Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 772 เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ
- Home
- All Mangas
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 772 เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ
ตอนที่ 772 เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ
……….
คำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่มีทางเหมือนกันทั้งหมด
เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชอบเสมอไป จึงเป็นเรื่องปกติที่มีคำวิจารณ์เชิงลบปะปนกับคำวิจารณ์เชิงบวก
ตัวอย่างเช่นบางคนรู้สึกรังเกียจการอุปมาเกี่ยวกับการกินเนื้อ
และยิ่งรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ฟังว่าบนเรือคือสมาชิกในครอบครัว
บางคนนำเรื่องชีวิตมหัศจรรย์ ทรูแมนโชว์มาเปรียบเทียบ เพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องก่อนหน้าคือผลงานที่มีอิทธิพลต่อชีวิตอย่างแท้จริง…
เอาเถอะ
ลางเนื้อชอบลงยา
ไม่ว่าอย่างไรทั้งหมดก็ล้วนเป็นผลงานของเซี่ยนอวี๋
อย่างไรเสีย ชีวิตอัศจรรย์ของพายก็ได้รับความนิยมอย่างมาก
การตีความและการถกเถียงมากมายล้วนมีส่วนช่วยในการผลักดันยอดบ็อกซ์ออฟฟิศในวงกว้าง และดึงดูดผู้ชมนับไม่ถ้วนเข้าสู่โรงภาพยนตร์
วันรุ่งขึ้น
หลินเยวียนล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์สตาร์เน็ตเพื่ออ่านบทวิจารณ์ภาพยนตร์ และอ่านการตีความจากชาวเน็ตไปหนึ่งรวม ซึ่งยังรวมไปถึงการตีความของหลงหยางด้วยเช่นกัน
เขาตกใจเมื่อพบว่า
สิ่งที่ควรพูด ทุกคนก็พูดออกมาแล้ว และตีความภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ค่อนข้างละเอียดทีเดียว
“น่าเสียดาย”
ในสตูดิโอ หลินเยวียนส่ายหน้า
จินมู่ซึ่งอยู่ด้านข้างเห็นว่าหลินเยวียนอ่านบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพาย จึงขยับเข้าไปด้วยความสงสัย “น่าเสียดายอะไรครับ”
เขาเสียดายที่อี้อันไม่มีโอกาสได้ออกโรง
หลินเยวียนมีสามนามปากกาหลัก ได้แก่เซี่ยนอวี๋ ฉู่ขวง และอิ่งจือ
นอกจากนี้ อันที่จริงเขายังมีอีกหนึ่งนามปากกาเล็กๆ ที่ชื่อว่า ‘อี้อัน’
นามปากกาซึ่งมีความโดดเด่นน้อยที่สุด และถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างของสามนามปากกาหลัก โดยสร้างสรรค์ผลงานต่อยอดจากผลงานต้นฉบับเพื่อเพิ่มความนิยมให้กับผลงานต้นฉบับ
ยกตัวอย่างเช่นตำนานหงอคงซึ่งถือกำเนิดจากบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ครั้งนี้หลินเยวียนต้องการให้อี้อันเขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพาย เพื่อเติมเต็มความลับซึ่งยังไม่ได้รับการค้นพบในภาพยนตร์เรื่องนี้ของเซี่ยนอวี๋ และเพิ่มกระแสให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้สักหน่อย
เป็นผลให้ชาวเน็ตต่างรู้สึกประดักประเดิดเมื่อพบว่า
ชาวเน็ตตีความอย่างรอบด้านและครอบคลุมแล้ว อีกทั้งคำใบ้ ‘เวอร์ชันที่สาม’ ที่ซ่อนอยู่ซึ่งเขาคิดว่าทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ก็ถูกนักเขียนบทหลงหยางค้นพบเช่นกัน
บนบลูสตาร์ยังมีปรมาจารย์อีกมากมาย
การตีความของหลงหยางทำให้หลินเยวียนมองบุคคลนี้ด้วยความเคารพมากยิ่งขึ้น
นี่คือนักเขียนบทที่ฝีมือโดดเด่นเด่นมากคนหนึ่ง เขาศึกษาภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนในช่วงเวลาอันสั้น
“จริงสิ!”
จู่ๆ ความคิดก็ปรากฏวาบขึ้นในใจของหลินเยวียน ดูเหมือนว่าอี้อันไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เสียทีเดียว!
บางทีบทกวีนั้นอาจใช้ที่นี่ได้!
ใช่แล้ว
หลินเยวียนนึกถึงบทกวีบทหนึ่ง
บทกวีนี้มีชื่อว่า ‘ในตัวข้า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต’ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของกวีชาวอังกฤษซีกฟรีด เซอซูน
คุณอาจไม่รู้จักบทกวีนี้ แต่ทุกคนคงจะมีความทรงจำลึกซึ้งเกี่ยวกับประโยคหนึ่งในบทกวีนี้
ประโยคนั้นคือ
In me the tiger sniffs the rose!
หากยังนึกไม่ออก หรืออาจส่งความรู้ภาษาอังกฤษสมัยเรียนคืนครูไปแล้ว เช่นนั้นการแปลประโยคนี้โดยกวีอวี๋กวงจะต้องคุ้นหูทุกคนอย่างแน่นอน
[เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ[1]!] มีกี่คนที่ยกประโยคนี้ขึ้นมาใช้เป็นคติโดยไม่เข้าใจอย่าประโยคนี้หมายความว่าอะไร
ที่จริงแล้วเจตนาดั้งเดิมจองประโยคนี้คือการเน้นย้ำถึงด้านทั้งสองของคน
เด็กชาย ‘พาย’ ก็มีสองด้านเช่นเดียวกัน
ด้านหนึ่งคือความเป็นคน อีกด้านหนึ่งคือความเป็นสัตว์ที่โหดเหี้ยม
เพราะฉะนั้น
เมื่อภาพยนตร์เข้าฉายในโลกเดิม ผู้คนมากมายต่างนึกเชื่อมโยงถึงบทกวีบทนี้ สิ่งที่พายประสบพบเจอนั้นสอดคล้องกับบทกวีนี้พอดิบพอดี
จิตใจของมนุษย์มีสองด้านคือเสือและกุหลาบ
หากไร้ซึ่งกุหลาบ ย่อมกลายเป็นบ้าบิ่นและหยาบคายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หากไร้ซึ่งเสือ ย่อมกลายเป็นคนขี้ขาดและสูญเสียความกล้าหาญไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้
หลินเยวียงนจึงล็อกอินเข้าสู่บัญชีบล็อกของอี้อัน และโพสต์บทกวีดังกล่าวในรูปแบบของบทวิจารณ์ภาพยนตร์บนสตาร์เน็ต
……
แม้ว่าการตีความชีวิตอัศจรรย์ของพายจะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ทว่าความกระตือรือร้นของชาวเน็ตกลับไม่ได้ลดลง
บนโลกออนไลน์
คนมากมายพูดคุยถึงแง่มุมต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ในเวลานี้
มีคนสังเกตเห็นบทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่พิเศษนี้
เมื่อแรกเริ่มที่เห็นบทวิจารณ์ภาพยนตร์นี้ ทุกคนไม่ได้ใส่ใจมากนัก และมองข้ามไปทันที จนกระทั่งมีคนเห็นชื่อผู้เขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์
อี้อัน!
อี้อันเขียนรีวิวชีวิตอัศจรรย์ของพายหรือ?
มีคนรู้จักอี้อัน แต่เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของอี้อันนั้นมีขอบเขตจำกัด ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จักเขา
‘อี้อันคือใคร’ มีคนถามขึ้น
‘คุณไม่เคยอ่านตำนานหงอคงเหรอ แฟนฟิกคลาสสิกของของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเรื่องนั้นอี้อันเป็นคนเขียน เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ’ มีคนอธิบาย
‘อ้อๆๆ ที่แท้เขาก็คือคนเขียน!’
‘ผมเคยอ่านตำนานหงอคง อี้อันวิเคราะห์ได้เก่งมาก ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่าเขาจะวิจารณ์ชีวิตอัศจรรย์ของพายว่ายังไง!’
‘กดเข้าไปอ่านหน่อยซิ’
‘ชื่อหัวข้อดูน่าสนใจเลยละ น่าจะเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือว่าอี้อันมีความคิดเห็นที่น่าสนใจกว่านี้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้?’
‘…’
เมื่อเอ่ยถึงอี้อัน ทุกคนอาจไม่รู้จัก แต่ชาวเน็ตกลับรู้สึกคุ้นเคยมากกว่าเมื่อเอ่ยถึงตำนานหงอคง
แทบทุกคนที่ชื่นชอบบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศล้วยเคยอ่านแฟนฟิกชันเรื่องนี้ !
ไม่นาน
ชาวเน็ตหลายคนคลิกเข้าหัวข้อเข้าไปด้วยความสงสัย และอ่านบทวิจารณ์ซึ่งเขียนโดยอี้อัน
“ปรึกษาหารือ ต่างคนหลากความคิด โต้แย้งไม่จบสิ้น
ความปรารถนาสารพัน ปล้นปัจจุบันของข้าไป
เข่นฆ่าเหตุผลบนบัลลังก์ของมันเอง
ความรักของข้าก้าวข้ามขวากหนามแห่งอนาคต
สองเท้าแห่งความฝันเริงรำดั่งใจปอง
ในตัวข้า มนุษย์ถ้ำโอบกอดผู้หยั่งรู้
เทพเจ้าผู้สวมมาลัยขับขานเพลงกำสรวลใส่บรรพบุรุษหูหนวก
เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ
มองเข้ามาในใจข้าเถิด เพื่อนรัก เจ้าจะสะท้าน
เพราะนั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าเช่นกัน
…”
ให้ตายสิ!
นี่มันไม่ใช่บทวิจารณ์หนังสักหน่อย
นี่มันบนกวีชัดๆ !
ประโยคที่ว่า ‘เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ’ ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้นับไม่ถ้วน!
‘คนที่ชื่ออี้อันนี่เจ๋งสุด’
‘เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ!’
‘นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นบทวิจารณ์หนังที่เขียนด้วยบทกวี ถ่ายทอดความหมายได้ตรงประเด็นมาก’
“เสืออยู่ในจิตดอมดมกลิ่นกุหลาบ เข้าใจแล้ว ฉันจะลอกไปใส่ในโปรไฟล์”
‘ประโยคนี้เท่จริงๆ ความเป็นมนุษย์ของพายคือกุหลาบงั้นหรือ?’
‘บทกวีมีเสน่ห์จริงๆ บทวิจารณ์ภาพยนตร์นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงหยางเลย มิหนำซ้ำยังมีความเป็นศิลปะสูงกว่าด้วย ความเข้าใจในผลงานศิลปะของอี้อันนั้นลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน!’
‘เป็นพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมที่น่าทึ่งจริงๆ !’
‘…’
ประโยคคลาสสิกซึ่งสามารถถ่ายทอดต่อไปได้นานนับปีนั้น
ดังเช่นที่ชาวเน็ตบอก
‘เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ’ นั้นยอดเยี่ยมเหลือเกิน
แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นบทกวี
ไม่ใช่ทุกคนที่จะอ่านบทกวีคลุมเครือได้
ขณะที่ คำชื่นชมยกย่องนับไม่ถ้วนปราฏขึ้น คำถามจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นบนพื้นที่แสดงความคิดเห็น
‘อ่านจบแล้วงงมาก นี่มันอะไรกัน’
‘เทพท่านใดโปรดอธิบายหน่อยว่าบทกวีนี้หมายถึงอะไร’
‘ผู้ทรงภูมิที่เขียนบทกวีชอบทำตัวลึกลับเหมือนกลัวคนอื่นจะอ่านเข้าใจ’
‘ที่จริงไม่ได้มีอะไรเข้าใจยาก นักวิจารณ์หนังพูดกันไม่ใช่หรือว่าพายด้านหนึ่งเป็นมนุษย์อีกด้านหนึ่งเป็นเสือ ถ้าเสือเป็นตัวแทนของความเป็นสัตว์ของพาย งั้นดอกกุหลาบก็เป็นตัวแทนของความดีงามของมนุษย์ ทั้งสองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้’
‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’
‘มองเข้ามาในใจข้าเถิด เจ้าจะสะท้าน เพราะนั่นคือใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าเช่นกัน ประโยคสุดท้ายสรุปเกี่ยวกับเสือ สัตว์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์’
‘ประโยคเปิดเหมือนกับที่พวกเราเป็นอยู่ตอนนี้เลย ปรึกษาหารือ ต่างคนหลากความคิด โต้แย้งไม่จบสิ้น?’
‘ให้ความรักเข่นฆ่าเหตุผล จึงจะได้รับการไถ่ถอน ก็เหมือนพายที่กินเนื้อจนไปถึงฟัน จึงตื่นขึ้นมาในที่สุด’
‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง’
‘เป็นคำอธิบายที่เพราะมาก เป็นบทกวีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ’
‘ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นคนเขียนตำนานหงอคน โดนตกแล้ว จะไปตามเดี๋ยวนี้แหละ’
‘อี้อันคนนี้อ่านนิยายของฉู่ขวง แล้วก็ดูหนังของเซี่ยนอวี๋ ดูแล้วคงจะเป็นแฟนคลับของสามสหายไม่ผิดแน่ แถมยังเป็นแฟนคลับระดับเทพอีกด้วย ทั้งบทกวีกับแฟนฟิกชันของเขายอดเยี่ยมมาก’
‘…’
บทกวีนี้ไม่ได้คลุมเครืออย่างที่คิด
ขณะที่มีคนอธิบายเพิ่มเติมมากขึ้น ชาวเน็ตก็ค่อยๆ เข้าใจความหมายของบทกวีนี้
สิ่งสำคัญคือบทกวีนี้สามารถเชื่อมโยงถึงเรื่องราวของภาพยนตร์ได้
การตีความทั้งโดยเปรียบเทียบสองฝั่งเพื่อให้เกิดความเข้าใจนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทุกประโยคล้วนมีความหมายลึกซึ้ง
แน่นอน
บทกวีอาจถ่ายทอดความหมายที่แตกต่างกันในบริบทที่ต่างกัน
การอธิบายของแต่ละคนอาจไม่สอดคล้องกับสิ่งที่กวีต้องการสื่อไปเสียทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นในภาพยนตร์เรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพาย บทกวีนี้ก็สามารถสะท้อนความหมายออกมาได้ในทุกๆ ประโยค
ราวกับว่าบทกวีนี้อ้างอิงมาจากภาพยนตร์!
นี่คือความบังเอิญที่มหัศจรรย์
และเป็นเพราะความบังเอิญนี้เองที่ทำให้บทกวีนี้โด่งดัง!
ต้องเข้าใจว่า
ขณะนี้คือช่วงเวลาซึ่งทุกคนกำลังถกเถียงเกี่ยวกับชีวิตอัศจรรย์ของพายกันอย่างดุเดือด จู่ๆ บทกวีปรากฏขึ้นมา จะไม่สามารถดึงดูดความสนใจรอบด้านได้เชียวหรือ?
พรึบๆๆ !
ในไม่ช้าบทกวีนี้ก็ได้รับการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ถูกประโยคว่า ‘เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ’ พิชิตใจ
เป็นวรรคทองในบทกวีทั้งหมด
หากไม่มีประโยคนี้ บทกวีนี้คงไม่กลายเป็นผลงานชิ้นเอกของซีกฟรีด เซอซูน
อันที่จริง บทกวีชื่อดังทั้งหมดล้วนเป็นเพราะมีสักวรรคหนึ่งเป็นวรรคทอง
ถ้าหากบทกวีนั้นๆ มีวรรคทองมากกว่าหนึ่งวรรค จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ยกตัวอย่างเช่น ‘ทำนองวารี’ ของซูตงพัว
ไม่นาน
ประโยคว่า ‘เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ’ ก็กลายเป็นเครื่องมือสำหรับอวดความรู้ชองคนหนุ่มสาวในแวดวงวรรณกรรม และปรากฏบนแคปชันในโปรไฟล์ของผู้คนนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว
อย่ามองว่าฉันไม่น่ากลัวไม่เป็นอันตราย
ที่จริงแล้วฉันเป็นเสือกินคนตัวหนึ่ง!
ไม่ว่าอย่างไรก็มีชาวเน็ตซึ่งไม่ได้ใส่ใจคำอธิบายโดยละเอียดแต่สนใจประโยคนี้ที่เข้าใจเช่นนี้
很快。ไม่ทันไร
หลินเยวียนก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจำนวนผู้ติดตามบนบล็อกของอี้อันเพิ่มสูงขึ้น นี่คือครั้งที่สองที่แฟนคลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อจากตำนานหงอคง
พื้นที่แสดงความคิดเห็นคึกคักผิดปกติเช่นกัน
‘ที่แท้นี่ก็คือคนเขียนตำนานหงอคง’
‘สไตล์การเขียนของอี้อันเหนือชันมาก พวกคุณนึกถึงเสืออยู่ในจิต แต่ผมกลับนึกถึงประโยคคลาสสิกในตำนานหงอคง อย่างข้าปรารถนาให้ท้องฟ้านี้บดบังดวงตาของข้าไม่ได้อีกต่อไป ปรารถนาให้ปฐพีนี้ฝังกลบหัวใจของข้าไม่ได้อีกต่อไป…’
‘ผมรู้จักประโยคนี้ ที่แท้ก็มาจากตำนานหงอคงของอี้อัน?’
‘ใช่แล้ว ในตำนานหงอคงของอี้อันมีประโยคคลาสสิกที่เจ๋งๆ เต็มไปหมด แนะนำให้คุณไปอ่านสักรอบ ฉันอ่านบทวิจารณ์หนังของอี้อันแล้วคิดว่าจะไปทบท วนแฟนฟิกเรื่องนี้อีกสักรอบ’
‘เอาซี่ ชอบปรมาจารย์คนนี้ขึ้นมาแล้ว งานเขียนของเขาถูกจริตฉันมาก อวดพลังฉ่ำ!’
‘คนที่แกล้งชอบจะต้องชอบสไตล์ของอี้อันแน่ๆ ’
‘แม้แต่ตอนเขียนวิจารณ์หนังก็ยังมีสไตล์ที่แตกต่างจากคนอื่น มีกลิ่นอายของเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีความเป็นตำนานหงอคงมาก!’
‘ผู้มีความรู้ย่อมใช้พรสวรรค์ทำให้คนเกลียดไม่ลง เราทำได้แค่ยกย่องยอดฝีมือประเภทนี้!’
‘…’
ผลลัพธ์ของบทกวีนี้ดีกว่าที่หลินเยวียนคาดไว้
ไม่น่าแปลกใจที่นักเขียนนิยายออนไลน์หลายคนรวมไปถึงเฟิงหั่วชอบใช้ประโยค นี้ ได้ผลลัพธ์ดีกว่าประโยคว่า ‘ชีวิตข้าขึ้นอยู่กับข้าหาใช่สวรรค์’ ด้วยซ้ำไป ทรงพลังจนน่ากลัวเชียวละ!
[1] เสืออยู่ในจิต ดอมดมกลิ่นกุหลาบ ถอดความได้ว่าในใจมีเสือดุร้าย แต่กลับดอมดมกุหลาบอย่างอ่อนโยน เปรียบเปรยว่ามนุษย์มีด้านที่ป่าเถื่อนและด้านที่อ่อนโยน