cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 4 ควิกซ์แคสท์

  1. Home
  2. All Mangas
  3. [Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา
  4. ตอนที่ 4 ควิกซ์แคสท์
Prev
Next

  “ชื่อของผมคือปากาล เคลเลอร์ จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุมสอบนักเวทให้กับทุกๆ ท่านในครั้งนี้” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะกลับไปยืนตรงตามเดิม

  สำเนียงดอยซ์ต่ำ

  ‘มาจากทางเหนือ…’

  “นายรู้ได้ไงว่าเขามาจากทางเหนือ” เด็กสาวที่เหมือนจะได้ยินประโยคเมื่อกี้ถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยทำให้ต้องละสายตาจากภาพเบื้องหน้าเพื่อหันกลับไปมอง

  “สำเนียงไง คนคนนั้นพูดติดสำเนียงดอยซ์ต่ำออกมา”

  แต่ถึงจะตอบกลับไปแบบนั้นเด็กสาวก็ยังคงแสดงใบหน้าอันเป็นไปด้วยความสงสัยให้เห็นอยู่

  ถามจริง? ตระกูลของเด็กคนนี้สอนแต่ภาษาดอยซ์มาตรฐานรึยังไง?

  “ไม่รู้จักดอยซ์ต่ำเหรอ?”

  แล้วคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าให้เบาๆ ทำเอารู้สึกสิ้นหวังไปชั่วขณะ

  “แล้วดอยซ์สูงล่ะ?”

  ถ้าในเมื่ออยู่ที่เบียวา ทาร์ซ่าอย่างน้อยๆ ก็น่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินดอยซ์สูงมาบ้าง ถึงอาจจะเห็นไม่บ่อยนักในตัวเมืองแต่แถบหมู่บ้านนับว่าพูดกันแทบจะเป็นภาษาหลักมากกว่าดอยซ์มาตรฐานซะอีก

  เด็กสาวยังส่ายหน้าให้อีกครั้งพร้อมกับใบหน้าที่แปลเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความสับสน

  “พึ่งเคยได้ยินทั้งคู่เนี่ยแหละ…”

  เอาจริง?!…. เป็นคำตอบที่ได้ยินแล้วแทบอยากจะกุมขมับชะมัดพร้อมกับตั้งคำถามว่าแกล้งโง่อยู่รึยังไง? แม้แต่เด็กรุ่นเดียวกันในสำนักยังรู้จักไม่ต่ำกว่าสี่ภาษาเลย แถมพูดคล่องกันทุกคนอีกต่างหาก

  “ภาษาที่พวกเราคุยกันอยู่เนี่ยคือดอยซ์มาตรฐาน มีสัดส่วนของภาษาดอยซ์สูงมากกว่าดอยซ์ต่ำและผสมกับภาษาจากอดีตประเทศใกล้เคียงอีกราวสามภาษา ภาษาดอยซ์ต่ำนิยมใช้กันทางตอนเหนือส่วนดอยซ์สูงนิยมใช้กันทางตอนใต้ของเขตไวมาร์กับเบลเทมไฮล์ม จะเรียกว่าเป็นภาษาถิ่นแบบเดียวกับพวกภาษาโรมานโซที่นิยมใช้แถวอิตาเลียก็ไม่ผิด”

  เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน

  “ดะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นายพึ่งบอกว่าดอยซ์ต่ำใช้กันทางตอนเหนือแล้วดอยซ์สูงนิยมใช้กันทางตอนใต้ถูกมั้ย?”

  “อืม”

  “นี่มันบ้าอะไรเนี่ย… อย่าบอกนะว่าแยกด้วยระบบชนชั้นจากสมัยก่อน”

  ได้ยินครั้งแรกแล้วมีปฏิกิริยาแบบนั้นก็นับว่าปกติแหละนะ เพราะใครมันจะไปคิดล่ะว่าเกณฑ์ที่ใช้แยกมันดันลึกล้ำแต่ก็ง่ายในเวลาเดียวกันชนิดได้ยินครั้งแรกยังแอบหลุดขำในใจ

  “น่ายินดีที่ไม่ใช้แบบนั้นเพราะเกณฑ์ที่ใช้ในการแบ่งแยกมันคือลักษณะทางภูมิศาสตร์โดยเทียบความสูงต่ำของพื้นที่กับระดับน้ำทะเลเอ-”

  “ไม่ทราบว่าผู้เข้าสอบทั้งสองท่านมีปัญหาอะไรกันรึเปล่าครับ?” เสียงสงบนิ่งกึ่งตำหนิของชายหนุ่มมุ่งเน้นมายังทิศทางนี้เป็นพิเศษ ต่อให้ไม่หันไปมองก็สัมผัสได้เลยว่ากำลังมองมาทางนี้อยู่

  ร่างของเด็กสาวตัวแข็งทื่อในทันตาผิดกับก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วิที่ยังคงแสดงอารมณ์หลากหลายออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กที่ทนรับต่อแรงกดดันได้ไม่ดีนะเนี่ย

  แบบนี้คงต้องออกหน้าให้แทนงั้นสินะ

  “แค่ปัญหาเล็กน้อยน่ะครับ ขออภัยที่รบกวนครับ”

  แม้จะค้อมศีรษะให้เล็กน้อยควบคู่กับคำพูดแล้ว แต่ดวงตาสีอำพันก็ยังคงจ้องมาอยู่จนกระทั่งดวงตาของพวกเราสบกันชายคนนั้นจึงละสายตากลับไปมองภาพโดยรวมอึกครั้ง

  “ถ้าเช่นนั้นผมจะเริ่มอธิบายรายละเอียดการสอบเลยก็แล้วกัน”

  ‘ขอบคุณมาก’ พอหันกลับไปนั่งท่าปกติเด็กสาวก็กล่าวออกมาเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบาคล้ายจะกระซิบ

  “ไม่ชินเหรอ?”

  เด็กสาวเอียงคอสงสัยก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรได้

  “อืม… ค่อนข้างน่ะ…”

  “งั้นเหรอ”

  “แล้วนายล่ะ…ไม่รู้สึกว่าเมื่อกี้มันน่ากลัวเหรอ?”

  “ก็ไม่นะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะชินอ่ะนะ”

  เพราะถ้าน้ำเสียงแบบนั้นออกมาจากปากของพ่อ แม่ วินซ์หรือไม่ก็พี่ลิซาก็คงมีขนหัวลุกอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ถ้าเป็นคนอื่นมันก็ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวขนาดนั้น ยิ่งแสดงออกแบบนั้นก็จะยิ่งเสียเปรียบด้วย นอกซะจากว่าต้องการแสดงละคร

  เด็กสาวไม่ได้พูดอะไรเพิ่มและปิดปากเงียบทำให้สามารถรวบรวมสมาธิในการฟังรายละเอียดการสอบที่หัวหน้าผู้คุมสอบกำลังอธิบายได้ง่ายขึ้น หลักๆ แล้วก็มีการสอบที่ไม่ต่างจากการสอบระดับอนุศึกษาภาคบังคับเท่าไหร่ แค่ทดสอบสมรรถภาพร่างกายและไหวพริบ สอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับเวทศาสตร์ แล้วก็การสอบแบบพิเศษที่จะแตกต่างกันตามแต่ละเขตพื้นที่ รวมๆ แล้วก็เป็นการสอบที่ไม่น่าจะใช้เวลาถึงสองวันด้วยซ้ำแต่ก็ดันใช้ระยะเวลาตั้งสองวันเนี่ยแหละ

  “รายละเอียดทั้งหมดก็ประมาณนี้ครับ ส่วนรายละเอียดยิบย่อยจะมีการอธิบายเพิ่มเติมก่อนเริ่มการสอบแต่ละบท เพื่อไม่ให้ผู้เข้าสอบต้องจดจำข้อมูลที่มากเกินไป” พูดจบเขาก็กวาดสายตามองไปรอบข้างอยู่สักพักก่อนจะก้าวเท้าถอยหลังกลับเข้าไปในแถว

  หญิงสาวอีกคนเดินขึ้นมาแทน เธอมีใบหน้าอ่อนโยนให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับฤดูร้อน มีเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ยาวถึงสะบัก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยความเถรตรง แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำตัดกับสีเงินและผูกเนกไทสีคราม เดาไม่ออกเลยว่ามาจากหน่วยงานไหนแต่ดูจากตราหัวแกะตัวผู้ที่ติดตรงปกเสื้อสูทแล้วน่าจะเกี่ยวกับฝ่ายนิติศาสตร์

  “หลังจากนี้จะทำการประกาศรายชื่อผู้เข้าสอบที่ต้องสอบด้วยวิธีจำเพาะ คนที่ถูกเรียกชื่อให้เดินมารับป้ายหลายเลขผู้เข้าสอบและเดินผ่านประตูบานขวามือไปเลยค่ะ หากตกหล่นใครไปกรุณาแจ้งโดยทันทีด้วยนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ยกกระดานเอกสารขึ้นมาไล่ประกาศชื่อเด็กคนอื่นๆ อย่างไม่รีรอ

  ในการสอบ นักเวทถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือนักเวทธาตุกับนักเวทพิเศษ นักเวทธาตุคือกลุ่มคนที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่นการควบคุมสายลม ไฟ น้ำ ดิน หรืออะไรก็ตามแต่ที่เกี่ยวกับโครงสร้างภายนอกได้ แต่ละคนก็มีขอบเขตความสามารถในการควบคุมที่แตกต่างกันและไม่มีกฎตายตัวให้เข้าใจได้มากขนาดนั้น ส่วนนักเวทพิเศษก็จะแยกอีกเป็นสองกลุ่มย่อย ได้แก่ นักเวทกายภาพคือนักเวทที่ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาให้เห็นภายนอกได้แต่มันจะแสดงผลลัพธ์ภายในแทนเช่นการที่สามารถมองทะลุผ่านวัตถุได้ การสะกดจิต การเข้าใจความคิดของสัตว์ หรือการเพิ่มศักยภาพทางร่างกายให้แข็งแรงขึ้นแบบทวีคูณ และนักเวทเฉพาะทางคือนักเวทที่ยังไม่สามารถจำแนกประเภทออกมาได้เหมือนกับนักเวทกลุ่มอื่นเนื่องจากขอบเขตความรู้ของเวทยาการในปัจจุบันยังไม่สามารถหาหลักการเบื้องหลังมาอธิบายปรากฏการณ์เวทของนักเวทกลุ่มนี้ได้ ขอบเขตของนักเวทพิเศษมีไม่แน่นอนมากกว่านักเวทธาตุมากจึงจำเป็นต้องได้รับการทดสอบแบบจำเพาะในการสอบภาคปฏิบัติหลายบท

  ดูเหมือนว่าปีนี้จะมีอยู่เก้าคนจากผู้เข้าสอบทั้งหมดสี่สิบคน หลังจากที่ตรวจสอบถี่ถ้วนแล้วว่าไม่มีใครตกหล่นผู้คุมสอบสาวก็มุ่งความสนใจมาที่ผู้เข้าสอบที่เหลืออยู่ในพื้นที่รับรองอีกสามสิบเอ็ดคน

  “ถ้าไม่มีใครทักท้วงอะไรแล้วจะขอดำเนินการต่อเลยนะคะ ผู้ที่ถูกเรียกชื่อหลังจากนี้ช่วยออกมารับป้ายหมายเลขผู้เข้าสอบและรออยู่ในพื้นที่รับรองต่อไปด้วยค่ะ” หญิงสาวพลิกหน้ากระดาษและเริ่มประกาศชื่ออีกครั้ง

  “โลล่า ลูน่าไชน์” เด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถูกเรียกชื่อเป็นลำดับที่ห้า

  “นาคาซ บลูทอัลเก” ชื่อนั้นถูกขานขึ้นเป็นลำดับที่สิบ

  ป้ายที่ได้รับมาเป็นเข็มกลัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากไม้สีดำเคลือบด้วยสารที่ทำให้มันเงา มีกรอบและตัวเลขเป็นสีทองเหลืองค่อนข้างหรูหราจนน่าชมว่าคนออกแบบมีรสนิยมที่ไม่เลวแม้มันจะดูเกร่อไปหน่อยก็ตาม

  แม้ว่าหลายคนมีท่าทางเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลยทำให้การรับป้ายหมายเลขดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วไม่มีติดขัด

  “ป้ายที่แจกให้ผู้เข้าสอบจะติดที่บริเวณไหนก็ได้ตามความสะดวกหรือจะพกติดตัวไว้ก็ไม่มีปัญหาเช่นกันค่ะ แต่ขอเตือนว่าห้ามทำหายโดยเด็ดขาดนะคะ” ผู้คุมสอบสาวประกาศหลังจากเด็กคนสุดท้ายรับป้ายและกลับไปนั่งที่เดิม

  ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่รับรองอีกครั้งในขณะที่เด็กหลายคนกำลังง่วนอยู่กับการติดป้ายหมายเลข ส่วนฉันที่ไม่คิดจะติดอยู่แล้วก็แค่เอาใส่ไว้ในกระเป๋ารัดต้นขา

  “ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วขอเชิญเดินตามมาได้เลยค่ะ ส่วนสัมภาระขอให้ทิ้งไว้ที่นี่เดี๋ยวทางเราจะเป็นฝ่ายขนย้ายให้เองค่ะ”

                                                                                                ◇

  หลังจากเดินตามพวกผู้คุมสอบและนายทหารนำทางไม่นานก็มาถึงลานอเนกประสงค์ที่อยู่ไม่ห่างจากตึกลงทะเบียนมากนัก รอบลานถูกตกแต่งด้วยต้นไม้และไม้พุ่มสลับกับเก้าอี้หินอ่อนทรงสมัยใหม่ พื้นที่วงนอกถูกปูด้วยหินสีขาวสะอาดตามีความกว้างมากพอให้คนสามคนวิ่งควบกันได้โดยไม่เบียด ส่วนพื้นที่แกนกลางมีความกว้างมากพอให้เล่นกีฬาประเภททีมสิบสองคนได้ถูกปกคลุมด้วยคอนกรีตสีขาวที่ถูกเส้นสีดำตีกรอบเป็นสนามสำหรับเล่นกีฬาได้ไม่ต่ำกว่าสามชนิด แต่ละมุมมีโต๊ะไม้ทรงกลมประจำอยู่สี่มุมพร้อมกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกันไป

  ทุกคนต่างยืนเรียงกันเป็นระเบียบแบ่งเป็นหกแถว แถวละห้าคนและแถวสุดท้ายมีจำนวนหกคน ข้างหน้าแต่ละแถวมีผู้คุมสอบที่ยืนเรียงกันตามจำนวนแถว ข้างหลังของพวกเขาคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่ยืนอยู่บนบางอย่างที่ทำให้เขาสูงโดดกว่าคนอื่นๆ ขึ้นมาเล็กน้อย

  “ถัดจากนี้จะเริ่มทำการสอบสมรรถภาพทางกายอันประกอบด้วยการวิ่งหนึ่งร้อยเมตร ดันพื้น ลุกนั่ง งอตัว ยกน้ำหนัก และกระโดดสูง โดยจะแบ่งเป็นจำนวนสี่กลุ่ม กลุ่มละหกคนและกลุ่มเจ็ดคนหนึ่งกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะเวียนกันทดสอบสมรรถภาพแต่ละบทไปเรื่อยๆ จนครบโดยไม่ชนกัน และในการสอบบทนี้ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบใช้เวทมนตร์ช่วยในการเสริมสมรรถนะใดๆ เป็นอันขาด หากตรวจพบเราจะขอปรับตกในทันที หากท่านใดมีคำถามอะไรขอให้ถามภายในสิบวินาทีนี้นะครับ” พูดจบหัวหน้าผู้คุมสอบก็ชูกำปั้นขวาขึ้นมาขนานลำตัวแล้วค่อยๆ ชี้นิ้วเพิ่มขึ้นทีละนิ้วตามจำนวนวินาทีที่ผ่านไป

  นับได้เสถียรสุดๆ เลยนะเนี่ย เพราะถ้าไม่ได้ฝึกมาดีพอจะทำให้ความถี่ของแต่ละวิที่นับไม่เท่ากัน

  แปด… เก้า… สิบ

  เมื่อนิ้วมือถูกชูขึ้นมาครบห้านิ้วเป็นครั้งที่สองหัวหน้าผู้คุมสอบก็ปรบมือหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่าครบสิบวิแล้ว

  “ถ้าเช่นนั้นก็ขอทำการแยกกลุ่มเลยนะครับ ให้ทุกคนเดินตามผู้คุมสอบที่อยู่ข้างหน้าแถวของตนเพื่อไปยังจุดทดสอบด้วยนะครับ”

  นอกจากแถวแรกที่อยู่บริเวณรอบนอกแล้วแถวที่เหลือก็กระจายกันออกไปตามมุมต่างๆ ภายในสนาม ดูเหมือนว่าการทดสอบแรกที่ได้จะเป็นดันพื้น ลุกนั่งและงอตัวอย่างละสามสิบวินาทีโดยการจับเวลาด้วยนาฬิกาทรายโดยสอบแบบเป็นคนๆ ไป เพราะแบบนั้นในฐานะที่เป็นคนสุดท้ายของแถวเลยมีเวลายืดเส้นยืดสายมากกว่าคนอื่นอยู่พอสมควร

  ‘อึ่ก…’ 

  ยังรู้สึกเจ็บซีกซ้ายอยู่เลยแฮะ…แต่น่าจะไหวอยู่

  “หมายเลขสิบ นาคาซ บลูทอัลเก”

  “ครับ”

  พอผู้คุมสอบขานชื่อก็ทำท่าเตรียมพร้อมรอบนเสื่อรอง ร่างกายนอนขนานเป็นแนวระนาบในขณะที่แขนทั้งสองข้างคว่ำลงสัมผัสพื้น

  “ถ้าพร้อมแล้ว…เริ่ม!”

  เมื่อเสียงนาฬิกาทรายเคาะกับโต๊ะดังขึ้นก็ใช้แขนทั้งสองข้างยกร่างของตนขึ้นลงตามจังหวะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่พอนับได้สี่สิบสองครั้งผู้คุมสอบก็บอกให้หยุดแล้ว

  “สี่สิบสองครั้ง… หน่วยก้านดีเกินวัยเลยนะเนี่ย” เขาพูดพลางก้มหน้าใช้ปากกาหัวแร้งเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษที่แนบอยู่กับกระดาน “จะพักสักหน่อยหรือจะสอบลุกนั่งต่อเลยล่ะ”

  “งั้นขอพักสักหน่อยก็แล้วกันครับ”

  พูดจบผู้คุมสอบก็พลิกนาฬิกาทรายอีกรอบ

  “สามสิบวินะ”

  “ขอบคุณครับ”

  ในระหว่างที่หันหน้าออกไปเพื่อยืดเส้นอีกรอบก็ดูเหมือนจะถึงคิววิ่งหนึ่งร้อยเมตรของลูน่าไชน์พอดี หลังจากยืดเส้นเสร็จเด็กสาวก็ค้อมตัวลงวางมือทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้นในขณะที่ขาเหยียดตรงเป็นท่าเตรียมวิ่งอันเป็นท่ามาตรฐาน และเมื่อผู้คุมสอบสาวให้สัญญาณพร้อมกับกดนาฬิกาจับเวลาเธอก็วิ่งออกไปด้วยความเร็วที่น่าสนใจจนทีเดียว

  สิบจุดสี่วิ…

  เด็กสาววิ่งถึงเส้นชัยภายในระยะเวลาเพียงแค่สิบจุดสี่วิ เร็วพอๆ กับคนอื่นๆ ในสำนัก มากพอที่ทำให้มีความคิดว่าเด็กคนนั้นใช้เวทลดแรงเสียดทานเข้าช่วยรึเปล่าแต่ก็ต้องปัดตกความคิดนั้นไปเพราะได้ยินว่าเด็กคนนั้นเป็นนักเวทสายไฮโดรคิเนซิสซึ่งสามารถใช้ได้แค่สมการเวทที่เกี่ยวกับน้ำเท่านั้น

  “วี้ว~ เด็กปีนี้เอาเรื่องนะเนี่ย” เสียงผิวปากดังมาจากผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ข้างหลัง “พร้อมรึยังหนุ่มน้อย”

  “ครับ”

  หลังจากนั้นผลงานทั้งลุกนั่งและการยืดตัวก็ออกมาในระดับดีเยี่ยมตามที่ใจต้องการคือห้าสิบสามครั้งและสิบห้าจุดหนึ่งเซนติเมตรตามลำดับ ถัดไปก็เป็นการยกน้ำหนักซึ่งสนามส่วนนี้มีแผ่นยางลดแรงกระแทกมารองไว้และบนแผ่นรองนั้นก็คือคานเหล็กสำหรับการยกน้ำหนัก ถึงแม้จะมีโอกาสมากถึงสามครั้งแต่เด็กหลายๆ คนเหมือนจะไปได้ไกลสุดที่เจ็ดหรือแปดกิโลเท่านั้น พอเห็นแบบนี้ก็แอบผิดหวังอยู่หน่อยๆ เพราะที่สำนักแปดกิโลนี่ถือเป็นน้ำหนักพื้นฐานสำหรับทุกคน

  “ต่อไป…หมายเลขสิบ นาคาซ บลูทอัลเก”

  “ครับ”

  พอถูกเรียกชื่อก็เดินไปยืนข้างหน้าคานเหล็ก ควักผงแป้งกันลื่นมาทาทั่วฝ่ามือ ฝั่งซ้ายคือนายทหารนายหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแผ่นเหล็กทั้งสองข้างให้กับผู้เข้าสอบ

  “จะเริ่มที่กี่กิโลก่อนดีหนูน้อย”

  “อืม…งั้นสักแปดกิโลก็แล้วกันครับ”

  เริ่มที่แปดแล้วก็เพิ่มทีละหกกิโลครั้งที่สามก็จะถึงยี่สิบกิโลอันเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่การสอบอนุญาตให้ทำได้พอดี

  “ไหวแน่นะ?” นายทหารเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยเสียงเป็นกังวลขณะถือแผ่นเหล็กทรงโดนัทไว้ในมือทั้งสองข้าง

  พอพยักหน้าให้เขาก็นำแผ่นเหล็กหนักสี่กิโลกรัมมาใส่ที่ปลายคานทั้งสองข้าง เมื่อใส่เสร็จก็ย่อตัวลงไปพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับคานเหล็กไว้แน่น

  “ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเลย”

  “ฮึบ!”

