cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 7 Zehn Punkte Zwei

  1. Home
  2. All Mangas
  3. [Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา
  4. ตอนที่ 7 Zehn Punkte Zwei
Prev
Next

  แม้ทัศนวิสัยจะถูกปกปิด แต่ในห้วงลึกดวงตาสีโลหิตกลับสามารถมองได้อย่างชัดเจน

  ในขณะที่ถูกนำพาไปยังจุดปล่อยตัว ภายในหัวของเด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีดำก็กำลังกางแผนที่และวาดจุดประทับเส้นทางที่ตนกำลังเดินไปอยู่ภายในปราสาทความทรงจำ

  หากพิจารณาจากที่เห็นในตอนนี้ทั้งหมดก็ดูเหมือนว่าเขาวงกตแห่งนี้จะไม่ได้รับการปรับปรุงหรือดัดแปลงเส้นทางเพิ่มเติมจากครั้งล่าสุดที่เคยเข้ามาฝึกซ้อม เพราะทิศทางที่เดินอยู่นั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เคยจดจำไว้แม้เพียงสักนิด

  เมื่อฝีเท้าหยุดลงตามผู้นำทางผ้าปิดตาก็ถูกคลายออก แว่นตาซึ่งสอดอยู่บริเวณร่องเสื้อระหว่างกระดุมถูกคว้าขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังสีสันที่แท้จริงอีกครั้ง

  ภาพแรกหลังจากที่เปลือกตาถูกยกขึ้นคือพื้นที่กว้างซึ่งถูกรายล้อมด้วยกำแพงไม้พุ่มสูงเลยหัวไปเกือบสามเท่า เหนือขึ้นไปคือระเบียงเหล็กที่ทอดยาวครอบคลุมถึงทุกส่วนและเชื่อมถึงกันแทบทั้งหมด ทางซ้ายและขวาคือทางเดินไปยังพื้นที่ส่วนอื่น ไม่พบร่องรอยของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ในบริเวณเดียวกัน

  ระหว่างที่กำลังกวาดสายตาสำรวจภาพรวมอย่างละเอียดนาคาซก็สัมผัสได้ถึงปลายนิ้วที่มาสะกิดไหล่ของเขาเบาๆ

  “ไง”

  เมื่อหันไปยังต้นเสียงก็พบร่างของนายทหารสังเกตการณ์ผู้หนึ่งซึ่งน่าจะเป็นคนพาเขามายังที่นี่ แม้จะใส่หมวกเหล็กปิดบังมิดชิดจนไม่เห็นแม้เพียงดวงตาทว่าน้ำเสียงคล้ายคนไม่เอาอ่าวในเวลาปกตินั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก

  “คุณฮาร์ทมันน์!? ไม่ใช่ว่าคุณโดนย้ายไปประจำการที่เมืองอื่นแล้วเหรอครับ?” ใบหน้าและน้ำเสียงประหลาดใจเปิดเผยออกมาอย่างไร้ซึ่งการปิดบัง

  เพราะบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าของเขาควรจะต้องประจำการอยู่ที่เมืองอื่นตั้งแต่สี่เดือนก่อนแล้ว ทว่าตอนนี้ชายคนนี้กลับยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมประดับอินทรธนูดาวเงินหนึ่งดวงอันเป็นยศที่สูงกว่าเดิมหนึ่งขั้น

  “องค์กรทหารก็แบบนี้แหละฮ่าๆ ”

  “งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับการเลื่อนขั้นและขอแสดงความยินดีที่ได้กลับมาอยู่กับคุณภรรยาอีกครั้งด้วยครับ ร้อยตรีฮาร์ทมันน์” นาคาซยกมือขวาขึ้นมาประทับหน้าอกพร้อมค้อมศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อแสดงความยินดีจากใจจริง

  แม้ว่าภายนอกเขาจะดูเป็นคนยี่หระต่อสรรพสิ่งเช่นนี้ แต่ตลอดระยะเวลาที่เคยร่วมปฏิบัติการร่วมกันในช่วงครึ่งปีแรกของการทำแผนที่มันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าอากัปกิริยาเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ภาพมายา และการที่เขาถูกย้ายมายังหน่วยฝึกสอนอันเป็นศูนย์รวมเจ้าหน้าที่มากความสามารถเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ตนคิดมาตลอดนั้นถูกต้อง

  “ขอบคุณมาก ตอนเมียฉันรู้เรื่องก็ดีใจสุดๆ เหมือนกัน” 

  สิ้นเสียงคำพูดเสียงแตรแห่งการเริ่มต้นก็ดังกังวานไปทั่วสารทิศ ดึงดูดสายตาของทั้งคู่ให้จ้องไปยังต้นเสียงซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ที่จุดนี้

  “เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ผมจะส่งของขวัญเป็นการยินดีไปให้นะครับ สำหรับวันนี้ก็ขอฝากตัวด้วยครับ” นาคาซแสยะยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมาพร้อมยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย

  “ขอขอบคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน แต่วันนี้อย่าหนักมือมากนักล่ะ” ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับน้ำใจนั้น

  มิตรที่เคยผูกครั้งหนึ่งแล้วหากได้พบเจอกันอีกก็ควรต้องแสดงความใส่ใจเพื่อคงความสัมพันธ์ให้ยังเหนียวแน่น เพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์สังคม หากอยากทำอะไรสะดวกก็ควรรู้จักผูกมิตรไมตรีทีละเล็กละน้อย โดยเฉพาะหากเป็นเด็กเช่นตนก็ควรทำตัวรู้มารยาทให้ผู้ใหญ่เอ็นดู เวลาดำเนินการอะไรก็จะได้สะดวกเช่นเดียวกับการสอบครั้งนี้ที่แค่เริ่มต้นก็อนาคตสดใสผิดคาด ที่เหลือก็เพียงแค่ไม่ทำอะไรที่มันเกินขอบเขตที่อีกฝ่ายยอมรับได้ก็เพียงพอ

  หลังจากมองส่งร่างของชายหนุ่มที่ปีนบันไดพับขึ้นไปสังเกตการณ์บนระเบียงด้านบนแล้ว นาคาซก็ยืดเส้นสายของตนพลางประเมินสถานการณ์ไปด้วยเพื่อตัดสินใจว่าจะไปเส้นทางไหน

  ทางขวาคือเส้นทางที่เดินมาและยังมีพื้นที่ที่ยังไม่เคยผ่านอยู่ระดับหนึ่ง ส่วนทางซ้ายมีเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาแล้วหลายส่วนแต่ก็ยังมีส่วนที่ขาดเหลืออยู่พอสมควร ทว่าหากประเมินจากแผนที่ภายในความทรงจำ สุดท้ายก็มีหนึ่งเส้นทางที่เป็นจุดบรรจบกันของทั้งสองเส้นทางนี้อยู่

  เมื่อตัดสินใจแล้วว่าต้องการเดินสำรวจเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปมากที่สุดนาคาซก็เดินไปทางฝั่งขวามือพร้อมกับใช้เวทลดแรงเสียดทานในการแบ่งเบาภาระร่างกาย
 

  ผ่านไปครึ่งชั่วโมงหลังจากเสียงแตรสัญญาณดังขึ้น หากเป็นไปได้นอกจากเป้าหมายเช่นวิษา ชานติแล้ว ก็ไม่อยากที่จะปะทะกับคนอื่นให้เปลืองแรงพร้อมเพิ่มภาระให้กับตัวเองมากนัก ทว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้คือเด็กชายผู้มีความสูงกว่าเขาไม่มากนัก เพียงแค่ว่ามีไขมันสะสมบริเวณรอบเอวมากจึงทำให้ดูตัวใหญ่อย่างน่าประหลาดกำลังยืนกร่างขวางทางไปเดินด้วยท่าทางเย้ยหยันหมายจะบดขยี้อีกฝ่ายที่มีร่างเล็กกว่าเพียงเล็กน้อย

  ดวงตาสีทองอำพันฉายแววเรียบเฉยปราศจากซึ่งความเห็นใดๆ

  เกราะไม่สวมคงเพราะไม่มีขนาดที่พอดีตัว จับดาบไม่เป็น อย่างดีก็ได้แค่ตวัดมั่วๆ ดูจากรูปร่างแล้วจุดเด่นคงไม่พ้นแรงกายแต่จากท่วงท่าการยืนบ่งบอกว่าไม่เป็นมวย ทั้งลักษณะการยืนและการเชิดคอสื่อถึงความภาคภูมิที่มากเกินจนกลายเป็นความยโสและคงชอบหาเรื่องคนที่ตัวเล็กกว่าด้วย นึกว่าคนทรงนี้จะมีแต่ในนิทานซะอีก

  “ถ้าอยากผ่านทางนี้ก็ส่งป้ายของแกมาให้ฉันซะ” เด็กชายผู้นั้นยืดอกพร้อมยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างองอาจราวกับสัตว์ที่พยายามจะพองตัวเพื่อขู่เข็ญศัตรู

  เส้นทางอื่นยังมีให้สำรวจอีกมากแถมมีไม่ต่ำกว่าสองทางที่ไม่ใช่ทางตันงั้นไปทางอื่นดีกว่า สู้ไปก็เปลืองแรงเปล่า

  คิดเช่นนั้นแล้วนาคาซก็หันหลังกลับไปทางเดิมอย่างไม่แยแส หรือต่อให้จะเจอทางตันแต่เพราะมีเวทลดแรงเสียดทานอยู่ เพียงแค่กระโดดเต็มแรงหน่อยก็ข้ามกำแพงพวกนี้ไปได้ไม่ยากหากต้องการที่จะทำจริงๆ

  “เฮ้ย! จะหนีไปไหน!”

  ทว่าแม้จะตะโกนไปเช่นนั้นแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงความเงียบงันและการเมินใส่ราวกับเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่าน

  เมื่อเห็นว่าตนเองถูกเมินเฉยต่อการเรียกร้องความสนใจดวงตาสีน้ำตาลของเด็กชายร่างใหญ่ก็เปล่งแสงขึ้น เขาปรี่ตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายง้างดาบไม้ในมือด้วยท่วงท่าก้าวร้าวไร้อารยะขณะเดียวกันที่มืออีกข้างดาบแสงก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

  “ฉันบอกให้แกเดินไปทางอื่นรึไงวะไอเตี้ย!”

  เสียงถอนหายใจอย่างเอือมระอาถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเด็กชายผมสีดำหยักศก

  ฉับพลันที่เด็กชายผู้มีร่างกายจ้ำม่ำก้าวเท้าเข้ามาในระยะหวังผลนาคาซก็หันไปใช้ปลายหอกแทงเข้าไปยังลิ้นปี่ของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ

  พลังงานจลน์ของตนที่เคลื่อนที่เข้าไปถูกผสมกับแรงที่แทงเข้ามาจากอีกฝ่ายส่งผลให้เกิดอาการจุกบริเวณลิ้นปี่อย่างฉับพลัน การหายใจติดขัด พร้อมกันทั่วทั้งร่างกายก็เกิดอาการชา ท่อนล่างแข็งเกร็งอย่างมิอาจควบคุมได้ ราวกับว่าตนกำลังจะตายลงในไม่ช้า นาคาซดึงหอกกลับเล็กน้อยแล้วเหวี่ยงปลายด้ามฟาดเสยปลายคางของอีกฝ่ายซ้ำไปอีกคราส่งผลให้ร่างอ้วนพีล้มตึงลงไปกองกับพื้นอย่างน่าเวทนา ดาบแสงที่ยังไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมสลายหายไปในอากาศพร้อมกับสติที่ขาดสะบั้นไปโดยสมบูรณ์

  “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” คำพูดอันไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ถูกเอ่ยออกมาขณะที่นาคาซใช้มือเด็ดป้ายหมายเลขออกมาจากเสื้อของอีกฝ่าย

  แม้ไม่อยากเพิ่มภาระให้ตนเองแต่เพราะมันเป็นกติกาและมารยาทของนักล่าในการนำทุกส่วนของเหยื่อมาใช้ประโยชน์ให้หมดทุกอณู ในกรณีนี้เองก็คือป้ายหมายเลขซึ่งหากเอามาใช้ดีๆ ก็สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการเจรจาได้ในระดับหนึ่ง

  “ดูเหมือนว่ากรามจะแตกนะ” ร้อยตรีฮาร์ทมันน์ผู้ปีนบันไดพับลงไปตรวจสอบอาการของร่างไร้สติกล่าวขึ้นเช่นนั้นระหว่างจดบันทึกรายงานการสังเกตการณ์ลงในกระดาษ “ยังดีว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ใส่เสื้อเกราะเลยยังพอชักแม่น้ำมาอ้างได้ แต่ถ้าพ้นจากพื้นที่รับผิดชอบของฉันไปแล้วอย่าไปใส่เต็มแรงแบบนี้อีกนะเข้าใจมั้ย?” ชายหนุ่มใช้ปากกาหัวแร้งชี้ไปทางนาคาซพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงติเตียนตามสมควร

  เนื่องจากจำนวนผู้คุมสอบรวมกับเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ที่สามารถมาให้ความร่วมมือได้มีจำนวนรวมกันน้อยกว่าผู้เข้าสอบจึงจำเป็นต้องใช้การสังเกตการณ์แบบแบ่งพื้นที่รับผิดชอบแทนการสังเกตการณ์แบบรายบุคคล นั่นหมายความว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ผู้คุมสอบหรือเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์คนอื่นคงลงบันทึกในแง่ลบไปแทนการตักเตือนเช่นนี้

  “ตอนแรกผมคิดว่าชั้นไขมันหนาๆ นั่นมันน่าจะซับแรงกระแทกได้ดีประมาณนึงก็เลยจงใจใส่แรงมากกว่าปกติไปหน่อยครับ”

  ได้ยินคำพูดอันไร้เดียงสาเช่นนั้นร้อยตรีฮาร์ทมันน์ก็ทำได้เพียงแค่ลูบต้นคอของตัวเองอย่างลำบากปนหน่ายใจ

