cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
Advanced
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Prev
Next

Doombringer the 5th - ตอนที่ 133

  1. Home
  2. All Mangas
  3. Doombringer the 5th
  4. ตอนที่ 133
Prev
Next

Ch.133 – นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (4)

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 129

นิทรรศการหนังสือแห่งความมืด (4)

 

Part 1

 

ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน ที่ชั้นห้าของนิทรรศการ ในมุมมืดซึ่งอยู่บริเวณเขตพักผ่อนรอบนอกของสถานที่จัดงาน มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังชุมนุมกันอยู่

แม้คนเหล่านี้จะสวมชุดธรรมดาเหมือนกับผู้ร่วมงานทั่วไป แต่ทุกคนจะมีเข็มกลัดรูปจันทร์เสี้ยวไขว้กับมีดสั้นกลัดอยู่ตามอาภรณ์ที่สวมใส่ เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ยืนยันตัวตนของกันและกัน

นี่คือสมาชิกของกลุ่ม ‘เครสเซนต์ซินดิเคต’ (Crescent Syndicate) หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า เครสซินฯ หนึ่งในองค์กรอาชญากรรมระดับโลกที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ทั่วทั้งสามทวีป

เพราะมันเป็นองค์กรใต้ดินที่ดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายเป็นหลัก สมาชิกจำนวนไม่น้อยจึงเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดด้วย อาจเพราะไหน ๆ ก็เป็นบุคคลนอกกฎหมายอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาไม่ใส่ใจกฎหรือข้อห้ามในการศึกษาศาสตร์มืดนัก เพราะหากสืบประวัติอาชญากรรมจริง ๆ แล้ว บางคนอาจมีโทษจากคดีที่ก่อไว้เยอะกว่าโทษจากการเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดซะอีก ส่วนผู้ใช้ศาสตร์มืดหลายคนก็ไม่รังเกียจที่จะเข้าร่วมกับสมาคมใต้ดินเพื่อทำเรื่องผิดกฎหมายเช่นกัน เพราะเป็นคนที่ทางการต้องการตัวอยู่แล้ว ด้วยลักษณะนี้ทำให้ทั้งสององค์กรมีสมาชิกจำนวนมากที่มีฐานะเชื่อมโยงกันอยู่

แม้จะดูเป็นกลุ่มโจรที่ไม่น่าไว้ใจ แต่ที่ผ่านมาสมาชิกของเครสซินฯ ก็ไม่เคยทำเรื่องที่ทรยศต่อเครือข่ายของผู้ใช้ศาสตร์มืดเลยสักนิด อีกทั้งยังมีการสอดส่องดูแลภายในกันเป็นอย่างดี ไม่ให้มีคนทรยศนำความลับของเครือข่ายผู้ใช้ศาสตร์มืดออกไปขายให้กับทางการหรือพีสคีปเปอร์ได้

นั่นก็เพราะเหล่าผู้นำระดับสูงขององค์กรเห็นตรงกันว่าการมีตัวตนอยู่ของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อพวกเขามากกว่า ทั้งในแง่ของการเป็นคู่ค้า และในแง่ของ ‘กันชน’ เพราะหากไม่มีกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดให้ต้องกังวล องค์กรใต้ดินอย่างเครสซินฯ ก็จะเป็นเป้าหมายต่อไปของการกวาดล้าง เหล่าผู้นำระดับสูงขององค์กรจึงต้องทำให้แน่ใจว่า กลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดจะต้องดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน

การขายความลับของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดจึงเป็นการละเมิดกฎขององค์กรที่มีโทษถึงขั้นสูงสุด คือประหารทั้งครอบครัวต่อหน้าผู้ละเมิดกฎ หรือหากเป็นคนที่ไม่มีญาติมิตรและครอบครัวก็จะต้องถูกแช่ในน้ำกรดจนกว่าจะขาดใจตาย เพื่อให้ผู้ละเมิดกฎต้องสำนึกถึงความผิดของตนเองในวาระสุดท้าย และเพื่อไม่ให้มีคนทำเป็นเยี่ยงอย่าง ด้วยเหตุนี้ในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงไม่มีคนขององค์กรที่ละเมิดกฎนี้และขายกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดให้กับพีสคีปเปอร์เลย

แต่ถึงแม้จะเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่ทรยศ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนของเครสซินฯ จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อผู้ใช้ศาสตร์มืด เพราะนอกเหนือจากเรื่องการขายความลับของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดให้กับพีสคีปเปอร์แล้ว ทางองค์กรก็ไม่ได้มีกฎห้ามการกระทำอื่น ๆ ต่อผู้ใช้ศาสตร์มืด แปลว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดก็สามารถเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพจากเครสซินฯ ได้นั่นเอง

และหากจะพูดถึงโอกาสในการก่ออาชญากรรมก็ไม่มีที่ไหนที่เหมาะสมไปกว่างานชุมนุมที่มีคนพลุกพล่านอย่างนิทรรศการหนังสือแห่งความมืดอีกแล้ว

หลังจากมีการยืนยันตัวตนกันเรียบร้อยแล้ว เหล่าสมาชิกของเครสซินฯ ก็แยกย้ายกันออกไป โดยเหลือเพียงสามคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“แย่ชะมัดเลยแฮะ ดันจับฉลากได้ชั้นห้าซะได้ โซนวรรณกรรมอื่น ๆ เนี่ยมันมีคนเดินน้อยจะตายไป แบบนี้จะหาเหยื่อได้สักเท่าไหร่กัน?”

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราอยู่ที่นี่แค่วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนกับกลุ่มอื่นเพื่อไปอยู่ชั้นอื่นแล้ว ไว้ค่อยไปถอนทุนคืนตอนที่ได้ลงไปชั้นสองก็ได้”

เพื่อไม่ให้มีความขัดแย้งในเรื่องของการแย่งแหล่งหากิน สมาชิกของเครสซินฯ ที่อยู่ในงานจึงมีการตกลงและจัดสรรพื้นที่กัน โดยในวันแรกจะแบ่งพื้นที่ด้วยการจับฉลาก ส่วนวันต่อ ๆ ไปก็จะให้แต่ละกลุ่มสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปจนครบทุกชั้น เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการลงมือ ทั้งยังป้องกันไม่ให้ถูกจับได้เพราะลงมือในสถานที่เดิมซ้ำ ๆ ด้วย ซึ่งสามคนนี้ก็คือกลุ่มที่จับฉลากได้พื้นที่ของชั้นห้าเป็นสถานที่ปฏิบัติการในวันแรกนั่นเอง

“ชั้นนี้มีคนเดินค่อนข้างน้อย การล้วงกระเป๋าคงทำได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการ ‘กรีดช่องมิติ’ เลย ดังนั้นการ ‘อุ้มแมว’ น่าจะเหมาะสมกว่า พวกนายแยกย้ายกันไปหาเหยื่อที่เหมาะสมแล้วพาไปยังจุดนัดพบ ถึงตรงนั้นฉันจะเป็นคนรับช่วงต่อเอง”

ชายหนุ่มผมดำท่าทางกระฉับกระเฉงกล่าวพูดกับพรรคพวกอีกสองคน ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับก่อนจะแยกย้ายกันไปหาเหยื่อของตนเอง ส่วนชายหนุ่มก็เดินลึกเข้าไปในมุมเปลี่ยวของชั้นนี้ซึ่งอยู่ห่างจากส่วนจัดแสดงออกไปอีก

การ ‘กรีดช่องมิติ’ นั้นเป็นศัพท์ของพวกมิจฉาชีพ มันเป็นการโจรกรรมมีลักษณะเดียวกับการล้วงกระเป๋า เพราะในยุคนี้ที่คนส่วนใหญ่หันมาใช้ช่องมิติเป็นที่เก็บของ ทำให้ไม่ค่อยมีคนพกของมีค่าหรือเงินจำนวนมากติดตัวกันนัก จึงมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ศึกษาศาสตร์มืดคิดค้นวิธี ‘กรีดมิติ’ เพื่อขโมยของจากช่องมิติของคนอื่นขึ้นมา นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกมิจฉาชีพหลายคนหันมาศึกษาศาสตร์มืด เพราะวิชาแบบนี้มีสอนกันเฉพาะในกลุ่มมิจฉาชีพที่เป็นผู้ใช้ศาสตร์มืดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การจะกรีดช่องมิติของผู้อื่นเพื่อขโมยของก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันเป็นทักษะการโจรกรรมระดับสูงที่ต้องอาศัยความสามารถหลายอย่าง ทั้งการระบุลักษณะที่แน่นอนของช่องมิติ,  การตรวจสอบสิ่งของที่ถูกเก็บไว้ข้างใน, การกรีดช่องมิติเพื่อเปิดทางในการนำของออกมา, และการถ่ายเทของในช่องมิติของอีกฝ่ายมาไว้ในช่องมิติของตนเอง

ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่เป็นศาสตร์ที่มีความซับซ้อน และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถฝึกฝนได้ บางคนไม่สามารถมองเห็นช่องมิติเก็บของของผู้อื่นได้ด้วยซ้ำ หรือบางคนถึงจะมองเห็นลักษณะของช่องมิติแต่ก็ไม่สามารถเห็นของที่อยู่ข้างใน บางคนถึงจะเห็นของข้างในก็ไม่สามารถกรีดช่องมิติของผู้อื่นได้ หรือบางคนก็ไม่สามารถถ่ายเทสิ่งของระหว่างช่องมิติของตนกับเป้าหมายได้ ผู้ที่สำเร็จวิชาถึงระดับสูงสุดและสามารถกรีดมิติเพื่อขโมยทรัพย์สินจากช่องมิติของผู้อื่นได้อย่างสมบูรณ์จึงมีอยู่เพียงจำนวนน้อย

นอกจากนี้ ผู้สำเร็จวิชาส่วนใหญ่ยังต้องใช้เวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนเป็นเวลาหลายนาที รวมแล้วอาจต้องใช้เวลานับสิบนาทีตามแต่ความสามารถของผู้ลงมือ ซึ่งยังไม่ใช่ระดับที่สามารถนำมาใช้ก่อการตามลำพังได้ จึงต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีมอีกหลายคนคอยสนับสนุน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถกรีดมิติและทำการโจรกรรมทรัพย์สินได้ในเวลาไม่กี่นาที คนเหล่านั้นจึงถูกจัดเป็นคลาสพิเศษของพวกมิจฉาชีพที่เรียกว่า ‘ไดเมนชั่นคัทเพิร์ส’ (Dimension Cutpurse)

หนึ่งในสามของสมาชิกเครสซินฯ ที่อยู่บนชั้นนี้ก็มีความสามารถในการกรีดช่องมิติอยู่ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถลงมือตามลำพังได้ อีกทั้งบนชั้นนี้ยังมีคนน้อยทำให้การใช้คนหลายคนไปประกบเป้าหมายเพื่อทำการกรีดมิติจะเป็นที่ผิดสังเกตได้ง่าย เขาจึงเสนอให้เปลี่ยนรูปแบบเป็นการ ‘อุ้มแมว’ ซึ่งเป็นการโจรกรรมอีกประเภทหนึ่งแทน

เพราะงานนิทรรศการหนังสือแห่งความมืดเป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะตัว ผู้เข้าร่วมงานกว่า 70% จะมีสมุนรับใช้ไว้เป็นผู้ช่วยในการจับจ่าย เพื่อลดระยะเวลาและความยุ่งยากในการตระเวนซื้อของลง บางคนก็ส่งสมุนรับใช้ไปซื้อของตามบูธอื่น ๆ ในชั้นเดียวกัน แต่บางคนก็อาจส่งสมุนรับใช้ไปยังชั้นอื่นเพื่อซื้อหนังสืออีกชนิดหนึ่งเลย ทำให้สามารถพบเห็นสมุนรับใช้เหล่านี้ได้ทั่วไป

สมุนรับใช้แต่ละตัวจะมีความสามารถในการใช้ช่องมิติเล็ก ๆ อยู่ เพื่อให้สามารถพกเงินติดตัวไปซื้อของและนำของกลับมาได้โดยสะดวก ตามปกติแล้วนี่ควรจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการส่งสมุนรับใช้ออกไปซื้อของ แต่สำหรับพวกมิจฉาชีพที่มีความสามารถในการ ‘กรีดช่องมิติ’ แล้ว สมุนรับใช้เหล่านี้ถือว่าเป็นเหยื่ออันโอชะเลยทีเดียว เพราะพวกมันไม่มีความนึกคิดและสติปัญญาอะไร การลักพาตัวพวกมันมาเพื่อกรีดช่องมิติแล้วชิงเอาเงินหรือสิ่งของที่พกพาอยู่จึงสามารถทำได้ง่าย ๆ ขอเพียงแค่อย่าให้ใครเห็นตอนที่แอบพาตัวพวกมันมาเท่านั้น การโจรกรรมในลักษณะนี้จึงถูกเรียกว่าการ ‘อุ้มแมว’

เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนต่างก็แยกย้ายกันไปนำตัวสมุนรับใช้มาด้วยวิธีต่าง ๆ การจับสมุนรับใช้ที่ไม่ได้อยู่ในการดูแลของผู้เป็นนายนั้นนับเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพียงแค่แอบใช้ทักษะที่ส่งผลต่อประสาทหรือการรับรู้เช่น ‘แซพ’ (Zap) กับสมุนเหล่านี้ในจังหวะที่ไม่มีใครเห็นก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของพวกมันหรือทำให้พวกมันอยู่ในอาการเบลอได้เป็นเวลานาน ในจังหวะนั้นก็แอบอุ้มหรือจูงพวกมันมายังจุดนัดพบที่ชายผมดำยืนรออยู่เพื่อให้เขาทำการกรีดช่องมิติและนำทรัพย์สินภายในออกมา เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี

แม้ความสามารถในการกรีดช่องมิติของชายหนุ่มผมดำจะอยู่ในระดับไม่สูงนักจึงต้องใช้เวลาเกือบสิบนาทีต่อสมุนรับใช้หนึ่งตัว แต่สำหรับสมุนรับใช้ที่อยู่ในสภาพไร้ทางสู้ เรื่องนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาเลย เขาทำการกรีดช่องมิติเพื่อนำทรัพย์สินออกมาและปล่อยสมุนรับใช้กลับไปทีละตัวอย่างใจเย็น เพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ได้ทั้งเงินและหนังสือรวมมูลค่าหลายร้อยซิลเวอร์มาไว้ในครอบครอง

ทางด้านเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนก็ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ทั้งคู่อออกหาเหยื่อและพามายังจุดนัดพบอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในบริเวณนั้นเริ่มมีสมุนรับใช้เดินให้เห็นบางตาลง จากเดิมที่เพียงคอยดักซุ่มตามมุมมิดก็สามารถลักพาตัวสมุนรับใช้ที่ผ่านมาได้ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นออกเดินหาเหยื่อ จนทั้งสองคนเดินมาพบกันอีกครั้ง

“เฮ้อ… ชั้นห้านี่มันร้างชะมัด ขนาด ‘แมว’ ยังมีน้อยไปด้วยเลย อุ้มไปแค่ไม่กี่ตัว แป๊บเดียวก็หมดแล้ว”

“นั่นสิ ไม่ค่อยอยากเข้าไปใกล้เขตในเลยแฮะ แถวนั้นมีหูตาเยอะ การพา ‘แมว’ ออกมาโดยไม่ให้ใครเห็นมันลำบาก แต่ถ้ามันไม่มีจริง ๆ ก็… อ๊ะ นั่นไง!”

ในระหว่างที่กำลังจะถอดใจและยอมเข้าไปหาเหยื่อในเขตที่มีผู้คนพลุกพล่านกว่านี้ หนึ่งในสองคู่หูก็เหลือบไปเห็นสมุนรับใช้ตัวหนึ่งเดินผ่านเข้ามาในโถงทางเดินอันเปล่าเปลี่ยวของโซนรอบนอก สมุนอัญเชิญตัวนั้นมีลักษณะคล้ายกับเด็กที่สวมผ้าคลุมนักเวทสีน้ำเงินปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ภายใต้ผ้าคลุมอันดำมืดก็มีจุดแสงสีเหลืองสองดวงเหมือนกับลูกตาอยู่ภายใน

และที่อีกฟากหนึ่งของโถงทางเดินก็ยังมีสมุนรับใช้ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่สวมผ้าคลุมนักเวทสีม่วงกำลังเดินเข้ามาด้วย

ทันทีที่เห็นสมุนรับใช้ทั้งสองตัว คู่หูอาชญากรก็หันมาแสยะยิ้มให้แก่กันด้วยแววตาอันเจ้าเล่ห์ และแยกย้ายกันไปหา ‘เหยื่อ’ ของตนเองในทันที

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

สมุนรับใช้ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนกับนักเวทตัวกระจ้อยในชุดคลุมสีน้ำเงินกำลังเดินเตาะแตะมาตามโถงทางเดินอันเงียบเชียบของชั้นห้า

เขาก็คือออร์เฟียซ หนึ่งในแปดขุนพลซึ่งอยู่ในร่างของนักเวทแคระและกำลังปลีกวิเวกอยู่นั่นเอง

“ชั้นนี้คนน้อยดีแฮะ… เดินเล่นอีกสักหน่อยแล้วค่อยเริ่มหาข่าวดีกว่า… อ๊ะ”

ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ ออร์เฟียซก็เหลือบไปเห็นนักเวทแคระอีกคนซึ่งอยู่ในชุดคลุมสีม่วงกำลังเดินมาจากอีกฟากหนึ่งของทางเดิน ทำให้ดวงตาดวงเล็ก ๆ ที่เปล่งแสงอยู่ใต้ผ้าคลุมอันมืดมิดนั้นต้องหรี่ลงเล็กน้อย

เพราะนักเวทแคระที่อยู่ในชุดคลุมสีม่วงคนนั้นก็คือบริแกนดีนซึ่งเป็นหนึ่งในแปดขุนพลเหมือนกันนั่นเอง

“…นายพลบริแกนดีน”

“…นายพลออร์เฟียซ”

ทั้งสองกล่าวทักทายกันด้วยโทรจิตแบบห้วน ๆ ก่อนจะยืนนิ่งและจ้องอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่ไม่ชอบพูดเท่าไหร่ การมาเจอกันตามลำพังในลักษณะนี้จึงทำให้เกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ออร์เฟียซนึกขึ้นได้ว่าบริแกนดีนก็มีอุปนิสัยรักสันโดษเช่นเดียวกับตนเอง การได้พบอีกฝ่ายโดยบังเอิญในที่แบบนี้จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกนัก ซึ่งบริแกนดีนก็คิดแบบเดียวกัน ทั้งคู่จึงเดินต่อไปโดยไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรขึ้นมาอีก

แต่หลังจากที่พวกเขาเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีชายหนุ่มสองคนโผล่ออกมาจากมุมทางเดินแต่ละฝั่ง แล้วตรงเข้าประชิดออร์เฟียซและบริแกนดีนจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว อุ้งมือของชายทั้งสองเกร็งอยู่ในลักษณะของกรงเล็บและมีออร่าสีเหลืองอ่อนเรืองรองออกมา เป็นลักษณะของการเตรียมพร้อมเพื่อปลดปล่อยท่าโจมตีที่ทำให้เหล่าสมุนรับใช้ตกอยู่ในอาการมึนงงก่อนจะลักพาตัวไป

ทั้งบริแกนดีนและออร์เฟียซต่างก็เห็นคนร้ายซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาทางด้านหลังของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ดวงตาของทั้งคู่ก็ยังคงสงบนิ่งและไม่มีท่าทีว่าจะส่งสัญญาณเตือนให้อีกฝ่ายรู้ตัวแม้แต่น้อย ทั้งสองเพียงแค่จ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเยือกเย็นเท่านั้น

ทว่าในเสี้ยววินาทีก่อนที่การโจมตีจะถึงตัว ร่างเล็ก ๆ ของบริแกนดีนและออร์เฟียซก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่ ทำให้ฝ่ามือที่ซัดเข้าใส่ต้องพลาดเป้า

“หา!?”

“อะไรกัน!?”

โดยปกติแล้วสมุนรับใช้ที่อยู่ห่างจากผู้เป็นนายจะมีไม่สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันได้ ต่อให้เป็นการโจมตีแบบซึ่ง ๆ หน้า สมุนเหล่านี้ก็ไม่ควรที่จะหลบหลีกได้ทัน แต่ตอนนี้นักเวทแคระกลับหายไปต่อหน้าต่อตาของโจรทั้งสอง ทำให้พวกเขาตกใจมาก

“ยกเลิกการอัญเชิญงั้นเหรอ!? แปลว่านี่เป็นเหยื่อล่อ!? เราหลงกลแล้ว!!”

“มะ.. ไม่ใช่! พวกมันอยู่นั่น!”

โจรคนหนึ่งคิดว่าสมุนรับใช้เหล่านี้เป็นเหยื่อล่อที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดคนอื่นส่งมาเพื่อดักจับพวกมิจฉาชีพจึงอยู่ในอาการตื่นตระหนกและคิดจะหนีออกไปจากพื้นที่นี้ให้เร็วที่สุด แต่โจรอีกคนที่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็ร้องทักขึ้นและชี้ไปอีกฟากหนึ่งของโถงทางเดินซะก่อนทำให้เขาหันมองตามไป

ที่อีกฟากหนึ่งของโถงทางเดิน นักเวทแคระในชุดคลุมสีม่วงและสีน้ำเงินกำลังยืนเคียงกันอยู่โดยหันหน้ามาทางโจรทั้งสองและมองพวกเขาด้วยท่าทีเรียบเฉยและไร้อารมณ์ใด ๆ ราวกับเป็นตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต การที่สมุนรับใช้เหล่านี้ไม่ได้ถูกยกเลิกการอัญเชิญไปและยังไม่มีใครปรากฏตัวออกมาเพื่อจับพวกเขาก็ทำให้โจรทั้งสองเบาใจลงเล็กน้อย แต่พฤติกรรมอันแปลกประหลาดของสมุนรับใช้เหล่านี้ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

นักเวทแคระทั้งสองจ้องมองมายังฝ่ายโจรด้วยท่าทีเรียบเฉยโดยไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แต่ความจริงทั้งคู่กำลังสื่อสารกันด้วยโทรจิตอยู่ ซึ่งคนที่เอ่ยคำพูดขึ้นมาก่อนก็คือออร์เฟียซ ทว่ามันกลับเป็นคำพูดที่เหมือนกำลังพูดกับตัวเองอยู่มากกว่า

“ศัตรูงั้นเหรอ? พวกมันตามฉันมาใช่มั้ย? ฉันทำพลาดสินะ? กะแล้วเชียวว่าถ้าออกมาข้างนอกจะต้องเผลอทำเรื่องยุ่งยากให้กับท่านจอมพลแน่ ๆ … ถึงได้อยากอยู่เฝ้าปราการมากกว่าไงล่ะ… แต่ต่อให้อยู่เฝ้าที่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำให้เกิดเรื่อง ยังไงก็ต้องมีเรื่องได้แน่ ๆ ก็นี่คือฉันนี่นา… เรื่องแย่ ๆ มักจะเกิดขึ้นรอบตัวฉันอยู่แล้ว…”

ดวงตาสีเหลืองภายใต้ผ้าคลุมอันดำมืดของออร์เฟียซเริ่มหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังสื่อถึงความรู้สึกเศร้าสลดภายในใจ เพราะเขาเป็นคนที่อ่อนไหว หดหู่ง่าย และมักจะโทษตัวเองอยู่เสมอ จัดว่าเป็นคนที่มีอุปนิสัยมืดหม่นคนหนึ่ง

ระหว่างนั้นบริแกนดีนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่หรอก พวกมันโจมตีเราสองคนพร้อมกัน แปลว่าเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นเราทั้งคู่ ดูจากท่าที่ใช้โจมตีแล้วน่าจะอยากจับพวกเรากลับไปเป็น ๆ มากกว่า มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าพวกนี้… เป็นมนุษย์ต่างดาว! เป้าหมายของพวกมันคือแอบลงมายังโลกเพื่อจับผู้คนไปทดลอง! ก่อนหน้านี้พวกมันคงจับคนไปนับไม่ถ้วนแล้วเลยหันมาจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือสมุนรับใช้ไปทดลองบ้าง!”

บริแกนดีนเป็นคนที่มีจินตนาการสูง ในบางเวลาเขาจึงมักจะตีความสถานการณ์ไปในแนวทางที่ผิดแผกจากชาวบ้านอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแนวทางในการรับมือกับสถานการณ์ของเขาจะผิดเพี้ยนไปด้วย

คำพูดของบนิแกนดีนทำให้ดวงตาของออร์เฟียซเบิกโพลงขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนมันจะหรี่ลงด้วยความเศร้าสร้อยอีกครั้ง

“แปลว่าพวกมันเห็นฉันเป็นเหยื่อสินะ? จากสมุนรับใช้หลายร้อยหลายพันตัว พวกมันก็เลือกฉัน เพราะเห็นว่าฉันเป็นเหยื่อตัวอ้วนที่จะลักพาไปได้ง่าย ๆ ใช่มั้ย? นั่นสินะ ก็นี่มันฉันนี่นา… แค่มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นขนมขบเคี้ยว จัดการได้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก…”

“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ การเก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิตน่ะต้องทำให้ครบทุกสปีชี่ส์ พวกนี้น่ะมักจะมีสติปัญญาสูงส่งแต่ร่างกายกลับเสื่อมถอย จึงต้องเสาะหาสิ่งมีชีวิตอื่นที่จะใช้เป็นร่างใหม่หรือนำดีเอ็นเอไปปรับปรุงพันธุกรรมให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น พวกมันต้องทยอยรวบรวมตัวอย่างไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ครบทั้งดาวนั่นแหละ แค่บังเอิญมาเจอเราก่อนเท่านั้นเอง”

“แปลว่านี่เป็นเหตุบังเอิญงั้นเหรอ? เป็นความซวย… ใช่แล้วล่ะ เรื่องอับโชคมันมักจะเกิดขึ้นรอบตัวฉันอยู่แล้ว ก็ฉันมันตัวซวยนี่นา… ขอโทษที่ทำให้ต้องมาพลอยซวยไปด้วยนะ นายพลบริแกนดีน…”

“………”

เพราะไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมออร์เฟียซอย่างไรดีแล้ว บริแกนดีนจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ อีก

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ในระหว่างนั้น โจรทั้งสองที่ตั้งสติได้ก็พุ่งเข้ามาโจมตีบริแกนดีนกับออร์เฟียซอีกครั้ง แต่ทั้งคู่ก็สามารถหลบออกไปได้อย่างรวดเร็วเช่นเคย

“อะไรกัน!? เจ้าสมุนรับใช้สองตัวนี้ มันสามารถหลบการโจมตีของพวกเราได้จริง ๆ งั้นเหรอ! ไม่เคยเจอสมุนรับใช้แบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นสมุนของใครกันแน่!?”

“ใจเย็นก่อน ถึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและการเคลื่อนไหวอันรวดเร็ว แต่มันก็เป็นแค่สมุนรับใช้ ฉันเคยได้ยินลูกพี่เล่าให้ฟังว่าพวกนักเวทระดับสูงก็สามารถสร้างสมุนแบบนี้ขึ้นมาได้เหมือนกัน และสมุนแบบนี้แหละที่มักจะพกเงินหรือของมีค่าจำนวนมากติดตัวมาด้วย! ดังนั้นเราต้องจับพวกมันให้ได้!”

เมื่อได้ยินคำว่าของมีค่าจำนวนมาก ดวงตาของโจรอีกคนหนึ่งก็ทอประกายขึ้นก่อนจะหันกลับมามองนักเวทแคระทั้งสองด้วยแววตาอันมุ่งมั่นที่แฝงความละโมบอยู่ภายใน

ทางด้านออร์เฟียซกับบริแกนดีนก็ถอยกลับมายืนตั้งหลักอีกครั้ง ในยามปกติทั้งสองคนคงจะตอบโต้กลับไปบ้างแล้ว แต่เนื่องจากตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในร่างจำแลงซึ่งสามารถใช้พลังได้จำกัด นอกจากนี้ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเขาต้องกังวลด้วย

นั่นก็คือตั้งแต่แยกตัวออกมาจากซาล พวกเขาก็ถูกสะกดรอยมาตลอดโดยกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย

ทั้งออร์เฟียซและบริแกนดีนต่างก็มีวิธีของตัวเองในการระแวดระวังรอบข้าง ทำให้ทั้งคู่ไหวตัวในทันทีว่าถูกจับตาดูอยู่ เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อยากทำอะไรประเจิดประเจ้อนัก เพราะอาจส่งผลกระทบไปถึงแผนการโดยรวมได้

“ความจริงก็อยากจะจับเจ้าต่างดาวพวกนี้กลับไปวิจัยอยู่หรอก แต่แบบนั้นก็จะเตะตามากจนเกินไป ทางที่ดีที่สุดคือพยายามสลัดพวกมันให้หลุดจะดีกว่า… ไปเถอะ!”

เมื่อพูดจบ บริแกนดีนก็วิ่งไต่ผนังของโถงทางเดินเพื่ออ้อมหลบพวกโจรออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนออร์เฟียซก็วิ่งไต่ผนังฝั่งตรงข้ามเพื่อตามออกไปเช่นกัน การแยกเป็นสองฝั่งและใช้เส้นทางที่คาดไม่ถึงแบบนี้ทำให้โจรทั้งสองได้แต่ยืนอึ้งจนไม่สามารถสกัดได้ทัน จึงได้แต่กลับตัวและวิ่งไล่ตามไป

บริแกนดีนและออร์เฟียซลงจากผนังและวิ่งตรงไปยังปลายทางของโถงทางเดินซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนรอบนอกของนิทรรศการ หากพ้นออกจากทางเดินนี้ไปได้ก็จะเป็นที่โล่งซึ่งมีผู้คนทั่วไปเดินอยู่ และพวกโจรก็จะต้องรามือไปเอง ทว่าเมื่อพวกเขาวิ่งมาได้แค่ครึ่งทาง ก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมาและยืนปิดทางเอาไว้

ทุกคนล้วนแล้วแต่สวมผ้าคลุมสีดำและมีปลอกแขนของผู้ดูแลงานคาดอยู่ที่ต้นแขน โดยปกติแล้วนี่ควรจะเป็นเรื่องดี แต่ทั้งบริแกนดีนและออร์เฟียซต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับผู้ดูแลกลุ่มนี้ เพราะจิตคุกคามของแต่ละคนนั้นไม่ได้มุ่งไปยังโจรสองคนที่อยู่ด้านหลัง ทว่ามุ่งมายังพวกเขามากกว่า

ในระหว่างนั้นเอง หนึ่งในผู้ดูแลซึ่งเป็นชายหนุ่มผมสีดำก็เอ่ยคำพูดขึ้น

“นั่นไงพวกสมุนรับใช้ที่ออกอาละวาด! รีบสกัดมันไว้ก่อนที่มันจะเข้าไปในบริเวณงาน!”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ผู้ดูแลอีกสี่คนที่เหลือก็เรียงหน้ากระดานพุ่งตรงเข้ามาหาบริแกนดีนกับออร์เฟียซในทันทีเพื่อปิดทางไม่ให้ทั้งสองคนหลบหนีไปทางไหนได้ ทำให้โจรทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลังและชายหนุ่มผมดำในกลุ่มผู้ดูแลต่างก็แสยะยิ้มออกมาพร้อมกัน

ชายหนุ่มผมดำคนนี้ก็คือสมาชิกของเครสเซนต์ซินดิเคตอีกหนึ่งคนที่เหลือ ซึ่งอีกฐานะของเขาก็คือผู้ดูแลนิทรรศการนั่นเอง หรือต้องบอกว่าเขาคือสมาชิกของเครสซินฯ ที่แฝงตัวเข้ามาเป็นผู้ดูแลนิทรรศการก็ได้

ปกติแล้วเขาจะรออยู่ที่จุดนับพบเพื่อใช้วิชากรีดช่องมิตินำของมีค่าออกมาจากช่องเก็บของของเหล่าสมุนรับใช้ที่พรรคพวกพาตัวมาให้ แต่ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเขาก็จะเข้ามาช่วยสมทบอีกแรงหนึ่ง ซึ่งเหตุที่มักจะเกิดกับการ ‘อุ้มแมว’ ก็คือการที่สมุนรับใช้หนีรอดจากการลักพาตัวมาได้ เขาจึงเตรียมประสานงานกับผู้ดูแลคนอื่น ๆ ให้ช่วยจับสมุนรับใช้ที่หลบหนีเอาไว้แล้ว โดยอ้างว่าเป็นสมุนรับใช้ที่มีพฤติกรรมผิดปกติและออกอาละวาด เมื่อได้รับสัญญาณแจ้งเตือนจากพรรคพวกเขาจึงสามารถระดมผู้ดูแลในพื้นที่มาช่วยได้ทันที

“กะแล้วเชียว… แม้แต่ผู้ดูแลก็ยังเป็นศัตรูกับเรา… เพราะฉันสินะ… ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เจอแต่ศัตรู… ชะตากรรมของคนที่ต้องโดดเดี่ยวและพบกับปัญหาอยู่ร่ำไป… ในเมื่อเป็นแบบนี้ละก็…”

ดวงไฟสีเหลืองภายใต้ผ้าคลุมศีรษะของออร์เฟียซได้ดับวูบลงจนเหลือแต่ความมืดมิดราวกับเขากำลังหลับตาอยู่ แต่เพียงพริบตาต่อมามันก็เบิกโพลงขึ้นและส่องแสงสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องทำลายมันให้หมด! เมื่อโลกเป็นศัตรูกับฉัน ก็ต้องทำลายมันให้เป็นผุยผงไปเท่านั้น! ต่อให้เป็นชะตากรรมที่สวรรค์ขีดคั่นมา ฉันก็จะตัดสะบั้นมันให้แหลกลาญไป!!!”

เพราะรู้สึกหดหู่จนถึงขีดสุด ทำให้ออร์เฟียซเกิดฟิวส์ขาดขึ้นมา เพราะแม้จะเป็นคนที่มืดหม่นและจิตตกแค่ไหน แต่ลึก ๆ แล้วออร์เฟียซก็ไม่เคยคิดที่จะยอมพ่ายแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น เขาร้องคำรามออกมาด้วยเสียงอันดังก้องจนทำให้เหล่าผู้ดูแลและพวกโจรที่กำลังตรงเข้ามาต้องตกตะลึงจนหยุดชะงักไป

นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่ออร์เฟียซกระโดดหมุนตัวแล้ววาดมือไปบนอากาศ ทำให้เกิดวงเวทขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น และเพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาก็มีอสูรกายตัวโตซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับกระทิงที่มีเปลือกแข็งสีดำสนิทคล้ายกับเปลือกแมลงปกคลุมอยู่ทั่วทั้งตัวพุ่งออกมาจากวงเวท มันก็คือ ‘แซ็คโทล’ ฟอเรสต์เบฮีมอธที่ซาลจับได้และมอบหมายให้ออร์เฟียซเป็นคนนำไปฝึกนั่นเอง

ทันทีที่แซ็คโทลปรากฏตัวออกมา ออร์เฟียศก็หมุนตัวครบรอบพอดีและขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังของมัน ก่อนจะควบเจ้ากระทิงยักษ์พุ่งเข้าใส่เหล่าผู้ดูแลที่ยังคงตื่นตะลึงอยู่

ในเวลาเดียวกันนั้น บริแกนดีนก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

“ผู้ดูแลก็เป็นพวกมันงั้นเหรอ? พวกสลีปเปอร์!? (Sleeper) สายลับที่พวกต่างดาวส่งมาแทรกซึมเพื่อคอยประสานงานและเตรียมการเพื่อนำทางไปสู่การรุกรานโลกสินะ! รู้สึกว่านี่จะเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิดซะแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้คงจะมัวเหนียมอยู่ไม่ได้… เพราะคนที่จะยึดครองโลกน่ะต้องเป็นพวกเรา! กองทัพซาลารัสเท่านั้น!!”

ทันทีที่ได้ข้อสรุปในแบบเฉพาะตัวของเขา บริแกนดีนก็กางเขนทั้งสองออกไปด้านข้างในขณะที่กำลังวิ่งอยู่ ทันใดนั้นก็มีวงเวทห้าวงปรากฏขึ้นมารอบตัวของบริแกนดีน ทั้งบนเหนือหัว, บนพื้น, ด้านหลัง, ด้านซ้ายมือ, และด้านขวามือของเขา พริบตาต่อมาก็มีวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับชิ้นส่วนเครื่องจักรพุ่งออกมาจากวงเวทแต่ละอันโดยมีร่างของบริแกนดีนเป็นเป้าหมาย

ทันทีที่ชิ้นส่วนเครื่องจักรเหล่านั้นเข้ามาถึงระยะประชิด พวกมันก็คลายตัวออกจนมีลักษณะคล้ายกับชิ้นส่วนของชุดเกราะขนาดใหญ่และสวมลงบนร่างเล็ก ๆ ของบริแกนดีน แต่ละชิ้นค่อย ๆ ประสานรอยต่อกับส่วนอื่น ๆ แล้วเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปทีละน้อย จากชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ดูหยาบและไร้รูปทรงก็ค่อย ๆ สอดประสานกันและดูเป็นโครงสร้างมากขึ้น จนในที่สุดมันก็กลายเป็นชุดเกราะจักรกลขนาดยักษ์ที่มีทั้งแขน, ขา, และร่างกายอันกำยำขึ้นมาห่อหุ้มร่างกระจ้อยร่อยของบริแกนดีนที่อยู่ตรงกลาง ทำให้เขาดูเหมือนกับเป็นคนขับของชุดเกราะจักรกลขนาดยักษ์ตัวนี้มากกว่า

ทันทีที่ชิ้นส่วนทั้งหมดประกอบกันครบและขึ้นรูปร่างเป็นเกราะจักรกลโดยสมบูรณ์ แผ่นเหล็กบริเวณด้านหลังหัวไหล่ทั้งสองข้างของมันก็เปิดออก ก่อนจะมีปืนเกตลิ่งกระบอกโตโผล่ขึ้นมาและวางประทับลงบนบ่าแต่ละข้างของชุดเกราะจักรกลนั้น พร้อม ๆ กันกับที่ร่างของมันได้หันตัวกลับมาทางโจรสองคนทางด้านหลัง ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่ได้ชะงักเท้าลงเป็นเวลานานแล้วเพราะความตกตะลึง

“กลับดาวไปซะ! ไอ้พวกเอเลี่ยน!”

ทันทีที่บริแกนดีนพูดจบ ปืนเกตลิ่งทั้งสองกระบอกที่อยู่บนไหล่ของเกราะจักรกลก็สาดกระสุนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วในการยิงเกือบหนึ่งร้อยนัดต่อวินาที ทำให้พื้นศิลาของพีระมิดที่ถูกเส้นกระสุนลากผ่านถูกขุดขึ้นมาเป็นทางยาวราวกับโดนสายฟ้าฟาด แม้กระสุนจะไม่ถูกโจรทั้งสองคนนั้นโดยตรง แต่สะเก็ดจากการระเบิดของพื้นศิลาก็ทำให้พวกเขาถูกซัดจนลอยกระเด็นไป

“อึ๊ก!”

“อ๊ากกก”

อีกด้านหนึ่ง แซ็คโทลที่วิ่งควบด้วยความเร็วสุดฝีเท้าก็พุ่งชนเหล่าผู้ดูแลทั้งสี่คนจนแตกกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง แม้ทุกคนจะพยายามป้องกันตัวด้วยวิธีการต่าง ๆ เท่าที่จะพอทำได้ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นแรงปะทะอันมหาศาลจากร่างกายอันมหึมาของแซ็คโทลได้อยู่ดี

ชายหนุ่มผมดำซึ่งเป็นคนของเครสซินฯ ได้แต่ยืนตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า การที่สมุนรับใช้สามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับสูงแบบนี้ออกมาได้เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งยังมีสมุนรับใช้อีกตัวที่สามารถเรียกชุดเกราะจักรกลอันแปลกประหลาดออกมาได้อีก ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ตะลึงงันและไม่อยากจะเชื่อว่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริง

อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องควบคุมของพีระมิด เจ้าหน้าที่ประจำห้องทุกคนก็ลุกขึ้นมองภาพเหตุการณ์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน

มีเพียงไลคัส ผู้อาวุโสของเหล่าผู้ใช้ศาสตร์มืดซึ่งรับผิดชอบฝ่ายเฝ้าระวังของกลุ่มผู้ใช้ศาสตร์มืดเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาในอาการเยือกเย็น เขาเพียงหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้เห็นเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึงนี้ และเฝ้าดูสถานการณ์ต่อไปโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 133"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved