cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 5 Violin Sonata in G minor

  1. Home
  2. All Mangas
  3. [Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา
  4. ตอนที่ 5 Violin Sonata in G minor
Prev
Next

  หลังรับประทานของหวานมื้อเที่ยงจบลงในช่วงบ่ายจนถึงเย็นก็เป็นการสอบภาคทฤษฎีอันประกอบด้วยการสอบข้อเขียนในด้านความรู้ทั่วไปที่มีสอนตามหลักสูตรพื้นฐานภาคบังคับ การสอบข้อเขียนเฉพาะทางเกี่ยวกับเวทมนตร์ของนักเวทสายนั้นๆ การสอบคำนวณ และจบด้วยการสอบสัมภาษณ์ทั่วไป

  โดยปกติแล้วการสอบคำนวณและสอบสัมภาษณ์มักจะใช้เวลารวมกันเฉลี่ยแค่ราวสามสิบนาทีต่อคนเพียงเท่านั้น ทว่ากรณีนี้ควรที่จะยกให้เป็นกรณีพิเศษของพิเศษของพิเศษอีกทีนึง เพราะผู้เข้าสอบคนนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับสมการเวทที่ตนจดจำได้มาเกือบสี่ชั่วโมงแล้วแถมยังไม่มีท่าทีจะจบลงประหนึ่งกำลังเดินอยู่ในหอสมุดลอยฟ้าแห่งบาเบเลียก็ไม่ผิด

  ท่วงท่าที่ใช้ประกอบในการอธิบายนั้นไม่ต่างจากการดูงานแสดงชั้นครูของนักกวีชาววิคตอเรีย ทั้งดึงดูดสายตาชวนให้คล้อยตาม การอธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างไหลลื่นราวกับบทกลอน รู้ตัวอีกทีก็เหมือนตนกำลังเรียนรู้วิวัฒนาการของเวทศาสตร์ไปกลายๆ แล้ว

  แต่ช่างน่าเสียดายที่คงต้องขอให้หยุดลงแต่เพียงเท่านี้เพราะเวลามันล่วงเลยมามากเกินไป หากตนไม่แวะเหลือบดูนาฬิกาเมื่อกี้คงจะได้ฟังจนถึงมืดค่ำแน่นอน

  ทันทีที่บอกให้พอ ทุกการกระทำก็ถูกหยุดลงในฉับพลันแล้วกลับมานิ่งสงบอีกครั้ง สองเท้าเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถัดจากโต๊ะ ความหุนหันในการสับเปลี่ยนราวกับสลับหน้ากากที่ตนสวมนั้นช่างน่าขนลุกอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์ หรือต่อให้เป็นอย่างนั้นอย่างน้อยๆ ก็คงไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์เดียวกันแน่นอน… หมายถึงในแง่ดีน่ะนะ

  ในส่วนของการสอบสัมภาษณ์สิ่งที่แนบมาให้แก่ผู้คุมสอบก็คือเอกสารประวัติพื้นฐานของผู้เข้าสอบ ชื่อ-นามสกุล สถาบันที่ศึกษาอยู่ในปัจจุบัน ผลการสอบวัดมาตรฐาน ความเห็นของเหล่าผู้สังเกตการณ์ที่เคยคุมสอบในการสอบวัดมาตรฐาน

  ผลลัพธ์อยู่ในระดับดีเลิศในทุกด้าน ความเห็นที่ลงไว้มีเพียงแค่คำว่าน่าทึ่งไม่ก็เหนือมนุษย์ตรงตามที่ตนกำลังรู้สึกอยู่ไม่มีผิด แต่พอได้เห็นชื่อของสถาบันที่กำลังศึกอยู่มันก็ช่วยอธิบายให้ความรู้สึกประหลาดใจนั้นสมเหตุผลมากขึ้น

  “สำนักบลูทอัลเก” สถาบันของตระกูลเด็กคนนี้เอง

  กล่าวกันว่าสถาบันนี้เป็นแหล่งรวมพวกอัจฉริยะรึไม่ก็ระดับสัตว์ประหลาด แต่ตามบทสัมภาษณ์ของเจ้าของโรงเรียนแล้วเจ้าตัวกลับให้นิยามว่าที่นี่คือสถาบันสร้างอัจฉริยะมากกว่าการเป็นแหล่งรวม เพราะแม้แต่เด็กที่ดูไร้อนาคตที่สุด เมื่อได้เข้าไปเรียนก็สามารถกลายเป็นอัจฉริยะเฉพาะด้านได้จากการสอนด้วยหลัก “ทฤษฎีสนามของลีเวีย” ที่กล่าวว่าอัจฉริยะสามารถถูกสร้างขึ้นมาได้ด้วยการบ่มเพาะให้อยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยมากเพียงพอ ด้วยความที่มีผลลัพธ์ออกมาให้เห็นมากพอสมควร หลายคนก็เลยอยากที่จะให้ลูกเข้าไปเรียนในสถาบันแห่งนี้เป็นอย่างมาก แต่เพราะมีเกณฑ์ในการคัดเลือกที่ไม่ได้ชัดเจนและเปิดรับเด็กใหม่ต่อปีจำนวนไม่ถึงหลักสิบคนจึงมักจะมีข่าวลือแปลกๆ อยู่ไม่น้อย

  แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ เพราะเด็กคนนี้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่ว่านั่นใช้ได้จริง และก็คงจะเป็นผลลัพธ์ขั้นสุดของทฤษฎีนั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นอัจฉริยะในอุดมคติของ “โอลีเวีย บลูดอัลเก” ผู้เป็นมารดาและเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้น

  “แล้วปัจจุบันเธอมีเรื่องอะไรที่สนใจเป็นพิเศษรึเปล่า?”

  การสัมภาษณ์ทั่วไปเองก็ตามที่คาด ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกเหมือนเด็กคนส่วนใหญ่ จนกระทั่งมาถึงคำถามสุดท้ายที่เจ้าตัวเหมือนจะชะงักไปชั่วสั้นๆ ราวกับกำลังคัดกรองความคิด

  “อืม…รู้จักพลังงานรูปแบบใหม่รึเปล่าครับ?”

  เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายไปค่อนข้างมากจนกลายเป็นฝ่ายชะงัดเสียเอง

  พลังงานรูปแบบใหม่? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเคยได้ยินหรือเคยอ่านจากที่ไหนสักที่นึง รู้สึกว่ามันจะชื่อ

  “อิเล็กตรอนน่ะเหรอ?”

  ใบหน้าเล็กๆ นั้นพยักตอบรับ

  “ใช่ครับ”

  “ทำไมเธอถึงสนใจล่ะ?”

  แม้แต่กับกลุ่มผู้ใหญ่อย่างตนยังแค่สนใจกันแบบผ่านๆ หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์เนื้อหามาเท่าไหร่ก็อ่านเพียงเท่านั้นเพราะไม่ได้มองว่ามันสำคัญอะไรมากนัก แต่หากเป็นเด็กจากสถาบันขึ้นชื่อก็คงจะเล็งเห็นอะไรบางอย่างที่พวกตนมองไม่เห็นแน่นอน นับว่าเป็นการเปิดประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว

  ดวงตาคู่นั้นหันไปมองภายนอกหน้าต่าง ทว่าแววตาที่สะท้อนภาพของท้องนภาอยู่กลับไม่ได้ให้ความสนใจต่อหมู่เมฆา

  “ถ้าให้อธิบายเต็มๆ มันคงจะยาวไปหน่อย… แต่เอาเป็นว่าสาเหตุหลักๆ คงเพราะผมมองว่ามันสามารถยกระดับขีดจำกัดของพวกเราไปได้อีกขั้นครับ”

  คำตอบนั้นทำให้ได้คำตอบว่าสิ่งที่ดวงตาคู่นั้นกำลังมองไปคืออะไร ใช่ ดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองไปยังอนาคตที่ตนไม่เคยคาดฝันอยู่

  “พอจะขยายความตรงส่วนที่บอกว่ามันสามารถยกระดับขีดจำกัดไปอีกขั้นได้รึเปล่า?”

  เด็กชายนำมือไปล้วงกระเป๋า หยิบนาฬิกาพกรูปทรงประหลาดคล้ายกับหัวหอกขนาดไม่ใหญ่มากออกมาวางไว้บนโต๊ะแล้วใช้นิ้วเคาะย้ำลงไปที่มันสองครั้ง

  “ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีนาฬิกาพกยังนับเป็นของหายากราคาแพงอยู่ถูกมั้ยครับ?”

  “ถูกต้องตามนั้น”

  นาฬิกาพกเป็นเครื่องมือที่ภายในบรรจุกลไกที่มีความละเอียดอ่อนอยู่มากมาย การจะประดิษฐ์ให้ได้สักเรือนจึงจำเป็นต้องอาศัยฝีมือของช่างทำนาฬิกาชั้นเซียนทำให้ราคาของมันสูงลิ่วระดับไม่สมเหตุสมผล แต่เมื่อประมาณสองสามปีก่อนนาฬิกาพกก็เริ่มถูกผลิตออกมาจำนวนมากขึ้น ราคาในท้องตลาดจึงเริ่มถูกลงมาในระดับที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ ตั้งแต่ที่ซื้อมาก็ไม่เคยเอะใจกับเรื่องพวกนั้นเลยจนกระทั่งเมื่อกี้นี้ที่อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนต่อมการตั้งคำถามของตัวเองถูกสะกิดแรงๆ

  “แล้วคุณคิดว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ราคามาถูกลงครับ?”

  ตอนแรกก็กิริยาคล้ายนักวิชาการ พอมาถึงตอนนี้ก็วางตัวเหมือนนักธุรกิจ มือควงนาฬิกาพกอย่างชำนาญราวกับเป็นเหรียญ นัยน์ตาสีทองอำพันจับจ้องมาอย่างกดดันชวนให้ตั้งคำถามถึงจุดยืนของตัวเองในตอนนี้

  “อุปทานมีจำนวนมากขึ้นมาจากก่อนหน้านี้”

  ใบหน้านั้นพยักขึ้นลงเล็กน้อยอีกครั้ง

  “แล้วคิดว่าอะไรคือหนึ่งในสาเหตุที่อยู่ๆ อุปทานก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยครับ?”

  แน่นอนว่าในเมื่อถูกชักจูงมาแบบนี้แล้วคำตอบมันก็ชัดเจนว่าคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าตั้งคำถามอยู่ดีว่าเพราะอะไรสิ่งที่ถูกเรียกว่าอิเล็กตรอนจึงเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มจำนวนของนาฬิกาพกอย่างก้าวกระโดดอยู่ดี

  “เธอจะบอกว่าอิเล็กตรอนมีส่วนเกี่ยวข้องเหรอ?”

  “ใช่ครับ การมาถึงของพลังงานที่เรียกว่าอิเล็กตรอนมีส่วนอย่างมากให้อุตสาหกรรมพัฒนาขึ้นไปอีกระดับนึงและนาฬิกาพกก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่ง ด้วยเครื่องจักรที่ใช้พลังงานชนิดนี้เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้มันช่วยทุ่นแรงในหลายๆ ส่วนไปได้มหาศาล ความแม่นยำก็เพิ่มมากขึ้นแถมเวลาในการผลิตก็ลดน้อยลง ในปัจจุบันหลายอุตสาหกรรมภายในเขตปกครองพิเศษเขตอัลฟาร์ไฮม์อันเป็นพื้นที่สำหรับการทดลองใช้อิเล็กตรอนก็กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมที่ใช้เพียงแค่แรงงานคนอย่างเดียวไปเป็นรูปแบบผสมครับ และอีกไม่นานในตอนที่ทุกๆ อย่างมันลงตัวแล้ว สิ่งที่เรียกว่าอิเล็กตรอนก็จะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยสมบูรณ์ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดจากการอ่านคุณสมบัติของมันผ่านงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ออกมาครับ”

  แววตาอันเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจส่งเสริมให้คำพูดนั้นฟังดูน่าเชื่อถือแม้จะยังไม่กางตัวเลขออกมาให้ดูก็ตาม

  “งั้นถ้าเป็นแบบที่เธอว่ามาจริงก็น่าจะมีคนตกงานจำนวนมากเลยนี่ ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหาเหรอ?”

  “พูดอย่างโหดร้ายเลย ผมมองว่ามันก็เป็นเรื่องปกติครับ เพราะไม่ว่าจะในสังคมของมนุษย์หรือในธรรมชาติก็ตาม สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ย่อมต้องสูญพันธุ์เป็นธรรมดา ส่วนสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวได้ก็จะอยู่รอดต่อไป เช่นเดียวกันแรงงานที่คิดแต่จะหากินกับการทำงานแบบใช้แรงแลกเงินโดยคิดแค่ว่าทำแค่นี้ไปวันๆ ก็อยู่ได้จะถูกคัดออกจากสารบบไปเพราะไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะปรับตัว สุดท้ายภายในองค์กรก็จะเหลือเพียงแค่แรงงานคุณภาพที่มีวิสัยทัศน์ แต่ถึงผมจะพูดแบบนั้น ในความเป็นจริงสุดท้ายแรงงานทักษะต่ำก็จะมีงานใหม่มารองรับจากอุตสาหกรรมเกิดใหม่อยู่ดีนั่นแหละครับ เพราะใช่ว่าธุรกิจใหม่ๆ ที่พึ่งตั้งไข่จะมีทุนหนาขนาดซื้อเครื่องจักรที่ใช้อิเล็กตรอนขับเคลื่อนได้สักหน่อย พูดง่ายๆ คือยังไงในอนาคตก็ยังมีตลาดรองรับแรงงานพวกนี้แน่นอนอยู่แล้วแค่อาจจะไม่ได้สำคัญหรือได้ค่าตอบแทนเท่าก่อนหน้านี้ก็เท่านั้นเองครับ”

  พอฟังมาถึงตรงนี้แล้วก็ทำได้แค่ทึ่งในความคิดและโลกทัศน์ของเด็กคนนี้ ทำเอาอยากจะรู้เลยว่าเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงได้มองโลกด้วยสายตาแบบนั้นและกล้าพูดมันออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ…

  เพียงแค่ชั่ววูบหนึ่ง…เพียงแค่ชั่ววูบหนึ่งเท่านั้นที่จินตนาการถึงอนาคตที่เด็กคนนี้จะเป็น อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวสั่นเทิ้มไปโดยสัญชาตญาณ

  ทั้งที่สิ่งที่พูดออกมานั่นมันก็เป็นเรื่องจริงที่มีโอกาสเป็นไปได้แท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าช่างเป็นความคิดที่อำมหิตนัก

  …ไม่ไหว…คงต้องขอพอไว้เท่านี้ดีกว่า….

                                                                                                   ◇

  ณ ห้องอาหารชั่วคราวที่ถูกดัดแปลงมาจากห้องอเนกประสงค์อันถูกตกแต่งและทาสีแบบสมัยใหม่ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา

  อาหารเย็นจานหลักสำหรับมื้อนี้คือ ‘บีกอส’ สตูแบบดั้งเดิมตามสูตรต้นตำรับของเขตเบลเทมไฮล์ม มีส่วนประกอบหลักเป็นกะหล่ำปลีดองคลุกเคล้ากับเนื้อสัตว์และอาจจะใส่ผักดองอื่นๆ ร่วมด้วย มีรสชาติเผ็ดและเปรี้ยวเอาไว้กินคู่กับขนมปังหรือมันบดแบบเติมไม่อั้น และเครื่องดื่มจำพวกชาแดง ชาดำและน้ำกลั่นสะอาด

  เพราะไม่รู้จะไปนั่งที่ไหนและนั่งคนเดียวไม่ได้เพราะโต๊ะถูกจัดสรรมาให้พอดีใช้แบบไม่มีเผื่อเหลือเผื่อขาดเลยต้องจำใจร่วมโต๊ะกับลูน่าไชน์ไม่ต่างจากตอนเที่ยงวัน

  ถึงจะไม่ได้มีรสชาติจัดจ้าน อัดแน่นไปด้วยเครื่องเทศตามแบบที่ชื่นชอบ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันอร่อยในแบบของมัน เปรียบแล้วบีกอสจานนี้ก็เสมือนกับภาพทิวทัศน์ที่ถูกวาดโดยศิลปินไร้นามผู้อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านกันดาร เรียบง่ายและลึกซึ้ง รสชาติของอาหารก็เหมือนดั่งทีแปรงที่ช่วยให้สัมผัสได้ถึงสุนทรียภาพของผู้ปรุงอาหารจานนี้

  การตัดสินว่าอาหารจานนั้นๆ อร่อยหรือไม่นั้นไม่ควรที่จะเอารสนิยมตัวเองเป็นใหญ่ แต่ควรจะใช้เกณฑ์ที่ว่าอาหารจานนั้นๆ ถูกปรุงแต่งออกมาได้มีรสชาติใกล้เคียงกับรสชาติในอุดมคติมากขนาดไหน วัตถุดิบที่นำมาใช้ถูกดึงศักยภาพออกมามากน้อยเพียงใด และสิ่งสำคัญคือการไม่คาดหวังรสชาติที่ไม่มีอยู่ในอาหารจานนั้นๆ ตั้งแต่แรก ด้วยการใช้เกณฑ์เหล่านี้จะทำให้สามารถตัดสินได้ออกมามีความแม่นยำและความเที่ยงตรงมากที่สุด เพราะปราศจากซึ่งอคติใดๆ มาเจือปน

  “นายชอบกินผักเหรอ?” คำถามนั้นดังมาจากที่นั่งฝั่งตรงข้ามระหว่างที่กำลังจะจรดริมฝีปากกับแก้วเพื่อจิบชาแดง

  “แล้วมีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องไม่ชอบล่ะ?”

  “แบบว่า…รสชาติของมัน…อะไรแบบนั้น?…”

  พอสังเกตดูดีๆ ภายในจานอาหารของลูน่าไชน์ก็เหลือแต่ผักดองที่กองกันอยู่ตรงขอบจาน

  “ถ้าถามว่าชอบมั้ย? ถ้าเป็นผักของที่นี่มันก็ไม่ขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นผักเขตร้อนก็อีกเรื่องนึง”

  ว่าตรงๆ ในช่วงที่ต้องไปวาดแผนที่มันได้สอนให้รู้ซึ้งว่าอาหารที่ประกอบด้วยผักของทวีปกลางมันออกมาไปทางกินกันตายมากกว่าเลยล้มเลิกเรื่องการตั้งความหวังทางด้านรสชาติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอมาเจออะไรที่มันมีความเป็นอารยชนหน่อยเลยอดไม่ได้ที่จะดีใจ แต่หากเทียบกับอาหารที่ประกอบด้วยผักเป็นหลักของทวีปอื่นๆ แล้ว เรียกได้ว่าของที่นี่แทบเทียบไม่ติดเลย ยกตัวอย่างเช่นซาโมซ่าของอโศกที่เป็นแป้งทอดทรงสามเหลี่ยมยัดไส้ผักดอง อันนั้นขนาดแค่ใส่ผักดองอย่างเดียว หรือไส้มันฝรั่งเดี่ยวๆ กินคู่กับชัทนีย์ก็อร่อยกว่าอาหารหลายๆ อย่างของที่นี่แล้ว

  พอนึกถึงรสชาติชวนน้ำลายสอแล้วก็อยากกินอีกเลยแฮะ

  “ผักเขตร้อน? เคยกินด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าแค่กว่าจะจัดส่งมาถึงที่นี่ก็เสียหมดแล้วเหรอ?”

  “หลักๆ ก็แค่พวกที่ตากแห้งมาแล้วกับที่เอาเมล็ดมาปลูกเองที่บ้านแหละนะ”

  เพราะมีเรือนกระจกที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ระดับนึง เวลาจะปลูกพืชต่างถิ่นมันก็เลยค่องข้างง่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข้อจำกัดทางด้านฤดูกาลอยู่ดี

  “แล้วรสชาติมันแบบว่า….เป็นยังไงบ้าง?…” เด็กสาวถามด้วยใบหน้าสงสัยอย่างอดไม่ได้

  “หลากหลายกว่าของที่นี่ แต่ที่สำคัญจริงๆ คือกระบวนการแปรรูปให้มันมาเป็นอาหาร อย่างสมัยก่อนพวกเราทำแค่ให้กินกันตายไปวันๆ ก็พอเลยไม่ได้สนเรื่องรสชาติมาก แต่พวกประเทศที่อยู่ในเขตร้อนมีอาหารให้กินตลอดปีเลยสามารถพัฒนาวัฒนธรรมทางอาหารไปได้ไกลกว่า หลายๆ อย่างก็เลยอร่อยกว่าต่อให้จะเอาผักที่นี่ไปทำก็ตาม พูดง่ายๆ คือมันขึ้นอยู่กับฝีมือในการปรุงขึ้นมาล้วนๆ เลยไงล่ะ”

  “ถ้าพวกคนครัวมาได้ยินเข้าคงจะเสียใจกันน่าดู”

  ได้ยินแบบนั้นก็ทำได้แค่ยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อยทำนองว่าช่วยไม่ได้หรอก เพราะก็ต้องยอมรับว่าที่พูดมามันเป็นเรื่องจริง

  “แต่อย่างน้อยๆ อาหารของเขตอิตาเลียกับกอลก็อร่อยนะ”

  “อันนี้ไม่มีฉันข้อโต้แย้ง”

  ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ลิ้มลองอาหารของสองพื้นที่นั้นก็ล้วนต้องเห็นพ้องต้องกันว่ามันอร่อยจริงๆ แถมก็ได้รับการพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์แล้วด้วยว่าเหล่าขุนนางในหลายๆ ประเทศเลือกที่จะจ้างคนครัวจากสองพื้นที่นั้นมาเป็นหัวหน้าครัวเสมอ

 

  หลังจากมื้ออาหารเย็นจบลงผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเข้าไปพักภายในห้องทันทีรวมถึงบุตรีแห่งตระกูลลูน่าไชน์

  ท่ามกลางโถงทางเดินที่ถูกทำให้ส่องสว่างด้วยแสงสลัวจากตะเกียง ในที่สุดก็ได้มีเวลาส่วนให้เดินสำรวจอาคารตามสิทธิที่ตนได้รับอย่างเต็มที่

  ชื่นชมสถาปัตยกรรมภายในอาคารอย่างเชื่องช้าและเลื่อนลอยปล่อยให้ร่างกายไหลไปตามกระแสธารที่ถูกเบิกไว้โดยนายทหารผู้ทำหน้าที่จุดตะเกียงไฟ ดื่มด่ำบรรยากาศรอบข้างอย่างลึกซึ้งไม่ว่าจะทั้งภายในเมืองที่เต็มไปด้วยอิฐและปูนหรือท่ามกลางธรรมชาติอันแสนงดงามทว่าโหดร้าย เพียงแค่ดำดิ่งไปกับความคิดว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้ามีอายุเก่าแก่แค่ไหน ผ่านพบอะไรมาบ้างและรู้สึกเสียดายที่สักวันมันจะต้องหายจากไปตามกาลเวลาในท้ายที่สุด

  มันเป็นวิธีการค้นหาปรัชญาบางอย่างที่ตกผลึกมาจากตอนทำแผนที่ เพราะในช่วงนั้นก็ศึกษาประวัติศาสตร์มามากระดับหนึ่งแล้วเลยทำให้เข้าใจถึงความน่ากลัวของกาลเวลา ทุกๆ อย่างล้วนมีเรื่องเล่าอยู่ในตัวของมันฉะนั้นจึงควรดื่มด่ำ จินตนาการให้เต็มที่ถึงอนาคตที่มันจะเดินทางไป

  เสียงอะไร?

  อยู่ๆ ก็มีเสียงของบางสิ่งกังวานขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งซึ่งไม่อาจจะเอื้อมถึง มันเป็นเสียงบรรเลงเพลงของเครื่องดนตรีที่ไม่เคยได้ยินหรือแม้แต่จะคุ้นเคย ทั้งสูงและแหลมเหมือนดั่งเสียงกรีดร้องของนารีผู้กำลังเศร้าโศกราว โหยหาบางสิ่งปานจะขาดใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างเป็นท่วงทำนองที่แสนนุ่มนวลชวนพิศวง

  หัวใจเต้นระรัวเพราะความซาบซึ้งในเสียงนั้นมีมากเกินกว่าที่จะใส่ใจบรรยากาศรอบข้าง มันเป็นเสียงของเครื่องดนตรีที่ตนไม่เคยได้ยินแต่รู้สึกได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังบรรเลงมันอยู่ผู้นั้นจะต้องเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

  แล้วอยู่ๆ ท่วงทำนองของดนตรีนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป รอบนี้เต็มไปด้วยความครื้นเครงและสีสันของชีวิตราวกับงานเต้นรำที่จัดขึ้นในช่วงคิมหันต์แต่ก็ยังคงแฝงไปด้วยความพิศวงที่ยากจะหาคำอธิบายได้อยู่ดี ราวกับผู้บรรเลงเพลงนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวแต่ก็ยังคงรู้สึกได้ว่ามีผู้บรรเลงอยู่เพียงแค่คนเดียวแน่นอน

  “เอ๊ะ?”

  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เหมือนความทรงจำบางช่วงมันหายไป พอมารู้ตัวอีกทีร่างกายก็ถูกรายล้อมด้วยกำแพงไม้พุ่มสูงประมาณสองเมตร

  ท้องนภาถูกอาบย้อมด้วยสีแสดของแสงยามเย็นที่ยังคงตกค้างผสานกับสีม่วงเข้มอันเป็นสัญญาณการมาเยือนของห้วงราตรี ดาวบริวารสีขาวปรากฏเด่นชัดเต็มดวงอยู่ท่ามกลางท้องนภา ส่องแสงสีขาวเรืองรองคู่กับกลุ่มดาวที่สุกสกาว เสียงของเครื่องดนตรีนั้นยังคงก้องกังวานมาจากทุกทิศทางประหนึ่งเสียงสะท้อนในถ้ำกลางหุบเขา ห้วงทำนองเองก็เหมือนจะขาดช่วงไปจากตอนก่อนหน้านี้อย่างน่าสนเท่ห์

  จากทางเดินที่ถูกขนาบข้างด้วยกำแพงไม้พุ่มกลับถูกแทนที่ด้วยกำแพงไม้พุ่มที่มาขวางกั้นเส้นทางไว้ตลอดแนวราวกับเป็นพื้นที่ปิด เสียงบรรเลงไพเราะเสนาะหูจากช่วงก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นท่วงทำนองแห่งความฉุนเฉียวอันซับซ้อนไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย ทั้งเศร้าโศก โกรธา หวนรำลึก ประหนึ่งพายุกลางท้องทะเลอันแปรปรวนชวนให้ขนลุกชูชันไปทั้งตัว อีกทั้งเสียงนั้นยังดังมากราวกับอยู่ใกล้เพียงแค่หันหลังก็จะพบเจอต้นเสียง

  หากจะกล่าวว่าไม่รู้สึกกลัวเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่ในเมื่อมันไม่มีทางอื่นแล้วก็ทำได้แค่เตรียมใจแล้วหันไปเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นพร้อมกับลดระดับแรงเสียดทานไปเท่ากับศูนย์

  พอค่อยๆ หันหลังไปตามท่วงทำนองที่ถูกบรรเลง สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอในชีวิตก็มาอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทั้งสองเท้าถอยหลังไปชนกำแพงโดยไม่รู้ตัว

  ภูต!?

  แสงสีขาวของคืนวันเพ็ญสาดส่องลงไปยังร่างของสิ่งมีชีวิตผู้มีเรือนร่างหญิงสาวในวัยเจริญพันธุ์ที่คล้ายจะเปลือยเปล่าผู้นั่งอยู่บนโต๊ะเดี่ยวกลางพื้นที่แห่งนี้ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยขนและปีกสีเขียวหยกบริเวณลำคอ หัวไหล่ แขนลามไปจนถึงต้นขา เรือนผมยาวประบ่าล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับน้ำหนักทั้งหมดกำลังถูกโอบอุ้มไว้โดยผิววารี ปีกขนาดใหญ่กว่าลำตัวถึงสองเท่าปกปิดตั้งแต่ส่วนหัวเข่าลงไป และที่บริเวณระหว่างคอและบ่าของภูตตนนั้นก็มีเครื่องดนตรีที่กำลังแผดเสียงบรรเลงอยู่ด้วยการใช้ไม้สีไปกับเส้นเสียงสี่เส้นที่กำลังถูกจับไว้ด้วยนิ้วมืออันแสนเรียวยาว

  ท่วงท่าในการบรรเลงเสียงเพลงนั้นช่างเปี่ยมล้นไปด้วยพลังและความอ่อนช้อย

  เวรแล้วไง โดนอะไรไม่โดนดันมาโดนภูตล่อลวงซะได้

  เดิมทีพวกภูตก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบลักเด็กอยู่แล้ว แต่เพราะไม่มีร่องรอยของการปรากฏตัวมาอย่างยาวนานจนเหมือนเป็นนิทานหลอกเด็กไปแล้วเลยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยแบบนี้มาก่อน นับว่าพลาดมากที่ดันละเลยกฎของสำนักอย่างการที่อะไรมันผิดพลาดได้ก็จะผิดพลาดแบบนี้ แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

  ว่าแล้วก็คำนวณเวทสะท้อนเสียงขึ้นมาเพื่อลดความเสี่ยงในการถูกล่อลวงอีกครั้งพร้อมกับรังสรรค์อาวุธแร่เงินขึ้นมาซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อ

  ในจังหวะเดียวกันบทเพลงจะถูกบรรเลงจนจบลงในที่สุด ภูตตนนั้นวางเครื่องดนตรีลงบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม

  “_____ ทริล โซนาต้า บทบรรเลงแห่งปีศาจ~ ผลงานชิ้นเอกที่เกิดขึ้นจากเศษเสี้ยวความฝันของนักประพันธ์บทเพลงผู้หนึ่ง~ กล่าวกันว่าต้นฉบับของบทเพลงนี้มาจากบทบรรเลงของปีศาจที่ปรากฏตัวมาภายในความฝันของนักประพันธ์เพลงผู้นั้น~ ท่วงทำนองที่ถูกบรรเลงออกมามันทั้งไพเราะและงดงามถึงขนาดที่สามารถสะกดได้แม้กระทั่งลมหายใจ~ แต่ช่างน่าเสียดายที่เมื่อตื่นขึ้นจากห้วงนิทรานักประพันธ์เพลงผู้นั้นกลับมิอาจที่จะเลียนแบบบทบรรเลงชั้นยอดนั้นออกมาได้~”

  ทำไมเสียงมัน!? ได้ยังไงกัน!?

  “กับอีแค่การเลือกสะท้อนเสียงที่ไม่ต้องการแบบนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาช่องโหว่หรอกนะ~ หนุ่มน้อย~”

  เสียงหวานและหนืดราวกับน้ำผึ้งถูกเอ่ยออกมาจากภูตตนนั้น เปลือกตาทั้งสองข้างยกขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีลูกเกดที่กำลังมองมาด้วยความกดดัน

  เวทสะท้อนเสียงไม่ใช่เวทที่ใครๆ ก็จะสามารถแก้ได้ง่ายๆ อีกทั้งสมการที่ใช้ก็ยังเป็นรูปแบบปรับปรุงจึงยากที่จะถูกหาช่องโหว่เจอได้นอกจากจะหาทางหักล้างสมการนี้ คงพูดได้แค่ว่าก็สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถทางด้านเวทมนตร์ดีแหละนะ

  “อย่าจ้องกันด้วยสายตาแบบนั้นสิ~ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอหรอกนะ~”

  “ถ้าไม่คิดจะทำคุณคงไม่ล่อลวงผมมาถึงที่นี่หรอกครับ”

  ดูจากพฤติกรรมแล้วคงเป็นพวกชอบเล่นกับเหยื่อ

  “ถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันก็คุยกับเธอเป็นการส่วนตัวไม่ได้น่ะสิ~ โอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีมาให้บ่อยๆ หรอกนะ~”

  ‘คุยเป็นการส่วนตัวสินะ’ ช่างเป็นคำพูดที่หวนให้นึกถึงเวลาพ่อหรือไม่ก็แม่พูดแบบนี้จริงๆ เพราะมันต้องมีอะไรยากๆ สักอย่างโผล่มาให้ชวนประสาทจับได้ตลอดเนี่ยแหละ นี่เองก็คงไม่ต่างกันหรอก

  “ด้วยการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผมน่ะเหรอครับ ฟังดูไร้อารยะดีนะครับ”

  “สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจากการตกลงกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง~ ไม่ได้ครอบคลุมถึงตัวตนอย่างพวกฉันสักหน่อย~ เพราะงั้นในเมื่อมันไม่ได้มีบัญญัติตั้งแต่แรกก็มิอาจกล่าวได้ว่าการกระทำของฉันมันเป็นการกระทำของพวกไร้อารยันได้อย่างเต็มปากหรอกนะ~ หนุ่มน้อย~”

  ดูเหมือนว่าพวกภูตก็จะมีผู้ศรัทธาในพื้นที่สีเทาเหมือนกันสินะ แถมก็ดูจะรู้เรื่องสังคมของมนุษย์ดีระดับนึงเลยด้วย แต่ก็ขอละไว้ว่าอาจจะแค่ลอกเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์คนอื่นๆ มาก่อนดีกว่า

  “ถ้ากล้าพูดแบบนั้นก็น่าจะรู้ใช่มั้ยครับว่ามันหมายความว่ายังไง”

  รอยยิ้มท้าทายผลิบานออกมาประดับใบหน้า แขนทั้งสองข้างผายออกเช่นเดียวกับปีกที่ถูกสยาย เผยให้เห็นว่าภายใต้ปีกอันใหญ่โตเป็นสองเท่าของตัวนั้นยังมีปีกขนาดกลางและขนาดเล็กซ่อนอยู่อีกสองคู่ บดบังแสงจากอัลเบียนที่ตกกระทบลงมายังร่างไปแทบจนหมดสิ้น

  “ก็ถ้าเธอคิดว่าโลหะทรานซิชันแค่นั้นจะทำอะไรฉันได้ก็เข้ามาเลย~”

  ดวงตาคู่นั้นฉายแววของผู้ที่เตรียมใจมาอย่างดี ไม่ได้ชอบใช้กำลังแต่หากจำเป็นต้องใช้ก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ ราวกับกำลังมองเห็นภาพสะท้อนภายในกระจกของตัวเองที่เหนือกว่าในทุกด้านอยู่อย่างไรอย่างนั้น แถมรู้ดีอีกต่างหาก ปิดบังไปก็คงเท่านั้นสินะ

  คิดแบบนั้นแล้วก็โยนมีดโลหะผสมแร่เงินออกไปข้างๆ

  การจะรังสรรค์มันขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะฉะนั้นจะโยนทิ้งไปก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะถ้าฝืนดึงดันไปก็คงไม่คุ้มเสียเท่าไหร่

  “ฉลาดเลือกดีนี่~ ฉันชอบคนที่ยอมโอนอ่อนไปตามสถานการณ์แบบเธอนะ~”

  ปีกทั้งสามคู่ถูกหุบลงพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มดั่งนักล่าถูกเก็บเข้าไปแล้วถูกแทนที่ด้วยท่าทีสบายอารมณ์อย่างคนไม่ทุกข์ร้อน

  “แล้วเรื่องที่คุณอยากจะคุยกับผมคืออะไรล่ะครับ?”

  มือซ้ายอันประกอบด้วยนิ้วทั้งสี่ยื่นออกมา ในขณะที่มือขวาสัมผัสบริเวณกลางอกเหมือนดั่งนักแสดงผู้กำลังเชื้อเชิญเข้าสู่โรงละคร

  “ฉันก็แค่ปรากฏตัวมาเพื่อยื่นข้อเสนอให้เธอก็เท่านั้น~ ข้อเสนออันหอมหวานดั่งสุราน้ำผึ้งที่ไม่ว่ามนุษย์ผู้ใดก็มิอาจที่จะปฏิเสธที่จะได้ลิ้มรส~ ฉันต้องการให้เธอมาทำพันธสัญญากับฉัน~ อสรพิษนิลกาฬ~”

  “เอ๊ะ?…ขอปฏิเสธครับ”

  ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิดลังเล

  แบบว่าพันธสัญญาเนี่ยนะ? จริงอยู่ว่าแม้จะมีพวกถวิลหาองค์ความรู้อันเปี่ยมล้นจากพวกภูตอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะในยุคสมัยไหนก็ตาม แต่ขอร้องเลย คิดจริงๆ เหรอว่าทักษะทางเวทศาสตร์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดแบบไม่สมเหตุผลพรรค์นั้นมันจะไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่เบื้องหลังจริงๆ น่ะ? พวกที่จะตกปากรับทันทีเลยมันก็คงจะมีแต่พวกสติไม่เต็มเต็งกับพวกไม่มีอะไรจะเสียเท่านั้นแหละ

  ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยคำมั่นใจถูกแทนที่ด้วยความสงสัย แขนทั้งสองข้างที่แสดงถึงความผ่าเผยถูกพับเก็บกลับไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อยพร้อมกับเอียงคอสงสัย

  “เดิมทีถ้าถึงขั้นล่อลวงผมมาได้ขนาดนี้แล้ว ยังจะมีเหตุผลอะไรต้องมาถามผมอยู่อีกล่ะครับ?”

  พูดตรงๆ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมาเชื้อเชิญให้เสียเวลาแบบนี้เลยด้วยซ้ำ นอกซะจากว่าจะเป็นรสนิยมส่วนตัวในการเล่นกับเหยื่อแหละนะ

  “เห็นแบบนี้ฉันเองก็เป็นผู้ศรัทธาในหลักเสรีนิยมนะ~ อีกอย่างถ้าทำแบบนั้นจริงแล้วมันจะมีผลดีอะไรในระยะยาวล่ะ?~ นอกจากความหวาดระแวงแล้วก็ไม่มีเลยแม้แต่อย่างเดียว~”

  “งั้นก็ไม่ควรจะใช้วิธีแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่าครับ? การกระทำกับคำพูดของคุณมันขัดแย้งกันเองนะครับ”

  เอาเข้าจริงมันขัดแย้งตั้งแต่บอกว่าอยากคุยเป็นการส่วนตัวแต่ดันบรรเลงเพลงให้ดังไปทั่วกองบัญชาการแล้วด้วยซ้ำ ไอที่แปลกคือทั้งๆ ที่มันดังขนาดนั้นแต่ทำไมถึงกลับมีแค่เราที่อยู่ตรงนี้ต่างหาก

  “งั้นหรอ?~ แต่ในมุมมองของฉันแล้วมันสมเหตุสมผลมากพอสมควรเลยล่ะนะ~” ภูตสีหยกกล่าวพลางแสดงท่าทีสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นความไม่แยแสไปโดยปริยาย “เอาเถอะ~ เรื่องที่มีความเป็นปัจเจกสูงอย่างสามัญสำนึกมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้แหละน-”

  “วาติกัน คามิโอส์”

  เพียงแค่ได้ยินประโยคนั้นครึ่งแรกร่างกายก็หมอบต่ำลงตามสัญชาตญาณในฉับพลัน บางสิ่งที่ทั้งคมกริบและไร้ลักษณ์เคลื่อนตัวเฉียดปลายผมไปเพียงแค่เล็กน้อย แม้ไม่ต้องหันไปมองรอบๆ ก็สัมผัสได้ว่ากำแพงพุ่มไม้ทั่วทั้งบริเวณถูกตัดขาดครึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ว่าจะมีแรงภายนอกมากระทำให้มันล้มครืนลงทั้งแผงมั้ยก็เพียงเท่านั้น

  รหัสจำเพาะที่มีเพียงแค่คนในสำนักเท่านั้นที่จะเข้าใจ ผสานกับความสามารถแบบนี้ที่มีเพียงแค่คนเดียวที่สามารถทำได้

  “พ่อ!?” แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ??

  ไม่สำคัญหรอก ถ้าจัดการเจ้านี่ได้ก็นับว่าเป็นตัวจริงแน่นอน!

  คิดเช่นนั้นแล้วก็รังสรรค์การโจมตีแบบพิเศษอันประกอบด้วยปรากฏการณ์เวทจำนวนเกือบหลักร้อยขึ้นแล้วโจมตีสวนกลับเข้าไปในเงามืดทันที และเพียงแค่ชั่วพริบตาการโจมตีนั้นก็ถูกแก้ไขไปอย่างง่ายดาย

  ถ้าแบบนั้นก็ตัวจริงแน่นอนเพราะมีแค่พ่อที่มีความสามารถแบบเดียวกันเท่านั้นที่จะสามารถคืนสภาพปรากฏการณ์พวกนั้นให้กลับไปเป็นปกติได้

  “เกือบไปๆ~ ช่างเป็นการโจมตีที่ไม่ดีต่อใจจริงเชียว~”

  เสียงหวานและหนืดดุจน้ำผึ้งดังมาจากเบื้องบน เมื่อเงยขึ้นไปมองก็พบกับร่างของภูตสีหยกที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมสยายปีกทั้งสามคู่ออกจนสุด

  “ลูกทำได้ดีมากที่ไม่หลงคำลวงของพวกเอลง่ายๆ ”

  อยู่ๆ มือของพ่อก็โผล่มาสัมผัสที่ไหล ใบหน้าซึ่งถูกปกปิดด้วยผืนผ้าสีดำขลิบทอง ร่างกายสูงโปร่งดั่งพญาหมาป่าในชุดสูททางการสีดำแบบที่ไม่คุ้นตาเช่นเดียวกันกับบรรยากาศชวนขนลุก เปี่ยมไปด้วยความดุร้ายมากกว่าครั้งไหนๆ

  “ทำไมพ่อถึ-”

  พ่อยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากภายใต้ผ้าสีดำผืนนั้น เป็นสัญญะบ่งบอกให้เงียบ

  “ก่อนจะไปบรันเดินบวร์คแม่เขาบอกว่าอาจจะมีตัวตนไม่พึงประสงค์ปรากฏตัวออกมาหาลูก พ่อก็เลยใช้เส้นสายนิดหน่อยเข้ามาคอยตรวจดูอยู่ห่างๆ มาตลอดน่ะ”

  “ก็ว่าทำไมถึงได้กลิ่นของตัวตนนอกรีตอยู่จางๆ~ ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นแค่กลิ่นตกค้างอยู่บนตัวของเด็กคนนั้นซะอีก~” ร่างกายที่ร่อนลงมายืนเท้าเอวบนโต๊ะตัวเดิมฉายแววดวงตาดุเดือดออกมา “แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิดไปสินะ~”

  ยิ่งมองไปแล้วก็ช่างให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองตัวเองอยู่จนน่าขนลุก

  “เอลอย่างเธอมีธุระอะไรกับลูกชายของฉันไม่ทราบ”

  “ฉันก็แค่อยากทำพันธสัญญากับเด็กคนนี้ก็เท่านั้นเอง~” ภูตตนนั้นกล่าวพลางแบมือออกข้างลำตัวพลางเดินวนอยู่บนโต๊ะ

  พ่อใช้นิ้วเคาะที่ไหล่เป็นสัญญาณเชิงถามว่าจริงมั้ย จึงทำเพียงแค่หยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับไป

  “งั้นเหรอ งั้นก็ดีไป”

  ประโยคนั้นถึงกับต้องหันขวับขึ้นไปมองใบหน้าของพ่อที่ถูกปกปิดด้วยผืนผ้าสีดำ

  “พ่อครับ!?”

  “ในบรรดาเรื่องทั้งหมดที่สามารถเกิดขึ้นได้ เรื่องนี้นับว่ารับมือง่ายที่สุดแล้วนาคาซ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะยินยอมให้ลูกต้องถูกผูกพันธะโดยไม่จำเป็นหรอกนะ”

  “โห~ ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกฉันเป็นอย่างดีเลยนะ~ ไม่สิ~ ถ้าถึงขนาดรู้ว่าควรเรียดตัวตนอย่างฉันว่าอะไรนี่คงจะรู้ดีสุดๆ เลยล่ะสิท่า~” ดวงตาสีลูกเกดคู่นั้นหรี่ลง

  “จะรู้ดีมากแค่ไหนมันก็ไม่สำคัญเท่าหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องปกป้องลูกของตัวเองหรอกนะ”

  “งั้นเหรอๆ~ งั้นก็ขอให้ปกป้องไปได้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน!!~”

  สิ้นเสียงคำพูดดวงตาสีลูกเกดก็เปล่งประกายก่อนจะตามมาด้วยสายลมกรรโชกที่โหมกระหน่ำเข้ามาใส่พวกเรา แต่ก่อนจะได้ทำอะไรพ่อก็สร้างสายลมออกไปหักล้างกับสายลมของอีกฝั่งจนหมดสิ้น

  พอเอามือที่ยกขึ้นมาป้องกันดวงตาลง ภาพเบื้องหน้าก็เหลือเพียงแค่พื้นที่กว้างซึ่งถูกประดับตกแต่งด้วยโต๊ะและเก้าอี้สีขาวเพียงหนึ่งชุดเท่านั้น

  “หนีไปแล้วงั้นเหรอครับ?…”

  พอหันขึ้นไปมองเพื่อหาคำตอบ พ่อก็กลับยืนนิ่งเฉยราวกับกำลังตรวจสอบความแน่ใจอยู่ก่อนจะหยักหน้าให้

  “ไปแล้ว งั้นก็รีบไปกันเถอะก่อนที่ฟ้าจะมืดไปมากกว่านี้”

  หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งแล้วว่าภูตตนนั้นอันตรธานหายไปจริงๆ และจะไม่ถูกตามตัวแน่นอนพ่อก็พาออกมาจากเขาวงกตที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเข้ามาได้ยังไง

  แม้จะใช้เวลาไม่นานนักแต่เพราะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงห้วงราตรีจึงมาเยือนเร็วกว่าปกติ ท้องนภาสีครามเข้มถูกประดับประดาไปด้วยหมู่ดารา ทั้งงดงามและแฝงไปด้วยอันตรายอันไม่อาจมองเห็นที่ตนพึ่งได้พบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต

  หากจะว่ากันตรงๆ ถ้าพ่อไม่มาช่วยซะก่อนก็ไม่รู้ว่าจะรับมือต่อไปยังไงโดยที่ยังคงรักษาสภาวะแบบนั้นต่อไปได้ เพราะหากต้องสู้กันจริงๆ ก็แทบมองไม่เห็นภาพชนะเลยนอกจากจะงักทุกอย่างที่มีออกมา ยิ่งคิดก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตนนั้นช่างไร้ประสบการณ์และมองโลกแคบเพียงใดจริงๆ

  “ไม่ต้องคิดมากหรอก จริงๆ ในแง่นึงมันก็เป็นความผิดของพ่อกับแม่ที่เลือกจะหลีกเลี่ยงมากกว่าสอนให้ลูกรู้จักรับมือเองนั่นแหละ”

  อยู่ๆ พ่อก็พูดออกมาราวกับรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีอาจจะเพราะการแสดงออกที่ไม่รู้ตัวผ่านพฤติกรรมสักอย่างหนึ่ง

  เมื่อเดินมาจนเห็นปากทางออกของเขาวงกต ที่เบื้องหน้าก็มีร่างของเด็กสาวผู้มัดเรือนผมสีดำสนิทให้เป็นทรงหางม้ารวบตึง สวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนยาวสีดำตัดกับกระโปรงจีบทวิสสีขาวยาวคลุมเข่ากำลังยืนโบกมือทั้งสองข้างมาให้น้อยๆ ในระดับเอว

  “ลอเรนติน่า…”

  แม้ตอนที่มองอยู่ห่างๆ จะไม่แน่ใจว่าเป็นใครเพราะอีกฝ่ายสวมหน้ากากไว้อยู่ แต่เมื่อสมองส่วนตรรกะคำนึงถึงปัจจัยในหลายๆ ด้านแล้ว ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมกับงานลักษณะนี้

  “ไง~ ไม่ได้เจอกันตั้งสิบเอ็ดชั่วโมงเลยนะ”

  “ทีเวลาฉันต้องไปอยู่ชายแดนเป็นเดือนไม่เห็นอยากจะทักทายแบบนี้สักรอบ”

  “ก็ถ้าทำแบบนั้นแล้วมันจะไปสนุกอะไรเล่าพ่อคนเก่ง”

  “ลอเรนติน่า พานาคาซไปที่อาคารหน่อย”

  ทันทีที่ได้รับคำสั่งนั้นเธอก็สลัดท่าทางติดเล่นทิ้งแล้วหันไปตอบรับทันทีพร้อมกับจีบปลายกระโปรงทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วย่อตัวลงเล็กน้อยราวกับเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้

  “รับปฏิบัติค่ะ”

  จะว่าไปใครสอนให้เธอทำแบบนี้กันนะ? แม่เหรอ?

  “ส่วนนาคาซ เอานี่ติดตัวกับลูกไปด้วย”

  พ่อยื่นหนังสือขนาดพกพามาให้

  “อย่างน้อยๆ ระหว่างนี้ลูกก็จะได้รู้วิธีรับมือกับพวกเอลมากขึ้น”

  “ขอบคุณครับ”

  ว่าจบก็รับไว้แล้วออกเดินไปพร้อมกับลอเรนติน่าที่น่าจะรู้เส้นทาง

  จากที่สังเกตภาพรวมแล้ว ก็ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ยังคงอยู่ในกองบัญชาการเสนาธิการ แต่ที่น่าแปลกใจคือบริเวณนี้ไม่มีนายทหารคอยประจำการอยู่เลยแม้แต่คนเดียวจนชวนให้ตั้งคำถามถึงความหละหลวมต่อมาตรการความปลอดภัย

  “อาจารย์เขาให้ทหารทุกนายอพยพออกจากพื้นที่นี้ให้หมดน่ะ”

  ราวกับว่าอ่านใจได้ว่ากำลังคิดอะไร ขณะที่พวกเราเดินกันตามทางเดินซึ่งประดับไปด้วยเสาไฟที่ถูกจุดไฟไว้เรียบร้อย อยู่ๆ ลอเรนติน่าก็โพล่งขึ้นมาแบบนั้น

  “กองทัพยอมทำตามด้วยเหรอ? อีกหน่อยมันจะเป็นปัญหาเอานา”

  จริงอยู่ที่ตระกูลของเรามีอำนาจค่อนข้างมากแต่มันก็ไม่ได้เบ็ดเสร็จระดับชี้ขาวเป็นดำได้ ทุกอย่างมันมีขอบเขตของคำว่าทำได้กับทำไม่ได้ถูกขีดไว้อยู่อย่างชัดเจน และการใช้อำนาจโดยตรงกับกองทัพนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่ว่านั่น ซึ่งปกตินอกจากฝั่งกองทัพจะไม่ยอมแล้ว มันก็จะกลายเป็นชนวนความบาดหมางในอนาคตได้อีก แต่ถ้าลอเรนติน่าพูดมาแบบนั้นมันก็ย่อมต้องมีนัยแฝงบางอย่างที่ทำให้กองทัพยอมหลีกทางให้

  “ก็ไม่ได้ใช้อำนาจของตระกูลสักหน่อย” 

  “อย่าบอกนะว่าตำแหน่งจอมเวทระดับห้าของแม่? แต่ถึงแบบนั้นก็น่าแปลกอยู่ดีมั้ย?”

  เพราะแรกเริ่มก็แค่เคลื่อนไหวกันตามสมมุติฐานของแม่ซึ่งสำหรับคนนอกแล้วมันก็ไม่มีอะไรหลักฐานอะไรมาให้เชื่อมั่นเลยว่าจะไม่ได้เข้ามาทำอะไรแปลกๆ ภายในกองบัญชาการแทน ถึงจะบอกว่าใช้เส้นสายภายในช่วยมันก็ดูราบรื่นเกินไปอยู่ดี

  “เดาๆ ไว้ว่าคงเป็นแบบนั้น เพราะเท่าที่ฉันลองหยอดๆ ถามมาเหมือนว่าพวกอาจารย์จะมีประวัติการรับมือกับพวกภูตอยู่แล้วเลยมีความน่าเชื่อถืออยู่มากพอตัว กองทัพที่มีแต่คนปกติเหมือนกับฉันแถมไร้ประสบการณ์ต่อกรกับเรื่องพรรค์นี้โดยสมบูรณ์ก็เลยหลับตาให้ข้างนึง ฉันคิดว่าแบบนั้นนะ”

  ถ้าคิดตามสมมุติฐานที่ว่านั้น เรื่องมันก็นับได้ว่าสมเหตุสมผลอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เพราะกองทัพเองก็คงไม่อยากเสี่ยงกับเรื่องไม่ใช่เรื่องแบบนี้ สู้ปล่อยให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการไปเลยตั้งแต่เนิ่นๆ ยังไงก็ปลอดภัยกว่าแล้วถ้าเจอว่าทำตัวมีพิรุธก็จัดการทิ้งเลย แต่แหม มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวจริงๆ ที่ยอมให้ปล่อยผ่านไปไม่ได้ประหนึ่งว่าถ้าไม่พูดออกไปคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่นอน

  “อย่างเธอนี่ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าคนปกติอีกงั้นเหรอ ลอเรนติน่า?”

  ว่าตรงๆ ไม่เห็นว่าคนที่สามารถประดิษฐ์อาวุธสังหารขึ้นมาจากสิ่งของรอบตัวขึ้นมาได้อย่างกับดีดนิ้วเสกขึ้นมาจะเป็นคนปกติเลยสักนิด แถมไอคนที่ชอบพูดปาวๆ ว่าตัวเองปกตินี่แหละตัวไม่ปกติเลย

  “แน่นอน ดูสิฉันเป็นแค่เด็กสาววัยสิบปีผู้มีรอยยิ้มสดใสไร้ซึ่งพิษภัยเชียวนะ”

  เธอหันมาพร้อมกับชูมือทั้งสองข้างขึ้นมาสองนิ้วในระดับแก้ม ภายใต้หน้ากากคงวาดรอยยิ้มเหมือนกับทุกครั้ง

  “จ้าๆ แม่คนปกติ…..แต่จะว่าไปคอยสังเกตการณ์ฉันอยู่ตลอดเลยเหรอ?”

  อากัปกิริยาทีเล่นทีจริงถูกพับเก็บลงในฉับพลันก่อนจะถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศแบบปกติ

  “ก็ตั้งแต่เริ่มสอบนั่นแหละ”

  “แสดงว่าก็เห็นฉันตอนก่อนหน้านี้ด้วยใช่มั้ย?”

  ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะได้เบาะแสของเรื่องอย่างทำไมอยู่ๆ ถึงภาพตัดมาบ้าง เพราะตอนนี้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้หลักๆ สองข้อ หนึ่งคือโดนเคลื่อนย้ายมาด้วยเวทมนตร์สายสเปเทียลมูฟเมนท์ สองคือโดนเสียงเพลงนั่นสะกดให้ทำตามความต้องการคล้ายๆ กับกรณีของนักเป่าปี่แห่งฮาเมิลน์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังลอเรนติน่าก็คงซุ่มจับตาดูอยู่ตลอดแน่นอน

  ใบหน้านั้นพยักตอบน้อยๆ ตามที่คาดหวังไว้

  “ใช่ แต่ถ้าจะถามว่าดูผิดปกติมั้ย? ก็ไม่”

  แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะมีสิ่งไม่คาดคิดโผล่มาจนได้

  “ช่วยขยายความหน่อยได้มั้ย?”

  “ถ้าให้พูดอธิบาย ทุกๆ การกระทำของนายมันดูปกติจนฉันยังเข้าใจว่านายแค่อยากปลีกวิเวกเหมือนกับทุกทีเลยน่ะ…อ้อ! แต่ที่ดูจะผิดสังเกตมากสุดก็คงเป็นความมุ่งล่ะมั้ง?”

  “มุ่ง?”

  เป็นคำที่น่าสนใจทีเดียว เพราะแบบนี้ก็พอจะช่วยจำกัดขอบเขตความเป็นไปได้อีกระดับหนึ่ง

  ลอเรนติน่าพยักหน้า ก้าวเท้านำขึ้นไปด้วยจังหวะเฉพาะราวกับเต้นรำก่อนจะหันมาเดินถอยหลังพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างประกอบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วเล็งมาทางนี้

  “ใช่ บรรยากาศที่แผ่ออกมามันเหมือนกับนายตอนที่กำลังไล่ล่าฉันเมื่อปีที่แล้วแบบสุดๆ เลยน่ะ”

  “ไม่ใช่ละ อันนี้ฉันว่าส่วนตัวกันละ”

  “ก็มันเรื่องจริงนี่นา ทั้งๆ ที่ฉันอยากได้บรรยากาศแบบนั้นอีกครั้งแท้ๆ เชียว” เสียงที่พูดออกมาเจือไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย

  “ฤดูหนาวนี้พวกเราทั้งคู่ก็ลงแข่งได้แล้วนี่ อยากลองสัมผัสประสบการณ์อีกสักรอบมั้ยล่ะ?”

  รอบก่อนก็จบกันที่เสมอกัน พูดให้ถูกคือไม่ว่าจะเป็นการแข่งอะไรถ้าไม่จบตรงเสมอกันก็จะมีคนชนะแค่ช่วงสั้นๆ แล้วไม่นานสถิติการแพ้ชนะก็จะกลับมาเท่ากันอีกชนิดน่าสงสัยว่าจริงๆ แล้วฝั่งนั้นเหนือกว่าแต่แค่จงใจให้มันเกิดผลลัพธ์แบบนี้รึเปล่า

  “ก็เอาสิ”

  ตกลงกันได้ตามแล้วพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก็จำต้องแยกย้ายกันตรงทางโค้งที่จะนำพาไปยังอาคารอเนกประสงค์ เพราะดูเหมือนว่าขอบเขตที่กองทัพอนุญาตให้ปฏิบัติการได้จะมีถึงเพียงแค่ตรงนี้เท่านั้น

  พอพ้นจากพื้นที่ส่วนนั้นก็มีนายทหารประจำการอยู่อย่างปกติ พวกเขาไม่พูดหรือถามอะไรว่าทำไมถึงได้ออกมานอกเขตที่ได้รับอนุญาต เพียงแค่แผ่บรรยากาศไม่ไว้วางใจออกมาระหว่างนำทางไปยังอาคารเพื่อกันไม่ให้เดินออกนอกลู่นอกทางอีก

  จะโทษพวกเขาก็ใช่เรื่องแหละนะ จริงๆ ก็ดีมากโขแล้วด้วยซ้ำที่ยังไม่โดนตัดสิทธิ์สอบ

  กลับกัน พอเห็นสภาพนี้แล้วก็ยิ่งน่าตั้งคำถามว่าในเมื่อมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาขนาดนี้ แล้วทำไมตอนที่โดนล่อลวงถึงยังสามารถลอบออกจากพื้นที่ที่ถูกกำหนดไว้ไปได้โดยที่ไม่โดนเจอตัวซะก่อน? ซึ่งมันผิดกับความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์สะกดไปโดยสิ้นเชิงเพราะโดยทั่วไปเหยื่อที่โดนสะกดจิตมักจะมีพฤติกรรมเหมือนกับกำลังล่องลอยหรือไม่ก็มักจะแสดงออกในรูปแบบแปลกๆ อย่างการเต้นรำอะไรแบบนั้นซะส่วนใหญ่ ไม่สิ พูดให้ถูกคือทั้งหมดที่มีการถูกบันทึกมาเลยต่างหาก หนำซ้ำลอเรนติน่ายังบอกว่าไม่ได้ยินเสียงบรรเลงนั่นทั้งๆ ที่มันน่าจะค่อนข้างดังแท้ๆ แต่เท่าที่ฟังมาดูเหมือนว่าคนที่จะได้ยินเสียงเพลงนั่นอีกคนก็มีแค่พ่อ ซึ่งก็ปฏิบัติการได้ปกติ

