[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 8 Zehn Punkte Drei
“หมอก…”
เดินถัดจากบริเวณสามแยกตามคำบอกเล่าของเด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนมาได้ไม่นานนาคาซก็พบเข้ากับริ้วหมอกบางสีเทาเข้มเหลือบดำลอยต่ำเลียบพื้นไปตามเส้นทางที่ถูกตีกรอบไว้โดยกำแพง ไหลผ่านขาทั้งสองข้างไปราวกับเป็นก้อนหินกลางสายธาร
มือขวาแผ่ออกข้างลำตัว เอื้อมปลายนิ้วลงไปสัมผัสอย่างระมัดระวังเสมือนกำลังสัมผัสกับผิวน้ำเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของมัน
นอกจากสีแล้ว โครงสร้างก็มีความหนาแน่นมากกว่าหมอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหลายเท่าตัว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ลอยต่ำขนาดนี้
โดยปกติหมอกทุกชนิดจะเกิดเมื่ออุณหภูมิภายในอากาศมีค่าเท่ากับจุดน้ำค้าง ทำให้ไอน้ำภายในอากาศเกิดการอิ่มตัวควบแน่นกลายเป็นละออง แล้วค่อยๆ ปอปั้นรูปลักษณ์ขึ้นตามแต่ภูมิรัฐศาสตร์จะเอื้ออำนวย คุณสมบัติโดยรวมไม่ต่างจากหมู่เมฆาผู้เป็นเครือญาติ เป็นเพียงแค่ก้อนไอน้ำที่รอเวลาจางหายไปตามกาล ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเพราะมันไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นได้ภายใต้สภาวะอากาศเช่นนี้ หรือต่อให้อยู่ภายใต้สภาวะพิเศษเจาะจงมากก็น่าจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะแสดงผลออกมาในลักษณะนี้
“ดูเหมือนว่าเราจะเจอของดีเข้าแล้วล่ะ แบรนดิส” ดวงตาสีทองอำพันจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า
มันคือกลุ่มหมอกหนาเตอะมีความสูงตั้งแต่พื้นดินจนเลยกำแพงเขาวงกตขึ้นไปอีกราวห้าเมตร มีสีอึมครึมจนเกือบดำสนิทราวกับเมฆคิวมูโลนิมบัสที่ถูกเนรเทศให้ลงมาจากท้องนภา ขาดเพียงแค่การเสียงอึกทึกประดุจกลองสงครามกับประกายอสนีบาต,อสนีบาตแห่งธูนอร์ที่เกิดจากการถ่ายเทของประจุภายในอากาศอย่างรวดเร็ว ให้บรรยากาศเหมือนกับเป็นประตูสู่ดินแดนสนธยาที่ยังไม่ได้รับการบุกเบิกอยู่ก็มิปาน
เด็กคนนั้นคงซ่อนตัวอยู่ภายในม่านหมอกนี่ไม่ผิดแน่
“นายคิดจะเข้าไปจริงๆ เหรอ?…” เด็กชายผู้ครอบครองดวงตาสีเขียวใบไม้กล่าวถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
บางทีอาจเพราะเขามาไกลเกินกว่าที่คาดคิดไว้มากจึงหวาดกลัวที่จะสูญเสียคะแนนเหล่านั้น ดวงตาฉายแววของคนที่มีอะไรจะเสียอยู่อีกมาก ตรงกันข้ามกับแววตาของนาคาซที่ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความหิวกระหายซึ่งยังไม่ถูกเติมเต็มแม้ว่าความจริงคะแนนของเขาจะเกินเกณฑ์มามากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม
“ใช่ ฉันคิดจะเข้าไป แต่นายไม่จำเป็นต้องเข้าไปด้วยกันกับฉันก็ได้”
หากว่าอย่างไม่อ้อมค้อมนั่นคือนอกจากสภาวะทางร่างกายและจิตใจของแบรนดิสยังไม่พร้อมแล้ว ความเข้าใจซึ่งกันและกันที่มีในตอนนี้ก็อยู่แค่ในระดับต่ำ การให้ตามเข้าไปด้วยมันเลยกลายเป็นการเพิ่มภาระความรับผิดชอบมากกว่าการคอยส่งเสริมซึ่งกันและกันเหมือนเวลาจับคู่กับพี่ลิซาหรือไม่ก็ลอเรนติน่า แต่เอาจริงๆ สองกรณีนั้นมันก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ควรจะยกขึ้นมาสักเท่าไหร่เพราะรู้ใจกันดีเกินจนเวลาต้องจับคู่กับคนอื่นมันเลยรู้สึกว่าไปไม่สุดตลอด
“แต่ว่า…”
นาคาซเดินเข้าไปกุมไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่าย มองสบไปยังดวงตาคู่นั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
“นี่มันเป็นแค่ความต้องการส่วนตัวของฉัน แบรนดิส นายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยงด้วยก็ได้”
น้ำเสียงละมุนเปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจนั้นยิ่งตอกย้ำให้แบรนดิสรู้สึกว่าตนช่างไร้ความสามารถ ดวงตาสีเขียวใบไม้หลุบลงต่ำ ทำได้เพียงแค่กำหมัดทั้งสองข้างแน่นอย่างเจ็บใจ
เมื่อเห็นเช่นนั้นนาคาซจึงย่อตัวลงเพื่อมองสบดวงตาคู่นั้นอีกครั้งอย่างอาวรณ์
“แต่ถ้านายยังอยากจะช่วยฉันอยู่ ฉันก็มีเรื่องจะขอเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นายอยากจะลองฟังดูก่อนมั้ย?”
เด็กชายพยักหน้ารับในทันใด แววตาหม่นหมอนแปรเปลี่ยนกลายเป็นความกระตือรือร้น มุ่งมั่นและซื่อสัตย์
“ฉันอยากให้นายคอยกันหลังให้ฉัน อยู่ที่นี่ ขัดขวางทุกคนที่คิดจะเข้าหรือออกมา มันจะเป็นคำขอที่มากเกินไปรึเปล่า?…”
เด็กชายส่ายหน้าไปมาน้อยๆ ให้แก่ความไม่มั่นใจในคำขอของนาคาซ
“ไม่เลย ถ้าแค่เรื่องนั้นไว้ใจให้ผมจัดการได้เลย” รอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาประดับใบหน้าอ่อนหวานคล้ายเด็กผู้หญิงนั้น
เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นแล้วนาคาซก็ตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับวาดยิ้มแสดงความไว้วางใจตอบรับ
“ขอบคุณมาก งั้นฉันขอฝากที่นี่ให้นายเป็นคนจัดการด้วยนะ”
กล่าวจบนาคาซจึงเดินกลับไปคว้าหอกของตนขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในกลุ่มหมอกอย่างสบายใจ ปราศจากซึ่งตัวถ่วงอีกทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครสามารถตามเข้ามาได้ในสภาพเต็มร้อย
นี่แลคือพลังแห่งวจนา เพียงแค่รู้จักจิตใจของอีกฝ่าย เข้าใจว่าพวกเขามีนิสัยและแนวคิดแบบไหนแล้วเลือกใช้คำกับการแสดงออกอย่างเหมาะสม ให้มันสื่อเข้าไปถึงส่วนลึกเพื่อกระตุ้นอารมณ์อารมณ์ร่วม เพียงเท่านี้ก็จะสามารถโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามความต้องการได้แม้ปกติมันจะไม่ได้ง่ายขนาดนี้ก็ตาม
“_____ __-….!?”
เอ๊ะ? ทำไมถึงไม่ได้ยินเสียงของตัวเองเลยล่ะ?…
ระหว่างที่กำลังคุยกับตัวเองท่ามกลางสายหมอกหนาทึบชนิดแทบมองไม่เห็นแขนตัวเองอยู่ ในตอนที่อ้าปากเปล่งเสียงออกมาก็ไม่ได้ยินเสียงเหล่านั้นเลยราวกับว่าตนหูหนวกไปแล้วเรียบร้อย
จะว่าไปก็พึ่งจะรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้ยินเสียงย่ำหญ้าเลยตั้งแต่เดินเข้ามาในหมอกนี่
เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งจึงยกนิ้วขึ้นมาดีดข้างใบหูซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นเสียงที่ควรจะก้องกังวานจากการกระแทกกันของนิ้วกลางกับฝ่ามือกลับช่างแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงสะท้อนจากดินแดนอันห่างไกล
ขนาดว่าประสาทสัมผัสการได้ยินของเรานับว่าเป็นเลิศแล้วยังได้ยินเสียงเบาขนาดนี้เลยงั้นเหรอ… แบบนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาใหญ่เลยนะเนี่ย
เพราะปกติภายใต้สภาวะที่มืดบอดเช่นนี้ ต่อให้ประสาทการมองเห็นจะใช้ได้ปกติแต่มันก็จะถูกลดทอนบทบาทลงไปและใบหูจะขึ้นมาทำหน้าที่ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมโดยรอบแทนดวงตาที่แทบไร้จะประโยชน์ ด้วยเหตุนั้นการมีดวงตาที่ยังคงมองเห็นอยู่แต่กลับไม่สามารถได้ยินเสียงอะไรได้เลยจึงนับเป็นปัญหาที่เลวร้ายมากโดยเฉพาะกับในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นนักเวทสายโฟโตคิเนซิสผู้มีความสามารถในการสร้างภาพลวงตาจากการหักเหของแสงได้
เพราะฉะนั้นในจุดนี้จึงมีทางเลือกอยู่สองทาง นั่นคือจะใช้ประสาทสัมผัสที่ยังพอใช้งานได้อย่างการรับกลิ่นและการสัมผัสไปก่อนแล้วอาศัยการกางแผนที่ในหัวควบคู่ไปด้วย เพราะยังไงพื้นที่นี้ถูกสำรวจไว้ครบตั้งแต่ที่มาฝึกปฏิบัติการร่วมคราวก่อนแล้ว แถมตำแหน่งที่อยู่ของอีกฝ่ายก็พอจะคาดเดาได้จากการนำข้อมูลที่มีทั้งหมดมาอนุมานรวมกัน หรือจะเอาง่ายก็เบิกเนตรอสรพิษไปเลยตั้งแต่ตรงนี้ เพราะยังไงแม่ก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าห้ามใช้ แถมยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงลูกหลานฮัชชาชียะห์ก็ยิ่งไม่ควรจะประมาทด้วย
หลังจากยืนดีดลูกคิดในหัวอยู่สักพักจนได้ข้อสรุปแล้วก็คว้านาฬิกาพกออกมาจากกระเป๋าเสื้อ พันสายโซ่ให้รัดแขนซ้ายไว้แน่น แล้วบังคับหนังตาชั้นที่สามให้มาห่อหุ้มดวงตา
ความมืดมิดแห่งม่านหมอกเบื้องหน้าลดทอนลงจนหมดสิ้นและถูกแทนที่ด้วยโลกทัศน์สีน้ำเงินเหลือบม่วงบ่งบอกถึงอุณหภูมิพื้นหลังที่แตกต่างกันหลักสิบองศาเมื่อเทียบกับอุณหภูมิร่างกายของตนที่กำลังเรืองแสงสีแสดอยู่
เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้ฤกษ์ล่าจิ้งจอกทะเลทรายสักที
◇
โดยปกติสำหรับฮัชชาชียะห์นั้นจะไม่สังหารคนอย่างไม่จำเป็นและหากเป็นไปได้ก็จะสังหารเพียงแค่เป้าหมายหลักเท่านั้น แต่ในเมื่อนี่ไม่ใช่การลอบสังหารจริงจึงไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ จะต้องยึดถือกฎเกณฑ์นั้นให้ลำบากตน ฉะนั้นเด็กสาวแห่งโลกใต้ดินจึงจัดการเหยื่อผู้โชคร้ายที่พบเจอระหว่างทางไปสองคน ช่วงชิงคะแนนที่พวกเขาถือครองแล้วใช้ซาบานิยะห์สร้างสายหมอกขึ้นมาปกคลุมพื้นที่โดยรอบเพื่อกบดานรอให้ครบกำหนดเวลา
นั่งทำสมาธิอยู่อย่างสงบอยู่ ณ ใจกลางของม่านหมอกอับแสงอรุณที่จะคอยช่วงชิงประสาทสัมผัสการได้ยินของผู้กล้าย่างกรายเข้ามาและมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้นจากกลไกป้องกันตัวของนักเวทที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากซาบานิยะห์ของตน
เพราะมีข้อได้เปรียบนั้นอยู่วิษาจึงนำกระดิ่งที่เดิมเอาไว้ผูกแขนขาเพื่อฝึกการเคลื่อนไหวอย่างเงียบเฉียบไปขึงตามเส้นทางต่างๆ เพื่อให้สามารถรับรู้ได้ว่ามีใครเข้ามาภายในสายหมอกแห่งนี้ และหากมีจริงถ้าคนคนนั้นไม่ใช่พวกบ้าบิ่นสติไม่ยั้งคิดก็คงเป็นพวกโง่สมองไม่พัฒนา แต่ถึงจะคิดแบบนั้นแล้วมันก็ยังจะมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นซ้ำๆ มาจากทิศทางหนึ่ง
แม้จะทำเป็นหูทวนลมอยู่นานแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ บางทีอาจเป็นเพราะจังหวะการสั่นของมันช่างคุ้นหู คุ้นเคยมากเกินกว่าจะทำเป็นเมินเฉยได้อีกต่อไป
า-ช-า-น-ต–ิ
‘วิษา ชานติ’
ทันทีที่แปลความหมายสำเร็จก็ราวกับเสียงกระดิ่งนั้นแปลเปลี่ยนกลายเป็นเสียงกระซิบอันเย็นเยียบจากอีกฟากฝั่งของความมืดมิด ดวงตาสีฟ้าสดเบิกโพลงขึ้นด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับชักมีดไม้ออกมาฟาดฟันอากาศเบื้องหน้าตามสัญชาตญาณ
เธอค่อยๆ หมอบตัวต่ำลงจนแทบจะขนานไปกับพื้น ย่างก้าวถอยหลังไปชิดกับกำแพงไม้พุ่มที่อยู่เบื้องหลังด้วยความระมัดระวังเพื่อลดมุมที่จะถูกโจมตีลงครึ่งหนึ่ง พยายามสดับฟังทุกสรรพเสียงเพื่อแสดงหาสิ่งแปลกปลอม ทว่าเสียงเดียวที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงชีพจรถี่ระรัวของตัวเอง
เมื่อกี้มันเป็นการเข้ารหัสจำเพาะแบบเก่าของฮัชชาชียะห์ที่ไม่น่าจะมีคนนอกรู้จักนี่? แล้วทำไมถึง….ไม่สิ สิ่งสำคัญตอนนี้คือเจ้าของสัญญาณนี่เป็นตัวอันตรายไม่ใช่แค่พวกโง่เง่าแบบที่เราดูถูกไปตอนแรก
ปรายตาเหลือบมองไปยังทางขวามือซึ่งตรงนั้นมีเส้นทางเชื่อมไปยังพื้นที่ส่วนอื่นอยู่ ลูกคิดภายในหัวถูกดีดขึ้นลงและได้ข้อสรุปว่าตนควรจะแอบซ่อนอยู่ภายในลานกว้างนี้มากกว่าเสี่ยงวิ่งเข้าไปในทางเดินที่มีความกว้างเพียงแค่สองเมตร ตอนนี้ทำเพียงแค่หมอบต่ำซ่อนตัวแล้วเฝ้ารอจังหวะอย่างใจเย็นก็เพียงพอ
ไม่มีต้องร้อนรน….ยังไงเรายังถือไพ่เหนือกว่าอยู่….
‘عندما يمر الخوف، لن يبقى شيء في طريقه. سيبقى فقط أنا’
(เมื่อความกลัวนั้นผ่านพ้นไป บนเส้นทางของมันจะไม่หลงเหลือสิ่งใด จะมีเพียงข้าเท่านั้นที่คงอยู่) กล่าวออกมาอย่างไม่รู้ตัวด้วยเสียงแผ่วเบาเพื่อข่มความกระวนกระวายภายในจิตใจ หลับตาลงและจดจ่อสมาธิไปยังการสดับฟังสรรพเสียงโดยรอบในขณะที่กระดิ่งนั้นยังคงถูกสั่นเป็นรหัสลับซ้ำไปมาอย่างต่อเนื่องเป็นพื้นหลัง
แต่แล้วอยู่ๆ ที่บริเวณขาขวาก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้น ความรู้สึกอึดอัดราวกับมีบางสิ่งกำลังพยายามบีบรัดขาของตนปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงคล้ายกับเหล็กจำนวนมากกระทบกัน และในจังหวะที่กำลังจะตรวจสอบนั้นเองก็มีเสียงราวกับโซ่ถูกดึงดังขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับเกิดแรงกระชากประมาณมหาศาลที่ทำให้เธอเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นหญ้า
“โซ่!? มาจากไหน!?”
ทันทีที่สังเกตเห็นว่าสิ่งใดกำลังพันธนาการน่องของตนอยู่วิษาก็รีบพลิกตัว กระชับมีดในมือมั่นแล้วปักมันลงพื้นเพื่อสร้างแรงต้านไม่ให้ถูกกระชากเข้าไปภายในเขตแดนซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่ของตนอีกต่อไป
ทว่ายิ่งยื้อไปนานมากเท่าไหร่ ทุกครั้งที่สายโซ่ถูกกระตุก ขาก็ยิ่งถูกรัดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดที่เคยมีค่อยๆ เริ่มจางหายแล้วถูกแทนที่ด้วยอาการชา ไม่ตอบสนองต่อความต้องการใดๆ เสมือนมันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอีกต่อไป
ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง!
เด็กสาวกัดฟันแน่นด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว มือซ้ายชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้ออกมา พยายามใช้มันงัดแงะเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ
ทว่าราวกับอ่านใจกันออก ในขณะที่กำลังพยายามง้างโซ่เพื่อสร้างช่องว่างให้เลือดไหลเวียนได้อยู่นั้นก็มีมวลบางอย่างซึ่งมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งเข้ามาอัดกระแทกที่มือขวา
“โอ๊ย!!”
ความเจ็บปวดฉับพลันทำให้วิษาเผลอผละมือออกจากด้ามมีด แต่ก่อนที่จะได้เอื้อมกลับไปคว้ามาอีกครั้ง ร่างกายก็กำลังถูกลากไถลเข้าไปในความมืดมิด เช่นนั้นเธอจึงรีบปักมีดสั้นฝังลงไปในดินแล้วใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการต้านแรงของอีกฝ่ายโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่ามันยิ่งทำให้ขาของตนจวนเจียนจะถูกบิดให้ผิดรูปเต็มทน
แต่แล้วไม่ว่าด้วยสาเหตุใด อยู่ๆ สายโซ่นั้นก็คลายความตึงเครียดลง มันเริ่มปลดตัวเองออกแล้วเลื้อยกลับเข้าไปภายในส่วนลึกของม่านหมอก ความรู้สึกโล่งราวกับถูกปลดปล่อยทำให้เด็กสาวรู้สึกงงงวยไปครู่หนึ่ง แต่ทันใด ในฉับพลันที่หลอดเลือดถูกคลายตัว ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงในแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนก็ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงราวกับคลื่นซัด
เธอกัดผ้าดูแพตตาที่ใช้คลุมไหล่ซ้ายไว้แน่นพร้อมกับกดเสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดไว้ภายในลำคอ ขณะเดียวกันคำถามมากมายก็ผุดขึ้นมาภายในหัว
“قبل أن يحدث أي سوء فهم، دعني أوضح أنني لست من النوع الذي يستمتع باللعب مع الضحية. السبب في أنني قمت بإزالة السلسلة هو فقط لأني لا أريد أن يتجاوز الأمر الحدود التي حددتها القواعد.”
(ก่อนที่จะเข้าใจผิดกัน ขอบอกก่อนเลยว่าฉันไม่ใช่พวกชอบเล่นกับเหยื่อ ที่ยอมปล่อยไปนี่ก็เพราะไม่อยากให้ผลลัพธ์มันออกมาเกินเลยกว่าที่กฎกติกากำหนดไว้ก็เท่านั้น) คำกล่าวด้วยภาษาที่ตนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินในการสอบครั้งนี้ดังกังวานมาจากทั่วทุกทิศทางราวกับเป็นเสียงสะท้อนจากเบื้องบน แฝงไปด้วยความอ่อนเยาว์และน่าเกรงขามในแบบที่หาได้ยากจากเด็กในวัยเดียวกัน
แม้จะรู้สึกทึ่งไปครู่หนึ่งแต่เด็กสาวก็รีบดึงสติกลับคืนมาอีกครั้ง ค่อยๆ ดันร่างตัวเองกลับไปขว้ามีดเล่มใหญ่ ปักมันลงพื้นอีกครั้งเพื่อดันตัวขึ้น ใช้แขนและขาข้างที่ยังใช้งานได้พยุงร่างให้ขนานไปกับพื้น ปลุกเร้าสัญชาตญาณการเอาตัวรอดให้ตื่นตัว สดับฟังพิเคราะห์เสียงสิ่งแปลกปลอม สอดสายตาแสวงหาร่องรอยของเงาที่น่าจะเป็นของศัตรู
“لماذا لم تتخلص مني منذ البداية؟”
(งั้นทำไมไม่จัดการฉันตอนตั้งแต่แรกซะล่ะ?)
ในจังหวะที่สิ้นเสียงกล่าวนั้นเองก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังพุ่งมาหาจากทางฝั่งขวา เธอรีบกระโดดโผตัวไปด้านหน้าในทันทีทำให้สามารถหลบไปได้อย่างหวุดหวิด
“อั่ก!”
ไม่ทันที่สองมือจะได้กลับไปสัมผัสพื้นโดยสมบูรณ์ อยู่ๆ ตรงบริเวณขาขวาก็รู้สึกราวกับถูกกำปั้นเหล็กต่อยเข้าอย่างแรง ทำให้เสียหลักกลางอากาศ กลิ้งไปกับพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา
ราวกับโดนเข็มอาบยาพิษจำนวนมากแทงเข้าไปยังส่วนลึกของเส้นประสาท ความเจ็บปวดอันแสนหนักหน่วงถูกทวีความรุนแรงไปอีกเท่าตัวจนแทบคลั่งชนิดว่าหากตัดมันทิ้งได้ซะตอนนี้ก็ยินดี แต่เพียงสิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงกอดรัดขาขวาไว้แน่น แยกเขี้ยวข่มเสียงอย่างข่มขื่น
ทั้งที่ควรจะเป็นผู้ครองความได้เปรียบภายใต้สภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่กลับต้องมาพลาดท่าแบบง่ายๆ โดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้แม้เพียงนิด เพียงคิดถึงแค่นี้ก็รู้สึกเจ็บใจในความด้อยทักษะของตนเอง
“!عليك اللعنة”
(เวรเอ๊ย!)
กำปั้นทุบดิน เอ่ยถ้อยคำสบถถูกกล่าวออกมา นัยน์ตาสีฟ้าสดฉายแววอัดแน่นไปด้วยความเดือดดาลเต็มพิกัด อารมณ์และความรู้สึกหลากหลายปะปนกันมากเกินกว่าที่จะแสดงออกมาได้ทั้งหมดในคราวเดียว แต่ก็เพราะความเดือดดาลนั้น สารเคมีภายในสมองจึงถูกหลั่งออกมาในปริมาณมาก ช่วยกดอารมณ์และความรู้สึกเจ็บปวดแทบคลั่งให้เบาบางลง ทำให้สามารถกลับมาขยับตัวได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นในระดับหนึ่ง
ถึงจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจแต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับสถานการณ์ที่ศัตรูสามารถใช้ประโยชน์จากสายหมอกได้มากกว่าถึงขนาดนี้มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรักษามันไว้ต่อไป ท้ายที่สุดวิษาจึงจำใจคลายซาบานิยะห์ของตนออก แม้จะต้องใช้เวลาอีกยาวนานหลักสิบนาทีกว่าสายหมอกนี้จะจางลงโดยสมบูรณ์ แต่ก็ตั้งความหวังไว้ว่าระหว่างนั้นมันจะช่วยทำให้ตนสามารถชิงความได้เปรียบกลับคืนมาบ้างไม่มากก็น้อย
เธอรีบลุกขึ้นแล้วออกวิ่งตะกุยหญ้าไปด้วยความเงียบเฉียบและปราดเปรียวประดุจสิงคาลทะเลทราย เคลื่อนที่แบบสุ่มเพื่อหลอกล่อให้อีกฝ่ายเผยตำแหน่งผ่านการยิงบางสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่ยังคงสามารถรับรู้ได้ผ่านสัมผัสรับรู้อันตรายที่ถูกขัดเกลามาอย่างเฉียบคม
ไม่นานใบหูก็เริ่มได้ยินเสียงของข้อเหล็กจำนวนมากกระทบกันด้วยความถี่ที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และในวินาทีถัดมาดวงตาสีฟ้าสดก็สังเกตเห็นถึงเงาของวัตถุบางอย่างที่กำลังพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง แม้จะรีบเอี้ยวตัวหลบในทันทีแล้วก็ตาม แต่ผิวสัมผัสของวัตถุนั้นก็ยังคงโดนบริเวณโหนกแก้มไปถากๆ
ติ๊ก…ติ๊ก…
ในจังหวะที่วัตถุนั้นพุ่งเฉียดหูไปมันก็ได้ทิ้งเสียงชีพจรประดิษฐ์อันแสนหนักแน่นและมั่นคงไว้เบื้องหลัง
นาฬิกา!? อย่าบอกนะว่าไอที่เอามาเขวี้ยงไปเขวี้ยงมาตลอดนี่มันคือนาฬิกาน่ะ!?
วิษารีบกระโจนออกทางด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีจากทางด้านหลังในจังหวะที่สายโซ่ถูกกระชากกลับเข้าไป หากคำนวณจากระยะของต้นเสียงแล้ว สามารถกะได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไม่เกินประมาณห้าเมตรเท่านั้น
งั้นก็ต้องเร่งความเร็วขึ้นอีกก่อนที่มันจะย้ายตำแหน่ง!
วิษารีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นโดยไม่สนความเจ็บปวดที่จะเกิดกับขาขวาของตน ในจังหวะที่เริ่มเห็นเค้าโครงของเงา หอกไม้ก็พุ่งสวนเข้ามาหาผ่านม่านหมอกอีกครั้ง เธอใช้มีดรับแล้วเบี่ยงวิถีโจมตีของมันออก อาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้าประชิดตัว ในทางกลับกันบางสิ่งที่มีลักษณะคล้ายมีดไม้ก็โผล่ออกมาฟาดฟันพร้อมปรากฏท่อนแขนที่ถูกพันไว้ด้วยสายโซ่นาฬิกาพก
วิษารีบเอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อหลบกระบวนมีดอันฉวัดเฉวียนของอีกฝ่าย ความรวดเร็วและแม่นยำในทุกการกวัดแกว่งบีบให้เธอต้องเป็นฝ่ายรับอยู่ครู่ใหญ่ และเมื่อพบช่องโหว่ก็ปัดมีดของอีกฝ่ายออกแล้วเริ่มรุกกลับไปในทันที โหมกระหน่ำเข้าใส่ด้วยกระบวนมีดอันรวดเร็วอันเป็นเอกลักษณ์ของฮัชชาชียะห์ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ร่างกายยังคงตื่นตัวเสมอเสมือนกำลังเริงระบำมรณะ กดดันให้ฝั่งนั้นจำต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นฝ่ายป้องกันอย่างเต็มรูปแบบ
ท้ายที่สุด วิษาก็สบโอกาสสามารถเตะสกัดขาให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงได้สำเร็จ เธอรีบพุ่งเข้าไปหมายจะพึงพอใจสติด้วยการกระทุ้งมีดลงไปยังลิ้นปี่ แต่ก่อนที่จะทำได้สำเร็จ เท้าของอีกฝ่ายกลับยกขึ้นมายันแขนเธอไว้แล้วถีบส่งออกมาอย่างเต็มแรงทำให้ร่างกายเซถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนที่วินาทีถัดมาจะถูกสกัดขาให้เสียหลักล้มลงด้วยการกวาดหอกมาตามแนวขวาง
เธอรีบกลิ้งตัวหลบวัตถุไร้รูปที่พุ่งเข้ามาหา ในจังหวะที่มีดไม้กำลังผ่าอากาศตามมา วิษารีบยกขาขึ้นไปยันต้านแรงแขนประหนึ่งชายหนุ่มร่างกำยำนั่นไว้ แรงมหาศาลถูกถ่ายลงมาขาขวาที่อาการสาหัสอยู่แล้วทำให้ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณ บีบคั้นให้จำต้องปามีดสั้นเข้าไปตรงส่วนที่น่าจะเป็นศีรษะของอีกฝ่าย แม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าโดนหรือไม่ แต่มันก็สร้างจังหวะให้สามารถถีบร่างนั้นกระเด็นออกไป
ในระหว่างที่กำลังจะลุกขึ้นยืน อยู่ๆ ตรงบริเวณแขนขวาก็มีความรู้สึกอันคุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อยกขึ้นมาสังเกตดูจึงพบสายโซ่นาฬิกาพกกำลังรัดแขนของตนแน่นขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับส่งเสียงเสียดสีอันน่าชิงชัง
ยุ่งยากชะมัด!
วิษารีบสับเปลี่ยนมีดไปยังมือข้างซ้าย ในจังหวะไล่เลี่ยกันสายโซ่ก็ถูกกระตุกจนตึง เธอปล่อยให้ร่างกายถูกกระชากเข้าไปอย่างไม่คิดจะยื้อยุดเหมือนคราวก่อนหน้า ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามทิศทางของแรงประดุจมัจฉาว่ายตามกระแสธาร
แม้จะมีคำกล่าวว่า”มีเพียงแค่ปลาตายเท่านั้นที่จะว่ายตามน้ำ”แต่นั่นมันก็ใช้ได้แค่กับปลาที่ไม่รู้จักระวังตัวเท่านั้น
เธอหลบเลี่ยงทุกกระบวนหอกที่ถาโถมเข้ามาอย่างพลิ้วไหวราวกับกำลังเต้นรำ สติยั้งคิดเริ่มพร่าเลือนไปพร้อมกับความเจ็บปวด ไม่ว่าด้วยสาเหตุประการใดแต่อยู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ตื่นเต้นเต้นร้อนผ่าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่รู้ทำไมแต่ว่ารู้สึกดีสุดๆ!! นี่สินะที่เขาเรียกว่าทลายขีดจำกัด!!
รอยยิ้มฉีกกว้างอย่างครื้นเครงปรากฏขึ้นมาแต่งแต้มใบหน้า ส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งแลวิปริตออกมาอย่างไม่รู้ตัวขณะใช้มีดเบี่ยงกดวิถีหอกลงต่ำจนมันปักลงไปในเนื้อดิน ผลของสายหมอกที่เริ่มจางลงเล็กน้อยเปิดโอกาสให้แว่วเสียงความรื่นเริงลอดผ่านไปถึงใบหูของอีกฝ่าย
เงาเบื้องหน้าชะงักงันไปครู่หนึ่งราวกับตื่นตระหนกหรือไม่ก็ขวัญผวา แต่ในช่วงเวลาที่กำลังหลงระเริงคิดว่าตนจะสามารถปิดฉากได้อยู่นั้นเค้าโครงร่างกายเบื้องหลังม่านหมอกสีเทาเข้มเหลือบดำก็ปรากฏเข้ามาประชิดด้วยความเร็วในแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
ดวงหน้าขาวใสจนเห็นเส้นเลือดภายใต้ผิวหนัง ประดับด้วยเรือนผมสีดำหยักศก นัยน์ตานักล่าสีทองอำพันฉายแววจริงจังภายใต้เลนส์กระจกปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก สองมือปัดป้องกระบวนมีดด้วยการออกหมัดแบบผสมผสานระหว่างหย่งชุนและมวยปาจี๋ สกัดทุกจุดขยับบนร่างกายของเธอแล้วใช้ฝ่ามือเสริมเวทมนตร์อัดกระแทกเข้าไปยังลิ้นปี่อย่างแม่นยำ
ความรู้สึกเหมือนถูกแทงถ่ายทอดเข้าไปถึงอวัยวะภายในทะลุออกไปจนถึงกระดูกสันหลัง อากาศภายในปอดถูกบีบออกจนหมดสิ้น แม้ต่อให้จะพยายามสูดลมหายใจเข้าไปมากแค่ไหนก็ไขว่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า มีดไม้ภายในมือร่วงหล่นจากความอ่อนแรงฉับพลัน ความรู้สึกเหมือนบางอย่างกำลังไหลย้อนขึ้นมามันทั้งทำให้แสบและขมคอ ร่างกายของวิษาแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นในทันทีหากไม่ถูกประคองไว้โดยเด็กชายผู้เป็นคู่ต่อสู้
“اجلس وخذ نفسًا عميقًا ببطء.”
(นั่งลงแล้วค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ) เสียงนั้นกล่าวอย่างใจเย็นพลางค่อยๆ ประคองร่างของเธอให้นั่งลงกับพื้น สอนการควบคุมลมหายใจอย่างถูกต้องพร้อมกับสาธิตให้ทำตาม
ไม่นานลมหายใจกับสติที่กระเจิงไปก่อนหน้าก็เริ่มกลับมาเข้ารูปเข้ารอย เหลือเพียงอาการจุกทรวงอกราวกับกำลังโดนบางอย่างกดทับอยู่ที่ยังคงรั้งไว้ไม่ให้สามารถขยับตัวได้มากนัก
‘….إذا كان بإمكانك فعل هذا من البداية… لماذا لم تفعل ذلك؟’
(ถ้าทำแบบนี้ได้ตั้งแต่แรก…ทำไมถึงไม่ยอมทำล่ะ….) หลังจากรวบรวมสติได้นั่นคือคำถามแรกที่ผุดเข้ามาในตอนที่เธอถูกเข้าประชิดตัว
ทั้งความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ทั้งกระบวนหมัดอันแสนช่ำชอง และกำลังอันหนักแน่น ราวกับทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การหยอกล้อของเงามรณาผู้ปรารถนาจะบั่นคอเหยื่อตอนไหนก็ได้ตามต้องการ ย้อนแย้งกับคำพูดก่อนหน้านี้ว่าไม่ชอบเล่นกับเหยื่อโดยสิ้นเชิง
เด็กชายหลุบตาลงไปมองมือซ้ายของตน กำมันแน่นราวกับไม่สบอารมณ์
“لأنها كانت قيدًا… مثلما لديك أنت أيضًا”
(เพราะมันเป็นข้อจำกัดน่ะ…เหมือนกับที่เธอมี)
“أتعرف ذلك؟”
(รู้ด้วยเหรอ?)
คำตอบอันคาดไม่ถึงทำให้ดวงตาสีฟ้าสดช้อนมองด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าและแววตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ มีเพียงความนิ่งสงบดุจมือสังหารมากประสบการณ์ดั่งเช่นเหล่ามุอัดดิบ
“الثقل والقوة والرشاقة بين يدك اليمنى واليسرى قد كشفت. لو لم تكن لديك مشكلة مشابهة، لم أكن لأرى سببًا آخر يجعلك لا تستخدم اليد التي تفضلها منذ البداية.”
(น้ำหนักแรงกับความคล่องตัวระหว่างมือขวากับมือซ้ายของเธอมันฟ้อง ถ้าไม่ติดปัญหาในลักษณะเดียวกันฉันก็มองเหตุผลอื่นที่เธอจะไม่ใช้มือข้างที่ถนัดตั้งแต่แรกไม่ออกเลย) กล่าวออกมาด้วยเสียงเรียบราวกับเป็นเรื่องทั่วไป
แต่กลับแฝงนัยว่าฝั่งนั้นมีความช่างสังเกตมากถึงขนาดสามารถแยกแยะเรื่องละเอียดอ่อนระดับนั้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ในทางกลับกันก็พึ่งจะตระหนักได้ว่าตนไม่สามารถแยกแยะเรื่องนั้นจากอีกฝ่ายได้เลยเพราะทั้งกำลังและความคล่องตัวของแขนทั้งสองข้างนั่นแทบจะไม่แตกต่างกัน
ไหนจะเรื่องเวทมนตร์ที่ยิงวัตถุที่มองไม่เห็น ไหนจะเรื่องที่สามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำทั้งที่ถูกช่วงชิงประสาทสัมผัสไปตั้งสองอย่างอีก อีแบบนี้ถ้าจะชนะได้ก็คงมีแต่ต้องปลดข้อจำกัดเรื่องซาบานิยะห์เท่านั้นแหละ
หากปลดข้อจำกัดสายหมอกนี้จะไม่ใช่เพียงแค่ช่วงชิงประสาทสัมผัสการได้ยิน มันยังทำอะไรได้อีกหลายอย่างมากมายสุดแต่จินตนาการจะวาดฝัน แต่ถ้าหากทำเช่นนั้นมันก็จะไม่ใช่เพียงแค่การละเมิดข้อกำหนดที่ตั้งขึ้นมาเองอีกต่อไป เพราะเดิมทีซาบานิยะห์นี้ในระดับความสามารถต่ำสุดก็ถูกจำกัดไว้ให้อยู่ระดับสี่แล้ว ที่ในการสอบนี้ยังคงใช้ได้อยู่มันก็เป็นเพียงเพราะตนสามารถใช้ซาบานิยะห์ได้เพียงแค่บทเดียวจึงได้รับการอนุโลมเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นสำหรับสถานการณ์นี้ที่เต็มไปด้วยข้อผูกมัดมากมาย ต่อให้จะดิ้นรนมากแค่ไหนสุดท้ายก็ไม่ต่างจากการพยายามยื้อเวลาแพ้ออกไป
แต่อย่างน้อยในแง่ว่าตนสามารถบีบให้อีกฝ่ายยอมฉีกข้อจำกัดเพื่อรีบปิดฉากได้ก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ไม่คาดคิดที่น่าพึงพอใจแม้จะไม่ใช่ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ก็ตาม
สรุปได้เช่นนั้นเด็กสาวก็เอื้อมมือไปหยิบป้ายหมายเลขทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวออกมามอบให้กับผู้มีชัยเหนือตน
“خذها”
(รับไปสิ)
ทว่าอีกฝ่ายกลับหยิบเพียงแค่ป้ายหมายเลขสามสิบเก้าไปแล้วทดแทนมันด้วยป้ายหมายเลขอื่นสองป้ายที่หยิบมาจากกระเป๋าคาดต้นขาเสมือนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน
“لقد كسرت قيودي الخاصة لأهزمك. لذلك، ليس لدي الحق الكافي لأخذها جميعًا… أنا آسف لأني لم أستطع احترامك كما ينبغي.”
(ฉันแหกข้อจำกัดของตัวเองเพื่อเอาชนะเธอ เพราะฉะนั้นฉันก็ไม่มีสิทธิ์มากพอที่จะรับพวกมันทั้งหมดไป…ขอโทษด้วยนะที่ฉันไม่สามารถให้เกียรติเธอได้มากเท่าที่ควร)
น้ำเสียงแอบแฝงด้วยความรู้สึกผิดและแสดงออกถึงความเข้าใจในวัฒนธรรมและหลักปรัชญาของฮัชชาชียะห์เป็นอย่างดี ปรัชญาที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากความโหดร้ายของทะเลทราย ยึดถือว่าผลลัพธ์ของทุกการต่อสู้จะต้องมีเพียงแค่คำว่าอยู่หรือตาย ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านั้นเพื่อสะท้อนถึงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจและให้เกียรติแก่การเตรียมใจของอีกฝ่าย
“…حقًا… يا للأسف”
(งั้นเหรอ…น่าเสียดายจริงๆ…) อารมณ์ตกค้างหลากหลายยังคงอัดแน่นทำให้ไม่สามารถเลือกแสดงออกมาได้ ทำเพียงแค่กำป้ายหมายเลขภายในมือไว้แน่น
แล้วยอมรับว่าผลลัพธ์นี้เป็นการลงโทษที่เหมาะสมตามมุมมองเชิงปรัชญาของทั้งสองฝ่าย เพราะต่างฝ่ายต่างก็แหกข้อจำกัดเพื่อชัยชนะของตน
เด็กชายลุกขึ้นยืน ก้าวเดินกลับไปคว้าอาวุธทั้งสอง ปักหอกไว้ข้างกายก่อนจะยกมีดขึ้นทาบอกขวาถัดด้วยทาบศีรษะอันเป็นการแสดงความเคารพตามประเพณีของนักรบซาลาดิน
“السلام عليكِ”
(ขอสันติจงสถิตแด่ท่าน)
เห็นดังนั้นวิษาจึงเอื้อมมือหยิบมีดของตนขึ้นมาและทำความเคารพในลักษณะเดียวกันพร้อมกับคลี่ยิ้มบางให้
“وعليك السلام”
(ขอสันติจงมีแด่ท่านเช่นกัน)
ในจังหวะที่กำลังคิดว่าการประลองนี่จบลงแล้วนั้นเอง
อยู่ๆ เด็กชายผู้เตรียมจะหันหลังเดินจากไปก็หยุดชะงักงันประหนึ่งสุนัขล่าเนื้อผึ่งหูได้ยินเสียงแปลกปลอม ดวงตานักล่าจับจ้องไปยังกำแพงทางทิศตะวันออกอย่างจดจ่อก่อนจะเหลือบมามองเด็กสาวพร้อมทั้งสัญญาณบ่งบอกให้เงียบด้วยการนำนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากเบาๆ
พอรวบรวมสมาธิลองสดับฟังตามก็เริ่มได้ยินเสียงกรอบแกรบเบาๆ ดังมาจากทิศทางนั้น เสียงคล้ายบางสิ่งกำลังปริร้าวจากความหนาวเย็น…ราวกับผืนน้ำแข็งเปราะบางที่กำลังจะยุบตัวลงด้วยความถี่ที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ครืนนนน!
“อั่กกก!!”
เงาของร่างหนึ่งกระเด็นเข้ามาภายในลานกว้างพร้อมกับกำแพงไม้พุ่มที่ถล่มลงสู่พื้นดิน ส่งเศษซากสะเก็ดพฤกษาสีขาวให้กระจายออกไปอย่างสะเปะสะปะ แต่ด้วยเวทมนตร์บางอย่างของเด็กชาย เพียงแค่เขาตวัดหอกไปตามแนวขวางเบาๆ กำแพงสายลมก็พวยพุ่มขึ้นมาจากพื้นหญ้าเป็นแนวยาวเกือบสามเมตร เบี่ยงเบนวิถีเคลื่อนที่ของเศษซากเหล่านั้นให้กระจัดกระจายไปยังทิศทางอื่นจนหมดสิ้น
ไอเย็นสีขาวไหลทะลักจากรูโหว่ขนาดใหญ่เข้ามาเสมือนสายธารล้นทะลัก ปลดปล่อยไอเย็นยะเยือกดุจความพิโรธแห่งเหมันต์ให้กระจายไปทั่วบริเวณพร้อมกับกลืนกินและแปรเปลี่ยนสายหมอกสีเข้มของวิษาให้เป็นพวกเดียวกัน
ท่ามกลางม่านหมอกมรณะสีขาวปรากฏร่างของอีกบุคคลก้าวเดินเข้ามาเหยียบย่ำร่างกายของผู้กำลังร้องโอดโอยอยู่อย่างเจ็บปวด
ชุดกึ่งทางการสีดำสนิทตั้งแต่ลำตัวจรดปลายเท้า มีเพียงแค่ผ้าผูกคอคราแวตสีแดงสดทรงเมล์โค้ชและเรือนผมสีน้ำเงินอมเทาเท่านั้นที่ดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ดวงตาสีพิศวงมองร่างใต้เท้าด้วยแววไม่ต่างจากการมองหนอนแมลง ภายในมือถือหอกเคลือบโดยน้ำแข็งนิลกาฬจนแทบไม่เห็นเค้าลางของเนื้อไม้สีนวล
เด็กชายชักสีหน้าอย่างไม่เก็บอาการ บรรยากาศรอบตัวของเขาดุร้ายขึ้นเป็นทวีคูณพร้อมกับเสียงจิ๊ปากไม่สบอารมณ์
‘ชิ ก็ยังจะหลุดมาจนได้นะ’ กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงอันผสมผสานระหว่างความเอือมระอาและเหนื่อยหน่ายใจ