Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 759 พิน็อกคิโอ
ตอนที่ 759 พิน็อกคิโอ
หลินเยวียนเขียนเรื่องสั้นชื่อว่า ‘หุ่นไม้ผจญภัย’
อันที่จริงเรื่องนี้มีฉบับยาว ซึ่งเป็นเนื้อหาจากต้นฉบับ มีทั้งหมด 36 ตอน ความยาวประมาณหนึ่งแสนตัวอักษร
แน่นอน
แม้แต่ฉบับเรื่องสั้น เรื่องราวของพิน็อกคิโอยังคงรักษาความน่าสนใจไว้ได้
เพราะฉะนั้น
หลังจากที่นิทานได้รับการตีพิมพ์ อวี๋ฉินอ่านเนื้อหาทั้งหมดก่อนหนึ่งรอบ ก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจ
เป็นนิทานที่น่าสนใจมาก!
กล่าวให้ชัดคือ หุ่นไม้ผจญภัยคล้ายกับว่าไม่ได้เป็นเพียงเทพนิยาย แต่ยังมีความเป็นนิทานสอนใจอีกด้วย
ความแตกต่างอยู่ที่
จุดประสงค์ของเทพนิยายคือการเล่าเรื่องราวที่เด็กๆ ชื่นชอบ
ส่วนจุดประสงค์ของนิทานสอนใจมักเป็นการยกระดับเนื้อหาหลัก โดยอธิบายหลักการและคำสอนในมุมมองของการเรียนรู้จากความสนุกสนาน
จะว่าไปแล้ว
มุมมองที่ผู้ใหญ่และเด็กมีต่อเทพนิยายนั้นแตกต่างกัน
ผู้ใหญ่อาจรู้สึกว่าเด็กๆ ชื่นชอบเทพนิยายที่ไร้เดียงสา ขณะที่เด็กๆ อาจไม่ได้เพลิดเพลินกับเรื่องราวที่ผู้ใหญ่คิดว่าสนุกก็เป็นได้
วัยที่ต่างกันย่อมมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
อวี๋ฉินชื่นชอบเรื่องนี้มาก แต่เธอไม่รู้ว่าลูกจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
“แม่เล่า!”
หงหงนั่งตรงข้ามแม่ของตนอย่างอดใจรอไม่ไหว
ในความคิดของหงหง แม้ว่าฉู่ขวงจะเป็นคนไม่ดี แต่คนไม่ดีคนนี้เขียนนิทานได้สนุกมาก
“ได้สิ”
อวี๋ฉินคลี่ยิ้ม จากนั้นจึงเล่าอย่างอ่อนโยน “ในแดนนิทานมีหุ่นไม้ที่พูดได้”
“หุ่นไม้พูดได้ด้วยเหรอ?”
ฮวาฮวาเอ่ยขึ้นในทันใด
หงหงไม่สบอารมณ์ “ซูเค่อกับเป้ยถ่าเป็นหนูก็ยังพูดได้เลย!”
แม่หัวเราะเบาๆ “ปกติแล้วหุ่นไม้พูดไม่ได้ แต่นี่คือหุ่นไม้ที่พูดได้ คุณปู่จางเลยตัดสินใจแกะสลักไม้เป็นคนไงล่ะลูก”
หงหงถาม “คุณปู่จางตายไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
คุณปู่จางคือตัวละครฝ่ายธรรมะคนแรกซึ่งถูกส่งกลับบ้านเก่า ทว่าช่างไม้ในนิทานเรื่องนี้ก็มีชื่อว่าคุณปู่จางเช่นกัน
“…”
อวี๋ฉินตะลึงอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นเมื่อพอจะคาดเดาได้ถึงจุดประสงค์ในการตั้งชื่อตัวละครเช่นนี้ของฉู่ขวง จึงยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมา
เธอเอ่ยอย่างคล่องแคล่ว
“ที่จริงคุณปู่จางไม่ได้ตาย เขาเพียงแต่เข้าไปอยู่ในแดนนิทาน แล้วก็กลายเป็นช่างไม้”
เด็กๆ บนบลูสตารที่เคยอ่านคนที่เคยอ่านนิทานของฉู่ขวงต่างรู้ว่า แดนนิทานเป็นสถานที่ที่งดงามแห่งหนึ่งในนั้นมีเจ้าชายและเจ้าหญิง ทั้งยังมีนางเงือก และแน่นอนว่ามีซูเค่อและเป้ยถ่า
สรุปคือตัวละครทุกตัวในนิทานของฉู่ขวงล้วนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้
ใช่แล้ว
หลินเยวียนทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างแดนนิทาน
เขารวบรวมภูมิหลังของนิทานทั้งหมด และทำให้เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นในสถานที่ซึ่งมีชื่อว่าแดนนิทาน
นั่นยังรวมไปถึงหุ่นไม้ผจญภัย ก็ได้กลายมาเป็นเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในแดนนิทานเช่นเดียวกัน
และด้วยเหตุนี้เอง
แดนนิทานจึงกลายมาเป็นสถานที่ที่เด็กๆ หลายคนใฝ่ฝัน
ไม่ว่าอย่างไรในแดนนิทานก็มีเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ผู้เลอโฉม มีอลิซซึ่งเปลี่ยนขนาดร่างกายได้ แถมยังมีนางเงือกอีก…
“คุณปู่จางไม่ตาย ดีจังเลย!”
หงหงดีใจมาก รีบเร่งเร้ามารดา “อ่านต่อเลยค่ะ!”
อวี๋ฉินยิ้มบาง หลังจากนั้นจึงเล่าเรื่องราวของพิน็อกคิโอต่อ
“พิน็อกคิโอพูดโกหกไม่ได้…”
“ทุกครั้งที่พูดโกหก จมูกของพิน็อกคิโอจะยาวขึ้น”
“เมื่อเขาโกหกไปเรื่อยๆ จมูกของเขายาวขึ้นจนเท่าห้อง แม้จะหันไปมาอยู่กับที่ก็ไม่สะดวก”
“…”
อวี๋ฉินเล่าเรื่องราวอย่างสมจริง
หงหงเริ่มเคลิบเคลิ้ม
ในเวลานี้อวี้ฉินสังเกตเห็นว่า หวาหวาขยับเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และกำ ลังฟังนิทานด้วยสีหน้าตั้งใจ
‘เด็กคนนี้ชอบเรื่องนี้’
เธอรู้สึกดีใจขึ้นมา และค่อยๆ เล่าเรื่องราวอย่างจริงจัง
เธอไม่ทันได้สังเกตเลยว่า สีหน้าของเด็กทั้งสองเปลี่ยนไป
“…สุดท้าย จมูกของพิน็อกคิโอจึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมในที่สุด”
เรื่องราวหนึ่งหมื่นตัวอักษร ใช้เวลาเล่าไม่นานนัก
เมื่อเรื่องราวจบลง อวี๋ฉินกำลังจะสามลูกทั้งสองว่าพวกเขาคิดอย่างไร แต่กลับเห็นว่าจู่ๆ หวาหวาก็ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล
“เป็นอะไรไป”
อวี้ฉินกังวลเล็กน้อย หรือว่ามีอะไรผิดปกติกับเรื่องนี้?
เมื่อกี้ก็ฟังอย่างเพลิดเพลินไม่ใช่หรือ
“แม่ฮะ…”
หวาหวามีสีหน้าเศร้าสร้อย “จมูกผมยาวขึ้นแล้ว ผมไม่อยากให้จมูกยาว หมิงหมิงต้องขำผมแน่เลย!”
“อ๋า?”
“ครั้งหน้าผมจะไม่โกหกอีกแล้ว จริงๆ แล้วผมใส่งูของเล่นในกระเป๋าของเสี่ยวเหม่ย ยังมีสอบครั้งก่อน ผมสอบไม่ผ่าน แล้วก็ครั้งก่อนๆ ผมทำกระจกในห้องเรียนแตก แต่ผมไม่ยอมรับ…”
อวี้ฉินจนคำพูด
หงหงเริ่มกลัว ลูบจมูกของตนเอง รู้สึกว่าจมูกงอกออกมาต่างจากปกติ
“จมูกของหนูยาวออกมาแล้วใช่ไหม?”
“ลูกก็โกหกเหรอ?”
อวี๋ฉินแทบหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน
หงหงร้องไห้ “หนูโกหกแค่ครั้งเดียว ครั้งก่อนแม่ออกไปข้างนอก หนูแอบดูการ์ตูน พอแม่กลับมาหนูก็ปิดทีวี หนูดูไปแค่แป๊บเดียวเอง”
อวี๋ฉินร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
เธอลูบหัวเล็กๆ ของลูกทั้งสอง “จมูกของพวกลูกไม่ได้ยาวออกมาหรอก เพราะพวกลูกกล้ายอมรับความผิด”
“จริงเหรอ?”
เด็กทั้งสองนึกสงสัย ก่อนจะยังวิ่งไปส่องกระจกเปรียบเทียบ
อวี๋ฉินบอก “ครั้งหน้าอย่าพูดโกหกอีกนะ พูดโกหกมากจมูกจะยาวเหมือนพิน็อกคิโอ…”
“ผมจะไม่พูดโกหกอีกแล้ว!”
หวาหวาตะโกนลั่น จากนั้นก็ลูบจมูกอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“หนูก็เหมือนกัน!”
หงหงมั่นใจขึ้นมาก
อวี๋ฉินรู้สึกขบขัน ขณะเดียวกันก็รู้สึกตกใจอย่างอธิบายไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสได้ถึงความหมายเชิงสั่งสอนจากนิทานสักเรื่องหนึ่ง
“ที่จริงฉู่ขวงเป็นคนดีสินะ”
เธอคิดเช่นนี้ ในใจเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งและอบอุ่นใจ
หลังจากนั้น เธอลูบจมูกตรงตามสัญชาตญาณ รู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
……
และสิ่งที่เกิดขึ้นที่บ้านของอวี๋ฉินเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง
สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในหลายครอบครัว
“แม่คะหนูผิดไปแล้ว!”
“พ่อ ผมจะไม่พูดโกหกอีกแล้ว!”
“จมูกรีบหดกลับไปเร็ว!”
“ไม่ได้โกหก ทำไมจมูกถึงยาวขึ้นมาล่ะ”
“เพราะว่าถูกยุงกัดจนบวมขึ้นมาไงล่ะ”
“เพราะงั้น อย่าโกหกแล้วนะ คนที่โกหกจมูกจะยาว!”
“….”
นี่อาจเป็นเงามืดในใจอีกประเภทหนึ่งของเด็กๆ
เช่นเดียวกับรูปแบบคำสอนประเภท ‘ถ้าร้องไห้อีกจะถูกเสือจับไปกิน’
สิ่งที่ต่างกันคือ รูปแบบแรกมีความสมเหตุสมผลมากกว่า มีประสิทธิผลของการเรียนรู้จากความสนุกที่เข้มข้นกว่า และเปี่ยมไปด้วยความหมายในเชิงบวก ขณะที่แบบหลังอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กได้อย่างง่ายดาย
……
และเมื่ออิทธิพลของนิทานเรื่องนี้เริ่มแผ่ขยายจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โลกออนไลน์ก็เริ่มคึกคักขึ้นมา!
นิทานเรื่องนี้โด่งดังขึ้นมาในช่วงเวลาอันสั้น!
ชาวเน็ตจำนวนมากแสดงความคิดเห็นอย่างตื่นเต้น!
‘เรื่องนี้น่าสนใจมาก!’
‘ลูกที่บ้านฟังนิทานเรื่องนี้จบก็ยอมรับความผิดทั้งหมดที่ทำไปทันที ทำเอาฉันโมโหจนควันออกหู ที่แท้เจ้าเด็กคนนี้ก็ทำให้ปลาทองของฉันตาย!’
‘พูดโกหกแล้วจมูกจะยาว แน่ใจใช่ไหมว่านี่จะไม่ใช่เงาในในวัยเด็กอีก ฮ่าๆๆๆๆ’
‘เจ้าแก่ฉู่ขวงโหดร้ายกับผู้ใหญ่ แต่ใช้ไม้อ่อนกับเด็ก แต่ผมชอบนะ แถมเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจมาก ตัวประกอบที่ถูกเอ่ยถึงในนิทานเรื่องนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นตัวละครที่โดนส่งกลับบ้านเก่าในเรื่องหยางเสี่ยวฝานและฉินเทียนเกอ พวกเขานับว่าพื้นคืนชีพอีกครั้งในแดนนิทาน!’
‘ขอบคุณอาจารย์ฉู่ขวงที่เขียนเรื่องราวที่สนุกแบบนี้ให้กับเด็กๆ !’
‘ทั้งที่เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยคำสอน แต่ก็ไม่ได้ใช้คำเทศนาทั่วไปมา เด็กๆ ฟังเข้าใจ เป็นนิทานที่สนุกมากๆ เรื่องหนึ่งเลย!’
‘ลูกผมร้องแต่ว่าอยากจะไปแดนนิทาน จะไปเป็นเพื่อนกับพิน็อกคิโอ (หัวเราะน้ำตาไหล)’
‘พิน็อกคิโอน่าสนใจมาก โกหกแล้วจะจมูกยาก พล็อตแบบนี้สนุกมาก!’
‘นิทานเรื่องนี้น่าสนใจกว่าเจ้าหญิงสโนว์ไวท์อีก!’
‘เอาล่ะ มายกโทษให้การกระทำที่ไร้สติสตังของเจ้าแก่ฉู่ขวงกันเถอะ นิทานเรื่องนี้ใช้ปลอบใจเด็กได้ผลชะงัดเชียวละ!’
……
ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักเขียนนิทานในวงการก็อ่านเรื่องราวของหุ่นไม้ผจญภัยจบแล้ว
“บ้าชะมัด!”
“เรื่องนี้สุดยอดมากเลย!”
“นี่เขียนออกมาภายในสองชั่วโมงหรือ?”
“นักเขียนนิทานเก้าคนที่ประชันวรรณกรรมกับฉู่ขวงก่อนหน้านี้ไม่ได้แพ้แบบไร้ความยุติธรรม!”
“นี่คือหนึ่งในนิทานที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่านมาเลย!”
“เดี๋ยวนะ…”
“ชื่อพิน็อกคิโอนี่คุ้นหูอยู่นะ”
“ให้ตายสิ!”
“นี่มันเนื้อเพลงแดนนิทานไม่ใช่หรือ?”
“ได้ยินว่าพิน็อกคิโอมักพูดโกหก?”
“นี่มันนิยายที่ใช้เวลาเขียนแค่สองชั่วโมงที่ไหนกัน เจ้าแก่ฉู่ขวงคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่ปล่อยเพลงแล้ว!”
“…”
ในที่สุดทุกคนก็ค้นพบจุดบอด!
นี่ไม่ใช่นิทานที่เขียนขึ้นมาภายในเวลาสองชั่วโมง ทว่าข้อมูลที่ถูกเปิดเผยกลับน่ากลัวยิ่งกว่า!
เนื้อเพลงของเพลงซึ่งมีชื่อว่า ‘แดนนิทาน’ นี้ สื่อถึงนิทานแต่ละเรื่องจริงๆ !
เมื่อแดนนิทานทั้งเพลงเรียงร้อยเข้าหากัน จักรวาลแห่งนิทานซึ่งมีอิทธิพลต่อเด็กๆ ในยุคสมัยนี้จึงถือกำเนิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว!
ส่วนพิน็อกคิโอก็คือสมาชิกคนใหม่ในจักรวาลนิทานแห่งนี้!
ในชั่วขณะนี้!
พิน็อกคิโอโด่งดังขึ้นมาแล้ว!