 “นาคาซ… แม้แต่กับผู้ใหญ่มือนายมันก็นับว่าหนักจะตายอยู่แล้ว ไอพวกที่ลงไปนอนกุมไข่ชักดิ้นชักงอสมัยก่อนนั่นมันก็ไม่ใช่การแสดงนะ เพราะงั้นยิ่งกับเด็กรุ่นเดียวกันแล้วฉันขอแนะนำให้ออมแรงไว้สักครึ่งนึงน่าจะอยู่ในระดับพอดีนะ”

  “จะปรับตามคำแนะนำนั้นครับ”

  เพราะหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ใช้สำหรับการประเมินว่านักเวทคนนั้นๆ มีความสามารถมากน้อยแค่ไหนก็คือทักษะในการควบคุมความเสียหายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่นนั้นหากต้องการถูกประเมินในทางบวก การทำตามคำแนะนำของผู้สังเกตการณ์ก็นับว่าสมเหตุผล

  ระหว่างที่กำลังเดินเพื่อสำรวจเส้นทางเพิ่มเติมนั้นเองเสียงแตรเขาสัตว์ก็กังวานขึ้นมาจากจุดปะทะล่าสุดของตน

  ผ่านไปนาทีกว่าแล้วพึ่งจะเป่าแตรแฮะ ถ้าคุณฮาร์ทมันน์ที่ใช้เวลาในการตรวจสอบร่างของเด็กนั่นนานขนาดนี้แล้วก็พอทำให้อนุมานได้ว่าในพื้นที่นี้น่าจะมีผู้เข้าสอบรวมเรากับเด็กนั่นไม่เกินสามคน เพราะหากมีจำนวนมากกว่านั้นคงแค่ตรวจสอบแป๊บเดียวแล้วเรียกหน่วยพยาบาลเข้ามากู้ร่างออกไปเพื่อที่จะได้ไปทำหน้าที่หลักของตัวเองต่อได้ หรือถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็น่าจะเป็นเพราะเรามือหนักไปเลยต้องตรวจสอบให้ละเอียดจริงๆ ว่าฝ่ายนั้นไม่ได้บาดเจ็บมากเกินไป แต่ยังไงซะก็คงเป็นแบบแรกมากกว่าเพราะจริงๆ นี่ก็ออมแรงไว้ระดับหนึ่งตั้งแต่แรกตามข้อกำหนดของแม่อยู่แล้ว

  งั้นก็น่าจะควรแก่เวลาในการออกล่าในพื้นที่อื่นแล้ว แต่ปัญหาตอนนี้คือนอกจากชื่อกับรูปประพันก็ไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่างที่พอให้ตามรอยได้ง่ายขึ้นเลย คิดไปคิดมาจริงๆ การเอาผู้เข้าสอบมาปล่อยตัวกลางเขาวงกตขนาดใหญ่ระดับเอาหน่วยชตัฟเฟิลสามหน่วยมาฝึกปฏิบัติการพร้อมกันได้สบายๆ นี่ก็แอบโหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ เพราะอย่างของที่สำนักมันคือการปล่อยเข้าป่าไปในทางเข้าเดียวกันเป็นรายบุคคลโดยให้เว้นระยะห่างห้านาทีต่อคนมันเลยยังพอสะกดรอยตามได้ แต่กับแบบนี้แล้วคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะตามล่ายังไงโดยที่มีข้อจำกัดมากมายขนาดนี้

  “เป็นไปได้ก็อยากจะล่าเป้าหมายหลักให้ได้แหละน้า~”

  เพราะยังไงการถือป้ายหมายเลขของเป้าหมายหลักมันย่อมได้รับการประเมินในแง่บวกมากกว่าการถือป้ายของคนอื่นเป็นไหนๆ ลองจินตนาการง่ายๆ แค่ว่าตัวเองสั่งให้คนไปล่ากวางมาแต่เจ้าตัวดันหิ้วกระต่ายสองตัวกลับมาแทน ถึงจะพอแทนกันได้ในระดับต่ำสุดแต่สุดท้ายมันก็ต้องแอบหางคิ้วกระตุกกันบ้างนั่นแหละ แถมนั่นก็เป็นแค่ในกรณีที่ดีสุดแล้วด้วย ถ้าหากเป็นการจ้างวานที่ต้องการเป้าหมายเป็นอย่างหนึ่งแต่ได้อีกอย่างหนึ่งมาแทนนี่มันจะยิ่งชวนหัวเสียมากกว่านั้นซะอีก เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงหากต้องการถูกประเมินในแง่บวกมากๆ ก็ต้องงัดทุกอย่างที่อยู่ในขอบเขตที่แม่กำหนดไว้ออกมาใช้ให้หมด

  หากตั้งคำถามว่าระหว่างช่วยหมาป่าที่จวนจะล่าเหยื่อสำเร็จกับช่วยกวางที่กำลังจะถูกกินอย่างไหนจะรู้สำนึกบุญคุณมากกว่าคำตอบก็ย่อมต้องเป็นอย่างหลัง หนำซ้ำหากเลือกช่วยนักล่าที่จวนจะชนะมาแต่ไหนแต่ไรนอกจากจะไม่ได้อะไรตอบแทนแล้วก็จะยิ่งโดนมันเขม่นเพราะเหมือนเป็นการหยามเกียรติหรือศักดิ์ศรี หรืออะไรก็ตามที่มนุษย์เรียกว่าอัตตาทิฐิอันแสนไร้สาระ สำหรับนาคาซเกียรติเพียงหนึ่งเดียวในสนามรบมีเพียงแค่ชัยชนะเท่านั้น

  ในช่วงที่กำลังหาเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮัชชาชียะห์ฝึกหัดอยู่นั้นประสาทสัมผัสการได้ยินของนาคาซก็ได้ยินเสียงการปะทะกันระหว่างผู้เข้าสอบคู่หนึ่งจึงมาหลบซ่อนอยู่มุมหนึ่งเพื่อคอยสอดตาดูผลการประลองอันแสนน่าเบื่อ ทว่าก็นับว่าแพรวพราวอยู่ประมาณนึงเพราะฝ่ายที่ดูจะเหมือนจะเสียเปรียบในช่วงแรกก็พลิกกลับมาเหนือกว่าได้ด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อย

  น่าจะนวดได้ที่แล้ว งั้นก็ขอจบเลยก็แล้วกัน

  คิดเช่นนั้นแล้วเวทกระสุนอากาศก็ถูกคำนวณขึ้น เด็กชายยื่นมือออกไปเบื้องหน้าแล้วดีดนิ้วทั้งสี่ของตนในระยะเวลาไล่เลี่ยกันสองครั้งติด กระสุนอากาศสี่นัดแรกพุ่งออกไปปะทะเข้ากับจุดสำคัญต่างๆ ของร่างกายเด็กสาวที่กำลังจะเด็ดป้ายหมายเลขออกมาจากเสื้ออีกฝ่ายส่งผลให้ร่างกายนั้นเสียหลักเล็กน้อย และอีกสี่นัดปะทะย้ำจุดเดิมซ้ำอีกคราส่งผลให้ร่างนั้นล้มพับลงไปในฉับพลันโดยแทบไม่รู้ตัวว่าตนโดนอะไรไป

  “เอ๊ะ?…” ผู้เข้าสอบผู้นั่งหลังพิงกำแพงไม้พุ่มส่งเสียงอันปนไปด้วยอารมณ์สับสนออกมา

  เมื่อเลื่อนดวงตามองไปยังทิศที่บางสิ่งซึ่งมองไม่เห็นน่าจะพุ่งมาก็เห็นร่างของเด็กชายตัวค่อนข้างสูงกำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยแววตาดุจนักล่า ภายในมือถือหอกไม้ไว้มั่นแสดงให้เห็นถึงความเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทุกเมื่อ

  เขาเดินไปนั่งยองพร้อมกับตั้งหอกค้ำไว้พลางตรวจสอบร่างของเด็กสาวผู้ไร้สติอย่างช่ำชองราวกับแพทย์ชำนาญการ

  ‘ประมาณนี้น่าจะกำลังดีสินะ’

  แม้จะไม่รู้ความหมายแต่ก็ไม่อยากจะถามว่าหมายถึงอะไร บรรยากาศของเด็กคนนี้น่ากลัวเกินไป ทำได้เพียงแค่ตะเกียกตะกายให้หลังชิดกำแพงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่รู้เหตุผล

  ดวงตาสีทองอำพันภายใต้เลนส์กระจกเหลือบมามองพร้อมกับยื่นป้ายหมายเลขที่พึ่งค้นเจอออกไปให้ผู้เข้าสอบผู้กำลังหวาดผวา

  “ฉันนาคาซ บลูทอัลเก นี่เป็นเป้าหมายหลักของนายเหรอ?” เด็กชายกล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนเปี่ยมมิตร รอยยิ้มน้อยอย่างอ่อนโยนชวนให้หวาดหวั่น

  ดวงตาสีเขียวใบไม้หลุบขึ้นลงระหว่างป้ายกับใบหน้าของอีกฝ่ายซ้ำไปมาหลายครั้งด้วยความสับสน เพราะไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด

  “ไนน์…..” เด็กชายผู้ครอบครองนัยน์ตาสีเขียวใบไม้ส่ายหัวไปมาช้าๆ เป็นการบอกเชิงนัยว่าตนถูกหมายหัวมากกว่าก่อนจะยื่นมือออกไปรับป้ายหมายเลขนั้นไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ “ผะ…ผมทิล แบรนดีส….แต่ให้ผมแบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ?…”

  นาคาซพยักหน้าตอบเล็กน้อย

  “ฉันถือคติว่าจะถือแค่เฉพาะป้ายของเป้าหมายหลักเท่านั้นน่ะ”

  แม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่ได้คิดแบบนั้นและจริงๆ มองว่ามันเป็นการเพิ่มภาระแก่ตนมากกว่าก็ตาม แต่หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่นานก็สรุปได้ว่าหากตีความดีๆ แล้วป้ายหมายเลขในการแข่งขันนี้ก็เปรียบได้ดั่งสกุลเงินสกุลหนึ่ง มันมีมูลค่าในตัว แม้ว่าจะไม่เทียบเท่ากับเป้าหมายหลักก็ตาม แต่สำหรับสายตาคนอื่นขอแค่ได้ถือเพิ่มสักหมายเลขนอกจากของตัวเองก็ย่อมต้องรู้สึกอุ่นใจมากกว่าเป็นไหนๆ สรุปได้ดังนั้นก็เริ่มนำแนวคิดมาทดลองใช้เพื่อหาข้อสรุปว่าตนคิดถูกมากน้อยเพียงใด

  ดวงตาสีเขียวใบไม้จ้องมองป้ายหมายเลขภายในมือด้วยแววตาอ้างว้าง ทว่าก่อนที่นาคาซกำลังจะลุกขึ้นเพื่อแสดงเหมือนว่าตนกำลังจะเดินหน้าต่อก็เหมือนมีบางสิ่งที่มีน้ำหนักมาชุดรั้งชายเสื้อกั๊กของตนไว้

  “คุณจะไปแล้วเหรอ?…”

  “ใช่ เพราะว่าเป้าหมายของฉันน่าจะค่อนข้างจะมีฝีมือเลยต้องรีบทำเวลาหน่อยน่ะ”

  “งะ…งั้นขอให้ผมช่วยคุณหาเพื่อเป็นการตอบแทนได้รึเปล่า?”

  เพราะหากมองในมุมมองของทิล แบรนดีสแล้ว สิ่งที่เขาได้รับไม่ใช่เพียงแค่ป้ายคะแนนสองจุดห้าแต้ม แต่รวมถึงป้ายของตนที่ไม่ถูกช่วงชิงไปด้วย ราคานี้มันสูงเกินกว่าที่จะสามารถทำใจรับมาโดยที่ไม่ตอบแทนกลับไปไม่ได้

  นาคาซแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางใช้นิ้วลูบคางเป็นการแสดงเหมือนตนกำลังครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะเปิดกระเป๋าคาดต้นขาแล้วหยิบกระบอกใส่หมายเลขของตนออกมาให้อีกฝ่ายดู

  “เป้าหมายของฉันคือหมายเลขสามสิบเก้าพอจะรู้จักรึเปล่า?”

  แม้จะจำรูปลักษณ์ไม่ได้เพราะไม่ได้สนใจหรือกระทั่งลืมตามมองในวันแรกแต่นาคาซก็จำได้ว่าชื่อของเด็กชายผู้อยู่เบื้องหน้าของตนคือหนึ่งในนักเวทที่ต้องเข้ารับการสอบแบบพิเศษ ฉะนั้นแล้วหากพอใช้การได้บ้างก็น่าจะรู้ว่าเด็กสาวผู้นั้นใช้เวทมนตร์แบบไหน

  ใบหน้านั้นพยักขึ้นลงช้าๆ

  “รู้จัก…เธอชื่อวิษา ชานติ พวกเราสอบในกลุ่มเดียวกัน”

  “แล้วพอรู้ข้อมูลอะไรบ้างมั้ย?”

  สิ่งสำคัญคือควรแสดงเหมือนว่าตนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กสาวผู้นั้นน้อยมากเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าตนเป็นพวกรู้มากเกินไป การค่อยๆ ถามอย่างใจเย็นแม้จะเป็นข้อมูลที่รู้อยู่แล้วจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกทั้งยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้ไปในทางบวกได้มากขึ้นด้วย

  “มีผมสีน้ำตาลเข้ม…มีตาสีฟ้าสด…แล้วก็มีผิวออกคล้ำๆ…น่ากลัว” ระหว่างที่นึกไปพูดไป คำพูดชวนสนเท่ห์ก็ปรากฏออกมาให้ได้สัมผัส

  น่ากลัว?

  “พอขยายความคำว่าน่ากลัวได้รึเปล่า?”

  “เด็กคนนั้นวิ่งเร็วมาก แข็งแรงด้วย แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมามันน่ากลัว…เหมือนกับคุณเมื่อกี้นี้…”

  เมื่อกี้นี้ แสดงว่าตอนนี้น่ากลัวน้อยลงแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นคำพูดที่น่าสนใจมาก อาจจะตีความได้ว่าเด็กคนนั้นมีความคล้ายกันกับเรามากกว่าที่คิดก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ควรจะต้องเตรียมแผนรับมือไว้เพิ่มไปอีกขั้นนึง

  “แล้วเวทมนตร์ที่ใช้ล่ะ พอจะมีข้อมูลรึเปล่า?”

