cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 3 เด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทา

  1. Home
  2. All Mangas
  3. [Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา
  4. ตอนที่ 3 เด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทา
Prev
Next

ณ รุ่งสางในยามที่ท้องนภายังคงมีสีฟ้าอ่อนและถูกปกคลุมโดยเมฆบางเบา ดาวบริวารสีขาวบริสุทธิ์ยังคงปรากฏเด่นชัดอยู่กลางท้องนภา แม้ดวงเพลิงสีแสดจะยังไม่ปรากฏขึ้นมาจากขอบฟ้าแต่ทิวทัศน์ต่างๆ ก็สามารถมองได้อย่างชัดแจ้งโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเปลวไฟอารยัน

ท่ามกลางผืนป่าอันเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งใบปกคลุม ผืนดินเบื้องล่างถูกย้อมให้กลายเป็นสีส้มและสีน้ำตาลเข้มของใบไม้แห้งกรอบ ทัศนียภาพโดยรอบถูกลดทอนด้วยหมอกยามเช้าเบาบางชวนสงบใจ แต่แล้วบรรยากาศนั้นก็พังทลายลงด้วยเสียงเหยียบย่ำใบไม้แห้งอย่างร้อนรน

เด็กชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งหน้าตั้งอย่างสุดชีวิตเพื่อหลบหนีบางสิ่ง บางสิ่งที่พังทลายแผนการและกลุ่มของเขาทั้งหมดสิบหกคนลงอย่างง่ายดาย บางสิ่งที่แม้ตอนนี้เขาจะใช้เวทมนตร์ช่วยให้วิ่งได้เร็วขึ้นแล้วก็ยังไม่อาจแน่ใจว่ามันจะมากพอให้สามารถหนีพ้นเงื้อมมือที่มองไม่เห็นไปได้ เงามรณาที่กำลังตามหลังมาด้วยความเร็วอันแสนบ้าคลั่ง ราวกับหมาป่าที่กำลังล่าเหยื่ออันโอชะด้วยความหิวกระหายอันไม่อาจถูกเติมเต็ม ถึงแม้จะหันกลับไปมองเป็นระยะและไม่เห็นร่องรอยของตัวตนนั้นแล้วแต่เด็กชายก็ยังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ เพราะสิ่งนั้นจะไม่หยุดตามล่าจนกว่าจะสุดขอบชายป่า

แต่แล้วการสับเท้าวิ่งก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหูแว่วเสียงของวัตถุบางอย่างที่กำลังพุ่งแหวกอากาศมาหาตนด้วยความเร็วสูงลิบ เด็กชายรีบกระโดดถอยหลบวัตถุนั้นไปได้อย่างเฉียดฉิว แต่ยังไม่ทันถึงเสี้ยววินาทีฝูงลูกศรเหล็กสีดำขลับนับสิบลูกก็พุ่งเข้ามาหาอย่างต่อเนื่องจากบนยอดไม้สักยอดหนึ่ง

เขากระโดดถอยหลบพวกมันไปได้ด้วยท่วงท่าอันแสนคล่องแคล่วแต่หากพลาดพลั้งแม้เพียงนิดทุกอย่างก็จบสิ้น ภายในมือทั้งสองข้างรังสรรค์คันศรและลูกดอกขึ้นมาจากความว่างเปล่า คำนวณเวทใส่ลูกศรและง้างยิงรัวสวนขึ้นไปยังยอดไม้อันเป็นแหล่งที่มาของศรเหล็กเหล่านั้น

ทว่าไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง เป็นไปได้สองอย่างคือตนยิงไม่โดนหรือไม่ก็สามารถจัดการสิ่งนั้นได้แล้ว แต่หากพิจารณาด้านความสามารถแล้วอย่างหลังคือสิ่งที่เป็นไปได้ยากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่เด็กชายก็ไม่มีเวลามากพอจะไปตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น เขาเริ่มสับเท้าวิ่งอีกครั้งเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง

“เดราะ” เสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นทั่วบริเวณ มันคือเสียงเดาะลิ้นของเงามรณาที่ยังคงยืนหยัดอยู่

ทางขวา!

เมื่อรู้ว่าตนเองช้าเกินกว่าจะทำอะไรได้เด็กชายก็รังสรรค์โล่ขนาดเท่าลำตัวขึ้นมาบดบังร่างกายซีกขวาไว้ และทันทีที่โล่ปรากฏขึ้นมานั้นก็ได้มีแรงกระแทกดั่งสัตว์ใหญ่ผลักร่างของเขาให้กระเด็นไปชนกับต้นไม้ใหญ่อย่างสุดแรง

“อั่ก!!”

โล่ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาตกอยู่ในสภาพแหลกละเอียดไม่เหลือเค้าลางของสิ่งที่ควรจะเป็นอุปกรณ์ป้องกัน ร่างกายซีกซ้ายปวดร้าวราวกับใกล้แหลกสลายส่วนฝั่งขวานั้นยังพอใช้การได้แม้จะเจ็บปวด นับว่ายังดีที่ส่วนหัวไม่ได้รับผลกระทบจากการกระแทกจึงทำให้สามารถรวบรวมสติกลับมาได้ในฉับพลัน

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือพญาหมาป่าในร่างมนุษย์ผู้ปกคลุมใบหน้าของตนด้วยผืนผ้าสีดำสนิท ตรงกลางปักดิ้นทองเป็นรูปของดวงตาตั้บเป็นแนวตั้งขนาดใหญ่หนึ่งดวง สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายผู้นั้น

เด็กชายถ่มเลือดที่กบปากของตัวเองทิ้งและยืนหยัดขึ้นพร้อมกับรังสรรค์อาวุธมาไว้ในมือ

ด้ามจับยาวปรากฏขึ้นเป็นอันดับแรกต่อด้วยใบมีดโค้งมนที่ปลายด้านบน อาวุธที่ตนต้องการฝากกายไว้ในครั้งนี้คือง้าวนางินาตะ อาวุธจากดินแดนตะวันออกไกลอันเป็นต้นกำเนิดตระกูลของตน

แต่ถึงแม้เงามรณาที่อยู่เบื้องหน้าจะสัมผัสได้ถึงอาวุธที่ปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกหรือกระทั่งเกรงกลัว กลับกันเขากำมือข้างขวาหลวมๆ เหมือนกำลังจับอากาศ และทันใดนั้นหอกเหล็กสีชาดจากตำนานของบุตรแห่งลูก์ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับการตั้งกระบวนหอก สองเท้าเหยียบย่ำผืนดินเคลื่อนที่โยกตัวสลับซ้ายขวาอย่างว่องไว จนเมื่อเข้าประชิดร่างเงามรณาก็แทงหอกตรงเข้าไปยังบริเวณใบหน้า แต่เด็กชายก็เอี้ยวตัวได้หลบทันพร้อมตวัดง้าวตอบโต้กลับไป ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคือการทำให้อีกฝ่ายจำต้องถอยห่างออกมา

ดวงตาสีโลหิตของเด็กชายเปล่งประกายขึ้นพร้อมการตวัดง้าวครั้งถัดไป เกิดเป็นคลื่นลมเส้นบางๆ ที่สามารถตัดผ่านก้อนหินที่ขวางทางให้ขาดสะบั้นได้โดยง่ายราวกับผ่าเนย แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วเวทมนตร์นี้ยังนับว่าอ่อนหัด เขายกมือซ้ายขึ้นมาบังและทันใดนั้นก็มีโล่กลมปรากฏออกมารับมันไว้ทำให้คลื่นลมที่พุ่งมากระแทกแตกออกกลายเป็นเพียงสายลมกรรโชกที่พัดพาได้เพียงแค่ใบไม้แห้งให้ปลิวไสว

“ชิ” เด็กชายเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจก่อนจะใช้เวทสร้างลมพายุให้โหมกระหน่ำไปออกไปเบื้องหน้าต่อทันใด

แน่นอนว่าเวทพรรค์นี้ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายระแคะระคายได้แต่มันก็สร้างจังหวะได้มากพอให้เขาหันหลังวิ่งหนีต่อไปได้

เป้าหมายไม่ใช่การเอาชนะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นการไปให้ถึงจุดหมาย การเอาชนะด้วยกำลังนั้นไม่ใช่ทุกสิ่งโดยเฉพาะกับผู้ที่เหนือกว่าตนทุกด้านอย่างผู้เป็นพ่อที่ไล่ตามมาตลอดทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

วันสุดท้ายแล้วก็ช่วยน้อยๆ หน่อยเถอะครับ ผมยังต้องเก็บแรงไปสอบอยู่นะครับพ่อ!!

นาคาซโอดครวญในใจขณะปรับเปลี่ยนโครงสร้างส่วนด้ามจับของง้าวให้มีความยาวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ พร้อมกันปลายง้าวก็ถูกลดระดับลงให้ชี้ไปข้างหน้าเหมือนดั่งพลทหารม้าที่กำลังพุ่งจู่โจมศัตรู

สัมผัสความกลัวตายกำลังร้องเตือนว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า

เขารีบมุ่งตรงไปยังโขดหินขนาดครึ่งลำตัวของตนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลังพลางลดระดับปลายง้าวลงต่ำจนกระทั่งมันแทงเข้าไปในร่องหิน

เมื่อแรงปะทะผสมเข้ากับแรงดันตัวทำให้ร่างกายลอยทะยานขึ้นไปบนอากาศ แม้ด้ามง้าวจะเริ่มงอตัวลง นาคาซก็ยังคงใช้สองมือจับไว้มั่นและเหวี่ยงขาข้างซ้ายขึ้นไปนำส่วนหัว ณะเดียวกันก็มีวัตถุสีชาดพุ่งผ่านม่านใบไม้ปลิวไสวออกมาพรากปลายผมสีดำขลับไปเล็กน้อย ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาอันแสนน่าสะพรึง

เกือบไป…

ไม่สิ!!

บางสิ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เงามรณาวิ่งมากระชั้นชิดขณะที่ร่างของนาคาซยังคงลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ เขาย่อตัวลงและกระโดดขึ้นมาพร้อมกับอาวุธที่กำลังจะถูกรังสรรค์ขึ้น

ร่างกายขยับตัวไปก่อนที่สมองจะทันได้ตริตรอง เกราะแขนติดโซ่ปรากฏขึ้นมาที่แขนขวาของเด็กชาย เขาเหวี่ยงโซ่ออกไปพันกับกิ่งไม้ที่ดูแข็งแรงที่สุดแล้วกระตุกแขนเพื่อดึงตัวเองเข้าไปทำให้สามารถหลบการฟันดาบของผู้เป็นพ่อไปได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง

จุดนี้คงต้องขอบคุณเวทลดแรงเสียดทานที่ต่อให้แม้จะใช้กำลังกายเพียงน้อยนิดก็สามารถเคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วปานลมกรด แต่กระนั้นก็ดูจะยังไม่สามารถหลีกหนีจากพญาหมาป่าผู้ชำนาญศึกกว่าไม่ได้อยู่ดี

ชายหนุ่มเปลี่ยนอาวุธภายในมือให้กลายเป็นแซ่หนังแล้วเหวี่ยงมันออกไปพันกิ่งไม้เหมือนดั่งที่บุตรพึ่งทำไป ขณะที่นาคาซโหนโซ่ไปตามแรงกระทำและปล่อยตัวลงไปวิ่งบนพื้นดินต่อ ชายหนุ่มเลือกที่จะโหนตัวขึ้นไปด้านบนแล้วกระโดดข้ามกิ่งไม้ใหญ่ไปมาอย่างปราดเปรียวราววานร 

และในจังหวะที่เขากระโดดเหินออกมาจากต้นไม้ บริเวณแขนทั้งสองข้างก็ปรากฏรูปลักษณ์เคียวติดโซ่อย่างคุซาริกามะ ด้านเคียวของพวกมันถูกเหวี่ยงลงไปนำหน้านาคาซไปมากจนเหมือนพลาดเป้า

ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มก็ใช้แรงแขนดึงร่างของตัวเองให้ดิ่งลงไปตามแนวเฉียงด้วยอัตราเร่งอันน่าเหลือเชื่อจนดูเหนือกฎเกณฑ์

ดวงตาของเด็กชายส่องประกายขึ้นอีกครั้งแต่นั่นก็ยังคงช้าเกินไป เวทมนตร์ไม่สามารถถูกคำนวณขึ้นมาได้ทันการ แรงปะทะมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งแผ่นหลังก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งร่างในฉับพลัน แม้จะมีพลังกายกว่าเด์กทั่วไปในรุ่นเดียวกันแต่เมื่อถูกมวลที่หนักกว่าตัวเองราวสี่เท่ากดทับร่างไว้การพยายามขัดขืนจึงกลายเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ ร่างกายเองก็พังทลายไปมากเกินกว่าที่จะฟื้นฟูในระยะเวลาแสนสั้นนี้ได้

“รุกฆาต” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงนิ่งสงบผิดจากการกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่ไม่ต่างจากอสูรคลั่ง

◇

ที่อีกฟากฝั่งของผืนป่าเดียวกัน บริเวณเบื้องของหน้าปลายทางมีชายชรากำลังยืนเฝ้ารอบางสิ่งอยู่ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ต่างทยอยเดินออกมาจากป่าในสภาพอิดโรย

การฝึกครั้งนี้มีเด็กที่เข้าร่วมฝึกทั้งหมดสิบหกคน ทุกคนเป็นเด็กที่มีทั้งประสบการณ์และทักษะที่ดีเยี่ยมมากพอทัดเทียมกับทหารมืออาชีพ แต่กระนั้นเขาก็ต้องเห็นเด็กเหล่านั้นกอดคอเดินออกมาจากป่ากันด้วยสภาพอ่อนแรงคนแล้วคนเล่าจนกระทั่งขาดไปเพียงแค่หนึ่งคน

ความหวังเดียวสำหรับชัยชนะในการฝึกครั้งนี้ เด็กชายที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มที่ฝึก ลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ “นาคาซ”ยังคงไม่ออกมาจากป่าและวินเซนต์ก็รู้ดีว่าสหายต่างวัยของตนเช่นพ่อของเด็กคนนั้นไม่เคยมีคำว่าอ่อนข้อให้กับลูกชายของตนเลยแม้เพียงสักครั้ง

“คิดว่านาคาซจะรอดมั้ย” “ไม่ไหวหรอก ต่อให้จะเป็นหมอนั่นก็เถอะ” “แต่ฉันว่าถ้าวัดกันที่ความเร็วก็น่าจะพอไหวอยู่นา”

ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเหล่าเด็กๆ สิ่งเดียวที่วินเซนต์หวังนั้นไม่ใช่ชัยชนะของนาคาซ แต่เป็นความหวังว่าชายคนนั้นจะไม่หนักมือกับลูกมากเกินไป เพราะในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเด็กคนนั้นจะต้องไปสอบแล้ว

จริงอยู่ว่าแม้นาคาซจะฟื้นตัวได้เร็วแต่ในกรณีที่สาหัสนั้นก็ต้องใช้เวลามากอยู่ดี ขืนปล่อยให้ไปสอบในสภาพครึ่งๆ กลางๆ ก็มีแต่จะได้ผลลัพธ์ที่ชวนเจ็บใจซะเปล่าๆ

“ให้ตายเถอะยิ่งคิดยิ่งเครียด…”

ในขณะที่กำลังเครียดขึ้นสมองอยู่ประสาทสัมผัสการได้ยินของเขาก็ได้ยินเสียงเดินแหวกพุ่มหญ้า ดวงตาสีครามเบิกโพลงและเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียงนั้น

เด็กทุกคนล้วนฮือฮาแสดงท่าทีให้กับความหวังที่มีอยู่เพียงริบหรี่ แต่แล้วความหวังเหล่านั้นก็ต้องจบลงเมื่อเงาที่ปรากฏนั้นเป็นรูปลักษณ์ของมนุษย์ผู้มีร่างกายสูงโปร่ง

ชายหนุ่มเดินออกมาจากชายป่าพร้อมกับแบกร่างของลูกชายที่หมดสภาพไว้บนหลัง

ทันทีที่เห็นแบบนั้นความหวังของชายชราก็พังทลายลงไม่ต่างจากเหล่าเด็กๆ เพราะสภาพของนาคาซยับเยินชนิดที่ว่าถ้าเป็นเด็กคนอื่นคงช้ำในตายได้

“หัดเบามือหน่อยเถอะ! วันนี้ลูกแกต้องไปสอบนะไอแซก!” ชายชราแผดเสียงออกมาด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลขึ้นชั่ววูบ

ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างราวกับพึ่งนึกขึ้นได้

“ลืมตัวไปเลย…”

“ว้อยยย! จะบ้าตาย! นาคาซไม่ได้ฟื้นตัวเร็วเท่าลีเวียนะ! สภาพนี้ไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมงแน่กว่าจะฟื้นตัวดี!….” ชายชราสูดลมหายใจเข้าและผ่อนมันออกพร้อมกับดึงความสุขุมกลับมาในฉับพลันราวกับพลิกฝ่ามือ “ช่างเถอะ… พอมีเวลาเหลืออยู่ ช่วยไปจัดการเรื่องอาหารที เดี๋ยวฉันรักษานาคาซเอง”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมส่งตัวลูกชายไปให้กับวินเซนต์เพื่อพาไปยังห้องรักษาภายในสำนักที่เป็นปราการหินเก่าซึ่งอยู่ห่างจากป่าไม่ไกล

◇

ทั่วทั้งร่างกายร้อนผ่าวราวกับน้ำต้มเดือด การฟื้นตัวที่รวดเร็วนั้นต้องการพลังงานปริมาณมหาศาลทำให้บางครั้งจำเป็นต้องจำศีลชั่วคราวอย่างช่วยไม่ได้ แม้ตอนนี้กระดูกที่แตกหักจะเริ่มเชื่อมเข้าหากันแล้วแต่ความรู้สึกปวดร้าวยังคงทิ่มแทงขึ้นไปถึงสมอง เป็นความรู้สึกที่แม้จะเจอมากี่ครั้งก็ไม่เคยชินและไม่ควรจะชินและเฉยชาไปกับมัน

เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆ ยกตัวขึ้นจนเผยให้เห็นนัยน์ตาสีโลหิตชวนขนลุก เบื้องหน้าของเด็กชายคือเพดานหินเก่าแก่ที่คุ้นเคย มันเป็นหินแบบเดียวกับปราการเก่าที่ปัจจุบันเป็นสำนักของตระกูล

“เฮ้อ~ ค่อยโล่งอกหน่อย…” เสียงของวินซ์ที่ฟังดูโล่งอกดังมาจากข้างตัว

“ไง” วินซ์พูดขณะที่ใช้ยาเย็นมาทาบนบริเวณที่รู้สึกเจ็บจนกล้ามเนื้อกระตุก

“อึ่ก! ผมนอนไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ยครับ….”

“เกือบสองชั่วโมงแล้ว”

สองชั่วโมงงั้นเหรอ…ก็นับว่าเร็วกว่าทุกทีที่ปาไปหลักห้าชั่วโมงแหละนะ

“แล้วคนอื่นเป็นยังไงมั้งครับ?”

“ก็เจ็บเล็กเจ็บน้อยกันไม่มีใครได้แผลใหญ่อะไร พอกินอาหารกันเสร็จก็เริ่มประชุมเรื่องฝึกกันต่อ”

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็อดรู้สึกชื่นใจไม่ได้ เพราะหากเทียบกับรอบก่อนๆ แล้วนับว่ายับเยินกว่านี้มากโข แต่ครั้งหน้าจะใช้แผนเดิมหรือแผนที่พัฒนาต่อจากแผนนี้ไปอีกก็ไม่น่าได้ผลแล้วเพราะยังไงก็คงไม่พ้นโดนพ่อดักคอก่อนเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

“แล้วพ่อล่ะครับ?”

“กำลังทำอาหารมาให้แกกินอยู่น่ะ เพราะทำอะไรไม่คิดก็เลยให้ทำหลายอย่างเลยกินเวลานาน”

ยังไม่ทันขาดคำ อยู่ๆ ก็มีกลิ่นบางอย่างโชยมาจากไหนสักแห่ง มันเป็นกลิ่นคาวสัตว์ที่ผสมปนเปกับกลิ่นของสมุนไพรและเครื่องเทศที่เหม็นยิ่งกว่าของเสียจนชวนให้อยากสำรอก

“แหวะ”

“ใครมันเอาซากเน่าเข้ามาวะ!” 

แม้แต่วินซ์ที่น่าจะคุ้นชินกับกลิ่นคาวเลือดมามากก็ยังอดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเข้าหากัน

ร่างกายที่ขยับไปไหนไม่ได้มากกำลังร้องเตือนว่าแม้จะอยู่ในสภาพนี้ก็ควรฝืนสังขารหนีให้ห่างจากกลิ่นนี้ไป แต่พอพยายามทำแบบนั้นก็โดนวินซ์ที่กำลังเอาผ้าผืนหนาๆ ปิดจมูกตัวเองอยู่รั้งไว้

“อย่าพึ่งขยับตัวสิ” ชายชรากล่าวด้วยเสียงลมขึ้นจมูกขณะที่กลิ่นอุบาทว์นั่นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหา

ไม่ไหวอย่างน้อยก็ขอเอาหมอนปิดจมูกหน่อยเถอะ

ทันใดนั้นเองพ่อก็ปรากฏตัวมาพร้อมกับถือถาดรองที่บรรจุมีหม้อดินเผาขนาดใหญ่กับจานไม้และแก้วเคลือบอยู่ สัมผัสได้เลยว่าต้นกลิ่นนั่นมันจะต้องเป็นอะไรสักอย่างในถาดนั่นแน่

“เอาซากสัตว์ที่ไหนมาทำซุปเนี่ย!” วินซ์หันไปถามพ่อเสียงเข้ม

“ทุกวันนี้พวกเราก็กินซากกันทั้งนั้นแหละ แค่ว่ากินตอนที่มันสดใหม่กว่าและปลุกสุกแล้วก็เท่านั้นเอง” พ่อวางโต๊ะเตี้ยลงบนเตียงจากนั้นก็วางถาดอาหารนั่นลงมาตาม

“เนื้อหมีตุ๋นยาหลง ตัวอ่อนด้วงนึ่ง โยเกิร์ตนมแพะคลุกธัญพืชคั่วแล้วก็นมแพะอีกหนึ่งแก้วตามที่สั่ง” พอพ่อเปิดฝาหม้อดินเผากลิ่นคาวนั่นก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นชวนคลื่นไส้จนอยากลุกไปสำรอกอาหารผ่านหน้าต่าง ณ ตอนนี้เลย

อยากจะถามจริงๆ เลยว่านี่พ่อทนถือของพรรค์นี้มาได้ไงเนี่ย

“แหวะ” วินซ์เบือนหน้าหนี พยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มทรุดลงไปข้างเตียงแทบจะทันที ดูท่าแม้แต่ผ้านั่นก็คงไม่ช่วยอะไรแล้ว “ใครสอนแกตุ๋นเนื้อหมีให้มันมีกลิ่นแบบนี้ได้เนี่ย! นี่กะทำอาวุธเคมีขึ้นมารึไง!”

“ก็คุณพูดเองนะว่าสูตรนี้ให้พลังงานเยอะ” พ่อพูดด้วยเสียงขึ้นจมูกไม่ต่างจากวินซ์ เมื่อสังเกตดีๆ แล้วก็เห็นว่าที่จมูกของพ่อก็มีผ้าอุดอยู่เหมือนกัน

“ก็ไม่คิดว่าแกจะไร้ฝีมือขนาดกลบกลิ่นคาวหมีไม่ได้นี่หว่า!”

“ช่างเถอะครับ”

ต้องรีบตัดบทก่อนที่วินซ์จะโยนอาหารพวกนั้นออกนอกหน้าต่าง ไม่มีเวลาพอมาให้รอพ่อไปทำใหม่แล้ว เพราะทั่วทั้งร่างกายกำลังกรีดร้องว่าอยากได้พลังงานมาเพิ่มเติมโดยด่วน ตอนนี้ควรจะรีบกินแล้วรีบนอนต่อจะดีกว่าไม่งั้นมีหวังภาพตัดแน่

ว่าแล้วก็กลั้นใจเทตัวอ่อนด้วงนึ่งในหม้อดินเผาแล้วคว้าช้อนไม้ขึ้นมาซดทุกอย่างให้หมดหม้อภายในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้

พูดตรงๆ เลยว่าในด้านรสชาตินับว่าไม่เลว จริงๆ ออกจะไปทางอร่อยเลยด้วยซ้ำ แต่กลิ่นนี่ไม่ชวนเจริญอาหารสุดๆ นับว่ายังดีที่พ่อเตรียมโยเกิร์ตกับนมไว้ให้เป็นอาหารล้างปากเลยพอช่วยกลบกลิ่นวิปลาสไม่ให้ติดในคอได้

“จริงๆ ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ” วินซ์พูดด้วยน้ำเสียงแหยงๆ ขณะที่พ่อเก็บถาดออกไป

“นาทีนี้มันก็เลือกได้แค่กินหรือจำศีลยาวจนเลยเวลาสอบเท่านั้นแหละครับ”

กินเสร็จก็จัดหมอนให้สูงขึ้นพอที่จะนั่งพิงได้แทนการนอน

ถึงจะไม่ชอบการกินเสร็จแล้วนอนเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ร่างกายกำลังบอกว่าควรจะพักผ่อนต่อทันทีเพื่อให้พลังงานที่ได้รับมาถูกนำไปใช้สำหรับการฟื้นฟูร่างกายทั้งหมด

“งั้นก็ฝันดีนาคาซ”

“หวังว่านะครับ”

 

รู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังเย็นลง ถึงจะยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่แต่ก็นับว่าดีกว่าก่อนที่จะหลับไปมาก

จริงๆ ก็อยากจะนอนต่ออีกสักหน่อยแม้เพียงเล็กน้อยแต่การที่รู้สึกตัวแล้วก็แสดงว่าถึงเวลาที่ควรจะขยับตัวแล้ว

ม่านแห่งความมืดถูกยกขึ้นแสดงให้เห็นถึงทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้า มันคือกำแพงหินเก่า ร่องรอยการเหลือรอดของสถาปัตยกรรมจากช่วงเวลาหลายร้อยปีก่อน รอบข้างยังคงเป็นห้องรักษาห้องเดิมที่มีเตียงเรียงรายหลายสิบเตียง แตกต่างจากเดิมตรงคนที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ นั้นไม่ใช่วินซ์ แต่เป็นเด็กสาวอายุสิบปีผู้มีเรือนผมสีดำยาวสลวยถึงเข่า ไว้หน้าม้ายาวลงมาบดบังคิ้ว หางตาอันเฉียบคมข้างซ้ายถูกแต่งแต้มด้วยไฝเสน่ห์ นัยน์ตาสีดำซึ่งมีรูม่านตาสีทองคู่นั้นยังคงจับจ้องไปยังหน้าหนังสือภายในมืออย่างไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสิ่งรอบข้าง

“ลอเรนติน่า…”

เด็กสาวใช้ริบบิ้นคาดกระดาษหน้านั้นไว้ก่อนจะปิดหนังสือด้วยมือเพียงข้างเดียว

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกชื่อย่อเอา” ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเนิบหนืดเล็กน้อย ไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ดวงตาสีดำทั้งสองข้างที่จับจ้องมาก็แสดงถึงความไม่พอใจอยู่บางๆ

“ก็ฉันชอบชื่อลอเรนติน่ามากกว่านี่… แล้วนี่ฉันหลับไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ย”

อีกฝ่ายทำเพียงแค่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ขอบเตียง

“นับจากที่ตื่นครั้งล่าสุดก็ราวหนึ่งชั่วโมงครึ่งได้”

นับว่าเร็วแฮะ ตอนแรกนึกว่าจะกินเวลาสักสองชั่วโมงซะอีก

“แล้วพ่อกับวินซ์ล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่าอีกสักพักน่าจะมาดูอาการของนายแล้วแหละ” ลอเรนติน่าโน้มตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อยพร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์ของการบอกว่าขอวัดไข้

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เอนตัวเข้าไปหาเพื่อให้ฝั่งนั้นสามารถเอามือมาสัมผัสหน้าผากได้ง่ายขึ้น แม้แต่ตอนนี้ที่อุณหภูมิร่างกายจะลดลงมาอยู่ในระดับปกติแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าฝ่ามือนั่นช่างเย็นกว่าคนทั่วไป แม้จะไม่มากแต่ก็ทำให้รู้สึกสงบใจได้อย่างประหลาด 

“แบบว่า… ขอโทษด้วยก็แล้วกัน”

ดวงตาคู่นั้นที่กำลังแหงนมองเพดานอยู่ราวกับกำลังคิดอะไรหลุบลงมามอง ด้วยความสนเท่ห์ พร้อมกับ คิ้วที่ถูกขมวดเข้าหากัน

“เรื่องอะไร?”

“ก็เรื่องเมื่อเช้าไง”

อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะคิดอยู่สักพัก ไม่นานก็ดูเหมือนจะเข้าใจความหมาย

“เรื่องฝึกอ่ะเหรอ? แพ้ก็คือความผิดของทุกคนไม่ใช่รึไง ทั้งหมดมันก็แค่พวกเราโดนจัดการหมดก่อนจนนายรอดคนสุดท้ายก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรให้นายต้องขอโทษสักหน่อย อีกอย่างการฝากความหวังไว้กับคนคนเดียวน่ะมันตอกย้ำถึงความสิ้นหวังในระดับโครงสร้างที่ห่วยแตกนะนายก็น่าจะรู้เรื่องนั้นดี เพราะฉะนั้นคนที่ผิดคือคนที่ฝากความหวังของตัวเองไว้ที่คนอื่นต่างหาก ไม่ใช่คนที่ต้องแบกรับความหวังพวกนั้นไว้สักหน่อย”

คงมีแค่เรื่องแบบนี้จริงๆ ที่จะทำให้เจ้าตัวยอมพูดอะไรยาวๆ ออกมาอย่างออกรสออกชาติได้ แต่เพราะพูดออกมาด้วยหลักการมองความเป็นจริงแบบนั้นผสมกับน้ำเสียงหนืดนิดๆ ที่ตัดกันประหนึ่งมะระกับน้ำผึ้งเลยทำให้แอบรู้สึกขำในใจไม่น้อย

“ฮึ…ก็จริง” 

“งั้นฉันไปตามพวกอาจารย์มาก่อนนะ เสื้อผ้าอยู่ตรงปลายเตียงเปลี่ยนเองไหวใช่มั้ย?”

“อ่า”

ลอเรนติน่าพยักหน้าให้ ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหนังสือในมือทำให้ความเงียบสงบกลับมาครอบงำห้องรักษาแห่งนี้อีกครั้ง

หลังจากนั่งตริตรองสภาพร่างกายของตัวเองอยู่อีกสักพักก็เลื่อนสองเท้าลงจากเตียงไปสัมผัสกับพื้นหินเย็นเฉียบ ค่อยๆ ใช้สองมือดันร่างขึ้นยืนจากนั้นก็บิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกสันหลังดังกร๊อบ มือทั้งสองข้างยังคงกำและแบได้อย่างเต็มที่ ขาและเท้าก็ยังคงขยับได้อย่างไม่ติดขัด นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีหลังจากผ่านสารพัดแรงกระแทกไป

พอแน่ใจแล้วว่าร่างกายทุกส่วนสามารถขยับได้ดังใจนึกก็หันไปหยิบเสื้อผ้าที่ถูกพับเตรียมไว้ขึ้นมาเปลี่ยนแทนเสื้อผ้าบางที่ใส่อยู่

เสื้อชั้นในเป็นเสื้อคอปกแขนยาวสีขาวที่มีเนื้อผ้าไม่หนามาก ส่วนเสื้อชั้นนอกเป็นเสื้อกั๊กสีดำเข้ากับกางเกงขายาวและถุงเท้าที่มีสีเดียวกัน รองเท้าเป็นรองเท้าบูตหนังสำหรับต่อสู้ช่วยให้สามารถเคลื่อนที่ได้คล่องตัว จากนั้นก็สวมกระเป๋ารัดต้นขาสำหรับใส่ของจำเป็น ปิดท้ายด้วยโบโลไทด์เหล็กที่แกะสลักเป็นรูปดวงตามีปีกอันเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลบลูทอัลเก ส่วนแว่นตานี่…. ค่อยใส่ตอนใกล้ถึงก็ได้มั้ง

ขณะที่กำลังพับปกแขนเสื้อให้เรียบร้อยอยู่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นด้วยจังหวะเฉพาะตัวสำหรับบ่งบอกนามของบุคคลที่อยู่เบื้องหลังประตู

“นาคาซพร้อมรึยัง!” เสียงของวินซ์ตะโกนดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู

จริงอยู่ว่าเตียงตรงนี้ไม่ได้ห่างจากประตูมากนักแต่เพราะประตูบานนี้ถูกทำขึ้นมาจากไม้เนื้อหนาหลายนิ้วจึงทำให้ดูดเสียงได้ดีเกินไปจนต้องคุยกันด้วยเสียงที่ดังในระดับนึง

“ครับ! เรียบร้อยแล้วครับ!”

“งั้นขอเข้าไปนะ!”

สิ้นเสียงคำพูดประตูก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของชายผิวขาวร่างยักษ์ที่สูงจนต้องค้อมตัวเดินเข้ามา ใบหน้าคมสันถูกเสริมความน่าเกรงขามด้วยหนวดเครายาวทรงสวยที่แสดงให้เห็นถึงการดูแลอย่างดี ดวงตาสีฟ้าครามมองลงมาทางนี้

วินซ์เดินมาใกล้ก่อนจะย่อตัวลงมาในระดับที่ฉันไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปคุยด้วย

“ม้าพร้อมแล้ว จะไปเลยมั้ย?”

“งั้นก็ไปเลยครับ”

พอตอบไปแบบนั้นวินซ์ก็ยื่นมาทั้งสองข้างออกมาหาเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาจะอุ้มพาไป ถึงมันจะดูทำให้เหมือนฉันเป็นพวกไม่รู้จักโตแต่ก็ต้องยอมรับว่าการให้เขาอุ้มพาไปนั้นนับว่ามีประสิทธิภาพกว่าการเดินไปพร้อมกันเป็นไหนๆ 

“นาคาซ!” เสียงตะโกนดังมาจากลานฝึกที่อยู่ถัดไปจากทางเดินที่กำลังเดินกันอยู่

ที่ต้นเสียงนั้นคือกลุ่มเด็กสามคนที่กำลังฝึกการต่อสู้ด้วยดาบสั้นกันอยู่

“ลุยให้เละจนขาหักไปข้างเลย!” อาชัวส์ เด็กชายผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มจนคล้ายสีดำตะโกนมาพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้ด้วยรอยยิ้มบาน

“อย่าให้เสียชื่อซะล่ะ!” “ลุยให้เต็มที่เลยนาคาซ!” เสียงของอีกสองคนดังตามหลังมาพร้อมกับรอยยิ้มบริสุทธิ์ปราศจากนัยแฝงใดๆ

“ได้!”

เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นตลอดทางที่เดินไป ทุกๆ คนให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงแจ่มใสชวนอิ่มเอมใจจนมาถึงประตูทางออกปราการ

ที่เบื้องหน้าคือพ่อที่กำลังลูบหัวม้าอยู่กับลอเรนติน่าที่ดูเหมือนจะยืนรออยู่พร้อมถือกระปุกดินเผาไว้ในมือ พอเดินมาถึงลอเรนติน่าก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับยื่นกระปุกดินเผามาให้

“อ่ะ นี่ เอาไปกินระหว่างทาง ยังไม่ฟื้นตัวดีใช่มั้ยล่ะ”

พอรับมาแล้วลองเขย่าเบาๆ ดูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรแต่รู้สึกได้ถึงมวลที่มีน้ำหนักพอสมควร

“อะไรเนี่ย”

“อินทผลัมอบแห้ง”

เป็นคำตอบที่แค่ได้ยินก็หุบยิ้มแทบไม่อยู่และต้องชมในใจว่ารู้ดีจริงๆ เพราะลำพังแค่กินสักสองลูกก็สามารถมอบพลังงานในปริมาณมากได้ไม่ต่างจากอาหารมื้อหนักหนึ่งมื้อจึงเป็นสาเหตุให้มันได้รับความนิยมและผูกติดกับสังคมของชาวซาลาดินมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

“ขอบใจมาก”

พอพ่อขึ้นม้าไปก่อนแล้วหันมาส่งสัญญาณมือให้ วินซ์ก็อุ้มตัวฉันขึ้นไปนั่งบนอานม้า

“ตอนสอบอย่าประมาทล่ะ” วินซ์ปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากลำตัวก่อนจะถอยหลังออกไปเล็กน้อย

““““เพราะอะไรที่ผิดพลาดได้มันก็จะผิดพลาด””””

◇

การเดินทางโดยใช้ม้านั้นทำให้ถึงที่หมายได้เร็วกว่าเดินปกติเป็นเท่าตัวทำให้ไม่นานนักก็มาถึงปากประตูของสนามสอบ กรมทหารประจำเมืองหรือเรียกอีกชื่ออย่างเป็นทางการคือกองบัญชาเสนาธิการทัพภาคตะวันออกอันแสนคุ้นเคย สถานที่ตลอดหนึ่งปีมานี้ต้องเดินทางเข้าออกเป็นว่าเล่นประหนึ่งเป็นบ้านหลังที่สอง

ที่นี่ถูกเลือกให้เป็นสถานที่สอบนักเวทประจำเขตเบลเทมไฮล์มทุกปีติดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายสิบปีเพราะด้วยปัจจัยหลักที่ว่ากองบัญชาการมีพื้นที่กว้างขวาง มีสถานที่ที่เอื้ออำนวยแก่การสอบภาคปฏิบัติหลายๆ อย่าง มีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา และยังมีบุคลากรที่สามารถปันส่วนมาช่วยในการประเมินการสอบได้ด้วย จะบอกว่าเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดเท่าที่จะมีในเขตเบลเทมไฮล์มแล้วก็ไม่เกินความเป็นจริง

ที่ปากประตูมีทหารยามยืนคุมอยู่จำนวนหนึ่งหมู่ ทุกคนล้วนสวมชุดสีเทาเข้มและสวมเกราะเหล็กทับซ้อนอีกชั้นอันเป็นเครื่องแบบมาตรฐานของกองทัพปัจจุบัน ใบหน้าถูกปิดมิดชิดด้วยหมวกเหล็กรูปแบบเฉพาะตัวบ่งบอกถึงหน่วยที่ประจำการอยู่

ทหารนายหนึ่งผู้มีคาตานะในปลอกดาบสีดำตัดด้วยลวดลายสีเงินหนึ่งขีดคาดเอวอยู่เดินเข้ามาหาพวกเรา

“มาติดต่อธุระอะไรครับ” น้ำเสียงเคร่งขรึมภายใต้หน้ากากเหล็กกล่าวถาม

“มาส่งลูกชายผมสอบน่ะ”

พอพ่อตอบกลับไปแบบนั้นเขาก็หันไปส่งสัญญาณมือให้กับทหารนายอื่นๆ ที่ยืนรอคำสั่งอยู่ข้างหลัง ทันใดนั้นก็มีทหารเดินออกมาพร้อมกับถือกระดานที่มีเอกสารถูกแนบไว้อยู่

“ขอทราบชื่อผู้เข้าสอบด้วยค่ะ”

“นาคาซ บลูทอัลเก” พ่อควักตราประจำตระกูลออกมาจากกระเป๋าเคียงให้พวกเขาดูประกอบร่วมด้วย

หลังจากที่ทหารหญิงคนนั้นพลิกหน้ากระดาษอยู่สักประมาณสามหน้าเธอก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองพวกเราอีกครั้ง

“ขอตรวจบัตรประชาชนของผู้ปกครองด้วยค่ะ”

พ่อหยิบบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าเคียงอีกรอบและยื่นไปให้เธอ หญิงสาวเอามันไปวางทาบกับกระดานในมืออยู่สักพักและคืนมันกลับมาให้

“ตรวจสอบเรียบร้อยค่ะ กรุณาให้ผู้เข้าสอบลงจากม้าด้วยนะคะ เดี๋ยวเราจะนำทางไปยังพื้นที่สอบให้เองค่ะ”

ได้รับสารดังนั้นพ่อก็ลงจากรถม้าไปก่อนจะอุ้มฉันลงไปตาม ปลดกระเป๋าสัมภาระที่แขวนอยู่ข้างตัวม้าออกแล้วยื่นมาให้

“พ่อก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเพราะลูกก็คงไม่ประมาทแล้วก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว แถมบ้านเราก็ไม่ได้เชื่อเรื่องโชคด้วย… เอาเป็นว่าขอให้สนุกล่ะ”

“ครับ”

“งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”

พ่อพยักหน้าให้จากนั้นก็หันหัวม้ากลับแล้วควบออกไป เหลือไว้เพียงกลิ่นสาบม้าที่ติดจมูกอยู่รางๆ ก่อนจะถูกแทรกด้วยสัมผัสของสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้จากทางข้างหลัง พอหันหลังไปก็พบกับทหารอีกนายหนึ่ง

“งั้นฉันจะเป็นคนนำทางเธอไปนะ”

ฉันพยักหน้าตอบรับกลับไปแต่แทนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินนำไปกลับยื่นมือขวาออกมาให้

“ให้ฉันช่วยถือมั้ย?”

ดูเหมือนจะหมายถึงกระเป๋าที่กำลังถืออยู่ ถ้าในเมื่อฝั่งนั้นยื่นข้อเสนอมาก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องปฏิเสธ อีกอย่างก็กันเพื่อไม่ให้ถูกสงสัยว่าพกของแปลกๆ เข้ามาด้วย จึงควรที่จะยื่นกระเป๋าไปให้

“ขอบคุณครับ”

“ในนี้มีอะไรต้องระวังเป็นพิเศษรึเปล่า?”

“ไม่มีครับ”

เพราะในนั้นแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากเสื้อผ้าสำรองกับของทานเล่นแก้ปากว่างนิดหน่อย

“ถ้างั้นไปกันเลยนะ อยู่ใกล้ๆ ฉันไว้ล่ะ”

พูดจบเขาก็หันหลังให้แล้วเดินนำออกไปด้วยความเร็วที่นับว่าค่อนข้างช้าสำหรับทหาร คงเพื่อให้ฉันเดินตามได้ทันนั่นแหละ

สาเหตุที่ต้องมีคนเดินนำแบบนี้เป็นเพราะพื้นที่ภายในกองบัญชาการมีเสียงขนาดกว้างขวางพอสมควรและมันไม่ใช่พื้นที่ที่จะปล่อยให้คนนอกเข้ามาเดินเล่นได้ตามสะดวกขนาดนั้น แม้แต่เวลาที่กลับมาจากชายแดนในฐานะของผู้รับงานเองก็เดินได้แค่ตามพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตและบางส่วนของอาคารหลักเพียงเท่านั้น ฉะนั้นแล้วการที่จะโดนคุมตัวให้เดินไปตามทางที่กำหนดไว้อย่างเดียวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่นิดเดียว

หลังจากเดินตามทางที่ทหารนายนั้นเดินนำไม่นานก็มาถึงอาคารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของกองบัญชาการ มันเป็นอาคารรูปทรงเก่าแก่ที่วิจิตรบรรจงในระดับที่ไม่เข้ากับสุนทรียภาพของกองทัพมากนัก หลังคาถูกปูด้วยกระเบื้องสีเขียวเข้มเข้ากับตัวอาคาร แม้จะเก่าแก่แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่นี่ยังคงดูใหม่เอี่ยมจนเหมือนพึ่งสร้างขึ้นมาไม่นาน

เมื่อก้าวเข้ามาข้างใน พื้นที่ส่วนแรกคือพื้นที่รับรองที่ดูทันสมัยกว่ารูปลักษณ์ภายนอกราวกับเผลอก้าวผ่านยุคสมัยมา พื้นกระเบื้องถูกปูด้วยพรหมสีเขียวทอดยาวไปจนสุดพื้นที่ ถูกขนาบข้างซ้ายขวาด้วยเก้าอี้เท้าแขนและโต๊ะไม้สีเข้มวางเรียงรายอยู่หลายสิบตัวที่ตั้งไว้เป็นทั้งแบบคู่และแบบเดี่ยว บนเก้าอี้เหล่านั้นก็มีเด็กอายุเท่ากันนั่งกระจายอยู่ประปรายเป็นหย่อมๆ

หลายคนดูค่อนข้างจะเครียดและกดดันสังเกตได้จากภาษากายที่แสดงออกมาอย่างการค้อมนั่งตัวงอ การขบริมฝีปากล่าง หรือการที่มีความตึงบริเวณกรามและคอ แต่เพราะมีคนที่แสดงอาการแบบนี้เยอะมากทำให้คนที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรเลยกลายเป็นของแปลกที่สังเกตเห็นได้ง่ายกว่า ทำให้แยกออกได้ง่ายเลยว่าใครคือบุคคลที่ควรค่าแก่การจับตามอง

ข้างในสุดคือโต๊ะกั้นทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากไม้เนื้อดีสีเข้ม เบื้องหลังมีประตูสองบานขนาบข้างเหมือนจะเป็นส่วนเชื่อมกับพื้นที่อื่นภายในอาคาร ที่อีกฝั่งของโต๊ะกั้นคือหญิงสาวในชุดทางการโทนสีน้ำเงิน ดูแล้วน่าจะมีอายุราวยี่สิบต้นๆ สูงราวร้อยหกสิบแปดเซนติเมตร มีเรือนผมสีทองยาวประบ่า ดวงตาสีฟ้า ดูจากกิริยาต่างๆ น่าจะเป็นบริกรของกองทัพ

“พาผู้เข้าสอบมารายงานตัวครับ”

“ขอทราบชื่อและนามสกุลค่ะ”

“นาคาซ บลูทอัลเก” ทหารผู้นำทางเป็นคนตอบแทน

เสียงพลิกหน้ากระดาษดังมาจากฝั่งของหญิงสาวอยู่ต่อเนื่องราวสองวิและเงียบลง

“นาคาซ บลูทอัลเกนะคะ ช่วยเขียนชื่อตรงนี้ด้วยค่ะ” เธอยกกระดานแนบเอกสารขึ้นมาวางไว้บนชั้นที่ฝั่งนี้มองเห็นได้

ฉันหยิบปากกาและกระดานนั้นมาเซ็นชื่อในจุดที่อีกฝ่ายชี้เมื่อกี้และส่งคืนกลับไป

หญิงสาวใช้ปลายนิ้วหมุนกระดานเอกสารให้หันกลับไปฝั่งตนและใช้ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองมัน

“เรียบร้อยค่ะ กรุณารออยู่ภายในบริเวณนี้จนกว่าผู้คุมสอบจะมาถึงนะคะ”

พูดจบนายทหารนำทางก็อวยพรว่าขอให้โชคดีก่อนจะเดินออกจากอาคารไปผ่านทางที่เดินเข้ามา

น่าแปลกดีที่ยังมีคนอวยพรว่าโชคดีอยู่ เพราะทั้งที่บ้านและที่สำนักแล้วพวกเราต่างรู้ดีว่าเรื่องทำนองโชคดีหรือโชคร้ายนั้นก็เป็นแค่คำปลอบใจง่ายๆ ไม่ต่างจากพวกข้ออ้างเชิงเทวนิยมที่ใกล้จะสูญสลายเต็มที มันคือการผลักความรับผิดชอบในการแสวงหาข้อผิดพลาดไปให้กับสิ่งที่ไม่มีอยู่เพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกสบายใจว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ความผิดตน ซึ่งแม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความผิดตั้งแต่ตนยอมปล่อยให้ความเป็นไปได้นั้นมันหลุดรอดไปได้แล้ว

เพราะแบบนั้นเคล็ดลับของการได้มาซึ่งสิ่งที่ถูกเรียกว่าโชคดีก็คือการไม่ประมาทเลินเล่อไปกับภาพเบื้องหน้าจนมากเกินไป จงแสวงหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด มองภาพรวมให้ได้กว้างมากที่สุด และตัดทอนโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นแหละคือปรัชญาของการได้มาซึ่งความโชคดี ผู้ที่เมินเฉยต่อกฎเหล่านี้แลคือผู้ที่จะจมอยู่ในความโชคร้ายตลอดกาล

…แต่เอาเถอะ มองในแง่ของเจตนาแล้วมันก็นับเป็นเจตนาดีที่ออกจะคิดน้อยไปหน่อยก็เท่านั้นเอง เพราะยังไงซะสำหรับทหารระดับปฏิบัติการที่เน้นการมองภาพเบื้องหน้าเป็นหลักพวกเขาก็ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมากกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเจ้าตัวหันไปนับถือสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าแหละนะ

คิดได้แบบนั้นก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ มันเป็นเก้าอี้ที่หันหน้าออกไปทางประตู สัมผัสได้เลยว่าเนื้อไม้น่าจะเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับไม้ที่ใช้ทำโต๊ะกั้น เบาะสำหรับรองหลังและก้นเป็นเบาะหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มกว่าเนื้อไม้ไม่มาก ถึงแม้จะไม่ได้นุ่มเท่าของที่บ้านแต่ก็ไม่ได้กระด้างขนาดไม้เปลือย ดูจากจำนวนที่มีมากแล้วน่าจะเป็นของผลิตระดับอุตสาหกรรม

พอเอาข้อมูลที่มีทั้งหมดมาอนุมานรวมกันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตึกนี้จะเป็นตึกประชุมที่ใช้มาอย่างยาวนาน ได้รับการดูแลอย่างดีและน่าจะมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ ตามโอกาส

ถึงแม้โดยรอบพื้นที่นี้จะมีคนรายล้อมอยู่จำนวนหนึ่งแต่บรรยากาศก็เงียบเชียบจนคิดว่าที่นี่คือห้องสมุด แต่ใครจะเครียดจนปวดกระเพาะก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจในเมื่อบรรยากาศเอื้ออำนวยแถมยังพอมีเวลาว่างเหลืออยู่จึงหลับตาทั้งสองข้างลง

ดำดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกของความทรงจำ

ห้องทำงานของแม่ปรากฏขึ้นมาแทนทัศนียภาพที่มืดสนิท กำแพงสีขาวทั้งสี่ทิศถูกต่อเติมให้กลายเป็นชั้นวางหนังสือสูงมิดเพดาน มีหน้าต่างบานเล็กๆ ประดับอยู่เพื่อให้ระบายอากาศได้ที่ฝั่งขวาหนึ่งบานและหลังห้องอีกหนึ่งบาน เบื้องหน้าหน้าต่างบานนั้นคือโต๊ะทำงานที่ทำจากไม้เนื้อดีความกว้างหนึ่งเมตรครึ่งตั้งอยู่ ไม่มีสิ่งใดที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงนอกจากหนังสือที่อยู่บนชั้นวางบางส่วน

ที่นี่คือประสาทความทรงจำ ผลผลิตของวิธีโลกีอันเป็นวิธีการช่วยให้จดจำสิ่งสำคัญได้อย่างมีระเบียบมากขึ้นผ่านสถานที่สำคัญที่คุ้นชินหรือชื่นชอบ หนังสือที่เรียงรายอยู่เต็มชั้นวางทุกทิศนั้นคือหนังสือทุกเล่มที่เคยสัมผัสมาไม่ว่าจะทั้งในแบบที่แค่อ่านผ่านๆ และแบบที่อ่านอย่างถี่ถ้วน สำหรับคนที่สามารถจดจำทุกสิ่งได้อย่างดีเยี่ยมโดยแทบไม่ลืมแล้วไม่ว่าจะอ่านแบบไหนมามันก็มีผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกัน เพราะเนื้อหาในหนังสือทุกเล่มจะถูกจำอย่างครบถ้วนไม่มีบิดพลิ้วประหนึ่งถูกคัดลอกออกมาด้วยแท่นพิมพ์

หนังสือที่ยังอ่านไม่จบ

หนังสือที่เรียงรายอยู่บนชั้นวางจำนวนเกินกว่าครึ่งหายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงแค่เล่มที่ยังอ่านไม่จบอีกจำนวนหนึ่ง มองผ่านๆ แล้วก็เหลืออยู่ราวสามสิบเล่ม

เล่มที่อ่านใกล้จบแล้ว

หนังสืออีกเกือบยี่สิบเล่มหายไปจากชั้นวาง ส่วนที่ยังคงอยู่อีกสิบสองเล่มก็ลอยออกจากชั้นวางมาโคจรอยู่รอบตัวเป็นทิศตามเข็มนาฬิกา

พงศาวดาร

หนังสือที่หมุนวนอยู่รอบตัวหายไปจนเกือบหมด เหลือเพียงหนังสือปกแข็งสามเล่มสามสีที่ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้า

เล่มซ้ายสุดคือพงศาวดารมอร์แกน เป็นบันทึกเกี่ยวกับช่วงการปฏิวัติเปลี่ยนผ่านจากราชอาณาจักรวิคตอเรียสู่สาธารณะรัฐวิคตอเรียในช่วงยุคแห่งการตื่นรู้ทางปัญญา มีปกสีขาวนวลเข้ากับตัวอักษรสีทองตรงกลางปกที่เป็นชื่อหนังสือที่ถูกเขียนด้วยภาษาวิคตอเรีย

เล่มถัดมาที่อยู่ตรงกลางคือพงศาวดารโรห์-บาลาส มีปกหุ้มเป็นหนังสัตว์สีน้ำผึ้ง มีตัวอักษรยุบเข้าไปในเนื้อปกอันเกิดจากการตอกด้วยแท่งเหล็ก ภายในมีเนื้อหาเกี่ยวกับราชอาณาจักรโรห์-บาลาสตอนปลายก่อนช่วงล่มสลาย

ส่วนเล่มสุดท้ายนั้นมีความบางมากกว่าเล่มอื่นๆ เกือบสองเท่า มีปกสีแดงเข้มเหมือนเลือดข้น มันคือพงศาวดารกรุงโกลเดนเบิร์ก เป็นเพียงเรื่องราวการปกป้องเมืองของเจ้าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง อัดแน่นไปด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมและกลยุทธ์ในการรับมือกองทัพจำนวนครึ่งแสนของศาสนจักรอันศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างอยู่หมัด เป็นหนังสือทรงคุณค่าที่คุ้มแก่การเสียเวลาอ่านเป็นอย่างมาก

แต่ว่าเราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น

เมื่อนำปัจจัยอย่างเวลาที่มีไม่มากมาร่วมพิจารณาด้วยแล้ว การอ่านหนังสือที่ต้องใช้การวิเคราะห์ควบคู่ไปด้วยนั้นจึงจำต้องตัดทิ้งไป

หนังสือสองเล่มที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาหายวับไปจนเหลือหนังสือเพียงแค่เล่มเดียว

เมื่อใช้มือขวายื่นออกไปช้อนจับสันปกของพงศาวดารโรห์-บาลาสแล้ว หน้ากระดาษก็เริ่มพลิกเองด้วยความเร็วที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นชนิดกวาดตาอ่านไม่ทันจนกระทั่งมันหยุดลงที่ช่วงองค์สุดท้ายของหนังสือ หน้าที่อ่านข้างไว้จากครั้งล่าสุด

 

ถึงแม้จะอยู่ในภวังค์ความทรงจำแต่ก็ไม่ได้ว่าจะตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงซะทีเดียว ใบหูยังคงได้เสียงฝีเท้าเดินไปมาอยู่ประปรายแต่ก็ไม่ใช่อะไรที่น่าใส่ใจ ที่น่าแปลกคือการได้กลิ่นน้ำหอมชั้นดีที่ทำเอาสมาธิหลุดจากการอ่านหนังสือไปอยู่ช่วงสั้นๆ มันเป็นกลิ่นหอมละมุนที่แฝงความแสบสันไว้ราวกับเด็กก๋ากั่นในวัยแรกแย้ม

ฉีดกลิ่นของฤดูใบไม้ผลิในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเนี่ยนะ? แปลกคนดี แต่อนุมานดูแล้วก็น่าจะเป็นคนมีทรัพย์มากพอที่จะปันส่วนมาใช้จ่ายกับของฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้

ใครล่ะ? แน่นอนว่าทหารไม่ทางได้รับอนุญาตให้ใช้ของพวกนี้ในเวลางาน จะบอกว่าผู้คุมสอบก็ไม่น่าใช่เพราะถ้ามาปรากฏตัวจริงๆ ก็น่าจะมีคนสังเกตเห็นและส่งเสียงซุบซิบมาให้ได้รำคาญหูเล่นบ้าง จะบอกว่าเป็นคนจากกระทรวงเวทมนตร์ก็คิดว่าไม่น่าจะพรมน้ำหอมราคาแพงมาทำงานอะไรแบบนี้เพราะมีแต่จะเสียของเปล่าๆ สู้เก็บไว้ใช้ในโอกาสพิเศษน่าจะดีกว่าแค่ถ้าเป็นพวกชอบอวดภูมิฐานละก็ไม่แน่

ช่างเถอะคิดไปก็ไม่ได้แก่นสารอะไรมีแต่จะทำให้เสียเวลาอันมีค่าไปซะเปล่าๆ

“ขอโทษนะ แบบว่าขอฉันนั่งด้วยคนได้มั้ย” เสียงหนึ่งดังแทรกการอ่านขึ้นมาจากด้านหน้าเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย เป็นเสียงนุ่มละมุนของเด็กอายุรุ่นเดียวกันนอกจากนั้นยังได้กลิ่นน้ำหอมที่เข้มข้นกว่าเดิมโชยมาอีก

“ตามสบายเลย”

ถึงแม้การตอบกลับไปขณะที่ยังคงหลับตาอยู่จะดูเสียมารยาทแต่ก็ไม่อยากละสายตาจากหนังสือในห้วงความทรงจำนี้หรอก โดยเฉพาะกับตอนใกล้อ่านจบแบบนี้แล้วด้วย

“ทุกๆ คนดูเครียดกันจังเลยนะ”

ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะมีความช่างสังเกตอยู่พอตัว หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นพวกอ่านบรรยากาศเป็น แต่ถ้าอ่านเป็นก็ควรจะรู้หน่อยว่าไม่ควรรบกวนคนที่กำลังหลับตาอยู่โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับคนที่นอนไม่พอ

“แตกต่างกับนายที่มีบรรยากาศเรียบเฉยอย่างกับไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิด… จะว่ายังไงดีล่ะสมกับเป็นลูกชายของมหาจอมเวทล่ะมั้ง?”

คำพูดนิ่งสงบราวกับพูดเรื่องปกติออกมานั่นทำให้ถึงกับต้องยอมพุ่งทะยานขึ้นมาจากห้วงความทรงจำ บุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคือเด็กผู้มีดวงตาสีพิศวงดุจส่วนลึกของก้นสมุทร มีเรือนผมสีน้ำเงินอมเทาถูกมัดเป็นทรงหางม้าสั้นๆ คล้ายกับวินซ์ แต่งตัวด้วยชุดกึ่งทางการแบบเด็กผู้ชาย ต่างกันตรงที่เนื้อผ้าของฝั่งนั้นน่าจะคุณภาพดีกว่าและคุมโทนสว่างเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอก สวมถุงมือสีขาว บริเวณคอผ้าผูกคอคราแวตปมเมล์โค้ชไว้ บริเวณกลางเนื้อผ้าถูกติดประดับด้วยอัญมณีสีน้ำทะเลขนาดเท่าดวงตาอยู่หนึ่งเม็ด

รูปพรรณ การวางตัว การแต่งตัว กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ ทั้งหมดบ่งบอกว่ามาจากตระกูลมีทรัพย์และได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างดี หรืออย่างน้อยๆ ก็ในแง่ของการวางตัว สีผมแบบนั้นมีเพียงแค่ตระกูลเดียว จำได้ว่าตระกูลนั้นก็มีเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่หนึ่งคนแต่ได้ยินมาว่าเป็นเด็กผู้หญิงนะ เทียบกับที่อยู่เบื้องหน้าแล้วการแต่งกายกลับออกไปทางผู้ชายมากกว่า เป็นตระกูลสาขาหรอ? เป็นไปไม่ได้ เพราะในเบียวา ทาร์ซามีแค่ตระกูลหลักที่อาศัยอยู่ อีกอย่างตระกูลสาขาไม่น่าจะรู้เรื่องของบ้านอื่นมากด้วย เพราะงั้นเป็นสาขาหลักแน่นอนและถึงจะแต่งตัวเหมือนกับผู้ชายแต่ก็มีหน้าตาสวยงามประหนึ่งประติมากรรมของเทพีในอุดมคติของชาวเอเธนส์ตรงตามที่เคยได้ยินมา ยิ่งพอเอาปัจจัยอย่างการต้องแต่งตัวให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วมาร่วมพิจารณาแล้วก็นับว่าสมเหตุสมผลกว่าการใส่กระโปรงเป็นไหนๆ กลิ่นน้ำหอมที่ใช้ก็เป็นกลิ่นละมุนที่เหมาะสำหรับเพศหญิงมากกว่าเพศชายด้วย

“โลล่า ลูน่าไชน์”

ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นอีกฝ่ายก็เบิกตากว้างขึ้นจนเห็นความพิศวงภายในนัยน์ตาคู่นั้นได้ชัดเจนมากกว่าเดิม เป็นดวงตาที่ชวนขนลุกและให้ความรู้สึกเป็นศัตรูโดยสัญชาตญาณ ราวกับว่าได้เจอศัตรูตามธรรมชาติของตัวเองยังไงก็ไม่รู้

นาคาซเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมกับผลิยิ้มบางๆ กลบเกลื่อนสารพัดอารมณ์และความคิดที่ปะทุขึ้นมาชั่วสั้นๆ

“เป็นอะไรไป? อย่าบอกนะว่ามาจี้จุดคนอื่นโดยที่ไม่ได้เตรียมใจว่าตัวเองจะโดนสวนไว้น่ะ”

เด็กสาวชักสีหน้ากลับมานิ่งสงบอีกครั้งพลางเอนหลังไปพิงเบาะเก้าอี้และใช้ขาขวาขึ้นมาพาดขาซ้ายอย่างแนบชิดเป็นท่าไขว่ห้าง

“ชิ แค่ไม่คิดว่าจะถูกมองออกแทบจะทันทีก็เท่านั้นเอง” เด็กสาวเดาะลิ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่สบอารมณ์

“แล้วมีธุระอะไรถึงมาทักกันห้วนๆ แบบนี้ล่ะคุณลูน่าไชน์”

เขาถามพลางเอื้อมมือออกไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าแต่น่าหวาดหวั่นจนรูม่านตาของเด็กสาวหดเล็กลง แต่เป้าหมายของนาคาซกลับไม่ใช่ตัวเธอแต่เป็นกระเป๋าของตนที่วางอยู่บนโต๊ะซึ่งคั่นกลางระหว่างตนและอีกฝ่ายไว้อยู่

เขาหยิบกระปุกดินเผาออกมา เปิดจุกไม้และใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบบางสิ่งออกมา อินทผลัมอบแห้งค่อยๆ ถูกกลืนกินด้วยท่วงท่านิ่งสงบ ภายใต้แว่นตาคือความกดดันที่น่ากลัวกว่าที่เคยจินตนาการไว้ นี่คงเป็นความต่างของคนที่มีประสบการณ์ในสนามรบจริงกับคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ราวกับนกน้อยในกรงที่กำลังเผชิญหน้าจ้าววิหคผู้ครองผืนนภา

“ฉัน…” เธอกลืนคำพูดที่มีน้ำเสียงสั่นเครือลงคอไป “ฉันก็แค่อยากพิสูจน์ว่าเด็กอัจฉริยะที่มีข่าวลือมาให้ได้ยินไม่เว้นเดือนอย่างนายจะเป็นของจริงมากแค่ไหนก็เท่านั้นเอง”

เป็นเหตุผลที่ชวนอยากให้ถอนหายใจออกมาดังๆ ไร้สาระเกินกว่าที่คิดไว้ลิบลับจนทำเอาความรู้สึกเดือดพล่านในตอนแรกแทบจะมอดดับ

“มาทักฉันด้วยเหตุผลแค่นั้นงั้นเหรอ?” นาคาซใส่น้ำเสียงของความไม่สบอารมณ์ลงไปในการพูดที่สงบนิ่งเพื่อบีบคั้นให้อีกฝั่งเข้าประเด็นได้ง่ายขึ้นพลางใช้นิ้วคีบอินทผลัมเม็ดที่สองขึ้นมา

เด็กสาวโน้มตัวมาข้างหน้า วางเท้าลงอย่างสุภาพเธอตระหนักได้แล้วว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้านั้นมีความสามารถในการสร้างความกดดันได้ดีกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากลองทดสอบด้านอื่น

“ฉันอยากแข่งกับนายน่ะ”

เป็นคำตอบที่ชวนหัวเราะออกมาแต่นาคาซก็ยับยั้งมันไว้พลางเอาจุกไม้มาปิดปากกระปุกกลับไป การกินที่มากเกินไประหว่างสนทนาจะทำให้อีกฝ่ายมองว่าเป็นพวกโลภและตะกละแทนที่จะถูกมองว่าตนไร้ความหวาดหวั่น

“แข่ง?” เป็นคำสั้นๆ ที่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยข้อกังขา “คิดว่าอะไรคือเหตุผลที่ฉันควรจะแข่งกับเธองั้นหรอคุณลูน่าไชน์”

“เพื่อพิสูจน์ว่าใครอยู่เหนือกว่ากัน” เป็นคำตอบที่ทำให้แม้แต่คนวัยเดียวกันอย่างนาคาซถึงกับต้องส่ายหน้าให้ด้วยความเอ็นดู น้ำเสียงใสซื่อไม่มีการแอบแฝงเจตนารมณ์ใดๆ

อ่านได้ง่ายเกินไปจนน่ากลัวเลยแฮะ… นี่สินะที่เขาชอบพูดว่าอ่านนักปราชญ์ยังง่ายกว่าอ่านคนเขลา เพราะเราไม่รู้ว่าคนคนจะทำหรือคิดอะไร เพราะมันไม่สามารถใช้ตรรกะเหตุผลของคนมีความรู้มาคาดการณ์ได้

“เพื่ออะไรก่อน? อีกไม่นานหลังจากนี้คือการสอบ ฉันไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องเสียเวลาอันล้ำค่านี้ไปแข่งกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ฉันไม่คิดจะรบกวนเวลาของนายอยู่แล้ว เราแค่มาวัดกันว่าตอนที่ผลสอบออกมาใครจะได้อันดับสูงกว่ากันก็เท่านั้นเอง” เด็กสาวแบมือซ้ายออกมา ดวงตาสีอำพันจับจ้องไปที่มือนั้นสลับกับในหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกระหายอยากจะแข่งขัน

ความเงียบงันที่เต็มไปด้วยความกดดันเริ่มเข้าปกคลุมทำให้มือที่แบออกอย่างผ่าเผยเริ่มหย่อนยาน

“ไม่ล่ะขอผ่าน”

“ทำไมล่ะ” มือที่แบออกกลายเป็นกำปั้นแน่นที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“แรกเริ่มเดิมทีฉันก็ไม่รู้เหตุผลที่อยู่ดีๆ เธอก็มาท้าแข่งอยู่แล้ว นี่ยังไม่รู้อีกว่าถ้าแข่งเสร็จแล้วจะได้เสียอะไรบ้าง มันเลวร้ายยิ่งกว่าการลงพนันซะอีกนะ”

แน่นอนว่านาคาซมั่นใจว่าตนจะชนะได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ว่าเขานั้นเกลียดการพนัน ชิงชังโดยสัญชาตญาณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพวกทหารเล่นฆ่าเวลากันที่ฐานทัพนอกกำแพง

เด็กสาวครุ่นคิดท่ามกลางความเงียบงันและแรงกดดันของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง

“งั้นถ้าฉันชนะ…นายจะต้องช่วยฉันหนึ่งอย่าง” เด็กสาวจบประโยคเพียงแค่นั้น ไม่บอกเงื่อนไขอะไรเพิ่ม เป็นราคาที่สูงเกินจะคาดเดาและอาจจะต่ำเกินกว่าที่คาดคิด

“แล้วถ้าฉันชนะล่ะ?”

“นายเสนอมาเลย ฉันไม่อยากยัดเยียดข้อเสนอให้คนอื่นหรอกนะ”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วนาคาซก็ได้แต่แปลกใจและครุ่นคิดถึงสิ่งที่อยากได้จากอีกฝ่าย

ไม่มี… ไม่มีเลย เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโลภแต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กลับไม่มีความอยากได้อะไรเป็นพิเศษสักอย่าง แถมไม่ได้อยากจะแข่งด้วย…แต่ถ้าในเมื่อฝั่งนั้นเสนอมาด้วยราคาที่สูงเกินกว่าจะคาดการณ์ก็ควรจะเรียกราคาที่สูงเท่ากันกลับไป ยิ่งถ้าอีกฝ่ายประเมินว่าไม่คุ้มเสียกับสิ่งที่ตนอยากได้แล้วเดี๋ยวก็ล้มเลิกความคิดอยากจะแข่งไปเอง

“งั้นขอเป็นของที่มีเพียงแค่ตระกูลเธอที่ครอบครอง แร่ที่ไม่สามารถนำออกมาค้าขายได้นั่นน่ะ”

โลล่าแสดงสีหน้าประหลาดใจ นาคาซแสยะยิ้มภายในใจและคิดว่าอีกฝ่ายคงยอมถอยแต่โดยดี แต่เขาก็ได้รู้ว่าตนเองประเมินการเตรียมใจของฝั่งนั้นต่ำไปเมื่อเด็กสาวแสดงสายตาเฉียบคมออกมาพร้อมกับท่าทางของคนที่กล้าได้กล้าเสีย

“เอาสิ ถ้าแค่หนักเท่าเหรียญฟรังก์หนึ่งเหรียญก็พอให้ได้”

เหรียญฟรังก์หนึ่งเหรียญหนักเจ็ดจุดห้ากรัมตีเป็นหน่วยของเพชรพลอยก็สามสิบเจ็ดจุดห้ากะรัต ถ้าเป็นเพชรตามท้องตลาดหนึ่งกะรัตจะมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่เจ็ดสิบฟรังก์ และราคาสูงสุดอยู่ที่หลักหลายร้อยฟรังก์

แต่สำหรับแร่ที่ตระกูลลูน่าไชน์มีครอบครองอยู่เพียงผู้เดียวแล้วราคาของมันจึงสูงมากจนถูกตีตราว่าเป็นอัญมณีที่ไม่สามารถนำมาค้าขายได้ในระบบเศรษฐกิจแบบปกติ สาเหตุที่ราคาของมันสูงแบบนั้นมีเหตุผลหลายอย่างเช่นการที่มันแหล่งที่ขุดพบได้เพียงแค่แหล่งเดียวภายใต้หน้าตัดดินที่มีความกว้างแค่หนึ่งไร่ มีความงดงามที่น่าหลงใหลราวกับสะท้อนจินตภาพของผู้ครอบครอง และยังมีข่าวลือแปลกๆ อย่างการที่มันมีประสิทธิภาพในการใช้เป็นอุปกรณ์เวทได้อย่างดีเยี่ยมแบบที่วัสดุอื่นเป็นแค่เศษขยะ นอกจากนั้นก็ยังมีเหตุผลอย่างว่ามันเคยถูกกล่าวขานในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยนวนครว่าเป็นแร่ที่มีจากฟากฟ้า สามารถมอบพลังและความเห็นอมตะมาให้กับผู้ครอบครองได้ ซึ่งเรื่องนั้นมันก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงผ่านการที่เจ้าบ้านถูกผลัดเปลี่ยนมาแล้วสามรุ่น

นาคาซไม่ได้ใส่ใจหรือมีสุนทรียภาพในอัญมณีเหมือนที่มีสุนทรียภาพในงานศิลป์และวรรณกรรม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าที่จะยอมรับข้อเสนอ การที่ยังปฏิเสธในการแข่งด้วยกลับไปอยู่ก็มีแต่จะเป็นการเสียมารยาทและมีโอกาสกลายเป็นความร้าวฉานได้ในภายภาคหน้า

อย่างที่แม่เคยบอกว่าการปฏิเสธถึงสามหนนั้นจะไม่ใช่แค่การเล่นตัวหรือหยั่งเชิงอีกต่อไปแต่จะเป็นการปิดกั้นการเชื่อมสัมพันธ์กับอีกฝ่ายในอนาคตโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นถ้าไม่คิดจะเป็นศัตรูกันตั้งแต่แรกก็ไม่ควรจะปฏิเสธเกินสามครั้งแต่ควรชักนำด้วยวิธีอื่นแทน

“งั้นเป็นอันตกลง”

ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปจับกับอีกฝ่ายที่ยื่นมือมาให้อย่างผ่าเผยอีกครั้ง เมื่อปล่อยมือนาคาซก็คว้าของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของตน กระดานที่มีกระดาษจำนวนหนึ่งถูกแนบไว้ ปากกาคอแร้ง ขวดหมึกหนึ่งขวดและผ้าสีดำขนาดเล็กหนึ่งผืน

สองนิ้วหมุนส่วนบนของปากกาออกแล้วถอดหลอดสูบที่เป็นแกนตรงส่วนหัวไปจุ่มลงในขวดหมึกเพียงเล็กน้อยแค่ให้ส่วนปลายสัมผัสกับน้ำหมึก ใช้นิ้วหมุนก้านสูบขึ้นดูดหมึกให้เต็มหลอดจากนั้นจึงเช็ดปลายหลอดด้วยผ้าให้สะอาดและประกอบปากกากลับเข้ารูปดังเดิม

กระดาษที่แนบอยู่บนกระดานถูกตีเส้นจางๆ ด้วยดินสอดำทำให้สามารถเขียนตัวอักษรให้อยู่ในระนาบเดียวกันได้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม หนังสือสัญญาตามแบบมาตรฐานถูกร่างขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมลงลายเซ็นของตนไว้ที่มุมล่างฝั่งซ้ายบนของกระดาษอันเป็นจุดลงนามของผู้ทำสัญญาคนที่หนึ่ง

“เซ็นตรงนี้” เด็กชายยื่นทั้งกระดานไปให้ฝั่งนั้นพร้อมกับใช้ปลายปากกาชี้ไปที่มุมล่างฝั่งขวาบนอันเป็นที่ลงนามของผู้ทำสัญญาคนที่สอง

เด็กสาวรับทั้งสองอย่างไปด้วยสีหน้าที่ดูงงงวยก่อนจะใช้ดวงตาของตนกวาดอ่านเนื้อหาในเอกสารสัญญาทั้งหมด

“นี่ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ” เด็กสาวละสายตาจากกระดาษไปมองอีกฝ่าย

“สัญญาปากเปล่าคือความเชื่อมั่น ส่วนสัญญากระดาษคือความสัตย์จริง พวกเราพึ่งเจอกันไม่ถึงสามนาทีเธอก็คาดหวังว่าฉันจะเชื่อใจขนาดยอมทำสัญญาปากเปล่าด้วยแล้วงั้นเหรอ?”

เด็กสาวหลับตาลงและพยักหน้าไปให้เบาๆ ก่อนจะตวัดปากกาลงบนกระดาษ

“ก็จริง”

เซ็นเสร็จสิ้นเธอก็ยื่นทั้งปากกาหัวแร้งและกระดาษกลับไปให้

“แล้วอีกสองช่องข้างล่างล่ะ”

คงจะหมายถึงสองช่องที่อยู่ข้างช่างถัดลงมาจากชื่อของผู้ทำสัญญาทั้งสองคน

“พยานน่ะ สำหรับพ่อแม่หรือไม่ก็ญาติใกล้ชิดที่ได้รับการยินยอมจากผู้ทำสัญญาเท่านั้นที่จะสามารถเซ็นได้”

“ดะ เดี๋ยวสิ! งั้นหมายความว่าพ่อแม่ของพวกเราจะต้องรู้เห็นเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ!?” เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงลนลานหลุดมาดที่สร้างไว้

“แหงสิ อายุของพวกเราทั้งคู่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ กฎหมายเลยกำหนดให้เป็นแบบนั้นเพื่อกันไม่ให้เด็กถูกล่อลวง ถ้าไม่ทำตามนั้นสัญญานี่ก็ถือเป็นโมฆะกลายเป็นแค่กระดาษรองน้ำมันเท่านั้นแหละ”

เด็กสาวเดาะลิ้นและพ่นลมหายใจออกมาทางปากอย่างจำยอมก่อนเอนร่างไปพิงกับเบาะรองหลังแล้วเอามือขวาขึ้นมาเท้าคาง

‘คนปกติที่ไหนเขาพกของแบบนั้นติดตัวกัน…’ ถึงจะบ่นด้วยเสียงแผ่วเบา แต่หูทั้งสองข้างของนาคาซก็ได้ยินแจ่มชัด

ใช่แล้ว โดยปกติมันไม่มีใครพกอะไรแบบนี้หรอก ส่วนมากก็แค่สมุดพกเล็กๆ ไว้บันทึกเหตุการณ์รอบตัวเพียงเท่านั้น แต่อย่าลืมสิว่าเนื้อแท้ของฉันก็คือตนของตระกูลไหน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมกับการทำสัญญาอย่างถูกกฎหมายเสมอเพื่อรักษาความชอบธรรมของตนตามสิทธิเสรีภาพที่พึงมี

ในระหว่างที่จัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปในกระเป๋าเหมือนเดิมและปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูบานหนึ่งจากสองบานที่อยู่หลังโต๊ะกั้นทรงกลม ฟังดูแล้วน่าจะราวสิบคนเศษอีกทั้งยังเป็นผู้ชายไปแล้วเกินครึ่ง

พอเงยหน้าไปดูรอบตัวแล้วก็ดูเหมือนว่าหลายคนยังไม่รู้ตัว ส่วนคนที่ไม่ได้มีความเครียดเจือปนต่างก็แสดงท่าทีกระตือรือร้นออกมา แม้แต่เด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่แม้จะดูอ่อนต่อโลกเกินไปก็เหมือนจะรู้ตัวเช่นกัน

“ถึงเวลาแล้วงั้นเหรอ?…”

“คงงั้นมั้ง”

เมื่อใช้หางตาเหลือบไปมองผ่านหัวไหล่ก็เห็นหนุ่มสาววัยรุ่นตอนปลายและชายหญิงวัยกลางคนจำนวนหนึ่งเดินออกมายืนเรียงกันอยู่เบื้องหน้าโต๊ะกั้นของพื้นที่รับรองด้วยท่าทางผ่าเผย ถึงจะไม่ได้ใส่ชุดเดียวกันแต่ก็เป็นชุดทางการแสดงถึงหน่วยงานที่ตนเองสังกัดอยู่

ข้างหน้าสุดคือชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ รูปหน้าคมสัน มีผิวสีเข้ม มีผมสีดำสนิท ดวงตาสีเหลืองอำพันเฉียบแหลม ให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้นำที่พึ่งพาได้และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังบวกแต่ไม่ถึงขั้นโลกสวย ดูจากเครื่องแต่งกายและอิริยาบถแล้วน่าจะมาจากหน่วยงานที่เคร่งครัดในระเบียบจำพวกองค์กรปราบปรามอาชญากรรม

มือทั้งสองข้างตบประสานกันเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ทำให้ทุกคนหันมาสนใจ นัยน์ตาอำพันคู่นั้นกวาดมองเบื้องหน้าไปมาอย่างนิ่งสงบก่อนจะค้อมตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือซ้ายนาบหน้าอกและผายมือขวาลงต่ำ

  “ชื่อของผมคือปากาล เคลเลอร์ จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้คุมสอบนักเวทให้กับทุกๆ ท่านในครั้งนี้”

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 3 เด็กสาวผมสีน้ำเงินอมเทา"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF