Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 387
GDK ตอนที่ 387 ดูดกลืนอัญมณีบริสุทธิ์
มังกรกระดูกแสนเจ้าเล่ห์ ซาสิก้า มีความยาวกว่า 15 เมตร ร่างกายของมันเต็มไปด้วยกระดูกที่หนาและแข็งแรง ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นจากหินและเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งที่สุด ขณะที่ร่างของมันก็เต็มไปด้วยปราณแห่งความตายที่เอ่อล้นออกมา
เมื่อมังกรกระดูกคำราม อสูรมิติมืดระดับสูงทุกตนต่างเริ่มถอยหนี ขณะที่อสูรชั้นต่ำได้แต่ยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง ร่างของพวกมันสั่นเทิ้มภายใต้แรงกดดันของออร่าอันน่าเกรงขามของมังกรกระดูกตนนั้น
มังกรกระดูกแห่งมิติมืดนั้นแตกต่างจากมังกรทั่วไปในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ ในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์พิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นในมิติมืด มังกรกระดูกจึงมีความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลตั้งแต่เกิด ด้วยก่อร่างขึ้นจากกระดูกสีขาวบริสุทธิ์ที่สามารถทานทนต่อทั้งการโจมตีทางกายภาพและทางเวทมนตร์
มังกรกระดูกนั้นถือเป็นอสูรประหลาดที่ถือกำเนิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติของมิติมืด นอกจากพวกมันจะสามารถใช้พลังของปราณแห่งความตายของมิติมืดได้แล้ว พวกมันยังปลดปล่อยลมหายใจมังกรที่น่าพิศวงได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้พวกมันมีพลังความแข็งแกร่งมากกว่าเผ่าพันธุ์มังกรอื่น ๆ ในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ
อสูรมิติมืดทั้ง 3 ตนที่เคยวางแผนจะตีวงล้อมเพื่อจัดการกับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก บัดนี้ได้หนีแตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทางทันทีที่ได้ยินเสียงคำรามของมังกรกระดูก โดยไม่สนใจที่จะจู่โจมใครอีกต่อไป ส่วนเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่บัดนี้ได้ครอบครองอัญมณีบริสุทธิ์มาระหว่างที่มังกรกระดูกซาสิก้าไม่ทันรู้ตัว ก็บินตรงไปหาหานซั่วอย่างรวดเร็ว เมื่อมันใกล้จะถึงตัว หานซั่วก็ละทิ้งร่างกระดูกที่เขาสร้างขึ้นจากปราณแห่งความตาย และกลับสู่ร่างจิตที่ล่องลอยขึ้นไปเคียงข้างเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กทันที
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
เมื่อจิตของหานซั่วไปถึงตัวเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก มันก็เอาอัญมณีใส่เข้าไปในจิตที่มีรูปร่างคล้ายวิญญาณของหานซั่วอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกระทุ้งอสูรกระดูกให้บินหนีห่างออกไปด้วยความเร็วสูง
เมื่อมังกรกระดูกทะยานขึ้นมาจากน้ำพุสีดำในที่สุด มันก็แผ่รัศมีแห่งอสูรมิติมืดระดับสูงที่น่าเกรงขามออกมาทันที เมื่ออสูรมิติมืดนับไม่ถ้วนต่างพากันล่าถอยออกไป มันก็จ้องมองไปที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและคำรามดังกึกก้อง
“เจ้าโครงกระดูกชั้นต่ำจอมเจ้าเล่ห์ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”
หลังจากที่กู่ร้องก้องไปทั่วท้องฟ้าอันไพศาลไร้ที่สิ้นสุด มังกรกระดูกก็ไล่ล่าเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กในทันที ซึ่งอสูรกระดูกที่ถูกหล่อหลอมขึ้นใหม่โดยเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก และใช้กระดูกของสัตว์วิเศษระดับสุดยอดที่พบในดินแดนต้องห้ามของอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ ก็ได้ทำให้ การบินของอสูรกระดูกตนนั้นมีความเร็วเป็นอย่างมาก แม้แต่มังกรกระดูกซาสิก้าที่รวดเร็วราวสายฟ้าก็ไม่สามารถบินตามมันได้ทัน
ทันใดนั้นเอง อัญมณีที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กใส่เข้าไปในร่างจิตของหานซั่วก็ผสานเข้ากับพลังจิตที่อยู่ภายใน พลังงานลึกลับบางอย่างเริ่มแทรกซึมเข้าไปในจิตของหานซั่ว และค่อย ๆ ผสมผสานเข้ากับพลังจิตเดิมของเขา
ร่างของหานซั่วสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที กระบวนการสร้างเสริมพลังจิตนั้นให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับที่เขาซึมซับพลังจิตปริมาณมากในสุสานแห่งความตาย ซึ่งหานซั่วบอกทันทีว่าสิ่งที่ทำให้พลังจิตของเขาเพิ่มมากขึ้นภายในสุสานแห่งความตาย จะต้องเป็นอัญมณีรูปแบบเดียวกันนี้อย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิดว่าทำไมถึงมีอัญมณีเช่นนั้นอยู่ในสุสานแห่งความตาย และเมื่อเคยมีประสบเหตุการณ์เดียวกันมาก่อน หานซั่วจึงดูดกลืนพลังจิตที่หลั่งไหลออกมาจากอัญมณีให้ไหลเข้าสู่จิตของเขาด้วยความปลื้มปีติ นอกจากนี้ เขายังพยายามฉวยโอกาสนี้ เพื่อปรับใช้พลังลึกลับอันบริสุทธิ์ของอัญมณีให้ได้มากที่สุด
ทันใดนั้นเอง มวลพลังจิตมหาศาลก็หลั่งไหลเขาสู่จิตของหานซั่วอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเจ็บปวดที่บาดลึกแผ่กระจายไปทั่วร่าง ในไม่ช้า หานซั่วก็เริ่มรู้สึกมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก
“อ้ากกกกก !!!”
ขณะที่หานซั่วร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด เมื่อข้ามฉากไปยังโลกเดิม คทาหัวกะโหลกที่ร่างจริงของเขาถืออยู่ก็ส่งเสียงหวีดแหลมไม่สิ้นสุด แล้วดวงตาที่สับสนของหานซั่วค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้นทีละน้อย
ขณะที่พลังจิตปริมาณมากยังคงหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในจิตของเขา หานซั่วก็เริ่มรู้สึกว่าเขากำลังถือบางอย่างอยู่ในมือซ้าย เมื่อมองลงไป เขาก็เห็นว่ามันคือคทาหัวกะโหลกลึกลับอันนั้นเอง หานซั่วรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็รู้ตัวว่าตนเองกลับมายังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำแล้วในที่สุด
หานซั่วตื่นเต้นดีใจจนบรรยายไม่ถูก ก่อนจะละทิ้งความคิดทุกอย่าง รีบขจัดสิ่งกวนใจภายในสมองให้หายไปจนสิ้น และเริ่มหล่อหลอมพลังจิตอันบริสุทธิ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้เข้ากับพลังจิตเดิมของเขา ในขณะนั้น ภายในใจของเขาก็กำลังเอ่อล้นไปด้วยความยินดีและปลาบปลื้มเป็นที่สุด
หลังจากที่เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนมิอาจล่วงรู้ หานซั่วก็ค่อย ๆ รู้สึกว่าพลังงานจากอัญมณีที่มาจากมิติมืดถูกดูดซึมไปจนหมดแล้ว แต่ทว่า ทันใดนั้นเอง เสียงร้องตะโกนของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่อยู่ในมิติมืดก็ดังขึ้นอย่างน่าใจหาย หานซั่วนึกขึ้นได้ทันทีว่าก่อนหน้าที่เขาจะหนีออกมาจากโลกมิติมืด เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยังคงถูกมังกรกระดูกซาสิก้าไล่ลาอยู่
เสียงร้องตะโกนของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กนั้นเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หานซั่วไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย เขารีบร่ายเวทย์ศาสตร์แห่งความตายขึ้นที แล้วเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กพร้อมกับกับอสูรกระดูกที่ขี่อยู่ก็ปรากฏขึ้นภายในห้องลับใต้ดิน
แม้เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แต่อสูรกระดูกที่มันขี่อยู่กลับมีกระดูกที่แตกหักเสียหายนับ 10 ชิ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะการโจมตีของมังกรกระดูก เมื่อพวกมันออกมาจากมิติมืดได้สำเร็จแล้ว เจ้าโครงกระดูกก็เอามือทาบอกตัวเองราวกับท่าทีโล่งใจของมนุษย์ และยังคงหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันมาสื่อสารกับหานซั่ว
“เจ้ามังกรกระดูกเจ้าเล่ห์นั่นน่ากลัวชะมัด แต่ไม่ว่ายังไง วันข้างหน้าข้าจะต้องทำให้มันชดใช้ให้ได้เลย”
หานซั่วมองไปยังเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กด้วยอารมณ์สับสนที่ยากเกินจะเอ่ย เจ้าโครงกระดูกที่ทะเยอทะยานจะฆ่ามังกรกระดูกให้ได้ตนนี้ เป็นตนเดียวกับที่เคยช่วยเขาเอาขยะไปทิ้งกลางดึกนั่นจริง ๆ หรือ?
“ท่านพ่อ ท่านเข้าไปในโลกของข้าได้ยังไงกันน่ะ?”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กร้องถาม เนตรอสูรสีม่วงของมันเป็นประกายขณะมองดูหานซั่ว
หานซั่วเริ่มชินกับการที่เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กเรียกเขาแบบนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวและตอบออกไป
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างน้อยข้าก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะคทาหัวกระโหลกอันนี้เอง ส่วนเรื่องเหตุผล ข้าก็ยังไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ยังไงซะ ข้าก็คงต้องคิดให้ออกในเร็ววันนี้แหละ”
หลังจากที่หานซั่วอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กฟัง เขาก็ขมวดคิ้วและถาม
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าอัญมณีที่ข้าดูดกลืนเข้าไปนั่นคืออะไรกันแน่?”
“อัญมณีบริสุทธิ์ชนิดนี้นับเป็นสิ่งที่หายากมากที่สุดในโลกของเรา มันสามารถชำระล้างและทำให้วิญญาณของเราบริสุทธิ์มากขึ้น แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาร่างของพวกเรามากที่สุดเลยด้วย”
เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กอธิบาย และหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ท่านพ่อ ในโลกของพวกเราน่ะ มีทั้งสิ่งของที่แปลกประหลาด แล้วก็พวกอสูรแปลก ๆ อยู่มากมายเลย อย่างโหงพรายพวกนั้นก็วิวัฒนาการมาจากเจตภูต ส่วนอัศวินร่างยักษ์ก็เคยเป็นจิตวิญญาณที่มาจากภพอื่น ก่อนจะวิวัฒนาการขึ้นมาจากร่างของอัศวินปีศาจที่ดูดกลืนปราณแห่งความตายในโลกนี้เข้าไป….”
ดูเหมือนว่าเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กจะตั้งใจและพยายามอย่างมากที่จะอธิบายสถานการณ์ในโลกมิติมืดให้หานซั่วเข้าใจ เพื่อช่วยขจัดความเข้าใจผิดต่าง ๆ ที่หานซั่วเคยมีเกี่ยวกับโลกมิติมืด
จากการอธิบายของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก หานซั่วก็ค่อย ๆ รู้ตัวในที่สุดว่าตัวเขาเองมีความเข้าใจเกี่ยวกับมิติมืดนี้เพียงด้านเดียว กลายเป็นว่าเหล่าอสูรมิติมืดไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่าที่เขาเรียนรู้จากตำราศาสตร์แห่งความตาย เพราะอสูรในตำรา เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นักเวทย์ผู้ใช้ความตายในสมัยโบราณเคยเรียนรู้เอาไว้ เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวทย์อัญเชิญเพียงเท่านั้น
ยังมีพวกที่วิวัฒนาการหรืออสูรมิติมืดที่กลายพันธุ์อื่น ๆ อีก เช่นเดียวกับอสูรที่เกิดขึ้นมาจากปราณแห่งความตาย ณ เวลาหรือสถานที่จำเพาะ ซึ่งนักเวทย์ผู้ใช้ความตายไม่เคยรู้จักอสูรเหล่านี้ รวมทั้งไม่เคยอัญเชิญได้สำเร็จมาก่อน อสูรเหล่านี้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก มากเสียจนบางตนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรกระดูกเสียอีก
อย่างไรก็ตาม นักเวทย์ผู้ใช้ความตายในอดีตก็ไม่เคยพบเจอพวกมัน และไม่สามารถหาทางอัญเชิญพวกมันได้ พวกมันจึงไม่เคยมีตัวตนอยู่ในตำราศาสตร์แห่งความความตาย เช่นนั้นแล้ว สำหรับเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่ใช้เวลาอยู่ในโลกมิติมืดมานาน และมีรากฐานเดียวกับอสูรเหล่านี้ มันจึงรู้จักอสูร 2-3 ชนิดที่เพิ่งอธิบายไป ซึ่งนักเวทย์ผู้ใช้ความตายไม่เคยได้รู้จัก
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
และจากคำอธิบาย หานซั่วก็พบว่าภายในโลกมิติมืดแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นเขตแดนต่าง ๆ อสูรโบราณที่ทรงพลังมักจะเป็นผู้ครอบครองเขตแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่แต่ละฝ่ายต่างสู้รบปรบมือกันตลอดเวลาเพื่อขยายเขตแดนของตน แต่ก็มีอสูรทรงพลังอีกบางจำพวกเช่นกันที่แหกกฏนั้น และมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวมากพอจนสามารถท่องไปทั่วโลกแห่งมิติมืดได้เพียงลำพัง
“ท่านพ่อ ข้าต้องกลับแล้วล่ะ!”
ขณะที่หานซั่วกำลังพยายามทำความเข้าใจอย่างช้า ๆ กับคำอธิบายของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก จู่ ๆ เจ้าโครงกระดูกก็ส่งกระแสจิตออกมา
เมื่อเวลาล่วงผ่านได้สักพักแล้ว และหานซั่วยังมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกับเจ้าผีดิบธาตุดินและผีดิบชั้นยอดตนอื่นๆ เขาจึงสามารถส่งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกลับไปยังอีกฝั่งหนึ่งในที่ ๆ พรรคพวกของมันอยู่ได้ ซึ่งก็แปลว่าเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กและมังกรกระดูกซาสิก้าก็จะแยกจากกันเป็นระยะทางที่ไกลมาก ๆ และคงไม่สามารถทำอันตรายเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กได้อีก
เมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กร้องเตือนหานซั่ว เขาจึงยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก็ส่งเจ้าโครงกระดูกกลับไปยังมิติมืด ซึ่งหลังจากที่เจ้าโครงกระดูกจากไปแล้ว หานซั่วก็ยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่เจ้าโครงกระดูกเล่าให้ฟัง ซึ่งเกินความเข้าใจของหานซั่วเป็นอย่างมาก จนเขารู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกไปชั่วขณะ
หานซั่วมีความเข้าใจเกี่ยวกับมิติมืดเพิ่มมากขึ้นจากคำอธิบายของเจ้าโครงกระดูกตัวเล็ก เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าโลกนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าไม่ใช่อสูรทุกตัวในมิติมืดที่นักเวทย์ผู้ใช้ความตายจะสามารถอัญเชิญมาได้ และอสูรทรงพลังที่มีอยู่มากมายนั้นก็เหนือกว่าพลังแห่งพันธสัญญาของเหล่านักเวทย์ผู้ใช้ความตายมากเหลือเกิน
หานซั่วส่ายศีรษะและเลิกวิตกกังวลเกี่ยวกับมิติมืด ก่อนจะรวมรวมพลังจิตและร่ายเวทย์ขึ้นมาบทหนึ่ง หอกกระดูกมากมายก่อร่างขึ้นกลางอากาศอย่างเงียบ ๆ และเรียงแถวกันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจและรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก เมื่อนับจำนวนของหอกกระดูกและพบว่ามันเพิ่มขึ้นมาอีกถึงหนึ่งส่วนสาม นั่นก็หมายความว่าพลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว แม้ว่าพลังจิตของเขาจะยังอยู่ในระดับของจอมขมังเวทย์ แต่ยิ่งพลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใด ความทรงพลังของเวทย์ที่เขาร่ายก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นกว่าเดิม ในตอนนี้ หานซั่วสามารถปล่อยหอกกระดูกออกมาได้มากขึ้นด้วยการร่ายเวทย์แบบเดิม จึงเป็นการพิสูจน์ได้อย่างเพียงพอว่าระหว่างที่อยู่ในโลกมิติมืด พลังจิตของเขาก็เพิ่มมากขึ้นอย่างมาก
“อัญมณีบริสุทธิ์รึ… ช่างเป็นของที่ดีจริง ๆ ว่าแต่… ทำไมถึงมีอัญมณีบริสุทธิ์อยู่ในสุสานแห่งความตายด้วยเหมือนกัน? แล้วทำไมคทาหัวกระโหลกถึงส่งวิญญาณของผู้ใช้ไปยังมิติมืดได้ด้วย… เป็นไปได้รึเปล่านะ ว่าจะมีความเชื่อมโยงบางอย่าง ระหว่างสุสานแห่งความตายกับพวกอสูรในมิติมืด…?”
หานซั่วขมวดคิ้วขณะคิดใคร่ครวญ
หานซั่วไม่สามารถไขข้อข้องใจนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าสุสานแห่งความตายเก็บงำความเร้นลับเอาไว้มากมาย เขาตั้งใจว่าหลังจากนี้ จะลองสำรวจสุสานแห่งความตายให้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น เพื่อดูว่ามีอะไรที่เขายังไม่ค้นพบบ้าง
หลังจากที่จิตหลุดเข้าไปยังมิติมืดก็ทำให้เขาหลงวันและเวลา ในเมื่อตอนนี้หานซั่วกลับมายังอาณาจักรแห่งความลึกล้ำแล้ว เขาก็ไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยไปมากแค่ไหน จึงรีบออกจากห้องลับ และขึ้นไปยังชั้นบนพร้อมกับเรียกหาพ่อบ้านแคลลัส
พ่อบ้านแคลลัสขานรับทันทีพร้อมกับเร่งรีบเข้ามาหา
“ท่านเคานต์ ท่านหายไปไหนมาตั้ง 2-3 วันขอรับ? ท่านฟีบี้มาหาท่านที่นี่ตั้ง 3 ครั้งแล้ว และองค์จักรพรรดิยังรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่พระราชวังอีก แล้วก็ยัง… มีข่าวลือแย่ ๆ บางอย่างเกี่ยวกับท่านแพร่ออกไปทั่วเลย ข้ากำลังหนักใจมากทีเดียว”
“ข่าวลืออะไรกัน?”
หานซั่วจับใจความเรื่องสำคัญ และเอ่ยปากถามแคลลัสเรื่องข่าวลือแย่ ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเขา
“คือ… คือว่า…”
พ่อบ้านแคลลัสอึกอัก ก่อนจะตอบออกไปอย่างหวาดกลัวเมื่อหานซั่วจ้องเขม็งมาที่เขา
“มีข่าวลือแพร่ออกไป ว่าท่านเป็นสาวกของศาสนจักรแห่งความหายนะ ถึงคนธรรมดาทั่วไป น้อยคนนักที่จะรู้จักศาสนจักรแห่งความตาย แต่พวกขุนนางและชนชั้นสูงทุกคนต่างก็รู้จักดีว่าศาสนจักรแห่งความหายนะคือศาสนจักรที่ชั่วร้าย”
หานซั่วตกใจกับสิ่งที่แคลลัสพูด ศาสนจักรแห่งความหายนะเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ในสายตาของพวกขุนนาง ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ แต่ก็มีไม่มากนักที่จะรู้สึกดีกับศาสนจักรที่ว่านี้
หานซั่วไม่เคยกล้าที่จะไปข้องแวะกับศาสนจักรแห่งความตายมากนัก เพราะเกรงว่าจะถูกเหมารวม ไม่คิดเลยว่าถึงเขาจะพยายามรักษาระยะห่างกับพวกนั้นมากเพียงใด เรื่องแบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นอีกจนได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวลือนี้แพร่ออกมาจากที่ใด นอกจากศาสนจักรแห่งแสงสว่างและศัตรูทางการเมืองของลอว์เรนซ์แล้ว หานซั่วก็ไม่ได้มีศัตรูมากนักภายในจักรวรรดิแลนซล็อต และตอนนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่หานซั่วกำลังประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างรวดเร็วภายในจักรวรรดิ อีกทั้งยังมีเรื่องมากมายที่เขาต้องรับผิดชอบ ไม่ว่ายังไง ข่าวลือนี้ก็อาจทำลายชื่อเสียงของหานซั่วได้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ท่าทางจะหนักหนาพอควรทีเดียว หานซั่วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบพ่อบ้านแคลลัสกลับไป
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ แล้วก็ช่วยเชิญเจ้าชายลอว์เรนซ์กับฟีบี้ให้หน่อย บอกพวกเขาว่าข้าอยากคุยกับพวกเขาคืนนี้”
หลังจากที่ออกคำสั่งกับแคลลัส หานซั่วก็ออกจากคฤหาสน์ไป เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังศูนย์บัญชาการองครักษ์ชุดดำเพื่อพบกับคานไดด์
เมื่อคานไดด์พบหานซั่ว เขารีบพูดขึ้นทันที
“ทำไมเพิ่งโผล่มาเอาป่านนี้! รีบไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิกับข้าเร็วเข้า ข้ารู้เรื่องของเจ้าหมดแล้ว แล้วก็เคยทูลพระองค์ไปก่อนล่วงหน้าแล้วด้วย เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เห็นทีเราต้องรับมือกันดี ๆ แล้วล่ะ”
ระหว่างทางไปพระราชวัง คานไดด์ก็บอกเขาว่าศาสนจักรแห่งแสงสว่างเป็นคนปล่อยข่าวลือ ด้วยความร่วมมือของเจ้าชายใหญ่ชาลส์ และดยุคแอชเบิร์น ในฐานะ 1 ใน 3 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งองครักษ์ชุดดำ จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคานไดด์จะสืบสวนหาเบาะแสในเรื่องนี้
หานซั่วและคานไดด์หารือกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปยังพระราชวังหลวงผ่านวงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายภายในศูนย์บัญชาการขององครักษ์ชุดดำ และมุ่งหน้าไปยังวังของอูห์เทร็ดในทันที