  เด็กชายผู้นั้นส่ายหัวตอบกลับมาช้าๆ ราวกับกำลังรู้สึกผิด

  “ขอโทษด้วยนะ แต่ผมไม่รู้จริงๆ….”

  เกือบที่จะยื่นมือออกไปลูบหัวอีกฝ่ายเป็นการให้รางวัลด้วยความเคยชิน แต่ก็รั้งไว้ได้ทันเพราะการเฉลียวใจ

  “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็นับว่าช่วยได้มากแล้ว ขอบคุณมาก”

  ในจังหวะที่กำลังจะลุกขึ้นอีกครั้งก็ถูกฉุดรั้งไว้ด้วยการจับแขนเสื้อ ดวงตาสีเขียวใบไม้สั่นไหวเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เหมือนต้องการจะเอ่ยบางอย่าง ท่าทางที่แสดงออกนั้นดูราวกับผู้อ่อนแอ ตรงข้ามกับแรงซึ่งกำลังบีบรัดแขนอยู่อย่างหนักแน่น

  “ขอผมตามไปด้วยได้รึเปล่า?…”

  นาคาซเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งให้กับประโยคที่ตนไม่ได้คาดคิด ถึงจุดนี้อาจจะต้องพิจารณาถึงเจตนาแฝงของอีกฝ่ายไว้บ้างและระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้น คำอธิบายทางจิตวิทยาที่สมเหตุผลให้กับการตัดสินใจของฝั่งนั้นมันมีรองรับอยู่ หากแต่การคิดไปในทางนั้นเพียงอย่างเดียวจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

  “ก็ได้ แต่นายต้องยอมทำตามคำพูดของฉันนะ ยอมรับได้รึเปล่า?”

  ใบหน้านั้นพยักขึ้นลงอย่างกระตือรือร้นกว่าครั้งไหนๆ รอยยิ้มน้อยอันเปี่ยมด้วยความปิติผลิบานออกมาให้เห็น

  “แต่ก่อนอื่นฉันขอถามหน่อย นายใช้เวทมนตร์แบบไหนได้บ้าง?”

  เพราะตลอดการต่อสู้ที่คอยเฝ้ามองอยู่สังเกตพบว่ามีเพียงแค่ฝ่ายของเด็กสาวเท่านั้นที่ใช้เวทมนตร์ร่วมด้วย หรือหากเด็กชายนามว่าทิล แบรนดีสใช้เวทมนตร์เช่นกันก็สังเกตเห็นได้ค่อนข้างยากหากเขาเป็นนักเวทกายภาพซึ่งจะแสดงผลทางเวทมนตร์ออกมาในลักษณะของการเพิ่มศักยภาพร่างกายเป็นหลักมากกว่า

  ทิล แบรนดิสถกแขนเสื้อของตนขึ้นพร้อมกับหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกช้าๆ ผ่านทางปากเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวคล้ายสายลมที่ลอดผ่านช่องแคบระหว่างหุบเขา เมื่อลืมตาขึ้นแสงสว่างสีเขียวก็ส่องประกายออกมาจากดวงตา ผิวหนังชั้นนอกบริเวณปลายแขนของเขาก็เริ่มกลายเป็นสีเทา ความหนาเพิ่มขึ้นจากเป็นเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกนิ่มๆ กลายเป็นชั้นผิวหนังซึ่งหนาเกือบสองเซนติเมตรคล้ายกับคำบรรยายถึงสัตว์เขาเดียวซึ่งมิอาจสามารถพบเจอได้ในทวีปกลางอย่าง’ไอน์ฮอร์น’

  “เพิ่มความหนาของชั้นผิวหนังกำพร้าได้งั้นเหรอ” นาคาซกล่าวพลางค้อมตัวลงไปมองใกล้ๆ อย่างสนอกสนใจพลางใช้นิ้วเคาะเพื่อฟังเสียงว่าโครงสร้างกลวงหรือไม่ และผลลัพธ์นั้นก็น่าพอใจ “ทำได้แค่ส่วนแขนเหรอ?”

  “จริงๆ ทำได้หลายส่วน…แต่ถ้ามากกว่านี้ต้องใช้เวลาเพิ่มอีก…” ใบหน้าและน้ำเสียงแสดงถึงความอ่อนเพลียออกมาอย่างชัดเจนแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่นี้ก็กินพลังงานมากไปพอสมควร

  แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งวิธีใช้การดีๆ ตราบเท่าที่ไม่ถูกจำกัดกรอบความคิด ทั้งหมดที่ต้องการมีเพียงแค่ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาช่วยวิเคราะห์ขอบเขตของการใช้งาน

  “ใช้เจ้านี่บ่อยมากแค่ไหน?”

  “ไม่ค่อยบ่อย เพราะเวลาใช้แล้วจะรู้สึกคันแถวๆ ที่แปลงสภาพ…”

  นับว่าเป็นผลข้างเคียงในระดับพื้นฐานสุดสำหรับนักเวทประเภทนี้ เนื่องจากเวลารักษาบาดแผลหรือมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอวัยวะอย่างรวดเร็วมันจำเป็นต้องหลั่งสารเคมีจำนวนมหาศาลและหนึ่งในนั้นก็คือสารฮิสทามินซึ่งฤทธิ์ของมันดันไปกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ร่วมด้วยจึงแสดงออกมาในลักษณะของอาการคัน

  หากจะถามว่าใครเข้าใจหัวอกของผู้ตกเป็นเหยื่อของอาการนี้มากที่สุดคำตอบก็คือผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างนาคาซ ความรู้สึกคันเวลาฟื้นฟูแผลเปิดอย่างรวดเร็วหรืองอกอวัยวะขึ้นมาใหม่นั้นมันคือรูปประธรรมของสิ่งที่ถูกเรียกว่า’นรก’อย่างแท้จริงหากตีความตามคำนิยามของพวกเทวนิยม

  “แล้วเคยทดลองดูมั้ยว่าอยู่ได้นานสุดกี่นาที? แล้วรู้สึกว่าแขนหนักกว่าปกติมากมั้ย?”

  “ไม่มากเท่าไหร่ เหมือนแค่ยกน้ำหนักเพิ่มอีกประมาณหนึ่งกิโล ส่วนเวลาก็อยู่ได้ราวๆ สิบนาที”

  ถ้าแบบนั้นเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมามากเกินไปจนอาจไปฉุดรั้งความคล่องตัวก็ไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่คาดการณ์ไว้ ภาพรวมตอนนี้คือสามารถคงสภาพได้นานสิบนาทีแลกกับการใช้เวลาเปลี่ยนสภาพห้าวินาที หากเทียบกับมาตรฐานการคำนวณเวทมนตร์หนึ่งสมการจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่หนึ่งจุดเจ็ดวินาทีแล้ว ก็นับว่าค่อนข้างช้ามากเพราะนั่นเท่ากับว่าหากอยู่ในการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งเด็กคนนี้จะโดนเวทมนต์โจมตีเข้าไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้งกว่าจะแปลงสภาพเพียงแค่เฉพาะส่วนสำเร็จ อีกทั้งการจะใช้เวทได้ยังต้องใช้สมาธิมากเกินจำเป็น

  คิดมาถึงจุดนี้ก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมในการต่อสู้เมื่อกี้ถึงไม่ยอมใช้เวทมนตร์ นั่นเพราะความสามารถในการใช้เวทมนตร์ของเด็กคนนี้อยู่ในระดับค่อนข้างเลวร้ายชนิดที่ไม่ใช้ตั้งแต่ต้นเลยยังจะดีกว่า ถ้าพูดถึงสิ่งที่เด็กคนนี้ขาดไปจริงๆ ก็มีแค่การฝึกใช้ให้ชำนาญอันเป็นแก่นสำคัญสำหรับนักเวทนั่นแหละ

  “เข้าใจล่ะ งั้นฉันขอทดลองขั้นสุดท้ายดูหน่อยได้รึเปล่า”

  เด็กชายพยักหน้าให้อย่างไร้ซึ่งข้อกังขา

  จากการวิเคราะห์โครงสร้างด้วยการใช้รีฟอร์ระหว่างการเคาะก่อนหน้านี้แล้วค่อนข้างคาดหวังได้ว่ามันจะสามารถทนทานต่อเวทมนตร์ความแรงระดับสามได้คล้ายกับผิวหนังของไอน์ฮอร์นตามคำบรรยายในหนังสือ

  ได้รับคำอนุญาตเช่นนั้นนาคาซก็ถอยห่างออกมาไกลห้าเมตร ชูแขนขวาออกไปข้างหน้าให้ตั้งขนานกับผืนดิน ดวงตาสีทองอำพันส่องสว่างขึ้นจากการคำนวณเวทกระสุนอากาศความแรงระดับสาม

  “นับสามนะ หนึ่ง…สอง…สาม!” สิ้นเสียงเตือนนิ้วของนาคาซก็ดีดกระสุนอากาศออกไป เสียงหวีดหวิวเสียดสีกับบรรยากาศโดยรอบนั้นหนักแน่นกว่าระดับสองเป็นทวีคูณ อีกทั้งความเร็วก็ยังต่างกันมากราวกับเป็นเวทมนตร์คนละสมการ

  เด็กชายแบรนดิสทำได้เพียงแค่หลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวว่าตนจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าพอรู้ตัวอีกทีเสียงอันแสนน่าหวาดกลัวก็เลือนหายไปแล้ว ปลายแขนซึ่งถูกหุ้มด้วยชั้นหนังกำพร้าสีเทาไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เบื้องหน้ามีเพียงแค่รอยยิ้มภาคภูมิเห็นเขี้ยวของเด็กชายผู้ถือครองนัยน์ตาสีทองอำพัน

  “ยอดเยี่ยม~”

  ในหลายๆ ความหมายตั้งแต่ความแม่นยำในการวิเคราะห์โครงสร้างของตนไปจนถึงความสามารถทางเวทมนตร์ของอีกฝ่ายที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าไม่ธรรมดาแม้จะผ่านการฝึกฝนมาอย่างน้อยนิดก็ตาม

  เด็กคนนี้มีศักยภาพตั้งตนสูงเพียงแค่อยู่ผิดที่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ก็นับว่าอยู่ถูกเวลาแล้ว คิดว่าอย่างน้อยในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงน่าพามาฝึกเพิ่มที่สำนักได้อยู่

 

  เช่นนั้นทั้งสองก็ออกตามหาเบาะแสของเด็กสาวแห่งโลกใต้ดินร่วมกัน แม้จะมีการปะทะบ้างแต่หากเทียบสัดส่วนแล้วส่วนมากก็สามารถพูดคุยต่อรองด้วยพลังแห่งวจนะผสมกับอำนาจเงินตราในรูปแบบของป้ายหมายเลข

  รู้ตัวอีกทีก็มีแต้มเกินไปเกือบเท่าตัวแล้วแฮะ เอาตรงๆ ณ จุดนี้ก็ผลประเมินคงออกมาในทางบวกพอตัวแล้ว แต่ถ้าต้องการให้ผลลัพธ์มันออกมาดีที่สุดยังไงก็ต้องเอาป้ายของวิษา ชานติมาถือให้ได้

  ในระหว่างที่กำลังคิดอยู่เช่นนั้นนาคาซก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ตนผ่านทางสามแยกด้านหน้า

  ฝั่งขวา

  นาคาซชูกำปั้นซ้ายขึ้นขนานลำตัวเพื่อส่งสัญญาณให้เด็กชายแบรนดิสเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือ

  ตลอดเวลาที่ผ่านมา นอกจากจะสืบค้นเบาะแสเกี่ยวกับเป้าหมายหลักแล้วเขาก็สืบค้นเบาะแสของผู้ที่จะมาล่าตนอย่างโลล่า ลูน่าไชน์ไว้ด้วยเช่นกัน และด้วยความตลกร้ายทั้งคู่ดันมีเบาะแสปรากฏอยู่ภายในพื้นที่เดียวกันนั่นคือพื้นที่แห่งนี้ แม้ว่าจะฟังดูดีๆ แล้วจังหวะกับน้ำหนักในการเดินจะไม่เข้าข่ายสองคนนั้นเลยก็ตามแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ควรจะประมาท

  มือทั้งสองข้างกำหอกไว้มั่นในขณะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที แต่แล้วท่าทีตึงเครียดนั้นก็ผ่อนลงเล็กน้อยเมื่อร่างที่ปรากฏออกมาจากหัวมุมฝั่งขวาเป็นเด็กชายซึ่งตนคุ้นหน้าดีระดับหนึ่ง

  “โลเวนเฮิร์ซ” กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงโล่งใจปนประหลาดใจเล็กน้อย

  แต่หากพิจารณาดูแล้วก็นับว่าไม่แปลกเพราะก่อนหน้านี้ก็พบเจอผู้เข้าสอบมามาก โอกาสในการจะได้พบเจอกับเด็กคนนี้จึงค่อนข้างสูงพอตัว

  เด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนหันไปมองยังต้นเสียงซึ่งห่างออกไปห้าเมตรด้วยความประหลาดใจ มือทั้งสองข้างกำมีดคู่ไว้แน่นโดยสัญชาตญาณ

  “บลูทอัลเก?” เปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงใจ

  ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมมองสลับไปมาระหว่างผู้เอ่ยนามของตนกับเด็กชายผู้หลบซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขา ขณะเดียวกันดวงตาสีทองอำพันก็สังเกตได้ถึงกล้ามเนื้อปลายแขนของอีกฝ่ายที่กำลังเกร็งอยู่จากการจับอาวุธไว้มั่น

  นาคาซชักมีดไม้ของตนออกมาก่อนจะปักมันลงไปกับดินเช่นเดียวกับหอกที่ถืออยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง ชูมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังออกเพื่อแสดงว่าตนไม่ใช่ศัตรู

  “เป้าหมายของฉันไม่ใช่นาย โลเวนเฮิร์ซ ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะต้องประมือกัน”

  “พิสูจน์สิ”

  ดูเหมือนว่าจะยังตั้งข้อกังขาเพราะเรื่องเมื่อเช้าอยู่สินะ

  มือขวายกลงไปล้วงกระเป๋ารัดต้นขา นิ้วชี้และกลางหนีบกระบอกใส่หมายเลขเป้าหมายไว้ออกมาแล้วทอยมันไปกับพื้นหญ้า

  เลออนเดินเข้าไปใกล้มันอย่างระมัดระวัง ใช้ปลายมีดไม้ของตนเคาะไปยังกระบอกใส่หมายเลขอยู่สองสามครั้งจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรแอบแฝงจึงใช้มีดช้อนมันขึ้นมาแล้วเปิดฝาออกมาเพื่อดูหมายเลขภายใน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนกอย่างสังเกตได้ชัด

  ก็พอจะคาดเดาไว้ระดับนึงว่าน่าจะแสดงปฏิกิริยาแบบนั้นแหละนะ เพราะยังไงทั้งคู่ก็ร่วมโต๊ะอาหารเดียวกัน ถึงจะพึ่งรู้ตอนวิษา ชานติถูกเรียกชื่อก็เถอะ

  “ขอบอกเลยว่านายเจอของแข็งแล้วล่ะ” เด็กชายผู้นั้นม้วนกระดาษเก็บเข้าไปในกระบอกก่อนจะโยนส่งคืนมาให้

  นาคาซยื่นมือออกไปคว้ามันไว้ด้วยความแม่นยำพร้อมกับลดแขนลงไปอยู่ในท่าปกติเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายผ่อนปรนความตึงเครียดลง

  “ก็พอรู้ตัวในระดับนึงอยู่แล้วนั่นแหละ ตอนนี้ถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กคนนั้นให้ได้เยอะที่สุดอยู่นี่ไง” กล่าวพลางเก็บกระบอกใส่หมายเลขกลับไว้ที่เดิม

  “แล้วตอนนี้รู้ลึกแค่ไหนแล้วล่ะ?”

  “ก็ไม่มากเท่าไหร่ ข้อมูลสำคัญอย่างเรื่องว่าใช้เวทมนตร์แบบไหนก็ไม่รู้ ว่าตรงๆ เลยคือตอนนี้เห็นภาพว่าจะหาตัวยังไงให้เจอด้วยซ้ำไป”

  การที่ทั้งคู่เคยร่วมโต๊ะอาหารกันมาก่อนทำให้มีแนวโน้มว่าอาจจะร่วมมือกันเหมือนอย่างกรณีของตนก็ได้ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นสำหรับตอนนี้ก็ควรจะบอกความจริงไปเพียงบางส่วน

  “แล้วเป้าหมายของนายล่ะ?”

  ถูกถามเช่นนั้นเลออนจึงหยิบกระบอกใส่หมายเลขของตนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นไปให้กับคู่สนทนาของตน

  เมื่อเปิดฝากระบอกออกดู หมายเลขภายในกระดาษก็ชวนให้นาคาซเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแสยะยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่รู้ตัวแล้วก็ได้เพียงแค่คิดว่าโลกนี้มันช่างกลมดีจริงๆ 

  ‘หมายเลขห้า’

  “ดูเหมือนว่านายจะเจองานหยาบพอกันกับฉันเลยนะ” นาคาซส่งกระบอกใส่หมายเลขกลับไปให้

  “รู้จักเจ้าของหมายเลขนี่เหรอ?”

  เด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีดำหยักศกทำนิ้วแสดงให้เห็นคล้ายว่าเล็กน้อย

  “ก็ไม่มากเท่าไหร่ เธอชื่อโลล่า ลูน่าไชน์ เป็นนักเวทสายไฮโดรคิเนซิส”

  “แล้วหน้าตาล่ะพอรู้บ้-”

  ทว่าก่อนที่จะได้พูดจบนาคาซก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ก่อนจะชี้นิ้วไปยังอีกฝ่ายเพื่อสื่อนัยว่าถึงตาของนายแล้ว

  สิ่งที่มีมูลค่าสูงสุดไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนนั้นคือข้อมูล ขอเพียงแค่มีข้อมูลแม้ต่อให้จะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบมากแค่ไหน เพียงแค่รู้จักนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุดยังไงก็การันตีว่าตนจะไม่พ่ายแพ้แน่นอนในขั้นต่ำสุด ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสให้ได้แลกเปลี่ยนก็ต้องรู้จักกั๊กไว้บ้างเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง โดยเฉพาะกับในสถานการณ์เช่นนี้ที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายหลักของตนน้อยมาก กลับกันฝั่งของตนเหลือข้อมูลเพียงแค่ว่าเด็กคนนั้นใช้เวทมนตร์แบบไหนเพียงเท่านั้น

  “แล้วอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”

  “เวทมนตร์ที่เด็กคนนั้นใช้”

  “เด็กคนนั้นเป็นนักเวทเฉพาะทางคนเดียวของปีนี้เพราะฉะนั้นนอกจากผู้คุมสอบแล้วก็ไม่น่ามีใครรู้เรื่องนั้นหรอก”

  นาคาซส่งสายตาทำนองว่าจริงเหรอ? ไปให้กับแบรนดิสผู้ยืนอยู่ข้างกาย เด็กชายผู้ครอบครองดวงตาสีเขียวใบไม้พยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นคำตอบอันรู้กัน

  นับว่าพลาดมากที่มีโอกาสไม่ต่ำกว่าสองครั้งในการใฝ่หาคำตอบแบบนี้จากผู้เข้าสอบประเภทพิเศษคนอื่น ไม่งั้นคงประหยัดเวลาไปได้มากโขแล้ว

  “แต่ฉันพอมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ อยากฟังมั้ยล่ะ?”

  “ว่ามา”

  “ทางข้างหน้าที่ฉันเดินมาเมื่อกี้มันมีหมอกอยู่ ตีลังกามองดูยังไงก็รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้เข้าสอบสักคนนึงแน่นอนฉันเลยวกกลับมาทางนี้แทน คิดว่าน่าสนใจมั้ยล่ะ?”

  ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องการแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจเกินกว่าจะมองข้ามได้ เรียกว่าควรค่าแก่การเสียเวลาไปตรวจสอบอยู่ไม่น้อยเพราะฝั่งนักเวทธาตุเองก็ไม่มีใครสามารถใช้เวทมนตร์ในการสร้างหมอกขึ้นมาได้ด้วย หรือต่อให้จะใช้เป็นก็ใช่ว่าจะใช้ได้เพราะเวทมนตร์เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทั้งหมดจะถูกจัดไว้ในระดับสาม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่พวกสิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ อย่างการใช้เวทมนตร์ได้เพียงแค่สมการเดียวผู้คุมสอบก็ไม่น่าจะยอมอนุโลมให้ใช้ได้

  “น่าสนใจดี แล้วมีเรื่องอะไรที่ฉันต้องระวังเป็นพิเศษมั้ย?”

  ตอนนี้ยังคงอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าในการต่อรอง หากอีกฝ่ายยอมตอบคำถามนี้ก็ดีไปแต่ถ้าไม่ก็แล้วไปเพราะข้อมูลส่วนนั้นมีรองรับไว้ค่อนข้างมากแล้ว เพียงแค่ต้องการยืนยันให้แน่ชัดเฉยๆ ว่าเด็กคนนั้นอันตรายมากแค่ไหน

  “เคยเห็นคนที่ผูกกระดิ่งไว้ทั่วตัวแต่ขยับยังไงเสียงก็ไม่ดังมั้ยล่ะ? นั่นแหละนิยามที่ฉันตั้งให้เด็กคนนั้น”

  ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ทำให้ฉุกคิดได้ หากนึกย้อนกลับไปดีๆ ตั้งแต่วันแรกมาจนถึงช่วงก่อนเริ่มสอบแล้ว ก็จะพบว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่มีเสียงกระดิ่งดังจากการเคลื่อนไหวของเด็กคนนั้นเลยสักครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ได้คำพูดนี้ก็แทบไม่เอะใจเลยเพราะการเคลื่อนไหวพวกนั้นมันเป็นธรรมชาติมากจนกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศโดยรวมจนทำให้ไม่ทันสังเกตเรื่องนั้น… ทั้งที่ดูแวบแรกก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแท้ๆ เรานี่มันยังอ่อนหัดจริงๆ

  ได้ข้อมูลมามากพอแล้วก็ไม่รอช้าที่จะจ่ายค่าตอบแทน

  “งั้นก็ถึงตาฉันแล้ว ฟังให้ทันแล้วก็จำไว้ให้มั่นล่ะ”

  เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้เช่นนั้นนาคาซก็เริ่มอ้าปากอีกครั้ง

  “ลูน่าไชน์เป็นเด็กผู้หญิงสูงประมาณร้อยยี่สิบแปดเซนติเมตร แต่งตัวคล้ายกันกับฉันแต่คุมโทนสีมืด มีเรือนผมสีน้ำเงินอมเทาโดดเด่นกว่าชาวบ้านชนิดมองแค่หางตาก็รู้ว่าเป็นใคร อาวุธที่หยิบมาตอนเริ่มต้นเป็นหอกแบบเดียวกับของฉัน มีทักษะทางกายภาพเหนือกว่าเด็กทั่วไปมากในระดับนึง เรียกว่าแรงดีกว่าเด็กผู้ชายหลายๆ คนที่นี่ยังได้ด้วยซ้ำ ส่วนเวทมนตร์ เด็กคนนั้นเป็นนักเวทสายไฮโดรคิเนซิสแต่สิ่งที่ต้องระวังจริงๆ คือการที่สามารถแปรสภาพให้น้ำที่อยู่ภายใต้การควบคุมกลายเป็นน้ำแข็งได้ ข้อมูลทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ”

  เด็กชายผู้ครอบครองเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยืนนิ่งสงัดราวกับเป็นรูปปั้นศิลา ปราศจากซึ่งปฏิกิริยาใดๆ จนกระทั่งผ่านไปได้ราวสองวินาทีเขาก็อ้าปากหวอเหมือนเป็นการแสดงออกว่าตนพึ่งคิดตามข้อมูลซึ่งรัวออกมาไม่ยั้งได้ทัน

  “อ้อ~ ที่แท้ก็เด็กคนนั้นเองน่ะเหรอ” สองคิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับส่งสายตามาทางนาคาซผู้ยืนดูปฏิกิริยานั้นอย่างสนอกสนใจ “ไม่ใช่ว่าพวกนายกินอาหารโต๊ะเดียวกันหรอกเหรอ?”

  เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงนิยามซึ่งนาคาซเป็นผู้กล่าวออกมาเอง

  “เด็กคนนั้นนับเป็นกรณีพิเศษ พวกเราเป็นศัตรูกันตั้งแต่ก่อนเริ่มสอบรอบแรกซะด้วยซ้ำ ที่นั่งกินอาหารโต๊ะเดียวกันเพราะเหตุจำเป็นก็เท่านั้นเอง”

  มีเพียงเรื่องที่ว่าตนเป็นเพื่อนกับเด็กสาวผู้นั้นเท่านั้นที่ไม่สามารถยอมรับได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม แม้ในใจจะรู้ว่ามันช่างเป็นการกระทำอันไร้หลักตรรกะ แต่แรงสัญชาตญาณบ่งบอกว่าเด็กคนนั้นคือศัตรูตามธรรมชาตินั้นรุนแรงเกินกว่าจะมองข้ามไปได้ ภายใต้ความรู้สึกนี้จะต้องมีเหตุผลบางอย่างหลบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

  “งั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกันเพราะฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ก็แล้วกัน”

  เช่นนั้นโฮโรฮาน โลเวนเฮิร์ซจึงหันหลังเตรียมที่จะเดินจากไป

  “อ้อ! อีกอย่างนึง เมื่อสามสิบนาทีที่แล้วมีการพบโลล่า ลูน่าไชน์อยู่ในพื้นที่ละแวกนี้ ไม่แน่ว่าถ้าลองเดินหาดูดีๆ อาจจะเจอตัวเร็วกว่าที่คิดก็ได้”

  การปล่อยข้อมูลส่วนใหญ่ออกไปแล้วกั๊กส่วนสำคัญไว้บอกในตอนจบคล้ายว่าพึ่งนึกออกก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมความสัมพันธ์ไปในแง่บวกได้ เพราะอีกฝ่ายรู้สึกเหมือนได้ของแถมติดมือไปด้วยทั้งที่จริงแล้วมันคือสินค้าที่ควรจะอยู่ในรายการซื้อขายตั้งแรก

  “ขอบใจ” ฝั่งนั้นหันมาครึ่งใบหน้าแล้วหยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหายเข้าไปในอีกมุมหนึ่งของสามแยกเบื้องหน้า

  “บอกข้อมูลไปหมดแบบนั้นจะดีเหรอ?” แบรนดิสผู้ยืนมองนาคาซดึงอาวุธขึ้นมาจากดินถามเช่นนั้น

  “อะไรที่โยนไปถ่วงแข่งถ่วงขาลูน่าไชน์ได้ฉันทำหมดนั่นแหละ”

  ยังไงก็ตรวจสอบจากอิริยาบถทั้งหมดจนแน่ใจแล้วว่าข้อมูลที่ได้รับมาปราศจากคำโป้ปดเจือปนอยู่ หรือถ้าโกหกจริงก็คงต้องขอยอมรับในความแนบเนียนระดับที่ลอเรนติน่าก็ยังไม่สามารถทำได้นั้น

  คิดๆ ดูแล้วก็น่าสนุกแฮะถ้าเมื่อกี้ฝากความคิดถึงไปหาลูน่าไชน์ด้วย แต่ช่างเถอะ เพราะถ้าเกิดเด็กคนนั้นรอดมาได้เดี๋ยวมันจะกลายเป็นการเพิ่มแรงแค้นให้ซะเปล่า

  “งั้นพวกเราก็ไปตรวจสอบข้อมูลที่ได้มากันเถอะ”

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 7 Zehn Punkte Zwei"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF