cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
Advanced
Sign in Sign up
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • สล็อตเว็บตรง
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Sign in Sign up
Prev
Next
สล็อตเว็บตรง

[Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา - ตอนที่ 2 หอสมุดแดนฝัน

  1. Home
  2. All Mangas
  3. [Die Schlange von EA]: อสรพิษแห่งเออา
  4. ตอนที่ 2 หอสมุดแดนฝัน
Prev
Next

  ฐานทัพภายนอกกำแพงแห่ง เบียวา ทาร์ช่า เดิมที่เป็นป้อมปราการเก่าแก่ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิกอลที่หนึ่งยังคงเรืองอำนาจเหนือภาคพื้นทวีปกลาง ถูกค้นพบและปรับปรุงให้กลายเป็นฐานทัพที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสุดโดยกองทหารกองหนึ่งของเบญจภาคีในช่วงมหาปฏิวัติ และหลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ถูกปรับปรุงเรื่อยมาจนกลายเป็นป้อมปราการที่สมบูรณ์พร้อมในทุกๆ ด้านมาจนถึงปัจจุบัน

  หากเปรียบกำแพงขาวจำนวนสามชั้นที่โอบล้อมมหานคร เบียวา ทาร์ช่า ว่าเป็นดั่งโล่แล้ว ป้อมปราการแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนกับหอก เพราะเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของหน่วยทหารระดับแนวหน้าจำนวนมากที่คอยรับหน้าที่คุ้มกันพื้นที่ชายแดนอันแสนสำคัญยิ่ง โดยแต่ละหน่วยจะได้รับห้องพักให้เพียงพอต่อจำนวนสมาชิก ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นห้องพักรวมที่สามารถจุคนได้ราวสิบสองคน และหัวหน้าหน่วยตั้งแต่ยศร้อยตรีขึ้นไปจึงจะได้รับห้องพักส่วนตัวขนาดปานกลางเอาไว้ใช้สอย และถึงแม้หน่วยแอลเบียนฟัลค์จะเป็นกลุ่มรับจ้างอิสระภายใต้สังกัดของสภาหอการค้าแห่งดอยซ์ลันด์นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ได้รับข้อยกเว้นในการเข้าถึงสิทธิพิเศษใดๆ

  ห้องพักรวมจำนวนสองห้องสำหรับจุสมาชิกจำนวนยี่สิบสี่นายและห้องพักเดี่ยวสำหรับหัวหน้าหน่วยหนึ่งห้องซึ่งอยู่ข้างเคียงกับห้องพักของนาคาซคือสิ่งที่ทางเบื้องบนจัดแจงมาให้เพื่ออำนวยความสะดวกในหลายๆ ด้าน เช่นการทำหน้าที่คล้ายกับพ่อบ้านประจำตัว

  “นาคาซอีกสามสิบนาทีจะถึงเวลาเดินทางแล้ว” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นตามหลังเสียงเคาะประตูห้องพักของเด็กชาย

  โดยปกติแล้วนาคาซเป็นคนที่หลับเช้าและตื่นเช้าเพื่อมาเตรียมตัวสำหรับกำหนดการในแต่ละวันเสมอ ทำให้ในทุกครั้งเวลาที่มาแจ้งเตือนเด็กคนนั้นจะขานรับทันที ทว่าในวันนี้ปฏิกิริยาตอบสนองนั้นกลับแตกต่างออกไป นิ่งสงบไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ราวกับว่าไม่มีใครอยู่ที่อีกฟากของบานประตู

  แปลกๆ…

  จริงอยู่ว่าที่นี่เป็นฐานทัพจึงมีการป้องกันที่แน่นหนา แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่สถานที่ที่สามารถจะไว้วางใจได้อย่างเต็มตัวเพราะมันยังมีอะไรอีกมากที่ไม่อาจจะจินตนาการถึงคอยซุกซ่อนอยู่เพื่อเสาะแสวงหาโอกาสเสมอ โดยเฉพาะกับนาคาซผู้เป็นถึงลูกชายของสองคนนั้นแล้ว ความเป็นไปได้ถึงสิ่งที่ไม่อาจจะจินตนาการถึงจึงยิ่งทวีคูณความน่าจะเป็นได้อย่างไม่ยากเย็น

  เพราะฉะนั้นสำหรับสถานการณ์ผิดปกติแม้จะเพียงเล็กน้อยเช่นนี้จึงควรจะคิดลบไว้ก่อนส่วนที่เหลือก็ค่อยว่ากันอีกทีเพราะยังไงคุณค่าของเด็กชายผู้นั้นก็มากกว่าค่าซ่อมแซมเป็นไหนๆ หรือพูดให้ถูกเลยคือมีค่ามากกว่าป้อมปราการแห่งนี้ทั้งป้อมรวมกันเสียอีก

  “นาคาซ” 

  เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้งเป็นจังหวะเฉพาะตัวที่มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่จะรู้ความหมาย มันไม่ใช่สัญญาณสำหรับให้ตอบรับแต่เป็นสัญญาณสำหรับให้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นถัดจากนี้

  เมื่อตรวจสอบแน่ใจแล้วว่ากลอนประตูยังคงถูกล็อกอยู่จากด้านใน วินเซนต์ก็นำตะเกียงไฟไปห้อยไว้ที่เอวก่อนจะชักหน้าไม้รุ่นใหม่ที่สะพายไหล่อยู่มาขึ้นลำด้วยการชักคานเหวี่ยง

  หน้าไม้ตัวนี้สามารถยิงลูกศรได้เร็วถึงเก้าดอกภายในระยะเวลาเพียงสิบวินาทีซึ่งนับว่าเร็วกว่าหน้าไม้ปกติถึงเก้าเท่า ด้วยกลไกการชักคานเหวี่ยงมันจะทำให้ลูกศรภายในรังถูกป้อนเข้าลำกล้องพร้อมกับการง้างสายธนูให้ตึง แต่เพราะแลกมาด้วยความเร็วในการยิงที่สูงจึงทำให้มันมีระยะหวังผลในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับหน้าไม้หรือธนูแบบปกติที่สามารถหวังผลได้ไกลกว่าหนึ่งร้อยเมตร ด้วยเหตุนั้นมันจึงเหมาะสำหรับการใช้ในต่อสู้ภายในอาคารหรือพื้นที่แคบอย่างเช่นในสถานการณ์นี้เป็นอย่างมาก

  หลังจากสูดลมหายใจเข้าช้าๆ พร้อมกับนับถอยหลังจนถึงเลขศูนย์ภายในใจ ฝ่าเท้าที่ถูกใส่แรงเต็มที่ก็ถีบประตูไม้หนาๆ กระเด็นในคราวเดียว ลำกล้องหน้าไม้กวาดไปตามแนวขวางพร้อมกับดวงตาที่มองหาร่องรอยสิ่งผิดปกติ

  ไม่มี

  ภายในห้องไม่มีบรรยากาศของสิ่งแปลกปลอมใดๆ ดั่งที่กังวล หากจะพูดถึงสิ่งที่ผิดปกติที่สุดก็คงมีเพียงแค่ร่างของเด็กชายที่ยังคงตกอยู่ในห้วงนิทราอยู่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างนั้นไม่แม้แต่จะขยับแม้เพียงนิด

  ดวงตาสีครามของชายชรากวาดมองรอบห้องพักอีกครั้งก่อนจะปลดลูกดอกที่ขึ้นลำแล้วออกอย่างชำนาญ หน้าไม้ถูกนำกลับไปสะพายหลังเหมือนกับก่อนหน้านี้อีกครั้ง

  “ให้ตายเถอะ ถึงลิซาจะเคยบอกว่าหลับลึกสุดๆ ก็เถอะ แต่ไม่นึกเลยว่าจะหลับลึกได้ขนาดนี้เลย”

  เขานำตะเกียงไฟไปวางลงบนโต๊ะทำงานข้างหัวเตียง ย่อตัวลงไปสะกิดร่างของเด็กชายเบาๆ เพื่อทดสอบปฏิกิริยา

  คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความนิ่งสงบผิดวิสัยทัศน์

  นี่มันไม่ใช่ระดับธรรมดาแต่เป็นระดับความสามารถในการเอาชีวิตรอดติดลบเลยไม่ใช่รึไงกัน คนปกติที่ไห-…อืม ไม่ควรจะใช้คำนั้นเท่าไหร่แฮะ

  ด้วยสัญชาตญาณวินเซนต์จึงใช้นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนางไปสัมผัสข้อมือฝั่งใต้นิ้วโป้งของนาคาซเพื่อสืบหาความผิดปกติ

  “อืม…” เสียงคำรามในลำคอปนไปด้วยความสับสนเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนขนาดไหนก็ไม่พบความผิดปกติทางกายภาพเลยแม้เพียงนิด

  เมื่อเป็นแบบนั้นมือของเขาก็เลื่อนไปตรวจสอบส่วนอื่นๆ เพื่อย้ำความมั่นใจอีกครั้ง

  ไข้ไม่ขึ้น เหงื่อไม่ออก ชีพจรคงที่ ลมหายใจก็ปกติ เรียกได้ว่าร่างกายแข็งแรงเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมกัน?….

  หากนึกย้อนไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในวันนี้แล้วก็มีเพียงแค่ตอนหนีจากเอนกัลเฟอร์เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในระยะสายตา แต่ระยะเวลาที่คลาดกันก็ไม่ได้นานเกินจนผิดปกติ และถึงแม้หลังจากนั้นร่างกายจะอยู่ในสภาพอิดโรยแต่นั่นก็นับเป็นเรื่องปกติมากสำหรับเด็กคนนี้ที่เผาผลาญพลังงานร่างกายเป็นว่าเล่นอย่างกับเตาเผาเคลื่อนที่

  ความเป็นไปได้เดียวตอนนี้หากไม่นับเรื่องเหนือธรรมชาติอื่นๆ คือนาคาซอาจจะอยู่ในสภาวะจำศีลจากการใช้พลังงานในปริมาณมากเกินไปซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้งกับเด็กคนนี้ในเวลาที่ร่างกายและจิตใจอ่อนล้าจัด แต่เพราะปกติคนที่คอยดูแลเรื่องนี้มักจะเป็นลิซาที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้จึงไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่าสมมุติฐานนี้ถูกต้องมากแค่ไหน

  “งั้นอะไรที่ทำได้ก็ต้องทำไปก่อนแหละนะ” สรุปเช่นนั้นแล้วชายชราก็ลูบศีรษะของเด็กชายเบาๆ

                                                                                                                      ◇

  กล่าวกันว่าโดยปกติแล้วต่อการหลับยาวหนึ่งครั้งมนุษย์จะฝันอยู่ราวสี่ถึงหกครั้ง ทว่าเราจะสามารถจดจำความฝันได้เพียงแค่หนึ่งความฝันเท่านั้นหรืออย่างเลวร้ายกว่าคือจำไม่ได้แม้เพียงความฝันเดียว นำมาซึ่งการตั้งคำถามมากมายว่าพวกเราฝันไปทำไมเพราะหากคิดในแง่ของประโยชน์ในชีวิตประจำวันแล้วก็นับว่าไม่ค่อยมี

  จากการตั้งคำถามก็นำไปสู่การศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคำตอบ และหนึ่งในผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือพอศึกษากันอย่างจริงจังก็มีการพบว่าแม้แต่ในสัตว์เองพวกมันก็มีความฝันเช่นเดียวกันกับมนุษย์ โดยเฉพาะกับสัตว์ในอาณาจักรซอยเกเทียร์ซึ่งสัตว์ภายในอาณาจักรนี้มักจะมีโครงสร้างทางสมองที่ซับซ้อนกว่าสัตว์ในอาณาจักรอื่น เพราะแบบนั้นเป้าหมายในการศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบถัดไปจึงกลายเป็นการศึกษาสมองที่ทั้งน่าพิศวงและอัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน นำมาสู่การกำเนิดขึ้นของกายวิภาคศาสตร์สาขาประสาทวิทยาเมื่อสี่สิบปีก่อนโดยคณะแพทย์กลุ่มหนึ่งในวิทยาเขตวิลเฮล์ม

  แม้ว่าปัจจุบันพวกเราจะมีความรู้ความเข้าใจในสมองมากกว่าเมื่อก่อนมากขึ้นทว่าก็ยังไม่อาจแสวงหาคำตอบของคำถามว่า “สิ่งมีชีวิตฝันไปทำไม?”อยู่ดี

  เช่นเดียวกันคำถามนั้นก็กำลังลอยอยู่ในหัว ณ ตอนนี้ที่ภาพเบื้องหน้าคือภายในของหอสมุดขนาดใหญ่

  ที่กำลังยืนอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นใจกลางของหอสมุดความสูงประมาณห้าชั้น ถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบโลกอนาคตที่เน้นความโค้งว้าวเป็นหลัก ส่วนเพดานที่อยู่สูงมากๆ เองก็ถูกแทนที่ด้วยโดมกระจกขนาดใหญ่ ทำให้แสงธรรมชาติสามารถส่องลงมากระทบกับพื้นข้างล่างได้อย่างงดงาม ชั้นวางหนังสือถูกจัดเรียงขนาบทั้งสองข้างยาวตลอดแนวไปจนถึงกำแพงฝั่งตรงข้ามเองดูเรียบง่ายสะอาดตา แต่ก็มีการสลักลวดลายเรขาคณิตคล้ายกับการเลียนแบบลายดอกไม้หรืออะไรทำนองนั้นแต่ทำให้มันออกมาดูมีความเรียบง่ายและทันสมัย

  หากคำนวณขนาดคร่าวๆ แล้วที่นี่น่าจะกว้างขวางกว่าหอสมุดกลางของเบียวา ทาร์ช่า หรือแม้กระทั่งหอสมุดแห่งบรันเดนบูร์กซึ่งเป็นหอสมุดขนาดใหญ่ที่สุดในดอยซ์ลันด์

  ในชั้นวางมีหนังสือเรียงรายอัดแน่นทุกกระเบียดนิ้ว บริเวณสันถูกเขียนด้วยภาษาที่ไม่รู้จักอยู่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบภาษาจากจำนวนหนังสือทั้งหมดที่ดวงตาสังเกตเห็นในตอนนี้แล้วแยกแยะด้วยหลักการทางภาษาศาสตร์

  ว่าตรงๆ เลยนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ฝันแล้วสามารถเห็นรายละเอียดได้มากขนาดนี้ เพราะถึงแม้จะมีความจำดีเยี่ยมสุดๆ แต่ก็สามารถจดจำได้เพียงแค่เหตุการณ์สำคัญแบบเลือนรางจนไม่น่าเอามาใส่ใจเท่านั้น ทุกๆ อย่างทุกการกระทำมันให้ความรู้สึกสมจริงมากชนิดที่ไม่สามารถแยกออกได้เลยในช่วงห้าวินาทีแรก แต่พอชินแล้วก็สามารถแยกออกได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากครั้งอื่นๆ

  จะว่าไปก็พึ่งจะรู้ตัวแฮะว่าที่นี่ใหญ่กว่าประสาทความทรงจำของเราซะอีก เอ๊ะ? หรือว่าเรากำลังอยู่ในปราสาทความทรงจำของคนอื่นอยู่!?

  “ฮึ~ ว่าไปนั่น”

  เพราะการจะทำอะไรแบบนี้ได้มันไม่มีแม้กระทั่งทฤษฎีที่สมเหตุผลมารองรับซะด้วยซ้ำโดยเฉพาะกับการบุกเข้ามาภายในความทรงจำของคนอื่น

  แม้จะมีข้อเท็จจริงอยู่ว่านักเวทจำพวกอิเล็กทริคิเนซิสจะสามารถรับรู้ความทรงจำของผู้อื่นได้ด้วยการใช้เวทมนตร์พร้อมกับสัมผัสตัวอีกฝ่าย หรือนักเวทจำพวกไซโคคิเนซิสที่สามารถควบคุมจิตใจเหยื่อแล้วล้วงข้อมูลได้ แต่กับกรณีที่บุกเข้ามาแล้วเห็นเป็นฉากๆ แบบนี้ไม่เคยมีรายงานมาก่อน แถมประเภทเวทของเราเองมันก็เป็นแอโรคิเนซิสซึ่งไม่ได้มีความใกล้เคียงอะไรกับสองประเภทก่อนหน้านั้นเลยจึงไม่สามารถที่จะบุกเข้าไปในความฝันหรือความทรงจำของคนอื่นได้ หรือแม้กระทั่งโดนบุกก็เป็นไปไม่ได้เพราะในความเป็นจริงร่างกายยังคงอยู่ที่ฐานทัพนอกกำแพงอันเป็นสถานที่สำหรับทหารอยู่

  เพราะฉะนั้นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสำหรับตอนนี้ก็คือที่เห็นทั้งหมดนี้เกิดจากสมองของตัวเราเอง และที่มันเห็นรายละเอียดมากขนาดนี้ก็เพราะสมองไม่จำเป็นต้องควบคุมร่างกายส่วนอื่นจึงสามารถดึงศักยภาพสำหรับการนี้ได้ออกมาอย่างเต็มที่

  งั้นไหนๆ โอกาสก็มาเยือนสักทีก็ขอลองอ่านหนังสือสักเล่มในความฝันก็แล้วกัน

  นึกแบบนั้นแล้วก็สุ่มหยิบหนังสือออกมาจากชั้นวางหนึ่งเล่มแล้วเริ่มเปิดอ่าน

  …. อ่านไม่ออก… หน้านี้ก็ไม่ออก… ไม่ออก… ไม่ออก… ไม่ออก… ไม่ว่าจะเปิดไปกี่หน้าก็อ่านไม่ออกสักตัวอักษรเดียวจนอยากถอนหายใจดังๆ สักเฮือก

  ภาษาน่ะ ต่อให้จะเรียนมาเป็นร้อยหรือพันภาษาการที่จะเข้าใจภาษานั้นๆ ได้ สิ่งสำคัญคือการได้รู้จักเจ้าของภาษานั้นๆ ก่อน เริ่มทำความเข้าใจและศึกษาจากจุดนั้นจะทำให้เข้าใจได้ง่ายหรืออย่างดีเลยก็ต้องรู้จักต้นกำเนิด เพราะภาษาไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือสำหรับการสื่อสารและไม่ได้มีความเฉพาะตัวด้วยเหตุบังเอิญ แต่มันคือภาพสะท้อนของสภาพแวดล้อม สังคม ภูมิศาสตร์และชุดความคิดที่ผู้ใช้ภาษานั้นๆ ถูกหล่อหลอมมา ยกตัวอย่างที่ชัดสุดก็ภาษาอาราบีอุนที่ฟังแล้วดูมีความดุร้าย หนักแน่นและเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันเกิดจากการถูกหล่อหลอมมาด้วยสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายของทะเลทราย แต่นั่นมันก็ยังเป็นเพียงแค่การมองภาพรวมแบบเผินๆ อีกอยู่ดี เพราะหากลงลึกไปกว่านั้นภาษาหนึ่งภาษาก็จะมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นอีกทีนึง เช่นภาษาอาราบีอุนที่ถูกใช้ทางตอนใต้ของสหรัฐซาลาดินจะมีความดุดันมากกว่าสำเนียงของทางตอนเหนือที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากกว่า 

  หรือหากมองย้อนกลับไปสักนิดเราก็จะสามารถสืบไปหาต้นกำเนิดของภาษานั้นๆ ก่อนที่จะวิวัฒนาการมาเป็นแบบในปัจจุบันได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างก็ภาษาของภาคพื้นทวีปกลางที่ส่วนใหญ่มักมีรากฐานมาจากภาษาโรมานโซแล้วค่อยๆ แตกแขนงออกไปตามแต่ท้องที่และความสามารถในการออกเสียงของบุคคลที่อยู่อาศัยในพื้นที่นั้นๆ แม้ว่าต่อมาอาจจะมีการไปผสมกับภาษาอื่นๆ อีกบ้างอย่างภาษาดอยซ์ซึ่งเดิมทีวิวัฒนาการมาจากภาษาโปรโตแล้วค่อยมาผสมกับโรมานโซทีหลัง เป็นต้น

  แต่กับภาษาที่อยู่ดีๆ ก็ปาตัวอักษรมาอัดหน้าโดยที่ไม่มีข้อมูลปูมหลังเหล่านั้นให้ศึกษาควบคู่ไปพร้อมทำความเข้าใจเลยมันก็ไม่ได้ต่างจากการอ่านกระดาษที่เด็กทารกใช้แท่งแกรไฟต์ขีดๆ เขียนๆ เล่นแม้แต่น้อย อีแบบนี้ทำได้มากสุดก็แค่มั่วนิ่มความหมายขึ้นมาเองซึ่งมีแต่จะเสียเวลาไปเปล่าๆ นั่นแหละ

  “ให้ตายเถอะ อุตส่าห์คิดว่าเป็นฝันที่น่าสนใจแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ความฝันที่ไร้ความหมายอยู่ดีสินะ”

  ผิดเองนั่นแหละที่เห็นว่าตัวอักษรมันวางตัวแบบมีหลักการเลยเผลอคาดหวังอะไรที่ไม่ควรจะหวังจากความฝันได้……

  “อ๊ะ…”

  ระหว่างกำลังบ่นพลางพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เจออะไรที่ชวนให้น่าสนใจขึ้นมานิดนึง

  นี่มันสมการเวทไม่ผิดแน่

  เช่นเดียวกับภาษา พวกมันจัดเรียงการแบบมีหลักการ ไม่ได้เพียงแค่เขียนขึ้นมาสั่วๆ แถมมันยังเป็นสมการเวทที่เคยเห็นในหนังสือมาก่อน ทว่ามันไม่ได้เป็นแค่สมการใดสมการหนึ่ง แต่เป็นการรวมกันของสมการสามตัว

  ที่แน่ใจแบบนั้นเพราะหนังสือมีการกล่าวถึงสมการทั้งสามตัวนั้นแบบแยกก่อนแล้วค่อยอธิบายว่าสมการที่เกิดจากการรวมทั้งสามสมการก่อนหน้านั้นมันมาได้ยังไง ถึงแม้ตัวแปรจะไม่ได้เหมือนกันแต่ตำแหน่งมันบ่งบอกว่าเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ไม่เข้าใจคำอธิบายแต่ก็ยังพอถูไถได้อยู่

  แต่กับอีแค่ความฝันทำไมเราถึงต้องจริงจังถึงขนาดนี้เชียวทั้งๆ ที่ปกติมันก็ไม่ได้มีความสมเหตุสมผลอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

  “ดันทำอะไรที่มันเสียเวลาเปล่าซะได้ ให้ตายเถอะ”

  “_________”

  “เอ๊ะ?”

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  .

  “ได้ฤทธิ์ตื่นแล้วเหรอ เจ้าหนูขี้เซา” เสียงของคุณไอแวนงั้นเหรอ?….

  อึ่ย….รู้สึกมึนหัวชะมัด

  “ได้เวลาเดินทางแล้วเหรอครับ?….”

  “พวกเราเดินออกจากฐานทัพกุงเนียร์มาเกินครึ่งทางแล้วต่างหาก”

  “อะไรนะครับ!?”

  “ก็เธอหลับยาวตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เลยไงล่ะ”

  หมายความว่าตอนนี้อยู่บนเกวียนแล้วงั้นเหรอ? แต่เราไม่น่าจะหลับยาวขนาดนี้นี่!?

  พอแหงนหน้าขึ้นไปมองเหนือหัวก็พบกลุ่มเมฆสีม่วงปนแสดอันเป็นบรรยากาศของท้องฟ้ายามสนธยา แสงสีส้มส่องไสวเป็นสัญญาณของยามใกล้รุ่งอันสดใสแทนที่จะเป็นยามค่ำคืนที่มีแต่กลิ่นอายไม่น่าไว้วางใจในแบบเฉพาะตัวของพื้นที่ชายแดน

  “อย่างว่าเธอคงเหนื่อยสะสมแหละนะ ต่อให้สภาพร่างกายจะฟื้นเร็วแต่สภาพจิตใจนี่คงเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลจริงๆ ” คุณเลโอนิดกล่าวเช่นนั้นพร้อมทั้งกระดกขวดเหล็กทรงแบนที่ถืออยู่ภายในมือ

  “แล้วนี่ผมหลับไปกี่ชั่วโมงแล้วครับ?”

  “อืม… เมื่อคืนเธอเข้านอนตอนยี่สิบเอ็ด ตอนนี้แปด รวมทั้งหมดก็สิบห้าชั่วโมงได้”

  “สิบห้าชั่วโมง?!…”

  นั่นมันนานพอให้อ่านหนังสือจบได้อย่างน้อยสองเล่มเลยนะแถมยังนอนเกินกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปอีก นี่เรากลายเป็นพวกไร้วินัยนอนกินบ้านกินเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย…

  “ไม่ต้องคิดมากหรอก ถ้าผลลัพธ์มันคือการที่เธอรู้สึกสดชื่นเหมือนทารกตื่นนอนเรื่องอื่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรใหญ่โตหรอก”

  “ไม่ใช่แบบนั้นสิครับ เพราะนี่มันแทบไม่ต่างจากผมเป็นพวกไม่เอาไหนเลยนะครับ”

  “เทียบกับการที่แกกลับไปถึงเบียวา ทาร์ช่าในสภาพอิดโรยแล้วต่อให้ลีเวียจะไม่ว่าอะไร แต่มันก็ไม่ต่างจากการบ่งบอกว่าพวกฉันไม่สามารถดูแลแกได้ดีตามความไว้วางใจที่ได้รับมา คิดดูสิว่าอะไรมันเลวร้ายกว่ากัน” วินซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

  “แต่ทุกทีต่อให้ผมก็ไม่เป็นแบบที่ว่ามานี่ครับ”

  “ ‘ทุกที’ คำนี้มันไม่ได้หมายถึงค่าเฉลี่ยร้อยละร้อยสักหน่อย ต่อให้ครั้งอื่นจะไม่เป็นก็ใช่ว่าครั้งนี้จะไม่เป็นนี่ ถูกมั้ย?”

  “แต่ถ้าเทียบเป็นอัตราส่วนมันก็-… ใช่ครับ…”

  ทันทีที่สมองส่วนตรรกะคิดตามทันก็ทำได้แค่ยอมรับความจริงที่วินซ์กล่าวมา ใช่ จุดสีดำเล็กๆ บนผ้าขาวนั้นย่อมเด่นกว่าผืนผ้าขาวทั้งใบ เมื่อพิจารณาจากหลักนี้แล้วความคิดของวินซ์ก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด

  “แค่นั้นแหละ ขอแค่ผลลัพธ์มันออกมาดีเรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว”

  เพราะพวกคุณไอแวนเตรียมอาหารไว้ให้ล่วงหน้าเรียบร้อย พอได้สติเต็มตื่นก็เลยสามารถจิบช็อกโกแลตร้อนกับลิ้มรสอาหารของเช้าวันใหม่ได้ทันทีพร้อมกับการเตรียมตัวสำหรับนัดหมายสำคัญของวันนี้ 

  แม้หากดูผ่านมุมมอเชิงบุคลิกภาพแล้ว การทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันจะดูไม่ดีแต่หากเป็นช่วงเวลาสำคัญจริงๆ ก็ควรที่จะรีดประสิทธิภาพของเวลาที่มีเหลืออยู่ให้ได้มากที่สุดภายใต้ขอบเขตที่ตัวเองควบคุมได้ เพราะหากทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันแต่ทำทุกอย่างได้เพียงอย่างละครึ่งๆ กลางๆ ผลลัพธ์ที่จะได้ก็มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันเลวลงซะเปล่าๆ

  “สรุปกำหนดการของวันนี้ก็ตามที่บอกไปทั้งหมด หลังจากนั้นก็ว่างทั้งวันแล้ว”

  ‘ถ้าไม่มีงานโผล่มาเพิ่มน่ะนะ…’ หลังจากอ่านกำหนดการทั้งหมดจบวินซ์ก็ส่งต่อมันมาให้เพื่อตรวจสอบดูอีกครั้ง

  “ให้มันจบแค่ตรงนี้เถอะครับ กองทัพเองก็น่าจะมีคนมีความสามารถอีกเยอะแยะที่พอจะต่อยอดผลงานนี้ต่อไปได้นะครับ”

  “แล้วกองทัพมีคนที่ใช้เวทมนตร์แบบแกได้รึไง”

  “ก็ดัดแปลงเอาสิครับ ในหนังสือผมก็เขียนวิธีทำโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ไปให้แล้ว ถ้าไม่มีปัญญาคิดกันแม้แต่เรื่องนั้นก็ควรจับไปเป็นพลทดลองในคุกให้หมดทั้งคณะนั่นแหละครับ”

  ไอแผนที่ต้นแบบเนี่ยยังพอเข้าใจได้เพราะเป็นฝ่ายไปเสนอกับฝั่งนั้นเอง แต่ถ้าจะมีการจ้างวานต่อก็ขอปฏิเสธเพราะแบบนี้มีแนวโน้มที่จะถูกจับตามองมากเกินไป แถมเวลาสำหรับการทำเรื่องอะไรแบบนี้ก็มีเหลือไม่ถึงหกเดือนแล้วด้วยซ้ำ

  “แกนี่ช่างปากร้ายเหมือนแม่แกจริงๆ เลยนะ”

  “ก็มันเรื่องจริงนี่ครับ อย่างน้อยๆ ความสามารถขั้นต่ำสุดก็ควรที่จะทำเอกสารฉบับคัดลอกเป็นนะครับ”

  “เอาน่าๆ ยังไงพวกเสธ.ก็ไม่มีทางสิ้นไร้ไม้ตอกกันอยู่แล้ว บ่นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นไปก็เท่านั้นแหละ” ว่าจบคุณไอแวนก็เทช็อกโกเลตร้อนมาให้เพิ่มอีกแก้ว

  ทั้งกลิ่นอันมีเอกลักษณ์และรสชาติขมกลมกล่อมกำลังดีจากการใช้ดูนเคิลช็อกโกแลตต้มกับนมในอัตราส่วน 1:2 พอได้จิบต่ออีกสักอึกแล้วมันก็ช่วยชะลอความคิดที่พลุ่งพล่านจนถึงเมื่อกี้ให้สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์

  ถ้าหากว่าสวรรค์ตามความคิดของพวกเทวนิยมมีจริงมันคงมีรากศัพท์มาจากคำว่าช็อกโกแลตเป็นแน่แท้

                                                                                                                      ◇

  หนึ่งชั่วโมงถัดมาขบวนรถม้าของแอลเบียนฟัลค์ก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านคอสวิกที่เป็นหนึ่งในทางผ่านสำคัญสำหรับการเดินทางเข้าไปยังกำแพงชั้นที่สองของมหานครเบียวา ทาร์ช่า ด้วยเหตุนั้นหมู่บ้านนี้จึงมีการสัญจรที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา และยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายภายในตัวเมืองใหญ่แต่ยังคงต้องการความสะดวกสบายในด้านการคมนาคมอย่างพวกศิลปินหรือนักวิจัย และหนึ่งในนั้นก็คือร้านตัดชุดและเครื่องประดับชื่อดังอย่าง’สวิลลิงก์สเติร์ม’

  ภายนอกเป็นอาคารความสูงสองชั้นที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนน ตกแต่งอย่างหรูอลังการด้วยหินอ่อนสีขาวและสีดำซึ่งถูกแกะสลักแบบร่วมสมัยระหว่างสถาปัตยกรรมแบบอนาคตและกอทิก ข้างหน้าร้านแขวนป้ายสัญลักษณ์เป็นหอคอยแฝดจากตำนานจักรพรรดินีแฝดแห่งไลทัวเนียนและที่ส่วนด้านล่างสุดของป้ายมีสัญลักษณ์ตาชั่งสิบสองคานอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเป็นสมาชิกสภาหอการค้าแห่งดอยซ์ลันด์

  “ยินดีต้อนรับค่ะ” ทันทีที่นาคาซและวินเซนต์ก้าวเดินเข้ามาหญิงสาวผู้สวมชุดพนักงานต้อนรับสีดำตัดกับสีขาวอย่างมีเอกลักษณ์ก็วาดยิ้มน้อยๆ ให้กับทั้งคู่

  ถัดจากประตูออกไปเล็กน้อย เบื้องหน้าก็คือโต๊ะกั้นสีน้ำตาลเข้มดูเข้ากับพื้นหินอ่อนลายขาวดำสำหรับติดต่อธุรการหรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ

  ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดพนักงานต้อนรับละสายตาขึ้นมามองนาคาซและวินเซนต์ก่อนจะวาดยิ้มน้อยๆ ให้แบบเดียวกับพนักงานต้อนรับหญิง

  “ไม่ทราบว่าวันนี้อยากใช้บริการอะไรดีครับคุณสุภาพบุรุษ”

  ชายชราตอบกลับด้วยการเลื่อนเหรียญที่ได้รับมาจากคุณหญิงบลูทอัลเกตอนก่อนออกเดินทางรอบล่าสุดไปกับพื้นผิวของโต๊ะกั้นหินอ่อนอย่างเงียบสงบ

  รอยยิ้มเป็นมิตรพลันเลือนหายกลายเป็นความประหลาดใจเมื่อดวงตาคู่นั้นหลุบลงไปมองสิ่งที่ถูกเลื่อนไปหา

  “เชิญตามมาทางนี้เลยครับ”

  พูดจบพนักงานชายคนนั้นก็นำทางทั้งสองคนขึ้นไปที่ชั้นสองของร้านก่อนจะหยุด ยืนข้างประตูบานหนึ่งซึ่งไม่ได้มีหน้าตาที่แตกต่างจากประตูบานอื่นๆ

  “สามารถเข้าไปได้เลยครับ คุณลูทวิชกำลังรอพวกคุณอยู่ครับ”

  เมื่อเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไป ภาพเบื้องหน้าก็คือชายหนุ่มในชุดสูทสีดำขลิบทองและหญิงสาวผู้ครอบครองเรือนผมสีทองมัดเป็นทรงมงกุฎในชุดเดรสทรงสมัยใหม่สีขาวแดงกำลังถกประเด็นบางอย่างกันอยู่ด้วยใบหน้าจริงจัง

  แต่ทันทีที่สัมผัสได้ถึงตัวตนของแขกที่พวกตนเฝ้าคอย ทั้งคู่ก็หยุดการโต้วาทีนั้นแล้วหันไปค้อมตัวให้น้อยๆ ตามมารยาท

  “ยินดีที่ได้พบครับคุณวัลฮีรอฟ นายน้อยนาคาซ” ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ผู้ไว้หนวดเคราแหลมสั้นทรงฟันไดค์เดินเข้าไปหาทั้งสองด้วยรอยยิ้มชื่นพร้อมกับยื่นมือซ้ายออกไปหาเพื่อเป็นการทักทาย

  “ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับคุณลูทวิช” นาคาซรับการทักทายนั้นด้วยรอยยิ้มเฝื่อนเล็กน้อย

  เพราะแม้ตนจะไม่ชอบถูกเรียกแบบนั้นเนื่องจากไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงนาย-บ่าวกันและระบบศักดินาสวามิภักดิ์ในประเทศนี้ก็ถูกล้มล้างไปพร้อมกับมหาปฏิวัติเมื่อแปดศตวรรษก่อนแล้วก็ตาม แต่เพราะเคยถกกันไปในครั้งแรกที่พบกันและผลลัพธ์คืออีกฝ่ายสบายใจจะเรียกตนแบบนั้นเนื่องจากร้านแห่งนี้ถูกอุปถัมภ์โดยตระกูลของตน จึงทำได้เพียงแค่ทำใจยอมรับในการตัดสินใจนั้นแต่โดยดี

  “งั้นมาเริ่มลองเสื้อกันเลยมั้ยครับ?”

  เพียงพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวผมทองก็นำไม้แขวนซึ่งถูกห่อด้วยถุงคลุมสำหรับรักษาชุดอย่างดีออกมาจากราวที่ตั้งอยู่ข้างกาย ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กชายอย่างคล่องแคล่ว

  โดยชุดที่กำลังสวมใส่อยู่นี้มีต้นแบบอ้างอิงมาจากชุดของทหารม้าแบบเก่าของจักรวรรดิแฮพส์บวร์คแล้วนำมาปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยเอกลักษณ์ของร้านสวิลลิงก์สเติร์มซึ่งเน้นไปที่การสร้างผลงานแบบร่วมสมัยระหว่างความเรียบง่ายของยุคปัจจุบันและความวิจิตรศิลป์จากยุคสมัยจักรวรรดิกอลที่หนึ่ง

  ‘ชุดนี้จะต้องสามารถใส่ออกงานภาคสนามและงานเลี้ยงได้โดยที่ไม่ให้ความรู้สึกแปลกแยกหรือโดดเด่นเกินไป ผู้สวมใส่จะยังคงต้องสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและยังคงต้องสามารถต่อสู้ด้วยรูปแบบที่หลากหลายได้ และต้องสามารถกันลมหนาวได้แต่ก็ต้องไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดแม้จะใส่ในยามคิมหันต์ ‘ ทั้งหมดนั้นคือความต้องการท้าทายความสามารถของนักออกแบบที่อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของตนโดยนายหญิงผู้ศรัทธายิ่งในหลักประสิทธิภาพนิยมเฉกเช่นผู้เป็นแม่ของนาคาซ

  “เราทำการแก้ไขเพิ่มจากครั้งก่อนเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้นตามความต้องการของนายน้อย ถูกใจมั้ยครับ?”

  เสื้อและกางเกงขนสัตว์สั้นเตียนสีดำสนิทกลมกลืมกับเรือนผมสีดำหยักศกเล็กน้อยบริเวณปลาย รองเท้าบูตสำหรับต่อสู้สีดำซึ่งทำมาจากหนังที่มีความทนทานตัดด้วยเข็มขัดและเม็ดกระดุมสีขาวสะอาดตา เสื้อเชิ้ตแบบมีกระดุมหน้าปกเสื้อสีเทาอ่อน และเนกไทสีเข้ม ให้ความรู้สึกเป็นทางการ แผ่บรรยากาศอันทรงพลังและมีระเบียบออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพแม้ผู้สวมใส่จะมีอายุเพียงแค่แปดปีก็ตาม

  เด็กชายส่องกระจกพลางออกหมัดมวยรูปแบบต่างๆ เพื่อทดสอบความคล่องตัวและหาจุดอับสายตา

  รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาเจ้าของร้านที่กำลังรอรับคำติชมอย่างใจจดจ่อ

  “ถูกใจมากเลยครับ”

  ชายหนุ่มแสดงสีหน้าโล่งใจออกมาอย่างไม่ปิดบังก่อนจะหยิบบางสิ่งขึ้นมาจากโต๊ะตัดเย็บที่อยู่ข้างหลังตน

  “แล้วก็นี่ครับ” เขายื่นกล่องขนาดพอดีมือของตนไปให้กับเด็กชาย

  ภายในของมันคือแว่นตาแบบสั่งทำพิเศษ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยทำให้มองเห็นชัดขึ้น แต่เพื่อช่วยปกปิดปูมหลังของบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะกับตระกูลของนาคาซ

  แว่นนั้นถูกสวมเข้าไปที่ใบหน้าทดแทนหน้ากากปิดบังดวงตาสีดำอันเดิม ดวงตาสีโลหิตชวนสยองถูกแทนที่ด้วยนัยน์ตาสีทองอำพัน แม้มันจะไม่สามารถกลบเรื่องรูม่านตาที่มีลักษณะไม่ต่างจากสัตว์กินเนื้อได้แต่ก็สามารถกลบจุดเด่นที่สุดอย่างนัยน์ตาสีโลหิตอันเป็นเอกลักษณ์ของอสรพิษได้อย่างมิดชิด

  ไร้ซึ่งจุดบอดหรือจุดอับ นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะถูกมองจากมุมไหนก็จะไม่มีใครเห็นสีแท้จริงของดวงตาคู่นี้อย่างแน่นอน

  “ตัวแว่นถูกออกแบบให้สามารถเข้าได้กับทุกชุดที่สวมใส่ กรอบแว่นอาจจะบางแต่ทดแทนด้วยวัสดุที่มีความคงทนและยืดหยุ่นสูงเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนายน้อยเป็นการเฉพาะครับ”

  นาคาซพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้นก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้ชายชราที่ยืนรออยู่บริเวณใกล้กับประตู

  ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนเข้าไปใกล้ชายหนุ่มพร้อมควักบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าคาดเอวอเนกประสงค์ของตน มันคือหนังสือตราสารซึ่งในนั้นมีลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายถูกเขียนทิ้งไว้เรียบร้อยแล้ว

  “เพิ่มไปอีกยี่สิบฟรังก์จากที่ตกลงไว้ด้วยนะครับ”

  ชายชราพยักหน้ารับพร้อมกับจรดปลายปากกาลงไปบนแผ่นกระดาษ ไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลอะไรมากมายเพราะสำหรับตระกูลของนาคาซแล้ว พวกเขาให้ความสำคัญกับรายได้ที่สอดคล้องกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นั่นหมายความว่าหากนาคาซพึงพอใจจะจ่ายในราคาที่เพิ่มขึ้นก็แสดงว่าเขายินดีที่จะจ่ายและประเมินแล้วว่าผลงานนี้คู่ควรแก่ราคานั้น

  “ไม่จำเป็นหรอกครับ” คำพูดสงบนิ่งของชายหนุ่มทำให้วินเซนต์ยกปากกาขึ้นแล้วส่งสายตาไปหาด้วยความสงสัย “ทั้งเงินส่วนต่างจากมัดจำหรือเงินตรงนี้ก็ตามครับ”

  “แบบนั้นไม่ได้สิครับ แรงงานควรที่จะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ไม่งั้นพวกเขาก็จะขาดแรงจูงใจในการสร้างผลงานนะครับ” ดวงตาซึ่งตอนนี้ถูกย้อมให้เป็นสีอำพันเหลือบมองไปยังหญิงสาวในชุดเดรสสีขาวแดงผู้ยืนอยู่ข้างกาย

  “ผมเข้าใจแนวคิดของตระกูลนายน้อยดีและก็เชื่อมั่นในแนวคิดนั้นเหมือนกันครับ แน่นอนว่าส่วนต่างนั้นผมจะเป็นคนควักเงินจ่ายให้กับแรงงานทุกคนเอง แต่ผมแค่อยากให้นายน้อยช่วยเหลืออะไรนิดหน่อยน่ะครับ”

  ได้ยินเช่นนั้นลูกคิดในหัวของนาคาซก็ถูกคำนวณอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงวินาทีก็สามารถเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายได้เพราะมันไม่ได้ล้ำลึกอะไร

  รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นมาประดับใบหน้าขาวใสอย่างแอบแฝงเลศนัย

  “เข้าใจแล้วครับ งั้นผมจะช่วยโฆษณาให้อย่างเต็มที่ก็แล้วกันครับ”

  แม้ว่าเดิมทีก็จะตั้งใจทำแบบนั้นอยู่แล้วก็ตาม เพราะเจตนาที่สั่งตัดชุดให้มีลักษณะคล้ายกับชุดทหารก็เพราะต้องการเจาะกลุ่มตลาดนี้เป็นการเฉพาะ

  ลองจินตนาการดูว่าหากเหล่าเสนาธิการกองทัพรู้สึกสะดุดตาเข้าแล้วเกิดสนใจขึ้นมา ขั้นต่ำก็ได้ลูกค้าที่มีเส้นสายและสังคมมาติดต่อแบบการส่วนตัวเพิ่มแน่นอน และถ้าหากไปถึงระดับหวังผลที่กองทัพอยากจะปฏิรูปเครื่องแบบทั้งหมดเลยก็จินตนาการได้ถึงเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะสะพัดเข้ามาหาได้อย่างไม่ยากเย็น

  จริงอยู่ว่าถึงแม้จะไม่ได้เข้ากระเป๋าเต็มๆ แต่ตระกูลตนก็ถือหุ้นส่วนของกิจการนี้ไว้กว่าร้อยละสี่สิบ นั่นหมายความว่าเงินปันผลจากกำไรจำนวนสี่ในสิบส่วนจะไหลเข้ากระเป๋าของตระกูลอย่างแน่นอน และก็อาจจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกขั้นต่ำประมาณร้อยละห้าหากร้านนี้ต้องการเงินทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาให้สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรมออกมาให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดได้ ซึ่งก็ต้องมาขอเงินทุนกับทางนี้โดยตรง หรือถ้าไม่ ผลสุดท้ายก็ต้องไปกู้ยืมธนาคารอยู่ดี ซึ่งก็มีโอกาสอีกร้อยละเก้าสิบเจ็ดว่าจะมากู้ธนาคารของตระกูลแน่นอนเพราะมีนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกิจการที่ได้รับการอุปถัมภ์จากตระกูลเป็นการเฉพาะ

  แค่เริ่มต้นก็เหมือนตัวเองได้เงินคืนมาหนึ่งร้อยฟรังก์แล้ว เส้นทางนี้มันช่างสดใสดีจริงๆ …แต่ก็ไม่ควรที่จะเลินเล่อมากไปล่ะนะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะพลาดโอกาสดีๆ ไปโดยใช่เหตุเอา

  “ขอขอบพระคุณอย่างมากครับ” ชายหนุ่มนำมือไปทาบอกแล้วค้อมตัวให้เล็กน้อย

  “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ เพราะยังไงพวกเราก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี”

  “ถ้านายน้อยว่าอย่างนั้นก็ตามนั้นครับ”

                                                                                                                      ◇

  เมื่อเดินทางออกจากหมู่บ้านมาอีกหนึ่งชั่วโมงในที่สุดก็เริ่มเห็นรูปร่างของกำแพงขาวชั้นที่สองอยู่ไกลๆ

  รูปสลักฝังกำแพงของนารีถือรวงข้าวและชาตรีถือค้อนเหล็กยังคงตระหง่านโดดเด่นให้เห็นแม้จะอยู่ไกลลิบก็ตาม นอกจากจะใช้เป็นเชิงสัญลักษณ์สื่อถึงความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพแล้ว มันก็ยังเป็นตัวบ่งบอกถึงตำแหน่งของทวารหลักด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วธงเศียรเหยี่ยวขาวของหน่วยก็ถูกชักขึ้นไปคู่กับธงนกเรเวนสองหัวบนผืนผ้าสีแดงเลือดอันเป็นธงชาติของดอยซ์ลันด์เพื่อเป็นสัญญาณบอกในระยะไกลว่าเป็นกองกำลังของพวกเดียวกัน

  บริเวณหน้าทวารหลักถูกรายล้อมโดยค่ายกระโจมผ้าใบสีขาวจำนวนหลายสิบ รถม้าและเกวียนขนส่งมากมายต่อแถวแยกกันสามแถวอย่างเป็นระเบียบยาวเหยียดเกือบแตะหลักหนึ่งร้อยเมตรทุกแถวเพื่อรอรับการตรวจคนเข้าเมืองโดยหน่วยทหารตรวจคนเข้าเมือง “ซิลเบอร์ ฟลูเกล” พวกเขาคือสุดยอดทหารภายใต้ชุดโค้ตขนสัตว์สีเทาเข้ม ถูกออกแบบมาอย่างประณีตโดยช่างตัดชุดชั้นนำภายใต้แนวคิดที่ว่าต้องเป็นชุดที่ดูมีความน่าเกรงขามและคำนึงถึงใช้การงานจริงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสวมทับภายนอกอีกชั้นด้วยเกราะเหล็กสีเงินตามส่วนส่วนสำคัญของร่างกาย บางนายก็ปกปิดใบหน้ามิดชิดด้วยหมวกเหล็กและบางนายก็เลือกจะไม่ปกปิด

  หลังจากต่อแถวอยู่นานเมื่อได้รับสัญญาณให้จอด ซิลเบอร์ ฟลูเกลผู้คาดคาตานะในปลอกสีดำคาดด้วยเส้นสีเงินหนึ่งเส้นผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาหาขบวนเกวียนพร้อมทำท่าวันทยหัตถ์เป็นการทักทาย

  “ขออนุญาตตรวจสอบเอกสารและสัมภาระด้วยครับ”

  เมื่อวินซ์ที่เป็นตัวแทนหน่วยพยักหน้าตกลง ซิลเบอร์ ฟลูเกลผู้นั้นก็ส่งสัญญาณมือเรียกคนที่ว่างอยู่ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบ เมื่อได้รับสัญญาณนายทหารสามนายก็เดินเข้ามาและเริ่มสุ่มตรวจสอบสัมภาระในทันที หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้วพวกเขาก็มาสุ่มสัมภาษณ์พวกเราต่อ

  ถ้าหากไม่ใช่เรื่องด่วนจริงๆ แบบถ้าสายแค่วินาทีเดียวก็อาจจะส่งผลเสียร้ายแรงได้ การตรวจคนเข้าเมืองนั้นก็นับว่ายุ่งยากสำหรับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งกับทหารหน่วยอื่นๆ และกับหน่วยซิลเบอร์ ฟลูเกลด้วยกันเอง

  อย่างหน่วยที่ได้รับการว่าจ้างจากกองบัญชาการเสนาธิการภาคตะวันออกแบบพวกเรานั้นพวกเขาจะตรวจสอบข้อมูลจากเอกสารสองแหล่ง แหล่งแรกคือเอกสารสารรับงานจากกองบัญชาการเสนาธิการภาคตะวันออกที่ต้องยื่นตอนขาออกจากเมือง โดยในนั้นจะระบุจำนวนสมาชิก จำนวนสัมภาระและงานที่ได้รับมอบหมายไว้ ส่วนเอกสารแหล่งที่สองคือเอกสารจากม้าเร็วของซิลเบอร์ ฟลูเกลอีกหน่วยที่ประจำการอยู่ที่กำแพงชั้นที่หนึ่ง ในนั้นประกอบด้วยจำนวนสมาชิก จำนวนสัมภาระ ภารกิจที่รับมาและกำแพงชั้นปลายทางที่จะเดินทางไป หากอย่างใดอย่างหนึ่งขาดหรือเกินกว่าที่ระบุไปก่อนหน้าเมื่อไหร่ก็จะต้องแจกแจงรายละเอียดอย่างชัดเจนและหากไม่สามารถแจกแจงได้ก็อาจจะต้องโดนสอบสวนชนิดที่วุ่นวายเกินจะบรรยายแบบรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดได้

  “ยินดีต้อนรับกลับสู่เบียวา ทาร์ช่าครับ”

  พอตรวจสอบความถูกต้องเสร็จสิ้นซิลเบอร์ ฟลูเกลผู้นั้นก็ตบรองเท้าเกาะเหล็กเข้าหากันพร้อมยกมือขึ้นวันทยหัตถ์ให้ก่อนจะปล่อยพวกเราเข้ากำแพงชั้นที่สอง

  “ไม่ว่าจะกี่รอบก็เป็นอะไรที่ชวนบีบไส้สุดๆ เลยแฮะ” คุณมิลล่าผู้เป็นคนคุมบังเหียนเกวียนหันมาพูดเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงโล่งใจหลังจากพ้นระยะของค่ายตรวจการฝั่งหลังกำแพงแล้ว

  “ก็นะ ลองของไม่ตรงกับรายงานสักอย่างสิได้มีบันเทิงแน่”

  “โอย~ อย่าพูดถึงเลยแค่นึกถึงก็ปวดหัวแล้ว” วินซ์ตอบกลับคำพูดของคุณไอแวนไปด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจ

  มีครั้งหนึ่งที่หน่วยของพวกเราโดนกักกันยันฟ้ามืดเพราะลืมสัมภาระไว้ตอนแวะทำธุระที่หมู่บ้านทางผ่านแห่งนึง แน่นอนว่ายอมรับว่าตอนนั้นพวกเราสะเพร่ากันเอง แต่การที่โดนกักแล้วสอบสวนเป็นครึ่งวันกว่าจะคุยกันจนรู้เรื่องระดับแม้แต่หน่วยที่ทั้งหน่วยเป็นถึงอดีตทหารระดับแนวหน้าโดนไปครั้งเดียวยังเอียนกันนี่ยังไงก็คิดว่ามันก็ออกจะเกินไปหน่อยอยู่ดี

  จากบริเวณกำแพงชั้นที่สองเข้ามาอีกสิบนาทีในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงกรมทหารที่ซึ่งต้องมาส่งมอบงานและรายงานผลของภารกิจที่รับมา ในขณะที่ปล่อยให้คนในหน่วยจัดการสัมภาระฉันกับวินซ์ก็เดินทางไปยังอาคารหลักที่ตั้งเด่นอยู่ ณ ใจกลางกรม มันเป็นอาคารสีขาวทรงสี่เหลี่ยมดูเรียบง่ายความสูงห้าชั้นที่มีปลายยอดแหลมห้ายอดชี้ขึ้นฟ้าคล้ายสถาปัตยกรรมกอทิก พร้อมกันตัวอาคารภายนอกก็ถูกแกะสลักด้วยลวดลายตามความเหมาะสมทำให้มันดูมีมิติและสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของเบียวา ทาร์ช่า เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่มีความเฉพาะซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหน

  “บลูทอัลเกรายงานตัวกลับมาจากภารกิจสองศูนย์สาม” วินซ์พูดเช่นนั้นพร้อมยื่นตราประจำตัวของฉันกับเอกสารจ้างวานไปให้พนักงานที่ยืนอยู่หลังโต๊ะกั้นหินอ่อนสีขาว

  เพราะตัวโต๊ะกั้นสูงตั้งหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตร ทำให้ตอนนี้ที่สูงโผล่ไปได้แค่ส่วนหัว เวลาจะทำธุรกรรมอะไรเลยค่อนข้างลำบากจนต้องให้วินซ์เป็นคนจัดการให้เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกันกับในครั้งนี้

  เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รับมันไปกวาดสายตาอ่านและเริ่มเปิดสมุดบางอย่างที่พวกเราไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ผ่านมุมหน้าโต๊ะ

  “ยินดีต้อนรับกลับสู่เบียวา ทาร์ช่าครับ” พนักงานผู้นั้นพูดพร้อมกับคืนตราประจำตัวให้กับวินซ์

  ขณะเดียวกันพนักงานชายอีกคนที่ได้รับสัญญาณมือแบบจำเพาะก็เดินมหาพวกเรา

  “ห้องหมายเลขหนึ่งสองห้า การประชุมจะเริ่มในอีกยี่สิบนาที สามารถเดินตามพนักงานคนนั้นไปได้เลยครับ”

  แม้จะอยู่ในคราบของพนักงานบริการและไม่ได้ติดยศทางทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกๆ คนไม่ว่าจะบริกรหญิงหรือชายก็ต้องผ่านการฝึกแบบเดียวกับทหารประจำการในระดับต่ำสุดให้ผ่านซะก่อน เพราะแบบนั้นแทบทุกคนในที่นี้จึงมีอากัปกิริยาแข็งกร้าวตามแบบทหารแฝงอยู่ ตั้งแต่การยืนไปจนถึงการเดิน ทำให้แม้สถานที่นี้จะถูกตกแต่งให้สวยงามและเรียบง่ายแต่ก็ดูขาดสีสันของชีวิตอยู่พอสมควร

  แต่จะพูดแบบนั้นจากคนที่แต่งชุดสีดำทั้งชุดนี่มันก็คงกระไรอยู่

  “ฉันก็นึกว่าพวกเธอจะมาสายกว่านี้ประมาณยี่สิบนาทีก็เลยเลื่อนนัดออกไปให้ก่อนอีกครึ่งชั่วโมง แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเร็วกันขนาดนี้”

  ในจังหวะที่พวกเราเดินมาถึงประตูห้องหมายเลขหนึ่งสองห้าก็มีเสียงละมุนของหญิงสาววัยกลางคนซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความอาวุโสดังมาจากโถงทางเดินที่พวกเราพึ่งเดินผ่านมากัน

  หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาหาพวกเราพร้อมกับปึกเอกสารในมือหนาหลายนิ้ว ใบหน้าเริ่มมีรอยประทับของวิหคดำปรากฏให้เห็นเล็กน้อย ทว่าเรือนผมสีทองอ่อนนั้นยังคงมันงามและเรียบตรงเป็นระเบียบไม่ต่างจากเครื่องแต่งกายสีเทาเข้มที่เรียบเนียนทุกกระเบียดนิ้ว อินทรธนูรูปดาวแพลเทียมสองดาวซึ่งถูกประดับไว้บนบ่าบ่งบอกถึงยศทางการทหารที่เป็นรองแค่ชั้นพลเอก ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจ้องมองมาทางพวกเราพร้อมกับโบกมือซ้ายซึ่งว่างอยู่มาให้น้อยๆ เป็นการทักทายแบบไม่เป็นทางการ

  “พูดแบบนั้นไม่ต่างจากตำหนิตระกูลที่ให้ความสำคัญกับเวลามากเป็นอันดับหนึ่งเลยนะเทียนน่า” วินซ์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อยแต่ก็ยังคงยื่นมือออกไปรับการทักทายจากคุณเทียนน่า หัวหน้าเสนาธิการฝ่ายยุทธการแห่งกองทัพภาคตะวันออก

  “เกินยังดีกว่าขาดนะ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าพวกเราก็ให้ความสำคัญกับเวลาไม่ต่างกัน”

  “แต่แกก็มาเร็วกว่าเวลานัดไม่ใช่รึไง”

  โดยปกติเหล่าเสนาธิการเป็นกลุ่มคนที่มีโลกทัศน์และความสุนทรีย์กับการใช้ความคิด พิจารณา และตั้งคำถาม ให้ความสำคัญกับเวลาและรีดเค้นประสิทธิภาพของมันออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เสมอชนิดว่าส่วนใหญ่ถ้าทำงานเสร็จแล้วก็มักจะไปใช้เวลาว่างอยู่ในห้องสมุดหรืออ่านหนังสือปรัชญามากกว่าการไปเสพสุขกับงานศิลป์ เพราะฉะนั้นการที่คุณเทียนน่าปรากฏตัวให้เห็นก่อนเวลาประชุมมากขนาดนี้ก็ย่อมต้องมีนัยแฝงบางอย่างอยู่

  “ทำงานส่วนของตัวเองเสร็จแล้วมันก็มีพอเวลาให้ทำอะไรได้บ้างนิดหน่อย นี่อุตส่าห์เผื่อเวลาไว้ให้อีกสิบนาทีสำหรับเรื่องจำเป็นเลยนะ”

  สงสัยว่าวินซ์คงคิดแบบเดียวกันเลยหันมาสบตาก่อนจะพยักหน้าให้แล้วเข้าไปคุยกันในห้องประชุมเพียงแค่สามคน

  “แล้วเรื่องจำเป็นที่ว่าคืออะไร?”

  ทันทีที่ตรวจสอบดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครหรืออะไรที่จะสามารถแอบฟังได้วินซ์ก็เริ่มเปิดประเด็นโดยไม่เสียเวลา

  “ไม่มีอะไรซับซ้อน แค่จะบอกว่ารอบนี้ไม่ได้มีแค่เสนาธิการของกองทัพภาคตะวันออกที่จะเข้าร่วมการประชุมแค่กลุ่มเดียว แต่เป็นแกนกลางกองทัพทั้งหมดที่จะร่วมประชุมน่ะสิ”

  “มากันขนาดนั้นนี่จะมาวางยุทธการถล่มเทือกเขาทุมบารึไง หรือจะปรับโครงสร้างกองทัพ? ถ้าบอกว่าทั้งหมดนั่นมาเพื่อดูแค่แผนที่แผ่นเดียวนี่มันก็เป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเลยนะ เทียนน่า”

  ถึงแม้วินซ์จะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่สายตาที่วาดมองไปกลับเป็นการเค้นคอหาคำตอบเกี่ยวกับพฤติกรรมผิดวิสัยทัศน์ของกองทัพที่ต่อให้เป็นคนนอกได้ยินก็ต้องมีแอบตั้งแง่ไว้ภายในกันบ้าง

  คุณเทียนน่าทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยท่าทีลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับลังเลว่าจะพูดเรื่องนั้นดีรึเปล่า

  “ถ้าแค่เผินๆ ก็น่าจะพูดให้พวกเธอฟังได้อยู่” บรรยากาศที่แผ่ออกมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความตึงเครียดท่ามกลางความเงียบงันที่พวกเรารอฟังเรื่องถัดจากนี้ “สั้นๆ เลยนะ วินเซนต์ ม่านเหล็กเริ่มกลับมาขยายอีกครั้งแล้ว”

  ประโยคสั้นๆ เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมแกนกลางกองทัพทั้งหมดถึงได้มารวมตัวกันที่กองบัญชาการภาคตะวันออกแห่งนี้

  เดิมทีฝั่งตะวันออกเป็นฝั่งที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุดหากเทียบกับที่อื่น เนื่องด้วยภูมิภาคนี้มีพื้นที่ติดกับศาสนจักรอันเป็นศัตรูกันตั้งแต่สมัยก่อนก่อตั้งประเทศ แต่พอเทียบกับภัยคุกคามใหม่ที่อยู่ถัดออกไปจากศาสนจักรแล้ว เรื่องนั้นนับว่าน่ากลัวกว่ามาก มันคือเรื่องของมหาอำนาจทางการทหารอย่างจักรวรรดินอร์ทวินด์ที่เริ่มเปิดศึกขยายพรมแดนอย่างต่อเนื่องมายาวนานมากว่าสิบปีแล้ว แต่ได้ยินว่าช่วงระยะหกปีมานี้มานี้พรมแดนที่ถูกเรียกอย่าง เป็นนัยว่า “ม่านเหล็ก” ไม่ได้ถูกขยายเพิ่มเลย…จนกระทั่งตอนนี้….

  คำถามคือทำไมถึงเป็นตอนนี้ล่ะ?

  แต่ตรงนี้คนที่ดูน่าจะตั้งคำถามมากกว่าทุกคนก็คงจะเป็นวินซ์ที่แม้จะไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอะไรออกมาชัดเจน แต่ดวงตาสีครามคู่นั้นกลับฉายแววไม่พึงประสงค์ ราวกับแค่ได้ยินชื่อนั้นก็อยากจะเผามันให้ไหม้เป็นจุณ

  “สิบวันก่อนหน่วยข่าวกรองของราชรัฐออลอฟมีรายงานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการทหารของนอร์ทวินด์ข้างหลังม่านเหล็ก ถึงจะยังยืนยันไม่ได้แน่ชัดแต่หลักฐานหลายอย่างโยงไปว่าพวกมันน่าจะเตรียมเริ่มปฏิบัติการระดับใหญ่กันอีกรอบ ตอนนี้ฉันพูดได้แค่นี้แหละ”

  “เรื่องนั้นค่อยคุยกันคราวหลังเถอะครับ วินซ์”

  ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้คุยเรื่องนั้นไปก็มีแต่จะทำให้วินซ์ค่อยๆ เดือดดาลและแข็งกร้าวขึ้น อีกอย่างเทียบกันแล้วมันก็ยังค่อนข้างห่างไกลด้วยซ้ำหากเทียบกับงานถัดไปที่จะเริ่มขึ้นในอีกสี่สิบนาทีต่อจากนี้ 

  ได้รับสัญญาณแบบนั้นวินซ์ก็พยักหน้ารับ ลดบรรยากาศอาฆาตลงก่อนเปิดกระเป๋าหิ้วใบเขื่องซึ่งเก็บอุปกรณ์ทำแผนที่ไว้ออก แล้วเริ่มกางแผนที่ลงบนโต๊ะประชุม

  ดวงตามรกตเบนความสนใจไปบนแผนที่ซึ่งกินพื้นที่ของโต๊ะสำหรับรองรับผู้ร่วมประชุมจำนวนยี่สิบสองคนไปเกือบครึ่ง

  “โห่~ ดูละเอียดกว่าที่จำได้ซะอีกนะเนี่ย” มือที่ถูกหุ้มด้วยถุงมือหนังกวาดไปบนแผ่นแผนที่อย่างละเมียดละไมราวกับผู้หลงใหลในงานจิตรกรรม เพียงแค่มองจากภายนอกก็รู้ว่าดวงตาคู่นั้นกำลังดำดิ่งลงไปสู่ห้วงแห่งความคิดของตน “งดงามมาก…งดงามจนฉันอยากเอาไปใส่กรอบแขวนไว้ที่ห้องทำงานเลย”

  “ไว้จะวาดให้เป็นของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษก็แล้วกันครับ”

  ถ้าทำครั้งแรกได้ครั้งถัดไปหลังจากนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะกับกรณีที่สามารถจดจำรายละเอียดของแผนที่ได้ทุกกระเบียดนิ้วอยู่แล้วด้วย แต่ถ้าจะมีปัญหาตรงไหนมันก็คงเป็นเรื่องของมาตรการรักษาความลับกับความขี้เกียจส่วนตัวแหละนะ

  “ถ้าไม่ติดเรื่องมาตรการรักษาความลับฉันก็ยินดีจะจ่ายเงินจ้างเธอวาดอยู่หรอก”

  “แต่จะว่าไปต่อให้แกนกลางทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่นี่เพราะเรื่องม่านเหล็กจริง แต่กับเรื่องนี้ฉันไม่เห็นว่ามันจะสำคัญอะไรขนาดที่แกนกลางกองทัพทั้งหมดจะต้องมาเสียเวลาร่วมประชุมเลยนะ”

  พอวินซ์พูดแบบนั้นก็ชวนให้น่าคิดจริงๆ เดิมทีการประชุมครั้งนี้ควรจะเป็นแค่การประชุมที่มีแค่หัวหน้าและรองเสนาธิการกองทัพภาคตะวันออกเพียงอย่างเดียวเพราะแค่นั้นการตัดสินใจก็มีน้ำหนักมากพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่แกนกลางที่เหลือจะต้องมาสละเวลาให้กับกิจธุระที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับหน้าที่ของตัวเอง

  จริงอยู่หรอกว่าในแง่นึงมันก็ทำให้โฆษณาได้ง่ายขึ้นแต่ถ้าจะมองแค่เรื่องนั้นอย่างเดียวโดยที่มองข้ามเหตุและผลที่เกินเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยมันก็ออกจะเกียจคร้านมากเกินไป

  “เหตุผลมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากหรอก ก็แค่ผลการทดลองใช้งานในสนามจริงมันออกมาดีเยี่ยมแถมตัวอย่างแผนที่ที่ถูกส่งไปยังส่วนกลางก็ถูกใจเสนาธิการหลายฝ่ายมากบวกกับว่าไหนๆ ทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่พอดีก็เลยถือโอกาสมาดูของจริงเองกับตาแค่นั้นแหละ”

  กลายเป็นว่าเหตุผลมันดันง่ายผิดคาดเลยแฮะ…

  “แค่นั้นเองเหรอครับ?”

  “ที่พูดได้ตอนนี้มันก็มีแค่นี้แหละ”

  เพียงแค่สบตาก็เป็นอันเข้าใจกัน ในโลกใบนี้มันยังมีขอบเขตของสิ่งที่คนนอกรู้ได้กับรู้ไม่ได้อยู่ และถ้าหากฝั่งนั้นบอกว่าพูดได้แค่นี้ก็คือแค่นั้นและไม่ควรจะซักไซ้เพิ่มเพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วมันยังจะเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่อีกฝ่ายส่งผลให้เกิดความรู้สึกเชิงลบโดยใช่เหตุ สู้รอเวลาที่เหมาะสมแล้วฝั่งนั้นต้องการเปิดเผยข้อมูลให้เองดีกว่า ซึ่งดูจากรูปประโยคแล้วยังไงก็คงเกิดขึ้นในอนาคตไม่ไกลถัดจากนี้

                                                                                                                      ◇

  “ถ้าในเมื่อมากันครบแล้วผมก็ขอเริ่มนำเสนอเกี่ยวกับแผนที่เขตชายแดนของเบียวา ทาร์ช่าเลยก็แล้วกันนะครับ”

  เด็กชายผู้ครอบครองนัยน์ตาสีอำพันกล่าวเปิดการประชุมทันทีที่สมาชิกแกนกลางกองทัพทั้งหมดมารวมตัวกันจนครบ ในความเป็นจริงการประชุมนี้ควรจะเริ่มขึ้นห้านาทีหลังจากนี้แต่เพราะทุกคนล้วนติดนิสัยในการเผื่อเวลาไว้ห้านาทีเสมอเลยจบลงที่สถานการณ์เช่นนี้

  หากยึดตามกำหนดการเดิมแล้วทุกคนล้วนแค่จะมาลงงานภาคสนามเพื่อตรวจสอบภูมิประเทศแล้วนำไปหารือกันต่อเรื่องปรับโครงสร้างกองทัพของทัพภาคตะวันออกใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังจะแปรเปลี่ยนในภายภาคหน้าเพียงเท่านั้น ทว่าในช่วงก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางมายังเมืองมหาปราการแห่งนี้ก็มีจดหมายเชิญให้มารับฟังการนำเสนอเกี่ยวกับแผนที่ชายแดนแบบใหม่ที่ทัพภาคตะวันออกแอบซุ่มพัฒนามาหนึ่งปีเต็ม

  ตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็มีทั้งตัวอย่างและผลรายงานการทดลองนำมาใช้จริงส่งมาให้ส่วนกลางตรวจสอบตามรอบอย่างสม่ำเสมอและผลลัพธ์ที่ได้ก็ล้วนทำให้ทุกคนพึงพอใจหรือหนักหน่อยก็แทบจะตะโกนสรรเสริญในความงดงามของมัน เพราะขนาดแค่ตัวอย่างแผนที่เพียงแค่พื้นที่ส่วนเดียวก็อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดจำนวนมากชนิดถ้าไม่แนบคู่มือมาให้ดูประกอบก็คงคิดว่าวาดขึ้นมาสั่วๆ โดยพยายามทำให้มันดูมีหลักการ ภายในประกอบด้วยรายละเอียดที่จำเป็นทุกอย่างตั้งแต่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ การแบ่งแยกลักษณะพื้นที่ราบและเนินที่ชัดเจนผ่านความเข้มของสี การเทียบมาตราส่วนที่ละเอียดอ่อนอย่างน่าเหลือเชื่อ เส้นทางที่สามารถเดินทางได้และด้วยวิธีการแบบไหนบ้าง ยาวไปจนถึงกระทั่งเรื่องอาณาเขตของสัตว์ร้ายอย่างเอนกัลเฟอร์

  รายละเอียดระดับที่ว่าถ้าจัดทำกันเองสักห้าปีก็น่าจะได้ความละเอียดเพียงแค่ครึ่งเดียวจากตัวสมบูรณ์ซึ่งกางอยู่ตรงหน้า แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็น่าจะมีเพียงแค่เสนาธิการฝ่ายที่ต้องคลุกคลีกับงานประเภทนี้เป็นหลักอย่างพวกยุทธการหรือพลาธิการที่ต้องวางแผนจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนพลและการจัดการสายส่งกำลังบำรุงกับพวกที่มีสุนทรียภาพส่วนตัวกับเรื่องแนวๆ นี้เท่านั้นถึงจะยอมสละเวลาอันมีค่ามาดู

  แต่ทันทีที่รายงานฉบับเต็มเกี่ยวกับแผนการพัฒนาแผนที่นี้ถูกส่งมามันก็ทำให้ทุกคนแทบจะไม่เชื่อในสายตาตนเอง เพราะในรายงานฉบับนั้นกล่าวว่ามีผู้จัดทำเพียงแค่คนเดียว ไม่มีการเปิดเผยชื่อเพื่อเก็บเป็นความลับ เพราะแบบนั้นเมื่อจดหมายเชิญมาถึงทุกคนจึงตอบรับด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์เพราะหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าคร่าตาของผู้จัดทำคนนั้น

  และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเด็กชายที่น่าจะอายุไม่แตะหลักเลขสองหลักซะด้วยซ้ำ หนักกว่านั้นคืออายุอาจจะน้อยกว่าหลานของใครบางคนที่ร่วมประชุมอยู่ในห้องนี้ด้วยกันซะอีก จุดนี้ไม่ว่าใครก็คงแอบสบถอยู่ในใจว่า’อย่ามาล้อเล่นกันนะโว้ย เห็นเวลาอันแสนมีค่าของพวกตูเป็นของเล่นรึยังไง’กันไม่มากก็น้อย แต่เพราะเห็นแก่เด็กไร้เดียงสาที่ไม่น่าจะรู้เรื่องอะไรเลยทำได้เพียงแค่จดจ่อกับแผนที่ที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเป็นของจริงแท้และละเอียดกว่าตัวอย่างที่ถูกส่งมาก่อนหน้านี้แบบเทียบไม่ติด

ทว่าเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไประดับนึง เหล่าฝ่ายบุคลากรที่ลดความเดือดดาลภายในใจลงได้ก็เริ่มสังเกตจับสังเกตบางอย่างจากผู้นำเสนองานได้และเริ่มซุบซิบกันเบาๆ

  การนำเสนอนี้ถูกดำเนินโดยคนสองคน แกนหลักคือเด็กชายผู้อยู่ในชุดขนสัตว์สีดำดูทรงคล้ายกับทหารม้าแต่ดูมีความทันสมัยกว่าแถมยังดูเนี้ยบยิ่งกว่าชุดทหารที่พวกเราสวมใส่กันอยู่แบบเทียบไม่ติด ส่วนผู้ช่วยเป็นชายหนุ่มร่างยักษ์สายเลือดโยทันซึ่งปกติขนาดจะพบเจอในดินแดนต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์อย่างนอร์ทวินด์ยังหาเจอยาก เป็นคนคอยช่วยเหลืองานจิปาถะต่างๆ ตั้งแต่การนำอุปกรณ์ที่ใช้ในการวาดแผนที่ออกมาไปจนถึงการคอยใช้ไม้ชี้จุดต่างๆ บนแผนที่เพื่อให้ผู้ร่วมประชุมสามารถเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

  พฤติกรรมของทั้งคู่สอดคล้อง ส่งเสริมการกระทำของกันและกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ราวกับการแสดงมหรสพชั้นดีที่ไม่ว่าใครก็ยากจะละสายตา มันไม่ใช่พฤติกรรมที่คนพึ่งรู้จักกันไม่นานจะสามารถทำได้ หรือต่อให้รู้จักกันมานานแต่หากไม่มีความเข้าใจในหลักการคิดของอีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรที่ลื่นไหลขนาดนี้ได้ ดูเหมือนการดูถูกดูแคลนในช่วงแรกจะเป็นการประเมินที่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้งมากเกินไปหน่อย

  ‘ผู้ชายคนนั้นดูคุ้นๆ รึเปล่า?’

  ‘อ่า’

  เริ่มมีหลายคนที่หันไปสนใจชายร่างยักษ์ เพราะรูปลักษณ์ภายนอกและชุดคล้ายทหารของจักรวรรดินอร์ทวินด์ที่เขากำลังสวมอยู่มันช่างดูคุ้นตาหรือไม่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องคุ้นหูมาบ้างจากข่าวลือเกี่ยวกับวีรบุรุษสงครามแห่งจักรวรรดินอร์ทวินด์ที่ก่อการกบฏขึ้นเพื่อต่อต้านซาร์องค์ใหม่ หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่มีร่องรอยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนักนอกจากข่าวแว่วๆ ที่พึ่งผ่านมาประมาณสองสามปีก่อนว่าเจ้าตัวไปก่อตั้งกลุ่มรับจ้างอิสระภายใต้สังกัดของสภาหอการค้า แต่เพราะองค์กรนั้นมีนโยบายไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหากสมาชิกไม่มีการหลักฐานว่ากระทำผิดกฎหมายจึงไม่สามารถยืนยันเรื่องนั้นได้อย่างแน่ชัด

  หากข้อสันนิษฐานที่ว่าชายที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้เป็นอดีตนายพันแห่งนอร์ทวินด์คนนั้นถูกต้อง ก็แทบจะการันตีได้เลยว่าชายคนนั้นคงจะเป็นผู้วาดแผนที่ฉบับนี้ขึ้นมาแน่นอน

  แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเด็กคนนั้นล่ะคืออะไร? ถ้าจะบอกว่าเอามาเป็นหุ่นเชิดมันก็ย่อมต้องมีตัวเลือกที่ทั้งดีกว่าและสะดุดตาน้อยกว่าเด็กอายุยังไม่แตะเลขสองหลักอยู่อีกมากมาย แถมอากัปกิริยาต่างๆ ก็ดูโตเกินวัย การอธิบายฟังแล้วก็เข้าใจ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำปราศจากซึ่งความหวั่นเกรง เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในงานที่ตัวเองกำลังนำเสนอราวกับเป็นผู้จัดทำเอง มองแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนผสมระหว่างนายทหารอาวุโสและนักวิชาการที่ดูลงตัวอย่างน่าประหลาด แต่พอยิ่งมองไปนานๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนความสามารถในการรับรู้ของตัวเองมันเริ่มผิดเพี้ยนไปทีละน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ คำถามก็ยิ่งผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ ราวกับเจาะเจอน้ำบาดาลแหล่งใหญ่

  ฝ่ายยุทธการกับพลาธิการก็เอาแต่จดจ่ออยู่แต่กับการฟังและนั่งไล่อ่านเนื้อหาภายในหนังสือที่ถูกแจกจ่ายมาให้ก่อนการประชุม พวกนั้นคงอะไรก็ได้ขอแค่อธิบายให้ฟังรู้เรื่องและสมเหตุผลก็พอ ส่วนพวกเสนาธิการที่พอจะมีสุนทรียภาพกับของฟุ่มเฟือยก็ดูจะแอบจดจ่อกับชุดที่เด็กคนนั้นสวมใส่อยู่ ส่วนพวกที่สังกัดทัพภาคตะวันออกซึ่งดูเหมือนจะรู้เรื่องอะไรมาอยู่ก่อนแล้วก็แสดงท่าทีราวกับเป็นการประชุมนำเสนอแบบปกติโดยไม่รู้สึกตะขิตตะขวงอะไร

  มาถึงจุดนี้ก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่าฝ่ายกองการข่าวอย่างตนมาทำอะไรที่นี่แทนที่จะไปทำงานอะไรที่มันมีประโยชน์มากกว่านี้อย่างการไปไล่ซักข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ทำแผนที่นี้ขึ้นมา ถึงมันจะไม่ได้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติแต่อย่างน้อยๆ มันก็ยังพอทำให้ความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจตอนนี้มันถูกคลี่คลายลงไปบ้าง

  จะว่าไปหนังสือที่แจกมานี่ก็เขียนออกมาใช้ได้เลยทีเดียว พูดให้ถูกคือนี่มันงานเข้าขั้นวิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตเลยด้วยซ้ำ ขนาดแค่กวาดตาอ่านผ่านๆ ยังสัมผัสได้เลยว่าคนที่เขียนหนังสือฉบับนี้ขึ้นต้องมีประสบการณ์ในการเขียนอะไรทำนองนี้มามากพอดู แต่ต่อให้จะมีประสบการณ์มากมายขนาดนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามารถทำงานละเอียดระดับนี้เสร็จได้ภายในหนึ่งปีด้วยตัวคนเดียว

  การประชุมดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเข้าขั้นตอนส่งมอบแผนที่ ไม่มีใครที่ตั้งคำถามอะไรเกี่ยวกับผลงานชิ้นนี้เพราะทั้งหมดถูกแจกแจงอยู่ในหนังสือหนึ่งฉบับ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เก็บอุปกรณ์ของตนแล้วเดินออกจากห้องประชุมไป ทิ้งบรรยากาศคลุมเครือที่หลายคนยังคงตั้งคำถามในใจไว้ให้ทั้งห้องหมองหม่น

  หลายคนเริ่มนำกล้องยาสูบออกมาจุดไฟ พ่นควันด้วยอารมณ์ว่างเปล่าเพื่อให้สมองมีเวลาจัดเรียงความคิดที่ยังคงยุ่งเหยิงอยู่ หากเป็นการประชุมทั่วไปก็คงจะสูบกันตั้งแต่ช่วงกลางแล้วแต่เพราะเห็นว่ามีเด็กอยู่หลายคนเลยฝืนใจไม่ทำเช่นนั้น ก่อนจะเริ่มการประชุมเกี่ยวกับเรื่องถัดไปทันทีเพราะไหนๆ ก็ได้ของดีมาใช้อ้างอิงแล้ว

  แต่ว่าตรงๆ เลยแม้ว่าการประชุมจะจบมาหนึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังรู้สึกผิดที่แอบดูถูกสองคนนั้นไปในตอนแรก จิตใต้สำนึกมันทิ่มแทงต่อเนื่องกระตุ้นให้อยากที่จะไปขอโทษฝั่งนั้นจากใจจริงสุดๆ ราวกับว่าถ้าไม่ได้ทำแบบนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ ถึงทุกวันนี้จะนอนหรือไม่นอนเลยมันก็ไม่ได้มีค่าต่างกันขนาดนั้นก็เถอะ…

  “อยากขอโทษ? เรื่องอะไรล่ะ?”

  “ตอนแรกฉันหัวเสียเลยเผลอพาลด่าในใจไปน่ะ แต่พอเห็นว่างานดีขนาดนั้นก็อยากจะไปขอโทษขอโพยเจ้าตัวสักหน่อย”

  “งั้นก็ขอโทษไว้ในใจเหมือนตอนที่ด่านั่นแหละหรือถ้าอยากจริงๆ ก็ฝากจดหมายมาทางฉันเอาก็ได้”

  หากสังเกตจากพฤติกรรมหลายๆ อย่างที่ไม่ได้คิดจะปิดบัง เทียนน่าดูจะเป็นคนที่สนิทกับสองคนนั้นมากที่สุด อย่างน้อยก็ในระดับพื้นฐานที่พูดคุยกันได้เพราะฉะนั้นเธอก็น่าจะรู้ข้อมูลที่จำเป็นของอีกฝ่ายอยู่หลายอย่าง

  “งั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน…แต่ขอถามอะไรสักหน่อยได้รึเปล่า?”

  “ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ตอบได้น่ะนะ”

  “เด็กคนนั้น…เป็นเด็กจริงๆ รึเปล่า?”

  พอมีเวลามานั่งคิดก็เริ่มพอเข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเหมือนประสาทรับรู้ของตัวเองมันผิดเพี้ยน คำตอบมันง่ายมาก ก็แค่เพราะไม่เคยเห็นเด็กวัยเท่านั้นทำอะไรแบบนั้นมาก่อน จริงอยู่ที่ในวิทยาลัยการทัพก็มีเด็กมีแววอยู่เยอะแต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในช่วงวัยยี่สิบกว่าหรือแบบต่ำสุดที่มีหลักฐานก็แค่สิบแปด แต่กับเด็กอายุแค่นั้นไม่ว่าใครเห็นก็คงรู้สึกสับสนในหลายๆ ความหมาย บางทีก็อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นพวกฝ่ายยุทธการกับพลาธิการถึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่ถูกแจกจ่ายมาให้กับแผนที่เพียงอย่างเดียว ทั้งหมดก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตั้งคำถามที่ไม่จำเป็นจากการมองเด็กคนนั้น

  ใบหน้านั้นพยักขึ้นลงเล็กน้อย

  “เป็นเด็กจริงๆ และก็ไม่ใช่คนที่นายควรจะไปสืบหาข้อมูลเพิ่มด้วย”

  เพียงแค่คำพูดนั้นก็ทำให้พอเข้าใจขึ้นมานิดนึง มันเป็นคำเตือนอ้อมๆ ว่านั่นไม่ใช่อะไรที่ควรจะเอาตัวลงไปเสี่ยงเพียงเพื่อสนองความสอดรู้สอดเห็นของตน

  “งั้นเหรอ…ถ้างั้นก็เอาตามนั้นก็แล้วกัน”

  แต่ละฝ่ายต่างก็มีข้อมูลที่คนนอกไม่ควรจะรู้อยู่ ถ้าในเมื่อสืบไปแล้วไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติและไม่คุ้มที่จะเสี่ยงชีวิตก็ควรที่จะละความคิดชั่ววูบนั้นลง ยังไงซะที่ประเทศนี้พัฒนามาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะทุกคนรู้จักขอบเขตและหน้าที่ของตนเอง ตราบใดที่มันไม่ใช่การกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ควรที่จะเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ไปก่อน

   ฉันเองก็ยังอยากมีชีวิตอยู่จนกระเษียร ได้ดูหลานโตเป็นสาวอยู่ หรืออย่างดีเลยก็ขออยู่ถึงวันที่เข้าเรือนแหละนะ

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 2 หอสมุดแดนฝัน"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • BLOG
  • CONTACT US
  • ABOUT US
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Sign in

Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Sign Up

Register For This Site.

Log in | Lost your password?

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF

Lost your password?

Please enter your username or email address. You will receive a link to create a new password via email.

← Back to cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF