Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 227
Chapter 227: เมิงเหลียน
กลางดึก
ฟางหยวนในชุดสีดําลอบเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉิน
ในฐานะตระกูลที่ทรงอํานาจที่สุดในมณฑลตงอี การป้องกันของคฤหาสน์ตระกูลฉันค่อนข้างแน่นหนา อันที่จริง พวกเขามีกระทั่งค่ายกลปกป้องครอบอยู่รอบคฤหาสน์ ข่าวลือว่าค่ายกลนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลสวรรค์ห้าธาตุและกระทั่งนักรบศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตแยกธาตุก็ยังถูกกักเอาไว้ได้ช่วงหนึ่ง
โชคร้ายของพวกเขาแล้ว พวกเขาสามารถป้องกันคนนอกได้แต่ไม่ใช่คนของพวกเขาเอง
แม้ว่าค่ายกลสวรรค์ห้าธาตุฉบับย่อนี้จะไม่ได้ร่ายโดยผู้อาวุโสซู ตระกูลฉินครั้งหนึ่งยังเคยเชิญเขามาซ่อมแซมและบํารุงค่ายกล
และไม่รู้เพราะเหตุใด ผู้อาวุโสซูทิ้งจุดอ่อนเอาไว้ในค่ายกลและจดจํามันเอาไว้ในใจ
ดังนั้น การจับตัวตระกูลซูนั้นมีประโยชน์แก่ฟางหยวน
“ใครจะคิดว่าตระกูลฉินจะมีอะไรแบบนี้”
หลังจากเข้ามาในตระกูลฉิน สิ่งที่ฟางหยวนกลัวที่สุดก็คืออันตรายที่เขาสัมผัสได้จากเรือนหลัก
“ไม่ใช่แค่คนคนเดียว แต่เป็นคนทั้งกลุ่ม! พวกเขาเป็นทหารของตระกูลหรืออย่างไร?”
ทายาททุกคนสามารถควบคุมทหารเหล่านี้ได้กว่าห้าร้อย
จากเท่าที่เห็น ทหารของตระกูลพวกนี้ไม่ใช่กองกําลังธรรมดา แต่เป็นกองกําลังเวทย์! กองกําลังเต! หากตั้งเป็นกระบวนทัพ สามารถเทียบได้กับนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับแยกธาตุ
“ไม่ต้องพูดถึงว่า ตระกูลเช่นนี้ย่อมมีเคล็ดวิชาลับที่สืบทอดกันมา ตราบใดที่หนึ่งในพวกเขาได้รับเลือกเป็นทายาท พวกเขาย่อมยอมสละทุกอย่างเพื่อฝึกมือใหม่ขึ้นเป็นอู่จงหรือนักรบศักดิ์สิทธิ์!”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึกและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิด ๆ
ในอาณาจักรต้าเฉียน ทุกตระกูลในทุกมณฑลนั้นมีรากฐานและทรัพยากรที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
แม้เมื่อฮูหยินซูต้องการขึ้นปกครองตระกูลฉิน นางยังต้องลงมืออย่างลับ ๆ กระทั่งตัวนางเองก็หวาดกลัวอํานาจในตระกูล
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาย่อมต้องเปรียบเทียบความบริสุทธิ์ของสายเลือด..”
ฟางหยวนมองเรือนพักของหัวหน้าตระกูลแล้วก็หันกลับ
เป้าหมายของเขาไม่ใช่คนระดับสูงของตระกูล
แต่เป็นฮูหยินใหญ่ของตระกูลฉิน
ที่ด้านนอกเรือนนอนหรูหราหลังหนึ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าสลดและยังมีเสียงให้ดังมา
ทันทีที่พวกเขาได้รับข่าวร้าย ฮูหยินซูก็หมดสติไปจากนั้นทุกคนถึงได้รู้สึกตัว
จุดมุ่งหมายของฟางหยวนที่มาที่นี่นั้นไม่ใช่เพื่อปลอบโยนนาง แต่เพื่อสังหารนาง!
“ตัวข้าเองก็เพียงพอแล้วที่จะรับมือกับตระกูลฉิน!”
เขากระโดดเข้าไปในสวนด้านหลังคฤหาสน์อย่างสง่างามและเผยท่าที่ลึกลับ “ไม่ว่าฮูหยินซูผู้นี้จะวางแผนการใดไว้ ตราบใดที่นางตายไปแล้ว ใครจะยังต่อต้านไม่ให้ฉินอวิ่นขึ้นเป็นทายาทได้อีก?”
“หมอกสะกด!”
แม้ว่าจะมีรัศมีเวทย์อันแข็งแกร่งอยู่รอบ ๆ คฤหาสน์ตระกูลฉินอยู่บ้าง ฟางหยวนก็ไม่ได้ประมาท เขาก้าวเข้าในเรือนก้าวใหญ่ขณะที่หมอกสะกดของเขาแพร่กระจายออกไป
“เคล้ง!”
ภายในห้อง เสียงถ้วยกระเบื้องแตกดังเปรื่องก้องไป
“ฮูหยิน! ข้ายอมสละชีวิตของข้าได้ แต่ท่านต้องดูแลร่างกายตนเองด้วย!”
ซูมองยาวิเศษที่กระจายอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เลือดไหลลงมาจากหน้าผากของเขาแต่เขากลับไม่เช็ดออกเลยสักนิดขณะพูดออกมา
“เหอะ…”
เสียงนุ่มนวลของฮูหยินซูลอยออกมา ขณะที่นางสําลักคําพูดของตัวเอง “ท่านปรมาจารย์ของข้า รวมทั้งท่านพ่อและพี่น้องของข้า…”
นางร่ําไห้อย่างอาดูรไปแล้ว เมื่อเช็ดน้ําตา นางก็มีสีหน้าเด็ดเดี่ยว “เจ้ารู้ไหมว่าใครคือคนลงมือ?”
“พวกเราไม่รู้เลย น่าจะเป็นคนที่พวกเขาเจอระหว่างทาง และคนผู้นั้นก็น่าจะอยู่ที่ระดับเปิดชีพจร!”
คนนอกอาจไม่รู้ แต่ทําไมทั้งสองคนถึงจะไม่รู้?
จ้าวแห่งกลไกที่ได้รับการปกป้องจากอู่จงลับ! หากลอบสังหารได้สําเร็จ คนผู้นั้นอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในระดับเบิดชีพจร หรืออาจจะได้รับความช่วยเหลือจากนักรบศักดิ์สิทธิ์อื่นด้วย!
“พี่น้องฉิน!”
ฮูหยินซูระบุออกมาอย่างเกลียดชัง
นางมักจะแสดงตนเป็นผู้ที่มีไมตรีจิต และไม่เคยเหยียบเท้าผู้ใด มันก็ค่อนข้างชัดเจนเมื่อนางค่อย ๆ คิดถึงผู้ที่เป็นปรปักษ์กับตระกูลซู
แม้ว่านี่จะเหลือเชื่อ แต่มันต้องไม่ผิดไปแน่นอน!
“ใครจะคิดว่าเจ้าเด็กสารเลวสองคนนั้นจะสามารถพลิกสถานการณ์และได้กําลังเสริมที่แข็งแกร่งเช่นนี้มา!”
ฮูหยินซูพูดต่ออย่างเกรี้ยวโกรธ “พรุ่งนี้ ข้าจะไปพบนายท่านผู้เฒ่าและผู้อาวุโสพวกนั้น! ข้าจะให้พวกเขาตัดสินใจ!”
หลังจากการล่มสลายของตระกุลซู ผู้หญิงคนนี้ก็รู้ว่านางต้องพึ่งพาใคร!
อย่างไรเสีย นางก็เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลฉิน ตราบใดที่นางทําให้ตัวเองดูน่าสงสารต่อหน้าผู้อาวุโสพวกนั้นเพื่อให้พวกเขาโมโห นางย่อมสามารถโน้มน้าวตระกูลฉินให้ส่งคนไปจัดการกับคนลึกลับผู้มีความสามารถสูงนั่นได้
ถึงอย่างไรนางก็ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการผูกมิตรกับเหล่าผู้อาวุโสในสิบปีที่ผ่านมานี้
ต่อให้พี่น้องฉินกลับมา นางก็มั่นใจว่าทุกอย่างยังดําเนินไปตามที่นางวางเอาไว้
“ไม่เลว! ไม่เลวเลยจริง ๆ!”
เมื่อประตูเปิดออก ฟางหยวนก็เดินเข้ามา
ขณะที่หมอกสะกดจางหายไป เหล่าคนรับใช้และพ่อบ้านก็ล้มลงหมดสติ
“นั่นใคร?”
ซูฝลุกขึ้นยืนตื่นตัวอย่างเต็มที่
“คนที่มาที่นี่เพื่อสังหารเจ้าอย่างไรเล่า!”
แค่ฝ่ามือง่าย ๆ ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็เลื่อนไหลไปรอบ ๆ ทั้งหมดที่ซูฝรู้สึกก็แรงกดดันมหา ศาลที่หน้าอกของเขา
เขากรีดร้อง เลือดเริ่มไหลออกจากปากและจมูก กระดูกทุกท่อนในร่างแตกออกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นแต่ว่ากลับไม่เกิดเสียงดังมากนัก และเขาก็ล้มลงไปราวกับงูไร้กระดูกตัวหนึ่ง
“แค่ก แค่ก…”
บนเตียง ฮูหยินซูไอออกมาหลายครั้งทันทีที่เห็นฟางหยวน
“อู่จงระดับเบิดชีพจร และยังเคล็ดวิญญาณนี่”
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรวดเร็ว “เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ลอบสังหารขบวนเดินทางของตระกูลซู?”
“ถูกต้อง! ไม่แค่นั้นนะ แต่ขากําลังจะสังหารเจ้าด้วยคืนนี้!”
ฟางหยวนพยักหน้าและยอมรับสิ่งที่ทําลงไป
“พี่น้องฉินเสนอสิ่งใดให้เจ้า?”
ฮูหยินซูถาม น้ําเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“เจ้าไม่จําเป็นต้องรู้เรื่องนี้ เพราะว่า เจ้าตายไปแล้ว!”
ฟางหยวนเดินเข้าไปหานางช้า ๆ และยกมือขวาขึ้น
“เจ้า… แค่กแค่ก… แค่กแค่ก…”
ขณะที่ฮูหยินซูไอต่อเนื่อง หน้าอกของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง และความเกลียดชังในดวงตาของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ
ขณะที่นิ้วของฟางหยวนกําลังจะถึงหน้าผากของฮูหยินซู จู่ ๆ เขาก็หยุดลงและมองไปที่ประตู“เป็นเจ้า!”
“เป็นข้า! เหอเหอ.. พวกเราช่างมีวาสนาต่อกัน! ใครจะคิดว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งวันนี้”
ที่ข้างห้อง สาวใช้ผู้หนึ่งที่หมดสติอยู่ จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะออกมา
ก่อนหน้านี้ สาวใช้ผู้นี้ก็ดูดีแต่ไม่ได้งดงามที่สุด
แต่ว่า ตอนนี้ ไม่มีใครสามารถคิดภาพนางเป็นสาวใช้อย่างที่นางแสร้งทําได้แล้ว
ในสายตาฟางหยวน จู่ ๆ แม่นางงดงามผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
ดวงตาของนางงดงามและมีท่าทางเคร่งขรึม ราวกับนางจุติจากสวรรค์และให้ความรู้สึกราวกับดอกบัวขาวบริสุทธิ์เบ่งบานอยู่บนโคลนตม
กระทั่งฮูหยินซูยังต้องละอายเมื่อเทียบกับนาง
“เป็นแม่นางนั่นเอง!”
ฟางหยวนจําได้ว่าแม่นางผู้นี้เป็นจ้าวแห่งฝันที่เขาพบเมื่อวันนั้น
ไม่ได้รับผลกระทบจากหมอกสะกด น่าย่อมต้องผ่านการฝึกเป็นจ้าวแห่งฝันมา แต่ว่า มันก็ยอดเยี่ยมมากที่นางสามารถพรางตาฟางหยวนและปะปนอยู่ในกลุ่มสาวใช้ได้
“ข้ายังไม่รู้ชื่อท่าน!”
เห็นจ้าวแห่งฝันตัวจริงจากอาณาจักรต้าเฉียนฟางหยวนก็ตื่นเต้น
“ข้าคือเพิ่งเหลียน!”
เพิ่งเหลียนขบริมฝีปากตัวเอง “แล้วท่าน?”
แม้ว่าจะมีอันตรายอยู่ทั่วไปในคฤหาสน์ตระกูลฉิน แม่นางผู้นี้ก็ดูสงบราวกับนางเป็นเจ้าของที่
“ข้าคือฟางหยวน! เพิ่งเหลียน ท่านมาที่นี่เพราะฮูหยินซู? ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ยินดีมอบนางให้กับท่าน!”
ฟางหยวนยักไหล่
สําหรับเขา เรื่องที่สําคัญที่สุดไม่ใช่การครอบครองตระกูลฉิน
ในเมื่อแม่นางผู้นี้เป็นจ้าวแห่งฝัน นางย่อมมีอาจารย์ นางน่าจะมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง และมันก็ไม่ฉลาดที่จะเป็นศัตรูด้วย
“แม่นาง ช่วยข้าด้วย!”
ฮูหยินซูนั้นชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเดียว ตะเกียกตะกายขึ้นจากเตียง นางดึงชุดกระ โปรงของเพิ่งเหลียนเอาไว้ “แม่นาง หากท่านช่วยชีวิตข้า ข้าจะมอบรางวัลให้ท่านเป็นอะไรก็ได้ที่ ข้ามีและข้าจะฟังคําสั่งของท่าน…”
“ปัง!”
ทันใดนั้น นางก็ล้มไปบนพื้น
“เหอเหอ… นี่เป็นแค่ภารกิจหนึ่งเท่านั้น จะเทียบกับคุณชายผู้นี้ได้อย่างไร?”
เพิ่งเหลียนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ให้ผู้หญิงคนนี้เป็นของขวัญจากข้าให้ท่าน ฟังดูเป็นอย่างไร?”
ฟางหยวนยังคงยิ้มแต่ด้านในนั้นตกใจมาก
แม้ว่าเพิ่งเหลียนจะคุยกับเขาอย่างเป็นมิตร แต่การกระทําของนางนั้นบอกได้ว่านางมองชีวิตของมนุษย์มีค่าน้อยเพียงใด
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ในสายตาของนาง มีเพียงจ้าวแห่งฝันที่เป็น “มนุษย์” เหมือนนาง!
“ความมั่นใจนี้
ฟางหยวนถอนหายใจอยู่ข้างใน
จ้าวแห่งฝันในระดับสวรรค์มายานั้นมีอํานาจมากจริง
ที่ระดับสูงขึ้นกว่านี้ จ้าวแห่งฝันที่สามารถสร้างวัตถุหรือกระทั่งมรดกทั้งปวงของมนุษย์
ไม่ต้องพูดถึงว่า ระดับสวรรค์มายายังมีหนทางหลากหลายให้เลือกเดินและทุกหนทางก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งถึงระดับที่จ้าวแห่งฝันเหล่านั้นมีมิตรสหายเพียงน้อยนิด
ด้วยพลังทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นธรรมดาให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง
เห็นตัวเองเป็นเทพเจ้าและเทพผู้สร้าง ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเห็นคนทั่วไปเป็นมดปลวก
กระทั่งแม่นางผู้นี้ก็มีพลังถึงเพียงนี้ แล้วพลังของเหล่าจ้าวแห่งฝันผู้ชั่วร้ายทั้งอาณาจักรต้าเฉียนเล่า?
หลังจากคิดกับตัวเอง ฟางหยวนก็ถามตรง ๆ “ท่านย่อมต้องมีข้อเรียกร้องในเมื่อส่งของขวัญมาเช่นนี้! ท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไร?”
“เยี่ยม! คุณชายฟาง ท่านตรงเข้าเรื่องเลยทีเดียว!”
เพิ่งเหลียนเผยรอยยิ้มยินดี “ท่านดูไม่คุ้นหน้าและน่าจะเป็นจ้าวแห่งฝันคนใหม่ ท่านอยากเข้าร่วมกับ “อาณาจักรแห่งฝัน” หรือไม่?”
“อาณาจักรแห่งฝัน?”
หัวใจฟางหยวนกระตุกแต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่ละ!”
“ถ้าท่านยอมให้ข้าพาท่านไป เช่นนั้น… บอกตามตรง ข้าจะได้คะแนนมากกว่าหากนําสมาชิกใหม่กลับไปเมื่อเทียบกับภารกิจเล็ก ๆ พวกนี้!”
เพิ่งเหลียนมีท่าที่ร่าเริงขณะอธิบาย
ทั้งคู่ล้วนเป็นจ้าวแห่งฝันและสามารถสัมผัสเจตนาของอีกฝ่ายได้ หลังจากครู่หนึ่ง พวกเขาก็พูดจาตรงไปตรงมาต่อกันมากขึ้น
“คะแนน?”
ฟางหยวนถามอย่างสงสัย
“ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องอาณาจักรแห่งฝัน? โอ้ อาจารย์ของท่านไม่ได้บอกอะไรเรื่องนี้เลยหรือ?”
คราวนี้เป็นเมิ่งเหลี่ยนที่ยกมือปิดปากอย่างไม่อยากเชื่อ
“นี่ บอกตามตรง ข้าเพียงโชคดีพบกับมรดกของจ้าวแห่งฝันเท่านั้นเอง!”
ฟางหยวนถูจมูก เขาพูดความจริง แต่เขาไม่ได้เปิดเผยว่ามรดกที่ว่านั้นอยู่ที่ใด ดังนั้น นี่ก็ไม่นับเป็นการโกหกและเพิ่งเหลียนก็ไม่สามารถมองฟางหยวนออกโดยตลอด