  ทันทีที่ได้รับสัญญาณก็ยกคานขึ้นมาอยู่ระดับหัวไหล่พร้อมกับเหยียดตัวตรง เมื่อจับจังหวะได้แล้วจึงเหยียดแขนตึงขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากค้างอยู่ท่านี้ได้ห้าวิผู้คุมสอบก็ให้ปล่อยคานลง

  “เหลืออีกสองครั้ง จะไปต่อหรือพอแค่นี้”

  “เพิ่มอีกหกกิโลครับ”

  มีเสียงดัง ‘ฮ๊ะ?’ลอดออกมาจากภายใต้หมวกเหล็กของนายทหารแต่สุดท้ายเขาก็ยกแผ่นเหล็กสามกิโลมาใส่เพิ่มให้ทั้งสองฝั่ง

  กระบวนการเดียวกับรอบแรกเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากบอกว่าจะเพิ่มอีกหกกิโลแล้วนายทหารก็ถอดแผ่นเหล็กทั้งหมดออกและแทนที่ด้วยแผ่นเหล็กหนักสิบกิโลทั้งสองฝั่งของปลายคาน ผู้คุมสอบเองก็เตรียมให้สัญญาณอีกรอบ

  “ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่ม”

  “ฮึ่บ!”

  ครั้งนี้ยกขึ้นด้วยท่าสแนทช์ เป็นการยกคานขึ้นเหนือศีรษะภายในหนึ่งจังหวะพร้อมกับย่อตัวลงคล้ายท่าสควอทก่อนจะเหยียดขาตรงแล้วค้างท่านั้นให้ได้นานที่สุด แต่พอค้างอยู่ท่านี้ได้เพียงแค่สามวิผู้คุมสอบก็บอกให้พอเลยปล่อยมือออกจากคานให้มันร่วงลงไปตามแนวดิ่ง

  “ฟี้ว~”

  จริงๆ สภาพตอนนี้จะเพิ่มอีกสักสิบกิโลก็ไม่มีปัญหานะเนี่ย

  ‘หีม?…’ พอหันไปมองข้างหลังตามที่สัมผัสได้ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ก็พบว่าภายในแววตาของเด็กคนอื่นๆ ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายมีตั้งแต่ชื่นชม ตื่นเต้นไปจนถึงหวาดกลัว ขณะเดียวกันผู้คุมสอบก็เหมือนว่าจะใช้สัญญาณมือสื่อสารกับผูเคุมสอบบทอื่นเสร็จพอดี

  “ดูเหมือนฝั่งกระโดดสูงจะสอบกันเสร็จพอดีเลย งั้นตามมาเลยนะเด็กๆ ”

  ต่อไปเป็นการสอบกระโดดสูง วิธีการสอบนั้นก็ง่ายๆ แค่วิ่งเป็นรูปตัวอักษรยอทท์ด้วยความเร็วคงที่และกระโดดข้ามไม้พาดไปด้วยท่วงท่าที่ถนัด จะท่ากระโดดกรรไกรก็ดีหรือท่าฟอสบิวรีก็ดี แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้นหรอกเพราะดูเหมือนว่าไม้ที่พาดมันจะเตี้ยไปหน่อยเลยทำให้เหมือนกระโดดสูงกว่าเด็กคนอื่นๆ อยู่ระดับนึงเลย

  ’สิบสี่เซนโดยประมาณ’ ผู้คุมสอบพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราบเรียบขณะบันทึกผลลงกระดาษ

  “ต่อไปวิ่งหนึ่งร้อยเมตร”

  วิ่งหนึ่งร้อยเมตรจะวิ่งเป็นรายบุคคลและแตกต่างจากการทดสอบอื่นที่ใช้นาฬิกาจับเวลาในการนับแทนนาฬิกาทราย อย่างว่าแหละในแง่ความแม่นยำแล้วเจ้านี่มันย่อมแม่นยำกว่าระดับเดซิวินาที แต่เวลาเห็นของเทือกนี้ทีไรก็ดันนึกถึงตอนที่พ่อบอกให้รื้อแล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่นี่แหละ การต้องมานั่งประกอบกลไกภายในที่ไม่ใช่แค่ความซับซ้อน แต่หลายส่วนมีขนาดเล็กมากจนถ้าหายทีมีบันเทิงนี่ก็ทำเกือบจะกลายเป็นพวกแมดไปหลายรอบเหมือนกัน

  แหม นึกแล้วก็อดรู้สึกขอบคุณตัวเองไม่ได้ที่สามารถอดทนรอดพ้นมันมาโดยที่สติยังอยู่ครบถ้วน

  หลังจากเสยผมไปข้างหลังและตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้วผู้คุมสอบก็ให้สัญญาณในการเตรียมตัว ที่อีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้าคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่กำลังถือนาฬิกาจับเวลาไว้อยู่

  “เตรียมตัว….ไป!!!”

  หลังจากสับขาออกไปเพียงแค่ห้าก้าวก็รู้สึกได้ว่าสรรพสิ่งรอบข้างช้าลงในฉับพลัน ทัศนียภาพถูกยืดออกราวกับอากาศบิดพลิ้ว เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวรู้ตัวอีกทีก็วิ่งเลยปลายทางมาไกลเกือบหกเมตร

  “เก้าจุดสองวินาที ไม่ธรรมดาเลยนะเรา”

  พอเดินย้อนกลับไปหัวหน้าผู้คุมสอบเขาก็พลิกฝ่ามือมาแสดงหน้าปัดนาฬิกาให้ดู

  “ขอบคุณ..ครับ..”

  ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ก็ทำให้รู้สึกหอบไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับความเร็วของพ่อกับวินซ์ที่ใช้เวลาแค่ห้าวิเศษแล้วยังนับว่าอ่อนหัดอยู่ดี

 

  หลังจากนั่งพักรอแถวม้านั่งพลางรอกลุ่มที่เหลือสอบเสร็จทุกคนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เด็กหลายคนแสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายคล้ายจะตายแต่บางคนเช่นนาคาซนั้นช่างดูเฉยเมย ไม่มีกระทั่งร่องรอยของคราบเหงื่อที่ไหลริน ขณะที่เหล่าผู้เข้าสอบทั้งหมดนั่งกันอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่ฝั่งเดียวกันหัวหน้าผู้คุมสอบหนุ่มก็เดินมายืนอยู่เบื้องหน้าในจุดที่มั่นใจว่าเด็กทุกคนจะได้ยินเสียงป่าวประกาศ และเพื่อดึงความสนใจจากทุกๆ เสียงปรบมือดังกึกก้องครอบคลุมทั้งพื้นที่จึงดังขึ้นหนึ่งครั้ง

  เสียงพูดคุยเงียบลงในฉับพลัน ทุกสายตาหันไปมองยังต้นเสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง

  “ถัดไปจะเป็นการสอบภาคปฏิบัติ’ควิกซ์แคสท์’ กติกาง่ายๆ แค่ใครสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้ก่อนจะถือเป็นผู้ชนะและห้ามใช้คาถาที่มีความอันตรายเกินกว่าระดับสอง ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกคุณทุกคนคือพวกเราเหล่าผู้คุมสอบ การสอบเป็นการประชันกันตัวต่อตัวพวกคุณมีเวลาในการเตรียมตัวสิบห้านาที ขอให้ใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มค่าครับ”

  เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกไปจากจุดดึงดูดสายตา ขณะเดียวกันอุปกรณ์ในการสอบหัวข้อก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็กำลังถูกเก็บกวาดโดยเหล่าทหารและผู้คุมสอบที่เข้าไปช่วยทุ่นแรง

  ‘ควิกซ์แคสท์’ เป็นชื่ออย่างเป็นทางการของกีฬาชิงไหวชิงพริบสำหรับเหล่านักเวท ถูกคิดค้นขึ้นบนเกาะวิคตอเรียซึ่งเดิมทีมันเป็นเพียงธรรมเนียมสำหรับการตัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างนักเวทด้วยกัน แต่ภายหลังที่เริ่มมีการแพร่หลายมากขึ้นมันก็เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นกีฬาในท้ายที่สุด

  กติกานั้นไม่ซับซ้อนอะไรมากเพียงแค่ฝ่ายไหนใช้เวทมนตร์โจมตีคู่แข่งได้ก่อนฝ่ายนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ แต่ในการแข่งขันระดับมืออาชีพนั้นก็จะมีกติกาที่ซับซ้อนขึ้นตามความสามารถของนักเวท โดยการแข่งขันที่ขึ้นชื่อว่าดุเดือดที่สุดคือการแข่งขันชิงเหรียญแพลเทียมระหว่างอัศวินแห่งแสงจากวิคตอเรียกับจอมเวทนิลกาฬจากดอยซ์ลันด์ในงานกีฬานานาชาติ “โอลิมเปีย” ครั้งที่แปด การประชันกันครั้งนั้นยังคงถูกเล่าขานมาโดยตลอดจากสายตาผู้ที่ได้รับชมว่าราวกับทุกการปะทะจะสามารถฉีกกระชากความเป็นจริงออกเป็นเสี่ยงๆ 

  แต่สำหรับนาคาซแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่ว่าจะฟังกี่รอบก็ให้ความรู้สึกว่าออกจะเกินจริงมากไป เพราะมนุษย์นั้นชอบเติมแต่งเรื่องราวให้เกินจริงเสมอมาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

  “ฉันเห็นแอบเห็นตอนนายวิ่งด้วยล่ะ วิ่งเร็วสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไง” เด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทาเดินมานั่งข้างๆ นาคาซพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ

  “หรอ… แต่สำหรับฉันมันยังเร็วไม่พอหรอก”

  เธอหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของเด็กชายด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความไม่พอใจในตนเองอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาให้อยากตั้งคำถามว่าผลลัพธ์ออกมาดีขนาดนี้แล้วยังมีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่พออีกงั้นหรอ?

  ไม่พอ? ความเร็วระดับนั้นในอายุเท่านี้ไม่ใช่อะไรที่จะทำกันได้ง่ายๆ เธอเคยวาดฝันไว้ว่าบุตรชายของมหาจอมเวทคนนี้คงเก่งกว่าเธอเพียงแค่เล็กน้อย แต่ในระหว่างการทดสอบสมรรถภาพทั้งหมดเธอแอบดูทุกการกระทำของเขาและได้คำตอบแน่ชัดว่า นาคาซ บลูทอัลเก นั้นมีทักษะที่เหนือกว่าเด็กทุกคนในที่แห่งนี้มากแบบไม่เห็นฝุ่น หรือบางทีก็อาจจะเหนือกว่าผู้คุ้มกันระดับแนวหน้าในตระกูลของตนไปเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นจึงน่าตั้งคำถามว่าอะไรที่เขายังคงไม่พอใจ?

  คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะพ่อแม่ของตนสามารถทำได้ดีกว่านั้น

  เพียงแค่คิดเช่นนั้นกำแพงของคำว่า’มหาจอมเวท’ที่เธอใฝ่ฝันว่าอยากจะเอื้อมไปให้ถึงซึ่งจากเดิมก็สูงมากอยู่แล้วมันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นไปอีกจนแทบเทียมฟ้า ในทางนั้นยังคงอีกยาวไกลและบางทีมันก็คงจะมากกว่าที่ตนจินตนาการไว้

  “แล้วควิกซ์แคสท์ล่ะนายคิดว่าจะไหวมั้ย?”

  “คิดว่าไหว แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นจีโอคิเนซิสก็คงงานหยาบหน่อย” เด็กชายพูดกลางเหยียดแขนออกไปข้างหน้าชูสองนิ้วขึ้นมาในระดับสายตาราวกับเป็นเป้าเล็งไปยังผู้คุมสอบคนหนึ่งที่เขาจ้องมองมาสักพักหนึ่ง

  สำหรับการแข่งที่ถูกกำหนดเพดานระดับของเวทมนตร์ที่สามารถใช้ได้นั้นเรื่องความหนาแน่นของมวลถือว่ามีผลอย่างมากและนักเวทสายจีโอคิเนซิสที่สามารถควบคุมหินดินทรายได้นั้นนับว่ามีแต้มต่อที่ดีกว่าในการสร้างความเสียหายที่ชัดเจนอีกทั้งยังสามารถป้องกันการโจมตีจากนักเวทสายอื่นได้ดีกว่าในด้วยเวทมนตร์ที่มีระดับต่ำ นับว่าเป็นอะไรที่ยุ่งยากไม่ว่าจะกับนักเวทธาตุสายไหนก็ตาม โดยเฉพาะกับแอโรคิเนซิสที่จัดว่ามีมวลเบาที่สุด และความเสียหายระดับไม่เกินสองของเวทมนตร์สายนี้มันก็บางเบาไม่ต่างจากสายลมที่กำลังพัดอยู่ ณ ขณะนี้

  ความสงบนิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวของนาคาซนั้นมีมากจนกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เด็กสาวไม่กล้าพูดคุยอะไรด้วยนัก สายตาประเมินค่าจับจ้องไปยังว่าที่คู่ต่อสู้ของตนอย่างเหล่าผู้คุมสอบจนกระทั่งเวลาสิบห้านาทีล่วงเลยผ่านไปจนหมดสิ้น

  “ครบเวลาที่กำหนดสิบห้านาทีแล้วเพราะฉะนั้นจะขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เราจะทำการสอบทีละห้าคู่ไล่ตามลำดับตัวเลขที่พวกท่านได้รับไปก่อนหน้านี้ แต่ละคู่จะมีอาณาเขตการปะทะของตัวเองโดยให้สังเกตจากขีดเส้นสีแดงที่อยู่บนพื้นสนาม หากคาถาที่ท่านใช้ลุกล้ำหรือส่งผลกระทบถึงเขตปะทะอื่นจะถือว่าสิ้นสุดการทดสอบทันทีเพราะฉะนั้นกรุณาเลือกใช้คาถาอย่างระมัดระวังด้วยนะครับ” หัวหน้าผู้คุมสอบที่เดินมายืนอธิบายที่จุดเดิมหลังจากทำการจัดการสนามสอบได้ปรบมือหนึ่งครั้ง “ถ้าเข้าใจแล้วก็ขอเริ่มการสอบควิกซ์แคสท์ ณ บัดนี้ เริ่มจากผู้เข้าสอบหมายเลขหนึ่งถึงห้าเชิญเลือกผู้คุมสอบที่พวกคุณอยากปะทะด้วยได้เลยครับ”

  แบบนี้กลุ่มที่สอบถัดไปก็จะได้เปรียบเพราะรู้ว่าผู้คุมสอบแต่ละคนเป็นนักเวทสายไหน ในทางกลับกันกลุ่มแรกก็กลายเป็นนกคีรีบูนไปโดยปริยายงั้นสินะ…หรือว่าพวกผู้คุมสอบคิดว่าต่อให้ตัวเองจะถูกรู้ว่าตนเป็นนักเวทสายไหนก็มั่นใจว่าจะชนะได้งั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดูถูกกันเกินไปหน่อยมั้ง

  ความคิดนั้นก็ทำเอานาคาซรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อยเขาจึงบ่ายเบี่ยงและเริ่มคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ใหม่

  ขณะเดียวกันเด็กสาวผู้เป็นผู้เข้าสอบหมายเลขห้าก็เดินไปยังลานกว้างที่ซึ่งมีผู้คุมสอบยืนประจำการอยู่ห้าคนด้วยท่าระเบียบพัก เด็กหลายคนยังคงยืนลังเลอยู่ส่วนเธอก็เดินตรงไปยังฝั่งขวาสุดอย่างไร้ซึ่งความลังเล เพราะเธอมองว่าการมัวกังวลกับสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันรู้หากไม่สัมผัสนั้นเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์และมีแต่จะทำให้เสียเวลาเปล่า

  หลังจากเดินไปยืนในเส้นสีแดงที่ถูกตีไว้ให้มีขนาดหนึ่งร้อยยี่สิบตารางเมตรแล้ว ผู้คุมสอบคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกก็เดินมาหาพร้อมกับถังไม้ที่บรรจุน้ำไว้เต็มอัตรา มันเป็นข้อเสียอย่างนึงสำหรับนักเวทสายไฮโดรคิเนซิสที่ถ้าจะใช้เวทก็จำเป็นต้องมีน้ำอยู่ด้วย ถ้าหากเธอใช้น้ำในถังนี้จนหมดก็เหมือนเป็นการแพ้กลายๆ

  “ถ้าผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมแล้ว….เริ่ม!!!”

  ทันทีที่สัญญาณดังขึ้นดวงตาสีครามชวนพิศวงของเด็กสาวก็เปล่งประกายพร้อมกับน้ำในถังที่ลอยเป็นสายขึ้นมาวนรอบร่างกายในลักษณะเป็นเกลียวคล้ายสปริง ขณะเดียวกันก็มีลูกไฟพุ่งทะยานมาหาเธอ

  เกลียวน้ำที่ลอยอยู่รอบแผ่ขยายตัวออกคล้ายกำแพงน้ำทำให้ลูกไฟที่พุ่งมากระทบมอดดับลง ทิ้งไว้เพียงแค่ไอน้ำที่ระเหยขึ้นไปในอากาศ

  ไพโรสินะ

  คิดแล้วเด็กสาวก็แสยะยิ้มกว้างดั่งผู้มีชัย ทั้งดูงดงามและอำมหิตต่างกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นเด็กสาวเรียบร้อยดั่งผ่าพับ

 

  การสอบรอบแรกเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่นาน ผลที่ออกคือมีผู้เข้าสอบที่ชนะสองคนและคนที่ถูกจับตามากที่สุดก็คือเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีน้ำเงินอมเทา เวทมนตร์ของเธอไม่ใช่แค่การควบคุมน้ำได้เพียงอย่างเดียวแต่ยังสามารถเปลี่ยนสถานะของมันให้กลายเป็นน้ำแข็งที่มีความคงทนสูงได้อีกด้วย ทักษะการหลอกล่อและประยุกต์ใช้เวทมนตร์นั้นนับว่าน่าสนใจจนนาคาซที่เฝ้าสังเกตสลับไปมาระหว่างเด็กสาวและหัวหน้าผู้คุมสอบรู้สึกร้อนรุ่มขึ้น

  “ต่อไปหมายเลขหกถึงหมายเลขสิบ”

  เมื่อถูกเรียกตัวเด็กชายก็ลุกขึ้นเดินไปหาเป้าหมายทันที ไม่สนว่าใครจะมัวลังเลหรือสับสน เป้าหมายของเขาคือหัวหน้าผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุดของสนาม

 

  เด็กชายผู้สวมแว่นปรี่เดินมาหาเขาด้วยท่วงท่าที่ไร้ซึ่งความลังเล กิริยาท่าทางประหนึ่งทหารกรำศึก ดวงตาสีทองอำพันอัดแน่นไปด้วยวิธีการเอาชนะคู่ต่อสู้ มองไปนานเข้าก็รู้สึกเหมือนประสาทรับรู้ของตนจะเริ่มผิดเพี้ยนเพราะความขัดแย้งระหว่างบรรยากาศและรูปลักษณ์ภายนอกของเด็กคนนี้

  ไม่ทันไรก็เจอของยากแล้วไม่ใช่รึไง….

  ในระหว่างการสอบสมรรถภาพ ไม่ว่าใครถ้าหากมีโอกาสก็คงแอบจับจ้องไปยังเด็กชายคนนี้ เขาแสดงความโดดเด่นทางด้านกายภาพออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนน่าทึ่ง

  นาคาซ บลูทอัลเก ถ้าประเมินแค่เรื่องกายภาพอนาคตคงเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการที่เก่งกาจได้แน่นอน แต่แล้วเรื่องเวทมนตร์ล่ะ?

  ชายหนุ่มตั้งคำถามภายในใจขณะมองร่างของเด็กชายที่เตี้ยกว่าเขาเกือบครึ่งลำตัว

  “ถ้าผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมแล้ว….เริ่ม!!!”

  ทันทีที่ได้รับสัญญาณเขาก็กางมือขวาออกไปด้านข้างพร้อมกับความร้อนที่แผ่กระจายออกมาจากปลายนิ้วซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นแต่ที่ทำก็เพราะต้องต่อให้ ลูกไฟกำลังก่อตัวขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที แต่แล้วอยู่ๆ ความร้อนที่กระจุกอยู่บริเวณปลายนิ้วก็แตกกระเซ็นออก เมื่อเหลือบไปมองเขาจึงเห็นว่าลูกไฟไม่ได้อยู่ในสภาพเป็นก้อนกลมดั่งปรารถนาแล้ว

  อินเตอชิเป!?

  แต่ไม่ทันที่จะได้ค้นหาคำตอบเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าภาพตกค้างจากตอนสอบสมรรถภาพ

  เด็กชายพุ่งเข้ามาประชิดพร้อมกับหมัดทั้งสองข้างที่กำไว้แน่น ทันทีที่รู้ตัวอุณหภูมิรอบข้างก็ร้อนขึ้นในฉับพลัน กำแพงเพลิงพวยพุ่งทายานขึ้นสู่ท้องนภาขวางกั้นทั้งสองร่างไว้ ชายหนุ่มกระโดดถอยร่นไปเกือบสุดขอบสนาม พร้อมกันนาคาซที่ถูกฝึกมาจนชินชาต่อเพลิงอัคคีแล้วก็ออกหมัดตรงต่อยกำแพงเพลิงให้สลายไปด้วยหมัดเสริมเวทมนตร์สายลม ร่างกายที่สูงเพียงแค่ร้อยสามสิบเซนกำลังยืนกำหมัดแน่นด้วยท่วงท่าแข็งกร้าวด้วยแววตาตั้งแง่

  เพราะอะไรถึงไม่ใช้โอกาสนี้เข้ามาโจมตี? ชายหนุ่มได้แต่สงสัยและค้นพบคำตอบทันทีว่าเด็กชายกำลังท้าทายเขาอยู่ นับว่าเป็นเด็กที่อวดดีไม่เบา

 

  นี่กำลังต่อให้อยู่หรอ? ไอท่วงท่าสุดน่าอายเมื่อกี้มันอะไร? อย่างกับเด็กเวลาจินตนาการว่าเป็นตัวเอกในนิทานเลยไม่ใช่รึไง?

  โดยทั่วไปนักเวทอาจจะใช้อุปกรณ์หรือนิ้วในการช่วยเล็งเพื่อให้เวทมนตร์สามารถแสดงผลได้แม่นยำมากขึ้น แต่หากชำนาญมากแล้วเรื่องนั้นก็ไม่จำเป็นขนาดนั้นเพราะมันจะทำให้ศัตรูจับจุดได้ ถึงจะเข้าใจว่าอาจจะมีอ่อนข้อให้บ้าง ทว่าการกระทำเมื่อกี้ก็ยังคงนับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เปล่าประโยชน์เกินกว่าจะหาสาระสำคัญได้

  การที่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับคนที่อ่อนข้อให้ตนนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเดียดฉันท์ ตลอดสองปีกับการต่อสู้กับผู้เป็นแม่รวมห้าสิบสามครั้งชัยชนะที่ได้รับมาตลอดคือศูนย์ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกแม่เต็มที่กับเขาทุกครั้งอย่างไร้เมตตาซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกว่าการปราชัยให้กับพวกมีความตั้งใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ กว่ามาก เพราะแบบนั้นตอนนี้จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย

  เด็กชายตั้งท่าแล้วพุ่งทะยานไปหาศัตรูทันที หัวหน้าผู้คุมสอบที่เห็นเช่นนั้นจึงปล่อยเปลวเพลิงออกมาจากปลายนิ้วทันทีโดยไร้ซึ่งท่วงท่าที่เปล่าประโยชน์เหมือนครั้งก่อนหน้า ทว่านาคาซก็ยังคงสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดายด้วยการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วประหนึ่งร่างกายไร้ซึ่งแรงดึงดูดสู่ผืนดิน

  เมื่อเห็นว่าเวทมนตร์ประเภทต่อต้านบุคคลใช้ไม่ได้ผลชายหนุ่มก็กำมือแน่น แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือเจ็บใจ ดวงตาอำพันเปล่งประกายแสงสีเหลืองอร่าม สะเก็ดเปลวเพลิงกระเด็นกระดอนออกมาก่อนจากกำปั้นก่อนจะถูกปาออกมาเป็นลักษณะของห่าฝนลูกไฟอันเป็นเวทมนตร์ที่เน้นพลังทำลายล้างออกไป

  ถึงแม้มันจะดูรุนแรงเกินกติกากำหนดไปสักหน่อย แต่ถ้าสามารถควบคุมระดับความเสียหายให้ไม่เกินระดับสองได้มันก็ยังไม่นับว่าผิด ขอเพียงแค่มีเปลวเพลิงสักลูกร่วงลงไปสัมผัสกับร่างนั้นก็นับว่าได้รับชัยชนะ

  ทว่าความพึงปรารถนานั้นก็ต้องพังทลายเมื่อเปลวเพลิงที่ร่วงลงไปตกกระทบกับร่างของเด็กชายกลับไหลร่วงลงไปกองกับพื้นราวหยดน้ำค้างที่ไหลผ่านใบไม้ในยามสนธยา ไม่แม้แต่จะทิ้งร่องรอยของการถูกเผาไหม้เลยแม้เพียงนิด

  นี่มันบ้าอะไรเนี่ย!?

  เพียงแค่ชั่วพริบตานาคาซก็เข้ามาประชิดตัวชายหนุ่มพร้อมกับวาดลูกเตะอันหนักแน่นผ่านหน้าผู้คุมสอบที่เอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิวด้วยการตอบสนองฉับพลันตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งก็มีลูกเตะกำลังลอยมาหาอีกหนภายในระยะเวลาอันสั้นเกินกว่าที่จะไหวตัวได้ทัน ทำได้แค่ยกแขนขึ้นมาป้องกันสีข้างไว้

  “อึ่ก!”

  ลูกเตะอันเปี่ยมไปด้วยความเร็วและความแรงสุดแสนหนักแน่นจากการใช้เวทลดแรงเสียดทานทำให้ชายหนุ่มถึงกับเซและทรุดลงไปในทันที

  ลูกเตะที่กาปาลหลบเมื่อกี้เป็นเพียงลูกเตะหลอกที่แค่ยกแข้งขึ้นมากวาดแล้วเก็บกลับลงไปก่อนจะหมุนตัวเหวี่ยงลูกเตะของจริงไปหา เป็นท่วงท่าที่ทั้งน่าอัศจรรย์และรุนแรง หากว่านาคาซสูงกว่านี้อีกสักนิดเขาคงเล็งไปที่ศีรษะแทนที่จะเป็นสีข้าง

  “พอ” ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่นอกสนามกล่าวพร้อมยกมือขวาขึ้นเป็นการบ่งบอกว่านาคาซเป็นผู้ชนะ

  เด็กชายถอยหลังไปสองก้าวแล้วยื่นมือไปหาหัวหน้าผู้คุมสอบเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ ชายหนุ่มรับน้ำใจนั้นไว้พลางลุกขึ้นอย่างช้าๆ

  “ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครับ” เด็กชายค้อมตัวให้เขาเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินออกจากสนามไปนั่งที่เดิม

  ทิ้งไว้ให้ชายหนุ่มได้แต่สงสัยว่าเขาชี้แนะอะไรไปหรือบางทีมันก็คงเป็นมารยาทที่เขาแค่ไม่รู้จัก

  เมื่อเดินกลับมาถึงที่นั่งเดิมนาคาซก็พบกับเด็กสาวที่ปรบมือให้เขาเบาๆ แบบไร้ซึ่งเสียงกระทบของฝ่ามือ

  “นายนี่มันเหนือมนุษย์จริงๆ ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

  “เฮอะ นี่กะกวนประสาทกันรึไง” เด็กชายตอบกลับไปพลางนั่งลงข้างเด็กสาว

  “ฉันพูดจากใจจริงเลยนะ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่เอาชนะผู้คุมสอบได้ง่ายแบบนั้น”

  “กะอีแค่เตะให้โดนมันไม่ได้ยากนักหนาเลย แค่ว่าคนที่มัวแต่พึ่งพาแต่การโจมตีที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไงก็ไม่มีประสิทธิภาพมันมีจำนวนมากกว่าก็เท่านั้นเอง”

  การหวังพึ่งแต่จะให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายโดยการปาอะไรใส่ทั้งๆ ที่มวลของวัตถุเช่นลมหรือน้ำที่แทบจะไม่สามารถทำให้รู้สึกระแคะระคายได้ถือเป็นเรื่องงี่เง่าโดยเฉพาะกับเวทมนตร์สายแอโรระดับไม่เกินสองที่มีความเสถียรในด้านการสร้างความเสียหายอยู่ในระดับเลวร้ายชนิดไม่ใช้ยังดีกว่า เรียกว่าแค่ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักได้ก็นับว่าดีมากโขแล้ว ส่วนเวทที่สร้างความเสียหายแบบเป็นชิ้นเป็นอันได้มันก็ดันสร้างความเสียหายระดับบาดเจ็บสาหัสจึงถูกจัดให้เป็นคาถาระดับสามขึ้นไปแทบทั้งหมด ฉะนั้นแล้วแค่ใช้เวทให้พอเป็นพิธีแล้วอาศัยพลังงานจลน์กับมวลกล้ามเนื้ออัดเข้าไปที่ร่างกายอีกฝ่ายตรงๆ ถือเป็นเรื่องที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าการพึ่งพาของไม่ได้การพรรค์นั้นเป็นไหนๆ

  “พูดแบบนี้เหมือนดูถูกฉันเลยนะ”

  “งั้นเหรอ? เธอชนะด้วยการปาก้อนน้ำอัดใส่ผู้คุมสอบจนเขาบาดเจ็บหรอ? ถ้าคิดว่าตัวเองชนะได้ด้วยวิธีนั้นจริงๆ ก็เรื่องของเธอเถอะ”

  เด็กสาวหลุบตาหนีและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จริงอยู่ที่ชัยชนะของเธอได้มาจากการสาดน้ำใส่ผู้คุมสอบ แต่การควบคุมให้น้ำเหล่านั้นแข็งตัวเป็นน้ำแข็งจนกัดกินแขนของผู้คุมสอบแบบนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะทำได้ เพราะฉะนั้นหากมองจากบรรทัดฐานดังกล่าวแล้วมันจึงไม่ใช่แค่การเอาชนะได้ด้วยวิธีการไร้ประสิทธิภาพแต่อย่างใด

 

  หลังจากการสอบควิกซ์แคสท์จบลงก็เป็นเวลาสิบสี่นาฬิกาซึ่งเป็นเวลาสำหรับการรับประทานอาหารเบา ผู้เข้าสอบทุกคนถูกนำทางกลับมายังอาคารหลังเดิมที่ลงทะเบียนสอบไปในตอนเช้า ห้องที่ผู้เข้าสอบทั้งสี่สิบคนกำลังนั่งอยู่นั้นคือห้องประชุมอเนกประสงค์ที่ถูกตกแต่งให้สวยงามแบบพอเป็นพิธีด้วยสุนทรียภาพแบบสมัยใหม่ มีพื้นที่ไม่กว้างมากนักแต่ก็เพียงพอให้วางโต๊ะสิบตัวและเก้าอี้ยี่สิบคู่ได้ บริเวณตรงกลางห้องคือโต๊ะขนาดใหญ่ที่ถูกประดับประดาไปด้วยจานของหวานเลิศรสสดใหม่หลากชนิดที่ผู้เข้าสอบสามารถเลือกกินกันได้ตามอัธยาศัย

  ณ มุมหนึ่งของห้องซึ่งบนโต๊ะถูกเรียงรายไปด้วยจานของหวานที่ทั้งหมดมีส่วนประกอบของช็อกโกแลต เด็กชายกำลังนั่งรับประทานพวกมันด้วยท่วงท่านิ่งสงบแต่กลับให้ความรู้สึกว่าเขานั้นค่อนข้างตะกละตะกลามอยู่อย่างน่าประหลาด

  “นายเนี่ย…ไม่กินเยอะเกินไปหน่อยเหรอ?….” เด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยความเหนื่อยใจเล็กน้อย

   บนจานของเธอส่วนใหญ่เป็นขนมกินเล่นที่มีชิ้นใหญ่พอดีคำ ตรงกลางที่ขวางกั้นทั้งสองไว้คือภูเขาจานที่ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ อันเกิดจากนาคาซที่กินของหวานอย่างต่อเนื่องไม่มีพักมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว

  แน่นอนว่าท่วงท่าที่เขากินนั้นดูสุขุมละมุนสมกับเป็นว่าที่สุภาพบุรุษแต่การกินต่อเนื่องแบบแทบไม่มีจังหวะเว้นว่างเลยมันก็ชวนให้รู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย

  “ก่อนมาสอบฉันโดนซ้อมไปเยอะน่ะ” หลังจากวางมีดและส้อมลงนาคาซก็ชูแขนซ้ายขึ้นพร้อมถกแขนเสื้อลงให้เด็กสาวดู ทั่วทั้งแขนมีแต่แผลฟกช้ำสีม่วงและเขียวที่ทั้งเข้มและจางกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ราวกับมีบางสิ่งชอนไขอยู่ใต้ผิวหนัง ทำเอาเด็กสาวได้แต่แสดงใบหน้าสะอิดสะเอียนและสงสัยว่าเขายังสามารถทนสอบด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ได้ยังไง

  “นี่โดน…อะไรมาเนี่ย…”

  “หลักๆ ก็ไปกระแทกต้นไม้กับโดนกดให้ไถกับหน้าดินมา ทั้งร่างแหลกแทบไม่เหลือชิ้นดีเลย เพราะงั้นเลยต้องการพลังงานปริมาณมากมาช่วยฟื้นตัวแต่ถึงเมื่อเช้าจะกินอะไรๆ ไปเยอะแล้วก็เถอะแต่มันก็แค่พอให้ฟื้นฟูร่างกายได้โดยไม่ต้องจำศีลเท่านั้นแหละ” พูดจบเด็กชายก็ถกแขนเสื้อลง หยิบส้อมมาจิ้มเค้กช็อกโกแลตขนาดพอดีคำที่ตัดทิ้งไว้ใส่ปาก

  ‘เพราะงั้นก็เลยกินของหวานหมดนี่เพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไปกับการฟื้นฟูสินะ…’ เด็กสาวพึมพำเบาๆ ขณะพยายามทำความเข้าใจกับธรรมชาติอันแปลกประหลาดของอสรพิษที่อยู่เบื้องหน้า

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 4 ควิกซ์แคสท์"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF