cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
Advanced
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Prev
Next

Doombringer the 5th - ตอนที่ 134

  1. Home
  2. All Mangas
  3. Doombringer the 5th
  4. ตอนที่ 134
Prev
Next

Ch.134 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (5)

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 130

นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (5)

 

Part 1

 

อีกด้านหนึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่ชั้นหกของนิทรรศการซึ่งเป็นโซนร้านค้าและบริการ มีสมุนรับใช้สองตัวซึ่งมีลักษณะคล้ายกับนักเวทแคระในชุดคลุมสีเหลืองและสีส้มกำลังเดินเขย่งปลายเท้าไปตามทางเดินในงานพลางแวะดูร้านรวงต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ด้วยท่าทางสบายอารมณ์

“เฮ้! ร้านขนมปังตรงโน้นมีเพรสเทลอันยักษ์ด้วยล่ะ! ไปซื้อมากินกันเถอะ!”

นักเวทแคระในชุดคลุมสีเหลืองโบกสะบัดชายแขนเสื้ออันรุ่มร่ามของเขาไปทางร้านขนมปังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักพลางสื่อสารกับนักเวทแคระในชุดคลุมสีส้มผ่านทางโทรจิตไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาในทันที

“อื้ม! ใกล้ ๆ กันก็มีร้านใส้กรอกด้วย! ไอ้สีดำ ๆ นั่นจะใช่ใส้กรอกเลือดรึเปล่านะ!? เดี๋ยวแวะไปดูกันดีกว่า!”

“โอเค!”

นักเวทแคระในชุดคลุมสีเหลืองก็คือลูเซียน ในทีแรกเขาอยากจะไปที่ชั้นแปดมากกว่า แต่พอได้เห็นสารพัดร้านค้าบนชั้นหกซึ่งมีทั้งสินค้าและอาหารจากทั่วทั้งสามทวีปมารวมอยู่ในที่เดียวกัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นจนลืมไปแล้วว่ากะจะแวะชั้นนี้เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น

ทั้งสองวิ่งดูและซื้อทั้งของกินของใช้จากร้านต่าง ๆ มาเป็นจำนวนมาก จนเงินที่พกติดตัวมาเริ่มร่อยหลอลง ทำให้ลูเซียนที่ควานเข้าไปในแขนเสื้อแล้วพบว่ามีเหรียญเงินเหลืออยู่เพียงไม่กี่เหรียญต้องขมวดคิ้ว

“แย่จริง เหลืออีกไม่กี่ซิลเวอร์เอง นายยังพอมีเงินอยู่อีกรึเปล่าเทเรนซ์?”

“ของฉันก็ใกล้หมดแล้วเหมือนกัน คงต้องหาที่เปลี่ยนร่างกลับเพื่อโยกย้ายเงินมาให้ร่างนี้แล้วล่ะ”

เพราะร่างนักเวทแคระนี้เป็นแค่ร่างอัญเชิญที่ใช้ในการพรางตัว ช่องมิติเก็บของในร่างนี้ก็ไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างจริง ทำให้มีเพียงทรัพย์สิน, อุปกรณ์, และสมุนอันเชิญที่ใช้งานได้แค่เท่าที่จำเป็น เมื่อทำการใช้จ่ายอย่างมือเติบ เงินที่จัดสรรไว้ให้ร่างนี้จึงหมดลงอย่างรวดเร็ว

“เปลี่ยนร่างกลับงั้นเหรอ… มีคนสะกดรอยอยู่แบบนี้จะทำได้ยังไงกันล่ะ? ว่าไปแล้วต่อให้เงินไม่หมด เราก็คงไม่มีโอกาสได้นั่งกินของที่ซื้อมากันแบบชิล ๆ อยู่แล้วล่ะนะ น่าหงุดหงิดชะมัดเลยแฮะ”

ทั้งลูเซียนและเทเรนซ์ต่างก็รู้ตัวว่ากำลังถูกคนสะกดรอยตามอยู่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้นัก จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่การถูกสะกดรอยทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นมาในหลาย ๆ แง่ ลูเซียนจึงเริ่มรู้สึกหงุดหงิด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คิดซะว่าพวกเขาเป็นคนคุ้มกันที่คอยดูแลความปลอดภัยให้กับเราสิ ส่วนเรื่องของกิน เดี๋ยวเราเอามานั่งกินกันเลยก็ได้ คงไม่มีปัญหาหรอก”

เทเรนซ์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ทำให้ลูเซียนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย

“จะไม่มีปัญหาได้ไงกันล่ะ เป็นสมุนรับใช้แล้วมานั่งกินขนมกันเนี่ย มันดูผิดสังเกตออก”

“ดูพิเศษต่างหาก ยังไงท่านจอมพลก็กะจะมาสร้างชื่อเสียงที่นี่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ดังนั้นถึงเราจะทำอะไรที่สะดุดตาหรือดึงดูดความสนใจสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรหรอก แถมแบบนี้ยังอาจปูทางให้กับการสร้างชื่อของท่านจอมพลได้ด้วยนะ”

“ปูทาง? ยังไง?”

“ก็สมุนรับใช้ที่นั่งกินข้าวกันได้เนี่ยไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน ผู้คนก็จะกล่าวขานกันถึงความพิเศษของท่านจอมพล และให้ความสนใจในตัวท่านจอมพลมากขึ้น พอเป็นจุดสนใจแล้วก็จะสร้างชื่อเสียงได้ง่ายขึ้นไงล่ะ”

“ท่านจอมพลคิดจะสร้างชื่อในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มืดที่แข็งแกร่งและน่าเป็นพันธมิตรนะ ไม่ได้จะสร้างชื่อในฐานะเจ้าของคณะละครสัตว์! จะเปิดตัวด้วยการมีตัวประหลาดอย่างสมุนรับใช้ที่กินข้าวได้ไปเพื่ออะไรกันเล่า!?”

“อย่าคิดแบบนั้นสิ โอกาสก็คือโอกาส พอเรียกความสนใจมาได้แล้วค่อยพัฒนาชื่อเสียงไปในแนวทางอื่น ด้วยความสามารถของท่านจอมพลและการสับสนุนของเราน่ะ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว”

เทเรนซ์กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงใส ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ทำให้ลูเซียนได้แต่มองด้วยแววตาเหนื่อยหน่าย เขาชอบจับคู่กับเทเรนซ์เพราะอีกฝ่ายเป็นคนมองโลกในแง่บวกและมักจะเห็นด้านดีของสิ่งต่าง ๆ เสมอ แต่บางครั้งมันก็ทำให้ลูเซียนรู้สึกหงุดหงิดได้เหมือนกัน

“เฮ้อ~ ช่างเถอะ ๆ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า ยังไงซะ การดึงดูดความสนใจก็ไม่ใช่สไตล์ของฉันอยู่แล้ว เพราะสำหรับฉันน่ะ ถ้าคิดจะทำอะไรละก็… มันต้องสำเร็จอย่างไร้ร่องรอยต่างหาก!”

ลูเซียนกล่าวขึ้นในขณะที่เหลือบตามองไปทางเหล่าผู้สะกดรอยด้วยประกายตาอันแวววับ ส่วนเทเรนซ์ที่เห็นดวงตานั้นก็เดาออกว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ อยู่ภายใต้ผ้าคลุมอันดำมืดนั้น

 

คนของฝ่ายเฝ้าระวังที่ตามสะกดรอยลูเซียนกับเทเรนซ์มานั้นเป็นชายหนุ่มสองคนซึ่งสวมชุดนักผจญภัยทั่วไปเหมือนกับผู้เข้าร่วมงานคนอื่น ๆ ทั้งสองคนต่างก็แยกย้ายกันไปซุ่มอยู่ตามมุมของระเบียงของชั้นลอย และใช้แหวนสื่อสารติดต่อกันเป็นระยะ ๆ ในขณะที่เฝ้าดูเป้าหมายไปด้วย

“เจ้าสมุนรับใช้สองตัวนั้นมันมีพฤติกรรมแปลก ๆ จริง ๆ แฮะ แต่มันแปลกในแบบที่… จะว่ายังไงดีล่ะ ถ้ามันแอบไปด้อม ๆ มอง ๆ หรืออยู่ในที่ ๆ ไม่ควรจะอยู่ก็พอเข้าใจได้หรอกนะว่าเป็นสมุนรับใช้ที่ถูกส่งออกมาด้วยเจตนาจะสอดแนม แต่นี่มันดันวิ่งช๊อปแหลกไปทั่วย่านการค้ายังกับเด็กที่เพิ่งได้เข้ามาเที่ยวในเมืองเป็นครั้งแรกแน่ะ… คือมันแปลก แต่ก็ในแบบที่… ประหลาด?”

“อืม… นั่นสินะ ถึงการเร่ซื้อของไปให้กับเจ้านายจะเป็นพฤติกรรมปกติของสมุนรับใช้ แต่เจ้าสองตัวนั่นมันจะดูกระดี๊กระด๊าเกินไปหน่อยรึเปล่า? ยังกับ… มีชีวิตจิตใจงั้นแหละ… เอ๊ะ?…”

ในระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ นักเวทแคระในชุดเหลืองก็จูงมือนักเวทแคระในชุดส้มเดินหายเข้าไปในกลุ่มคนที่อยู่บริเวณกลางตลาด ซึ่งด้วยความสูงของทั้งสองที่อยู่แค่ระดับเอวของคนทั่วไปก็ทำให้ทั้งคู่ถูกกลืนหายไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว จนเหล่าผู้สะกดรอยคลาดสายตาจากพวกเขาไป

“บ้าจริง เจ้าสองตัวนั่นหายไปไหนแล้วเนี่ย? นายเห็นรึเปล่า?”

“ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่มันต้องยังอยู่ในนั้นแหละ นายคอยจับตาดูจากข้างบนนี้นะ ส่วนฉันจะลงไปหาจากข้างล่างเอง”

“อืม”

แม้จะคลาดสายตาจากเป้าหมาย แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มองว่างานนี้เป็นงานสำคัญอะไรตั้งแรกแล้ว ถึงกระนั้นก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้สมุนรับใช้ทั้งสองคลาดสายตาไปได้เช่นกัน หนึ่งในผู้สะกดรอยจึงลงจากระเบียงและตรงเข้าไปในฝูงชนเพื่อมองหาเหล่าสมุนรับใช้ที่หายไป

ภายในบริเวณใจกลางของย่านการค้านั้นมีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านแต่ก็ไม่ถึงกับเบียดเสียด ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถหาตัวของนักเวทแคระทั้งสองได้พบแม้เขาจะเดินวนเวียนอยู่เป็นเวลานาน เขาจึงติดต่อกลับไปยังผู้สะกดรอยอีกคน

“หาไม่เจอเลย ทางโน้นพอจะเห็นอะไรบ้างรึเปล่า?”

“ไม่เห็นเลยเหมือนกัน แต่พวกมันน่าจะยังอยู่ในนั้นแน่ ๆ เพราะบริเวณลานตรงนั้นมีทางเข้าออกแค่สองทาง ฉันยังไม่เห็นพวกมันตัวไหนออกไปเลยนะ ลองไปดูทางซ้ายโน่นมั้ย แถว ๆ ร้านเบอเกอร์น่ะ ตรงนั้นคนค่อนข้างหนาแน่น พวกมันอาจอยู่แถวนั้นก็ได้”

เมื่อได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ชายหนุ่มจึงเดินตรงเข้าไปในบริเวณหน้าร้านเบอเกอร์ซึ่งมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่ในทันที แต่ถึงแม้จะเดินซอกแซกไปมาหลายรอบก็ยังไม่พบวี่แววของนักเวทแคระทั้งสอง เขาจึงยกมือขึ้นมาเพื่อใช้แหวนสื่อสารติดต่อกลับไปหาเพื่อนอีกครั้ง

“ไม่เจอเลย นายแน่ใจนะว่า… เอ๋?”

เมื่อยกมือขึ้นมาทำการสื่อสาร ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่มือของเขา นั่นก็คือแหวนสื่อสารซึ่งควรจะสวมอยู่ที่นิ้วกลางข้างซ้ายกลับหายไป ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วลงด้วยความข้องใจ เพราะเท่าที่จำได้เขายังไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วเลย และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถอดแหวนออกด้วย

แม้จะรู้สึกงุนงง แต่ชายหนุ่มก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อควานหาแหวนสื่อสาร เขาคิดว่าบางทีตนเองอาจจะเผลอหรือลืมตัวและเก็บแหวนสื่อสารเข้ากระเป๋าไป ทว่าหลังจากควานหาสิ่งของในกระเป๋าเสื้ออยู่พักหนึ่ง ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้น

เพราะภายในกระเป๋าเสื้อของเขานั้นกลับว่างเปล่า นอกจากจะไม่มีแหวนสื่อสารแล้ว กระเป๋าสตางค์ที่เขาพกติดตัวไว้ก็ยังหายไปด้วย

ชายหนุ่มรีบเปิดดูช่องมิติเก็บของซึ่งเขาใช้ในการเก็บของมีค่าต่าง ๆ เผื่อว่าตนเองจะเผลอนำของทุกอย่างเก็บเข้าช่องมิติไป แต่เมื่อกวาดตามองเข้าไปในช่องมิติ ดวงตาของชายหนุ่มก็ต้องเบิกโพลงอีกครั้งด้วยความตกใจ

เพราะช่องมิติเก็บของซึ่งเคยมีของใช้ส่วนตัวอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินสำรอง, อาวุธและชุดต่อสู้ประจำกาย, ไอเท็มเวทมนตร์และโพชั่นต่าง ๆ กลับหายไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงความว่างเปล่า

“ทะ.. ทำไมถึงไม่มีอะไรเลยล่ะ!? นี่เรา.. โดนล้วงกระเป๋า!? แถมยัง.. โดนกรีดมิติด้วยงั้นเหรอ!? ขะ.. ขโมยยยย!!”

ชายหนุ่มตะโกนขึ้นเพราะรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่ผู้สะกดรอยอีกคนซึ่งเฝ้าดูอยู่บนระเบียงลอยก็หันมามองเพื่อนที่กำลังแหกปากอยู่ตรงลานกว้างด้วยความข้องใจด้วย

นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่นักเวทแคระในชุดเหลืองและชุดส้มแอบย่องออกจากบริเวณลานกว้างไป

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

“รวมกับเงินในช่องมิติแล้ว หมอนี่มีเงินตั้งห้าร้อยซิลเวอร์แน่ะ ก็ไม่เลวเลยนะ เอ้า นายเอาไปสองร้อยห้าสิบละกัน”

ลูเซียนแบ่งเงินให้กับเทเรนซ์ผ่านช่องมิติเก็บของในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินออกห่างจากจุดเกิดเหตุ นี่เป็นเงินที่ได้มาจากการล้วงกระเป๋าและ ‘กรีดช่องมิติ’ ของหนึ่งในผู้สะกดรอยนั่นเอง

คลาสโปรดของลูเซียนคือคลาสสายโร้ก (Rogue) ทำให้เขาสามารถใช้งานทักษะของโจร (Thief) ได้เกือบทุกชนิด ซึ่งลูเซียนก็เน้นพัฒนาทักษะสายมิจฉาชีพเป็นพิเศษด้วย นั่นก็เพราะเขาเป็นคนรักสนุกและชอบแกล้งคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจนั่นเอง ทักษะสายมิจฉาชีพจึงเป็นอะไรที่ถูกใจเขาสุด ๆ

ถึงแม้ในร่างนักเวทแคระแบบนี้จะใช้งานความสามารถต่าง ๆ ได้จำกัด แต่ลำพังแค่การกลบร่องรอยและแอบย่องเข้าไปกรีดมิติขโมยของในจุดที่คนแออัดแบบเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แม้จะต้องใช้เวลาเกือบนาทีกว่าจะทำสำเร็จ แต่หากเทียบกับโจรทั่วไป นี่ก็ถือว่าเป็นความสามารถระดับสูงมาก ๆ แล้ว

“เพิร์ช ดาเนล สมาชิกหน่วยเฝ้าระวังระดับ C แต่เป็นนักผจญภัยระดับ 6 งั้นเหรอ หน่วยเฝ้าระวังของพีระมิดนี่แบ่งออกเป็นกี่ระดับกันหว่า… เฮ้อ ช่างเถอะ ปลดการทำงานของบัตรประจำตัวกับแหวนสื่อสารนี่ก่อนดีกว่า”

ลูเซียนกล่าวขึ้นในระหว่างที่ดูข้อมูลบนบัตรประจำตัวที่แอบฉกมาจากผู้สะกดรอย ก่อนที่เขาจะร่ายเวทเพื่อระงับการทำงานของบัตรประจำตัวและแหวนสื่อสาร เพื่อไม่ให้มีใครติดตามสัญญาณเวทมนตร์จากของทั้งสองชิ้นนี้ได้

“ที่เก็บบัตรไว้ด้วยเพราะคิดจะเอาของไปคืนให้เจ้าตัวทีหลังใช่ม้า? นึกอยู่แล้วว่านายไม่ได้คิดจะขโมยของ ๆ เขามาจริง ๆ หรอก”

เทเรนซ์กล่าวชื่นชมด้วยน้ำเสียงอันเป็นมิตรและไร้ซึ่งความเคลือบแคลงใด ๆ เช่นเคย ทำให้ลูเซียนหรี่ตาลงเพราะรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ความจริงเขาก็แอบคิดที่จะริบของพวกนี้ไว้เหมือนกัน แต่พอถูกเทเรนซ์ทักแบบนั้นเขาก็กลั้นใจทำลายภาพลักษณ์ที่คู่หูอุตส่าห์วาดไว้ไม่ลง

“นะ.. แน่อยู่แล้วล่ะน่า… ของพวกนี้มันติดมือมาเพราะฉันรีบกวาดของโดยไม่ได้ดูเท่านั้นแหละ ส่วนเงินนี่เดี๋ยวพอได้เงินจากร่างจริงมาแล้วก็จะคืนให้แบบเต็มจำนวนด้วย”

ลูเซียนตอบกลับโดยหลบสายตาไปทางอื่นเล็กน้อย แต่คำตอบของเขาก็ทำให้เทเรนซ์มีสีหน้าพึงพอใจมากขึ้นอีก

ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกจับตาดูอยู่ด้วยเวทสอดแนมแบบพิเศษของห้องเฝ้าระวังซึ่งสามารถแสดงภาพของพีระมิดได้ทุกซอกทุกมุม ซึ่งเวทนี้เพิ่งจะถูกเปิดขึ้นเพื่อจับตาดูสมุนรับใช้ของซาลทั้งหมด หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ออร์เฟียซกับบริแกนดีนถล่มเหล่าผู้ดูแลด้วยเวทอัญเชิญเฉพาะตัวไปได้ไม่กี่นาที

 

ที่ห้องควบคุม เจ้าหน้าที่สาวซึ่งรับหน้าที่จับตาดูลูเซียนและเทเรนซ์อยู่ก็รีบกล่าวรายงานด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเพราะยังรู้สึกตกตะลึงไม่หาย

“จะ..  เจ้าตัวเหลืองกับตัวส้มนั่น! พวกมันมีบัตรประจำตัวกับแหวนสื่อสารของเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย! มันต้องเป็นคนที่กรีดมิติและขโมยของจากเจ้าหน้าที่คนนั้นไปแน่ ๆ ค่ะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่สาว ภายในห้องควบคุมก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มีเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นโดยสมุนอัญเชิญที่ดูธรรมดา ๆ ของชายชื่อแร็กน่า

ไลคัสมองดูภาพของนักเวทแคระแต่ละตัวบนจอด้วยแววตาเคร่งเครียด ทำให้รอยย่นบริเวณหางตาและหน้าผากของเขาเด่นชัดขึ้นกว่าเดิม ตรงกันข้ามกับหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกำลังมองดูความโกลาหลนี้ด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“พวกสมุนรับใช้ตัวอื่น ๆ ล่ะ?”

ไลคัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้สื่อถึงอารมณ์ใด ๆ เป็นพิเศษ  ทว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนซึ่งรับผิดชอบการเฝ้าดูก็รีบกล่าวรายงานอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะไม่แน่ใจว่าไลคัสจะคงภาวะเยือกเย็นนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่

“จะ.. เจ้าตัวสีน้ำเงินกับสีม่วงพอฝ่าการปิดล้อมออกไปได้ก็ตรงไปที่ลานเทเลพอร์ทและขึ้นไปยังชั้นหก จากนั้น… พวกมันก็ ดะ.. เดินดูของตามร้านรวงต่าง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ…”

“เจ้าสมุนตัวสีฟ้ายังคงแอบสะกดรอยเจ้านายของมันเองกับคุณโทร่าอยู่ ไม่ห่างไปไหนเลยค่ะ”

“สมุนตัวสีเขียวก็ยังคงนอนอยู่ที่ลานเทเลพอร์ทของชั้นหนึ่งเหมือนเดิม ยังกับมันนอนหลับอยู่จริง ๆ เลยค่ะ”

“สะ.. สำหรับตัวสีดำกับสีขาว… ตั้งแต่คลาดสายตากับพวกมันไปที่ชั้นสาม เราก็ยังหาพวกมันไม่เจอเลยครับ…”

เมื่อได้ฟังการรายงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคน ไลคัสก็หรี่ตาลงและมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น เพราะแม้แต่สมุนรับใช้ตัวสีเหลืองและสีส้มที่เพิ่งจะก่อคดีมาเมื่อสักครู่นี้ก็เริ่มออกเดินช๊อปปิ้งในย่านการค้าต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน พฤติกรรมอันหลากหลายและแปลกประหลาดสุดจะบรรยายของสมุนแต่ละตัวทำให้เขาคาดเดาไม่ออกเลยว่า ‘แร็กน่า’ ผู้เป็นนายของสมุนเหล่านี้มีเจตนาอะไรกันแน่

“สมุนรับใช้พวกนี้… มันเคลื่อนไหวเองตามใจชอบงั้นรึ? อาจเป็นสมุนอัญเชิญที่บรรจุวิญญาณลงไป หรือไม่ก็เป็น ‘เรเวอแนนท์’ …แต่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปล่อยพวกมันออกมาเที่ยวเล่นตามใจชอบด้วยล่ะ? เว้นแต่ว่า…”

หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของไลคัสก็เบิกโพลงขึ้นราวกับเพิ่งตระหนักถึงเรื่องสำคัญบางอย่างได้

“รีบหาเจ้าตัวสีขาวกับตัวสีดำให้เจอ! เจ้าพวกนั้นน่าจะเป็นตัวหลักที่ใช้ในการดำเนินการอะไรสักอย่าง ตัวอื่น ๆ แค่ใช้ดึงดูดความสนใจเท่านั้น!”

เมื่อได้ยินคำสั่งที่ตะโกนด้วยเสียงดังก้องของไลคัส เหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามคำสั่งในทันที

“ละ.. แล้วพวกสมุนตัวอื่น ๆ กับคนที่ชื่อแร็กน่าล่ะครับ?”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันกลับมาถามไลคัสด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ทำให้เจ้าตัวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว

“กำจัดสมุนรับใช้พวกนั้นซะ แล้วจับตัวเจ้าหนุ่มแร็กน่ามาด้วย!”

ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เหล่าเจ้าหน้าที่ก็หันไปเตรียมการเพื่อที่จะประสานงานกับหน่วยปฏิบัติการของพีระมิดให้ทำตามคำสั่งในทันที แต่ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นซะก่อน

“ทุกคนหยุดมือก่อน! …คุณไลคัสคะ ฉันว่าแบบนั้นมันไม่ค่อยจะถูกนะคะ”

ผู้ที่เอ่ยคำพูดขึ้นก็คือหญิงสาวรูปร่างอรชรซึ่งสวมผ้าคลุมสีดำสนิทแบบเดียวกับไลคัสปกคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงไหล่ ใบหน้าขาวนวลของเธอที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมาเพียงเล็กน้อยนั้นเผยให้เห็นริมฝีปากเรียวงามได้รูปที่กำลังยกตัวขึ้นเล็กน้อย กลายเป็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

คำพูดของเธอทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนหยุดมือลงและหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่สายตาของทุกคนจะสลับไปมองไลคัสอีกครั้งราวกับจะขอความเห็น ซึ่งไลคัสที่ปรายตามองหญิงสาวด้วยสายตาที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อยก็เอ่ยคำถามออกมา

“อธิบายมาซิ”

“ค่ะ ฉันคิดว่าคุณไลคัสกำลังทำเกินเหตุไปหน่อยนะคะ ชายหนุ่มคนนั้นน่ะเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว ไลคัสก็ขมวดคิ้วและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ขมึงตึงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“เกินไปงั้นรึ? ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันมีเจตนาไม่ดีน่ะ ถึงได้ปล่อยลูกสมุนกลุ่มหนึ่งออกมาดึงดูดความสนใจและใช้อีกกลุ่มหนึ่งแอบไปทำเรื่องอะไรก็ไม่รู้แบบนี้ จะให้ปล่อยมันไว้อีกเรอะ!?”

“ลองพิจารณาดูดี ๆ สิคะคุณไลคัส สมุนพวกนั้นน่ะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อเรื่องเองซะหน่อย ทุกตัวต่างก็เดินไปในงานโดยไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ จนกระทั่งมีคนนอกเข้าไปยุ่งกับพวกเขาเท่านั้น เช่นสมุนรับใช้สีน้ำเงินกับสีม่วงที่โดนคนพยายามลักพาตัวและถูกล้อมจับ  ทำให้ต้องทำการป้องกันตัวเท่านั้นเอง”

“แล้วเจ้าตัวสีเหลืองกับสีส้มที่แอบฉกทรัพย์จากคนของเราไปล่ะ? จะบอกว่านั่นไม่ใช่การก่อเรื่องรึไง?“

“คนในงานก็มีอยู่ตั้งมากมาย ทำไมเขาถึงเลือกที่จะล้วงกระเป๋าคนของเราล่ะคะ? นั่นอาจเป็นการตอบโต้ที่ถูกสะกดรอยมากกว่า”

“มันอาจเล็งที่จะขโมยบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่เพื่อเอาไปใช้ทำอะไรสักอย่างก็ได้”

“ถ้างั้นไปขโมยจากพวกเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรที่อยู่ตามมุมอื่น ๆ มิง่ายกว่าเหรอคะ? เทียบกับคนที่ตามสะกดรอยตัวเองอยู่ เจ้าหน้าที่พวกนั้นน่ะมีความระวังตัวน้อยกว่าเยอะ ไม่เห็นต้องเพิ่มความยุ่งยากเลย ที่สำคัญคือหากพวกเขาต้องการบัตรพนักงานไปทำเรื่องอะไรบางอย่างจริง ก็ควรจะรีบออกจากพื้นที่เกิดเหตุแล้วไปดำเนินการสิคะ แต่นี่ทำไมยังเดินช๊อปปิ้งต่ออีกล่ะ?”

คำพูดของหญิงสาวทำให้ไลคัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเหลือบไปมองภาพอของเหล่านักเวทแคระบนหน้าจออีกครั้ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักเวทแคระในชุดคลุมสีน้ำเงิน, สีม่วง, สีเหลือง, หรือสีส้ม ต่างก็เดินทอดน่องชมย่านการค้าบนชั้นห้าอย่างสบายอารมณ์ ราวกับไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ๆ

เมื่อเห็นว่าไลคัสเริ่มจะคล้อยตามแล้ว หญิงสาวก็เผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ

“หากสมุนรับใช้พวกนี้ถูกส่งออกมาเพื่อลอบดำเนินการอะไรบางอย่างจริง พวกมันก็ควรจะทำตัวให้น่าสงสัยน้อยที่สุด หรือถึงจะอยากดึงดูดความสนใจก็ไม่ควรจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตขนาดนั้น เพราะจะกระทบกับแผนการและทำให้ผู้เป็นนายอย่างแร็กน่าต้องถูกสงสัยซะมากกว่า อุตส่าห์วางแผนซะดิบดี แต่ดันชี้เป้ากลับมาที่ตัวเองแบบนี้มันไม่ฉลาดเลยว่ามั้ยคะ? แถมพอความแตกแล้วก็ยังตีหน้ามึนเดินชมงานต่อไปด้วย มันผิดวิสัยของคนที่มีแผนร้ายมากเกินไปค่ะ”

ไลคัสครุ่นคิดตามคำพูดของหญิงสาวอยู่พักหนึ่ง เขากวาดสายตามองไปยังหน้าจอต่าง ๆ ที่มีภาพของเหล่านักเวทเคระอยู่อีกครั้ง ก่อนจะเหลือบกลับมามองหน้าจอหลักซึ่งมีภาพของซาลที่กำลังเล่นไล่จับกับโทร่าอยู่ภายในงานด้วยสีหน้าสนุกสนาน ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วลง เพราะไม่สามารถคาดเดาได้เลยจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

“ยังไงเจ้านั่นก็เป็นคนที่น่าสงสัยอยู่ดี สั่งโทร่าให้เตรียมพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา และเสริมกำลังคนโดยรอบเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้วย สำหรับพวกสมุนของมันก็ให้เพิ่มกำลังคนที่ใช้จับตาดูไว้ ถ้ามันทำอะไรผิดสังเกตอีกก็ใช้กำลังเข้าจัดการได้ทันที และเร่งหาเจ้าตัวสีขาวกับสีดำให้เจอซะ!”

สิ้นคำประกาศของไลคัส เหล่าเจ้าหน้าที่ในห้องก็หันกลับไปดำเนินการตามคำสั่งในทันที ทำให้ชั้นที่เก้าของพีระมิดซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเจ้าหน้าที่ของเฝ้าระวังมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก

ไลคัสกลับมานั่งพิงพนักและจ้องมองภาพบนหน้าจอสอดแนมด้วยแววตาอันคมกริบอีกครั้ง ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากอดอกและเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปด้วยสีหน้าพึงใจเช่นเคย

ไม่มีใครรู้เลยว่าในระหว่างนั้น ไลคัสได้ออกคำสั่งลับไปยังคนสนิทของเขา ให้แอบดำเนินการบางอย่างกับเรื่องนี้ด้วย

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ที่ฝั่งตะวันตกของชั้นหกเป็นย่านที่พักซึ่งมีตั้งแต่โรงแรมสำหรับนักผจญภัยทั่วไป ไปจนถึงโรงแรมสุดหรู ไว้สำหรับบริการผู้เข้ามาร่วมงานซึ่งต้องการจะอยู่ในงานมากกว่าหนึ่งวันขึ้นไป

ที่ด้านหน้าของโรงแรมที่ใหญ่ที่สุด มีวัตถุสีดำขนาดใหญ่บินฝ่าอากาศร่อนลงมาหยุดตรงหน้าทางเข้าของโรงแรมพอดี วัตถุชิ้นนั้นค่อย ๆ คลายตัวออก เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมันคือผ้าคลุมสีดำสนิทซึ่งห่อหุ้มร่างของเด็กผู้หญิงตัวน้อยอยู่ภายใน

เด็กคนนั้นมีเส้นผมสีดำยาวสลวยราวกับเส้นไหม เธอสวมผ้าคลุมปกตั้งซึ่งปกปิดใบหน้าส่วนล่างของเธอเอาไว้ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความงดงามซึ่งแฝงไปด้วยความน่ารักตามวัยของเธอลดน้อยลงเลย

พนักงานต้อนรับรีบเปิดประตูและเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปด้านใน ซึ่งทันทีที่เด็กหญิงเดินไปถึงบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม หญิงสาวสองคนที่นั่งรออยู่ก็รีบลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาหาเธอในทันที

“คะ.. คุณแบล็คโรส มาแล้วเหรอคะ? เชิญทางนี้เลยค่ะ”

หนึ่งในหญิงสาวกล่าวเชิญแบล็คโรสก่อนจะนำเธอไปยังลิฟต์ของโรงแรม แม้ดูภายนอกโรงแรมแห่งนี้ควรจะมีความสูงไม่เกินตึกสี่ชั้น แต่เพราะมันเป็นโรงแรมที่สร้างด้วยหลักการเดียวกับดันเจี้ยนมิติ ทำให้ภายในโรงแรมจะมีพื้นที่ถึงสิบชั้นด้วยกัน

“ตั้งแต่เมื่อเช้านี้คุณอากาล่อนก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาพบปะผู้คนเลย พิธีเปิดงานคอสเพลย์ประจำปีของกลุ่มเขาก็ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย เห็นคนสนิทของคุณอากาล่อนบอกว่าเขาล้มป่วยเพราะโรคเก่ากำเริบ แต่พอคนของเราจะเข้าไปเยี่ยมก็กลับถูกไล่ออกมา บอกว่าไม่อยากเจอหรือได้ยินอะไรเกี่ยวกับคุณแซนโดรอีกแล้ว ฉันคิดว่ามันแปลก ๆ ก็เลยอยากให้คุณแบล็คโรสเข้าไปช่วยดูหน่อยน่ะค่ะ”

หญิงสาวกล่าวพูดในขณะที่อยู่ในลิฟต์ เธอและเพื่อนอีกคนต่างก็เป็นสมาชิกระดับสูงของกลุ่มแซนโดรโฮลิกซึ่งมีอากาล่อนเป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่ม ส่วนแบล็คโรสนั้นมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้า ทว่าวันนี้อากาล่อนกลับมีพฤติกรรมและคำพูดแปลก ๆ ทำให้เธอต้องเชิญตัวแบล็คโรสมาช่วยเจรจาด้วย

ไม่นานนักลิฟต์ที่ทั้งสามคนโดยสารก็ขึ้นมาถึงชั้นสิบ หญิงสาวทั้งสองเดินนำแบล็คโรสไปตามระเบียงจนสุดทางเดินและมาหยุดที่หน้าประตูของห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง มันเป็นห้องพักของอากาล่อนซึ่งมีส่วนของห้องรับแขกและห้องจัดประชุมอยู่ภายใน บ่อยครั้งมันจะถูกใช้เป็นที่ประชุมของสมาชิกระดับสูงประจำกลุ่มแซนโดรโฮลิก ทำให้แบล็คโรสมีคีย์การ์ดสำหรับเข้าออกห้องนี้ด้วย

แบล็คโรสโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงสาวทั้งสองรออยู่ด้านนอก ส่วนตัวเธอก็ใช้คีย์การ์ดเพื่อผ่านเข้าไปด้านในเพียงลำพัง

หลังจากเดินผ่านส่วนของห้องนั่งเล่นและห้องประชุม แบล็คโรสก็มาถึงหน้าประตูห้องนอนของอากาล่อน เธอเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ แถมประตูห้องยังล็อกกลอนเอาไว้ด้วย ทว่านั่นก็แปลว่ามีคนอยู่ภายในห้องอย่างแน่นอน เธอจึงใช้ปลายผ้าคลุมด้านหนึ่งรีดตัวเป็นเส้นแล้วส่งมันลอดช่องใต้ประตูอ้อมขึ้นไปปลดล็อกกลอนจากด้านใน ราวกับผ้าคลุมนั้นเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเธอก็ว่าได้

เมื่อเข้าไปภายในห้อง แบล็คโรสก็กวาดตามองไปรอบ ๆ และพบว่าบนเตียงของอากาล่อนนั้นมีสิ่งของชิ้นใหญ่กำลังถูกคลุมด้วยผ้าห่มนวมผืนหนาจนดูปูดโปนขึ้นมาราวกับมีภูเขาลูกเล็ก ๆ ถูกซุกอยู่ข้างใน มันก็คือร่างของอากาล่อนที่กำลังนอนคลุมโปงอยู่นั่นเอง

“คุณอากาล่อน เป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายงั้นเหรอ?”

แบล็คโรสกล่าวถามด้วยถ้อยคำเรียบ ๆ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับมาจากใต้ผ้านวมผืนนั้น เธอเว้นระยะอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามซ้ำอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด ๆ เช่นกัน ทำให้แบล็คโรสเริ่มรู้สึกหมดความอดทนและเดินเข้าไปเพื่อจะดึงกระชากผ้านวมผืนนั้นออกมาซะ แต่ก็มีเสียงแผ่ว ๆ เสียงหนึ่งแว่วมาจากใต้ผ้านวมซะก่อน

“เธอ… หลอกฉัน…”

คำพูดที่แผ่วเบาและแทบจับใจความไม่ได้นั้นทำให้แบล็คโรสต้องขมวดคิ้วขึ้น

“ห๊ะ? พูดว่ายังไงนะคะ คุณอากาล่อน?”

“ไหนบอกว่าแซนโดรเป็นสายยูริและไม่สนผู้ชายไงล่ะ… แล้วทำไมเธอถึงมีลูกได้ล่ะ… หลอกลวงกันชัด ๆ … ใจร้ายที่สุดเลย… นางฟ้าของฉัน… ฉันเคยคิดว่าแค่ได้เฝ้าดูเธอจากที่ห่างไกล… ได้มีเธอเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไปจวบจนลมหายใจสุดท้าย เท่านี้ฉันก็ตายตาหลับแล้ว… แต่ทุกอย่างกลับเป็นแค่ภาพลวงตา… เป็นความเพ้อฝัน… ตาแก่คนนี้ร้องขอมากเกินไปสินะ…”

ถ้อยคำที่ฟังดูเพ้อเจ้อและไร้แก่นสารของอากาล่อนทำให้แบล็คโรสขมวดคิ้วย่นเข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอพอจะจับใจความบางส่วนได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของมันอยู่ดี จึงเอ่ยถามเขาอีกครั้ง

“นี่คุณอากาล่อนพูดเรื่องอะไรคะเนี่ย? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

เมื่อถึงจุดนี้ ผ้านวมที่ห่อหุ้มร่างของอากาล่อนอยู่ก็เกิดอาการสั่นเทา ก่อนจะมีเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าสลดดังออกมา

“ก็ลูกชายของแซนโดรไงล่ะ! ทำไมเธอถึงไม่บอกว่าแซนโดรมีลูกชายด้วย!? ไหนว่าเธอรู้เรื่องของแซนโดรมากที่สุดไง!? ปกปิดเรื่องสำคัญแบบนี้ไว้ เท่ากับฆ่าฉันชัด ๆ !!”

อากาล่อนกู่ร้องด้วยเสียงอู้อี้อยู่ใต้ผ้าห่มนวม ส่วนแบล็คโรสก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าประหลาดใจเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

“ลูกชาย? แซนโดรเนี่ยนะมีลูกชาย? คุณอากาล่อนไปฟังมาจากไหนคะ?”

“ถ้าไม่ใช่ลูกชายจะมีแหวนผ่านทางถาวรสำหรับเข้าออกมาลาไคท์คีปได้ยังไงกันล่ะ!? ไอ้เจ้าหนุ่มที่ชื่อแร็กน่านั่นน่ะ! คนที่จะมีของแบบนี้ได้จะต้องเป็นคนที่สนิทสนมและได้รับความไว้วางใจจากแซนโดรเท่านั้นไม่ใช่เหรอ!? ระ.. หรือว่า…”

อากาล่อนผุดลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหันทำให้ผ้านวมที่คลุมอยู่เลื่อนหลุดลงไป เผยให้เห็นดวงตาอันเบิกโพลงซึ่งแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือด อีกทั้งนัยน์ตาของเขายังสั่นไหวตลอดเวลาราวกับคนที่อยู่ในอาการช็อก

“ถ้าไม่ใช่ลูก… ก็แปลว่าต้องเป็น… คนรักงั้นสิ!? อ๊อกกกกก!!”

เพราะคิดฟุ้งซ่านมากเกินไปทำให้อากาล่อนกระอักเลือดพุ่งออกมาทางปากราวกับสายน้ำพุอีกครั้ง ส่วนแบล็คโรสที่เห็นภาพนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมาสักเท่าไหร่ เธอเพียงแค่นิ่วหน้าลงเพราะรู้สึกข้องใจกับคำพูดของอีกฝ่ายมากกว่า

“ลูกชายของแซนโดร? แร็กน่า? …นั่นมันชื่อของผู้ชายผมแดงคนนั้นนี่นา…”

แบล็คโรสครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ยิ่งเวลาผ่านไป ดวงตากลมโตคู่งามของเธอค่อย ๆ เบิกโพลงขึ้น

“คนที่มีแหวนผ่านทางถาวรสำหรับเข้าออกมาลาไคท์คีป… ชายหนุ่มผมแดง… ลูกชายของแซนโดร!?”

ในที่สุดแบล็คโรสก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เพราะเธอเริ่มจะเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 134"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved