้ความจริงแล้วก็ตาม
ปีศาจอาคมทั้ง 12 ตนที่หานซั่วส่งออกไป ต่างส่งผ่านสิ่งที่มันมองเห็นให้สะท้อนกลับมาที่จิตของหานซั่ว ทำให้สมองของเขาที่ได้รับการบ่มเพาะจากเวทย์ปีศาจสามารถรับข้อมูลภาพเหล่านั้นไว้ได้ทั้งหมด แม้แต่การวิเคราะห์รายละเอียดของคำพูดและการกระทำต่าง ๆ เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ
จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ค้นพบความจริง รวมทั้งตำแหน่งแน่นอนที่ทรังคส์ถูกจับกุมตัวเอาไว้!
ขณะที่มังกรดำกิลเบิร์ตกำลังกระพือปีกลอยตัวอยู่บนฟ้าเหนือหุบเขาแสงตะวัน ก้อนเมฆสีขาวมากมายก็ลอยเด่นอยู่รายรอบ แสงพระอาทิตย์อันสวยงามกำลังสาดส่องลงไปอาบไล้ทั้งหุบเขา ทำให้แม้แต่มังกรดำที่มีร่างกายสีดำสนิทยังเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงนั้น
หานซั่วสามารถนั่งขัดสมาธิบนหลังของกิลเบิร์ตซึ่งกว้างกว่าที่นั่งบนรถม้าได้อย่างสบาย ๆ ดวงตาของเขาปิดสนิทขณะกำลังกลั่นกรองข้อมูล ทันใดนั้นเอง เขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และจ้องมองลงไปยังบริเวณป่ารกทึบของหุบเขาแสงตะวันที่อยู่เบื้องล่าง ดวงตานั้นเปล่งประกายอย่างน่าประหลาด
“เห็นทีข้าคงต้องรีบจบปัญหาของหุบเขาแสงตะวันให้ได้สักที หนทางของข้าจะมาจบอยู่แค่ที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด!”
หานซั่วพึมพำ
ทั้งประเด็นเกี่ยวกับนครเบรทเทล… แคว้นทั้งเจ็ด… ปัญหาแย่งชิงอำนาจภายในจักรวรรดิ… การรุกรานของศาสนจักรแห่งแสงสว่าง… ความลับเกี่ยวกับสุสานแห่งความตายและคทาหัวกระโหลก… การฝึกฝนเวทย์ปีศาจและเวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตาย หรือแม้แต่ปัญหาความบาดหมางระหว่างผู้หญิงของเขาทุกคน… ปัญหาทุกอย่างกำลังกองสุมกันและรอให้เขามาจัดการ ตอนนี้เองที่เขารู้สึกเหมือนอยากจะใช้วิชาแยกร่างปีศาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ด้วยวิสัยทัศน์ของหานซั่วที่กว้างไกลมากขึ้น จึงสอดคล้องกับความใฝ่ฝันและความแข็งแกร่งของตัวเขาเองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน เมื่อตอนนี้เขารู้ถึงปัญหามากมายภายในหุบเขาแสงตะวัน เขาจึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องยากมากนักที่จะรับมือกับพวกนั้นทั้งหมด และในเมื่อทรังคส์ถูกจับตัวไป หานซั่วจึงต้องการจัดการกับปัญหาทั้งหมดให้สิ้นซากในคราเดียว
“บินลงไปทางนั้น!”
หานซั่วสั่งมังกรดำกิลเบิร์ต และชี้ไปยังตำแหน่งนั้นอย่างแม่นยำ
“นายท่าน ท่านเจอทรังคส์แล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าหานซั่วที่นั่งหลับตาและเงียบมาโดยตลอด อยู่ ๆ ก็ชี้ตำแหน่งให้เขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิ ตรงนั้นแหละที่ทรังคส์ถูกจับตัวเอาไว้”
หานซั่วตอบก่อนจะเร่งเร้า
“เอาล่ะ รีบไปกันเลย!”
ลึกเข้าไปในถ้ำที่ทั้งมืดและชื้นแฉะ จอมเวทย์สายฟ้าเอซากำลังทรมานทรังคส์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนทรังคส์ก็ได้แต่ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง แต่หลังจากที่กระแสไฟฟ้ารุนแรงถูกฟาดลงไปทะลุร่างของเขา พร้อมกันกับที่เอซาใช้เหล็กที่ถูกเผาจนร้อนและกลายเป็นสีแดงประทับลงบนร่าง ทรังคส์ก็ไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไปและหมดสติไปในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเอซาจะไม่ยอมปล่อยทรังคส์ไปง่าย ๆ ทุกครั้งที่ทรังคส์หมดสติไป เอซาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อปลุกเขาให้ได้ หลังจากการถูกทรมานนับครั้งไม่ถ้วน ทรังคส์ก็ทำได้เพียงหายใจรวยรินและไม่มีแรงพอที่จะส่งเสียงร้องได้อีกต่อไป แต่ทว่า ดวงตาที่พร่ามัวของเขายังเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังหยั่งรากลึกที่จ้องมองไอซาอยู่อย่างนั้น และแฝงไปด้วยประกายบางอย่างที่ทำให้เอซารู้สึกขวัญผวา
แม้เอซาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ความรู้สึกนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความคุ้มคลั่งมากกว่าเดิม และทรมานทรังคส์โดยการประทับเหล็กร้อน ๆ ลงไปบนอกอีกครั้ง ซึ่งทรังคส์ก็ทำได้เพียงอ้าปากกว้างเพราะความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมา ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวราวกับปีศาจที่คืบคลานขึ้นมาจากนรกอเวจี
“ท่านเอซา หยุดได้แล้วล่ะ เดี๋ยวเขาก็ตายหรอก!”
นักดาบคนหนึ่งชื่อว่า ทรัลลา นิ่วหน้าเดินเข้ามาพร้อมกับยื่นมือออกไปจับด้ามเหล็กร้อนที่เอซากำลังถือไว้แน่น
สีหน้าของเอซาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที และหันไปพูดกับทรัลลาด้วยความไม่พอใจ
“ทรัลลา นี่มันเรื่องของข้า ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลเมนโลอย่างเจ้าจะเข้ามายุ่ง!”
“ข้าไม่สนใจเรื่องของท่านหรอก แต่เราต้องเก็บทรังคส์ไว้ นี่เป็นการตัดสินใจที่ผู้นำทั้ง 3 กลุ่มเห็นพ้องต้องกัน ท่านจะทรมานเขายังไงก็ช่าง ข้าไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่เขาไม่ตาย แต่ถ้าท่านฆ่าเขาล่ะก็ พวกเราจะโดนกล่าวหาว่าละเลยต่อหน้าที่ เพราะงั้นก็อย่ามาสร้างปัญหาให้พวกเราต้องซวยกันทั้งหมด!”
ทรัลลาไม่เกรงกลัวเอซาเลยแม้แต่น้อย พลางดึงแท่งเหล็กมาจากเอซาและเอาไปเก็บไว้ในที่ของมัน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา
แผลบางแห่งบนร่างกายของทรังคส์เริ่มเปื่อยเน่าแล้ว และถึงกับมีน้ำหนองไหลออกมาจากแผลที่คอและหน้าอก ทำให้ทรัลลาที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ต้องเอามือขึ้นมาปิดปากปิดจมูกอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้กลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยงนั้น พลางโบกมือไปมา
“ให้ตายสิ ท่านทนได้ยังไงกัน!? วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ รอให้ร่างกายของเจ้าหมอนี่ดีขึ้นสักหน่อย และค่อยมาทรมานมันเล่นอีก ไม่อย่างนั้น ทุกคนคงคัดค้านแน่”
เมื่อทรัลลาพูดจบ เขาก็ทนไม่ไหวและเดินออกไปทันที ในขณะที่สมาชิกจำนวนหนึ่งจากกองกำลังฯ ไคโรก็มองเอซาอย่างรำคาญใจ และหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น
“เอซา ฟลอริด้าหัวหน้าของเจ้าก็เห็นพ้องด้วยแล้ว เจ้าก็ยอมรับซะเถอะ อย่าคิดจะแหกกฏเลย”
คนอื่น ๆ ที่อยู่ในถ้ำแห่งนั้นก็เผยท่าทีรำคาญใจไม่ต่างกัน แม้แต่สมาชิกของกองกำลังฯ เคียวรุ้งบางคนที่ประจำการอยู่ที่นั่นกับเอซาก็พยายามเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้ก่อเรื่อง เมื่อเอซาหยุดคิดไปครู่หนึ่ง เขาก็หันหน้ามามองทรังคส์ที่ไม่ได้สติและดูเหมือนใกล้จะตายเต็มที ความกราดเกรี้ยวภายในใจของเขาจึงลดลงเล็กน้อย
เมื่อโดนเสียงส่วนมากห้ามปราม เอซาก็ไม่กล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงตามใจชอบอีกต่อไป เพื่อไม่เป็นการจุดชนวนความบาดหมางของคนอื่น ๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าตำแหน่งของเขาในกองกำลังฯ เคียวรุ้งจะไม่มั่นคงอีกต่อไปแล้วเมื่อกุสตาฟ พ่อของเขาถูกฆ่าตาย และที่น่าหนักใจกว่านั้นคือบรรดาโจรที่รอดชีวิตต่างแยกย้ายกันไป และไม่มีใครคิดจะอยู่ใต้อาณัติของเขาสักคน มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็คงไม่จำเป็นต้องจมปลักอยู่กับกองกำลังฯ เคียวรุ้ง และต้องทนกับการดูถูกเหยียดหยามเหมือนอย่างตอนนี้
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ขณะที่จิตใจของเอซากำลังคุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชัง เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังก้องขึ้นจากด้านนอก เสียงนั้นแผ่วเบาในทีแรก แต่กำลังดังชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“นั่นใครน่ะ?”
เสียงเอซาร้องตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ
“เข้ามาแล้วไม่คิดจะบอกชื่อสักหน่อยรึไง?”
เสียงฝีเท้ากำลังใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่ตอบ เอซาจึงสบถด่าออกไปอีกครั้ง
“ไอ้เวรนี่ เป็นใบ้รึไง? พูดแค่นี้ไม่เป็นเรอะ?”
“ท่าจะไม่ดีแล้วสิ!”
ทรัลลานิ่วหน้า และชักดาบยาวออกมาขณะพูดกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างเขา
“มีแค่พวกเราที่รู้จักถ้ำนี้ จะตื่นตูมไปทำไมกัน? พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว เวลาแบบนี้ก็จะมีส่งคนมาส่งอาหารให้พวกเราตลอดไม่ใช่รึไง? ก็แค่พวกนั้นเองล่ะน่า!”
เอซาหันไปพูดกับทรัลลา
เสียงนั้นยังคงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เสียงลากเท้าแต่ละก้าวนั้นมีจังหวะที่แปลกประหลาด ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ราวกับนั่นคือเสียงของปีศาจที่มีปากอ้ากว้างอย่างน่าสะพรึงกลัว และมันกำลังเร้นกายอยู่ในความมืด พร้อมที่จะขย้ำคอเหยื่อได้ทุกขณะ
ทรัลลาจ้องมองเอซากลับไปด้วยสีหน้ารังเกียจ พลางคิดว่าลูกชายของจอมโจรนี่ไม่สมกับเป็นทหารรับจ้างที่แท้จริงเอาเสียเลย ในขณะที่คนของกองกำลังฯ ไคโร และตระกูลเมนโลต่างกำลังตื่นตัวและระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะพวกเขาไม่มีทางวางใจกับใคร หรืออะไรที่เข้ามาใกล้โดยไม่ให้สัญญาณอะไรเลยแบบนี้
“พวกเรา ระวังกันหน่อยนะ สถานการณ์ตอนนี้มันแปลกพิกล!”
ทรัลลากำดาบยาวไว้แน่น และร้องเตือนคนข้าง ๆ
เหล่ายอดฝีมือจากกองกำลังฯ ไคโรเตรียมพร้อมและระแวดระวังอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ต้องให้ทรัลลาย้ำเตือน แม้แต่กลุ่มของเอซาจากกองกำลังฯ เคียวรุ้งก็แยกไปรวมตัวกันให้ห่างจากอีก 2 กลุ่มอย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ แม้กลุ่มอิทธิพลทั้ง 3 จะร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไว้ใจพรรคพวกของตัวเองมากกว่าพันธมิตรจอมปลอมที่รวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง และหุบเขาแสงตะวันก็มักเป็นสถานที่เช่นนี้ แม้จะเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าจะในอดีตหรือในอนาคต พวกเขาก็สามารถรวมตัวกันได้หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคนเดียวกัน
ส่วบ… ส่วบ… ส่วบ…
เสียงฝีเท้านั้นกำลังใกล้เข้ามา และดังชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ!
ทรัลลาหันไปมองนักเวทย์ธาตุไฟระดับสูงที่อยู่ข้าง ๆ เขาและร้องสั่ง
“จุดไฟสิ!”
เมื่อนักเวทย์ธาตุไฟระดับสูงคนนั้นได้ยินคำสั่งของทรัลลา เวทย์อสรพิษอัคคีก็ก่อร่างขึ้นและพุ่งออกไป ไฟจากร่างของมันส่องให้เห็นผนังถ้ำสีน้ำตาลเทาตามทางที่มันพุ่งผ่านอย่างชัดเจน
ตอนนั้นเอง แม้แต่เอซาก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังทางออกเดียวของถ้ำแห่งนั้น สมาชิกคนอื่น ๆ ของกองกำลังฯ ไคโรสามารถรับรู้ได้ด้วยตนเองและยืนแถวตั้งแนวรบเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม พร้อมที่จะเผชิญหน้ารับการโจมตีของผู้ที่กำลังใกล้เข้ามา
ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองไปยังทางออกเดียวของถ้ำ พวกเขาก็ได้ยินเสียงด้านหลังที่ดังขึ้นอย่างชัดเจนจากจุดที่ทรังคส์อยู่ แล้วทุกคนที่เพ่งตามองไปยังทางออก ต่างก็หันขวับกลับมามองตามเสียงที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ
ข้าง ๆ ทรังคส์ คือหานซั่วที่กำลังถือคมมีดพิชิตมารอยู่ในมือ และกำลังตัดโซ่เหล็กบนร่างของทรังคส์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โซ่เหล็กหนาที่ทำจากแร่มิธริลที่เพิ่งหลอมได้ไม่นานถูกฟันจนขาดและร่วงกราวลงไปบนพื้นด้วยเสียงอันดัง แม้แต่โซ่แหลมคมที่แทงทะลุไหล่ของเขาก็ค่อย ๆ ถูกหานซั่วดึงออกไปอย่างระมัดระวัง
กลุ่มของทรัลลาที่เพิ่งหันมาไม่รู้เลยว่าหานซั่วเข้ามาได้อย่างไร เพราะถ้ำแห่งนี้มีทางออกเพียงทางเดียว และเมื่อครู่พวกเขาก็เพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าดังตรงมาจากทางออกที่ทุกคนกำลังจับจ้องอย่างไม่วางตา แต่กลับมองไม่เห็นใครสักคนเลยที่ควรจะอยู่ตรงนั้น!
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ หานซั่วก็ปรากฏตัวขึ้น ราวกับว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด การปรากฏตัวอย่างกะทันหันนี้เองที่ทำให้ทุกคนรู้สึกขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน
เมื่อเห็นสีหน้ามืดทะมึนของหานซั่ว ทุกคนที่เฝ้าทรังคส์ในถ้ำของภูเขาแห่งนี้ต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจนทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง พวกเขาได้แต่มองหานซั่วที่ทำราวกับไม่สนใจคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ และง่วนอยู่แต่กับการปลดโซ่ที่พันธนาการร่างของทรังคส์ไว้ด้วยสีหน้าน่ากลัวนั้น
แม้ว่าหานซั่วจะไม่เคยอยู่ที่หุบเขาแสงตะวันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อน แต่ข่าวลือเกี่ยวกับเขาก็แพร่กระจายมาถึงหุบเขาแสงตะวันด้วยเช่นกัน ทุกคนรวมทั้งเอซาและทรัลลา ล้วนเป็นยอดฝีมือจากกลุ่มอิทธิพลทั้งสาม ไม่เพียงแต่พวกเขาจะรู้เรื่องของหานซั่ว แต่มีบางคนที่เคยเห็นวีรกรรมของเขามาแล้วด้วยตาตนเองด้วยเช่นกัน
และในถ้ำแห่งนี้เอง จู่ ๆ หานซั่วก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับภูตผี และพยายามปลดโซ่ให้ทรังคส์อย่างเงียบ ๆ ความกดดันที่มองไม่เห็นนี้หนักอึ้งราวกับถูกภูเขาบดทับ ทำให้หัวใจของทุกคนเต้นระส่ำเร็วขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ
ริมฝีปากของเอซาแห้งผาก เพราะตัวเขาเองก็เคยถูกหานซั่วฟันมือขาดมาแล้วครั้งหนึ่ง และ ณ เหตุการณ์ในหุบเขา เอซาก็เคยเห็นหานซั่วจู่โจมเฟอร์กูสันจนถึงแก่ความตาย เมื่อหานซั่วจากไป เรื่องราวเกี่ยวกับเขาก็ไม่ได้จางหายไปด้วย หากแต่ยังคงแพร่สะพัดไปตามการบอกเล่าของเหล่าทหารรับจ้างที่ตระเวนไปทั่วทุกที่ และยิ่งเป็นเรื่องที่หานซั่วสามารถสังหารอัศวินขี่มังกรเซลท์ได้ ก็ยิ่งลือกันหนาหูมากขึ้นไปอีก
เอซารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหานซั่วและทรังคส์เป็นอย่างดี เขาจึงได้แต่มองหานซั่วปลดโซ่ออกจากร่างที่กำลังจะตายของทรังคส์ด้วยความหวาดผวา ความเย็นยะเยียบบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง และในหัวของเอซาก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนึกออก ถึงวิธีที่ชาญฉลาดที่สุดภายในเสี้ยววินาที
ฟิ้ววว…!
เอซาเป็นคนแรกที่วิ่งออกจากถ้ำ และหนีโดยไม่สู้!
“แก… ไอ้บัดซบ!”
ทรัลลาหันไปมองอย่างรวดเร็ว พลางนึกสาปส่งเอซาผู้ขี้ขลาดตาขาวอย่างแผ่วเบา ไม่นานนัก แม้จะยังคงรู้สึกหวาดกลัว แต่เขาก็กำดาบยาวในมือแน่น พยายามสู้หน้าหานซั่ว และพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“เคานต์ไบรอัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ท่านจะมายุ่มย่ามวุ่นวายกับปัญหาภายในหุบเขาแสงตะวันของเราไม่ได้ ถ้าท่านจากไปเสียตอนนี้ เราก็จะไม่หยุดท่านไว้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็…”
“อ… อ้าว? เอซา นั่นเจ้าจะไปไหน?”
โดยไม่รอให้ทรัลลาพูดจบ จู่ ๆ นักเวทย์ธาตุไฟระดับสูงที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ร้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
ทรัลลานิ่งอึ้งไปทันที เขาไม่แม้แต่จะหันไปดุด่าลูกน้องที่ร้องขึ้นมาแทรกกลางคำขู่ที่เขาพยายามรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมาแทบตาย เขาหันหลังไป แต่กลับเห็นว่าเอซากำลังเดินถอยกลับเข้ามาทีละก้าว
ตึง…. ตึง…. ตึง….
เสียงฝีเท้า “อีกเสียงหนึ่ง” ดังก้องไปทั้งถ้ำ มันสะท้อนเป็นจังหวะจนทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ
**************************