  หลายๆ อย่างมันขัดแย้งกันหมดจนไม่รู้ว่าจะจับต้นชนปลายยังไงดีเลยแฮะ ไอเรื่องว่าภูตมีความสามารถทางเวทมนตร์ที่เหนือกว่าความเข้าใจของมนุษย์ในปัจจุบันจึงไม่สามารถเอาบรรทัดฐานของเราไปตัดสินอย่างมั่นใจมันก็เรื่องนึง แต่ไอเรื่องอื่นๆ นี่ไม่ว่าจะพยายามต่อเข้ากันยังไงก็ต่อไม่ติดเพราะมีข้อมูลที่น้อยนิดเกินไป

  ทีนี้ต่อให้อยากจะหลับก็ไม่กล้าหลับเลย ต่อให้จะรู้ว่าลอเรนติน่าคงจับตาดูอยู่ห่างๆ ก็เถอะ แต่แค่จินตนาการว่าตัวเองจะไปตื่นอีกทีตอนไหนมันก็รู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเลย

  แต่เพราะความกลัวมันเกิดขึ้นจากความไม่รู้ บางทีหนังสือที่พ่อให้มาก็คงจะช่วยทำให้เข้าใจกับธรรมชาติของพวกภูตได้ดีขึ้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นความกลัวก็จะหายไปเหมือนกับทุกๆ ครั้ง

                                                                                                  ◇

  หลังจากการสอบสัมภาษณ์นั่นจบลงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก ขนาดแค่จะหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองกระวนกระวายได้ถึงขนาดนี้มันก็ยังมืดมน ทำได้แค่ปลอบตัวเองว่าบางทีอาจจะเพราะได้ไปสัมผัสกับสิ่งที่ดูเหนือสามัญสำนึกเข้า ราวกับได้ไปเปิดกล่องแพนโดร่าที่ภายในอัดแน่นไปด้วยความดีและความชั่ว

  มุมมองของเด็กคนนั้นมันไม่ส่วนไหนที่ผิดเลยด้วยซ้ำ กลับกันนั่นคือคำพูดจากบุคคลที่มีโลกทัศน์สะท้อนเพียงแค่ความจริงเท่านั้น อาจจะเพราะด้วยเหตุนั้นถึงได้รู้สึกว่ามันบิดเบี้ยว เพราะคนที่พูดออกมาไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่ผ่านพบเจอกับความจริงมามากอย่างตนหรือคนอื่นๆ แต่เป็นเพียงแค่เด็กวัยกำลังเรียนรู้ที่ควรจะวาดภาพฝันและมองโลกด้วยใจความบริสุทธิ์

  “เดิมทีทำไมเราถึงต้องมานั่งคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องพรรค์นี้ก่อนดีกว่า?”

  ทำใจดีๆ แล้วนึกย้อนกลับไปก็มองไม่เห็นเหตุผลที่ต้องมานั่งใส่ใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เดิมทีตนก็อาสามาเพื่อแสวงหาเด็กที่มีแววว่าจะสามารถเข้ากับองค์กรที่สังกัดอยู่ได้ดีในอนาคตก็เท่านั้นเอง แถมเด็กคนนั้นก็ตอบโจทย์อย่างยิ่ง พูดให้ถูกคือไม่ว่าในอนาคตจะไปสังกัดในองค์กรไหนก็คงเป็นเจ้าหน้าที่ระดับแนวหน้าที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้แน่นอน ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเจ้าตัวมีแนวโน้มมาทางสายงานนี้ก็จะหาลู่ทางดึงตัวมาให้ได้ ส่วนตอนนี้แค่จับตามองอยู่ห่างๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

  สรุปได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นกะว่าจะไปเดินเล่นสูดอากาศอีกสักหน่อยเพื่อฆ่าเวลาพักที่ได้รับมา ทว่าก่อนที่จะได้ทำแบบนั้นก็มีร่างของเด็กชายคนหนึ่งเดินผ่านหน้าไป

  “บลูทอัลเก?”

  เด็กชายผู้นั้นไม่ได้หันกลับมามองหรือเหมือนกระทั่งได้ยินเสียงเรียก ทิศที่เขากำลังมุ่งไปด้วยการย่างก้าวที่ค่อนข้างกว้างราวกับกำลังเร่งรีบคือภายนอกเขตที่กองทัพอนุญาตให้หยิบยืมใช้พื้นที่ได้

  “จะไปไหนน่ะบลูทอัลเ-”

  พอวิ่งตามไปหมายจะคว้าแขนนั้นไว้อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีแรงตีกลับมาที่มือของตัวเอง

  “โอ๊ย!”

  ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรแต่ว่าทำไม? เวทมนตร์เหรอ? แล้วถ้าเป็นเวทมนตร์มันเป็นเวทมนตร์แบบไหนกัน? ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนี้เป็นแอโรคิเนซิส แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเวทมนตร์แบบนี้ก็ไม่คุ้นมาก่อนเลย

  แล้วอยู่ๆ ร่างกายนั้นก็หยุดนิ่งลงก่อนจะหันมามองด้วยหางตา แววตานั่น…มันเป็นสายตาของสัตว์นักล่า แต่ไม่ใช่สัตว์ที่เคยพบเจอมาก่อน รูม่านตาแนวตั้งเรียวแหลมคล้ายกับเมล็ดข้าวหดตัวเข้าหากันจนคล้ายกับเส้นด้ายบางๆ ที่พร้อมจะบั่นคอเหยื่อ

  ทั่วทั้งร่างกายแข็งทื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียวแม้กระทั่งการรับรู้กาลเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับถูกยืดออก ไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไงแต่สัญชาตญาณจากการเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่ามานักต่อนักบอกให้รู้ว่าหากขยับถอยหลังเมื่อไหร่ก็ซวยทันทีเพราะว่าดวงตานั่นกำลังมองหาตัวตนที่เรียกว่า’เหยื่อ’อยู่ ทำได้แค่เก็บอาการทั้งหมดไว้ในใจแล้วจ้องตาสู้จนกว่าอีกฝ่ายจะประเมินค่าเสร็จ

  ร่างนั้นหันมาหาอย่างเต็มตัวก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาในระดับเอว แล้วทันใดนั้นอยู่ๆ ก็มีเหรียญหนึ่งฟรังก์ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า

  “หัวหรือว่าก้อย?” คำถามนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยดั่งสายธารนิ่งสงบ ชวนให้สับสนไปชั้วขณะ “ตอบฉันมาว่าหัวหรือว่าก้อย” กล่าวออกมาอย่างเร่งรัด ราวกับเป็นคนละคนกับที่พึ่งสัมภาษณ์เมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว

  “หัว….”

  สิ้นเสียงตอบเหรียญนั้นก็ถูกดีดขึ้นไปบนอากาศ ส่งเสียงหวีดหวิวเฉพาะตัวก่อนจะร่วงหล่นลงมาตามแนวดิ่งแล้วถูกขว้าไว้อย่างแม่นยำ ดวงตาสีอำพันละจากมือแล้วเหลือบขึ้นมามองก่อนจะค่อยๆ แบออกอย่างช้าๆ 

  สัมผัสได้ว่าชีพจรเต้นถี่รัวในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนิ้วทั้งห้าถูกสยายออกก็เผยหน้าเหรียญที่เป็นรูปนกเรเวนสองหัวอันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้

  ไม่รู้ทำไมแต่รู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกถูกยกออกจากอกยิ่งกว่าตอนลุ้นว่าตัวเองจะสอบติดเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมั้ยซะอีก

  “ดูเหมือนว่าคุณจะชนะนะ”

  เหรียญนั้นหายสลายหายไปก่อนที่เด็กชายจะหันหลังกลับแล้วออกเดินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

  “ดะ เดี๋ยวก่อ-โอ๊ย!!”

  อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกเหมือนโดนเข็มปักมาที่คอ พอเอามือไปคลำๆ ก็สัมผัสได้ถึงรูปร่างของมันจร….

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 5 Violin Sonata in G minor"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF