Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 253
Chapter 253: หลอกลวง
ในตระกูลหร่วน
คนรับใช้วุ่นวายกับการตั้งโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารอันละเอียดอ่อนสําหรับเลี้ยงฉลอง
หร่วนหมิงอยู่ในห้องรับรองแขก เขาเดินวนไปมา มีสีหน้ากังวล “เหตุใดพวกเขาจึงยังมาไม่ถึงอีก? ไปตามหา!”
“ขอรับ นายท่าน!”
ผู้ดูแลบ้านหลายคนรับคําแล้วขอตัวออกไปทันที
ไม่นานหลังจากนั้น หัวหน้าพ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาในคฤหาสน์อย่างตะลีตะลาน เขาสะดุดเข้ากับธรณีประตูแล้วล้มหน้าผากกระแทกลงกับพื้นจนเป็นรอย “เจ้าตระกูล มีคนส่งจดหมายมาพร้อมกับหยกของคุณชายน้อย!”
หัวใจของหร่วนหมิงเต้นผิดจังหวะไปขณะรักษาท่าที่เอาไว้แล้วอ่านจดหมาย
“ช่างกล้า…”
ในจดหมายมีเพียงไม่กี่คํา หลังจากอ่าน มือขวาของเขาก็เริ่มสั่น “คนผู้นี้ลักพาตัวจวินเซียนไปและต้องการให้พวกเรานําเอาหยกโลหิตฉีหลินของตระกูลหยางไปแลกเปลี่ยน!”
ผู้ดูแลบ้านหลายคนเงียบงัน
หยกโลหิตฉีหลินนั้นเป็นสมบัติของตระกูลหร่วน มันเป็นหยกที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก เพิ่มพลังธาตุ และยังเป็นยาต้านพิษหลายชนิด
“ใครกันที่สามารถ? ตระกูลถั่ว? ตระกูลหลี่?”
หร่วนหมิงเดินย่ําเท้าไปทั่ว “นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน หากศัตรูสามารถจับตัวจวินเซียนได้ นี่หมายความว่าเขาเอาชนะเหอซานถง เสือดําไท่สุยได้ ตระกูลหร่วนเราไปสร้างศัตรูแข็งแกร่งเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เขาไม่อยากเชื่อว่าคนผู้นั้นจะไล่ตามตระกูลของพวกเขาเพียงเพราะเรื่องสมบัติ
“เอาละ ให้ข้าปรึกษากับเหล่าผู้อาวุโสก่อน!”
เขาเป็นคนเด็ดขาดและรีบเดินเข้าหอผู้อาวุโสไป
ส่วนผู้ดูแลหลายคนนั้นก็ได้แต่สบตากันไปมา พวกมันล้วนรู้ว่าหัวหน้าตระกูลตัดสินใจแล้ว เขาย่อมต้องรักษาชีวิตคุณชายน้อยจวินเซียนเอาไว้ อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เพียงบุตรชายแท้ ๆ ของเขาแต่ยังเป็นความหวังของตระกูลด้วย
ในหอผู้อาวุโสตระกูลหร่วน
มันเงียบสงบและมีแปลงปลูกพืชวิญญาณหลายแปลงอยู่รอบ ๆ ปลูกดอกไม้และพืชที่พิเศษเฉพาะ
ที่ริมแปลงพืชวิญญาณ มีกระท่อมฟางหลายหลัง ชายชราสามคนที่ดูคล้ายเป็นชาวนานั่งอยู่ด้านในขณะสูบใบยาและดื่มชา
“คารวะผู้อาวุโส ข้าคือหลานอกตัญญ หร่วนหมิง!”
ทันทีที่หร่วนหมิงไปถึง เขาก็คุกเข่าลงและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น
“พวกเราเคยพบจวินเซียนมาก่อน ต่อไปเขาย่อมต้องบรรลุสู่อู่จงระดับเปิดชีพจรได้และจะเป็นเสาหลักของตระกูลที่มีโอกาสจะแข็งแกร่งกว่านี้ได้…”
เมื่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งสูบยาหมดมวน เขาก็พูดต่อด้วยน้ําเสียงแหบแห้ง “แต่ว่า คราวนี้ ศัตรูของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก กระทั่งตัวข้าเองยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเสือดําไท่สุยได้! ดูเหมือนว่าพวกเราคงจะต้องตามน้ําไป… ชีวิตของมนุษย์ย่อมสําคัญกว่าอยู่แล้ว อย่างไรเสีย มันก็แค่หยกโลหิตฉีหลินเท่านั้น!”
เมื่อพวกเขาตกลงกันได้ เรื่องราวก็ยุติ
“อืม พวกเราเห็นด้วย!”
ผู้อาวุโสอีกสองคนที่ด้านข้างพยักหน้าพร้อมกัน “เพียงให้จําไว้ว่า เจ้าคือผู้รับผิดชอบเรื่องนี้!”
“แน่นอนขอรับ!”
หร่วนหมิงตอบอย่างนอบน้อม หากไม่ใช่เพราะหัวหน้าผู้อาวุโสกับเขานั้นมีสายเลือดเดียวกัน เขาคงไม่สามารถแก้ปัญหาได้โดยง่ายเช่นนี้
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด…”
ผู้อาวุโสอีกสองคนก็เห็นด้วยกับการจัดการเช่นนี้ “เจ้าไปจัดการด้วยตนเองและพวกเราจะตามเจ้าไปอย่างลับ ๆ เหอเหอ… ข้าอยากจะเห็นนักว่าเขาเก่งกาจมาจากที่ใดกัน?”
“ข้าเกรงว่าศัตรูจะเตรียมการเอาไว้แล้ว ถ้าอย่างไร พวกเราควรจะแจ้งบรรพตพันปีเดี๋ยวนี้!”
หร่วนหมิงพูดอย่างเจ้าเล่ห์
บรรพตพันปีนั้นเป็นสํานักที่มีอิทธิพลในรัฐตงเชิงและยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่อยู่ในลําดับมังกรเป็นเจ้าสํานัก!
“ถูกต้อง… อย่างไร เสือดําไท่สุยและจวินเซียนก็มาจากบรรพตพันปี!”
ในด้านอิทธิพลแล้ว บรรพตพันปีย่อมแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลหร่วนเล็ก ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ผู้
สามเห็นด้วย “แม้ว่าความช่วยเหลืออาจจะมาไม่ทันกาล แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย!”
ครึ่งวันต่อมาบนเขาหัววัว
ตามข้อเรียกร้องของฟางหยวน หร่วนหมิงนําของมาส่งด้วยตนเอง
อันที่จริง นี่ล้วนหลอกลวง
หยกโลหิตฉีหลินนั้นถูกยกขึ้นมาอ้างไปอย่างนั้น ด้วยเวลาอันสั้น ตระกูลหร่วนย่อมต้องมาด้วยตนเองและยังไม่สามารถวางแผนใดล่วงหน้าได้ นี่เป็นความตั้งใจของฟางหยวน
บนที่ราบ เขามองเห็นคนสามคนเดินตรงมาทางเขา ที่อยู่ด้านหน้าคือหร่วนหมิง
ด้านหลังเขาเป็นผู้อาวุโสชราที่มีรัศมีพลังอันร้ายกาจ ทั้งคู่เป็นคู่จงขอบเขตเปิดชีพจร
ส่วนหัวหน้าผู้อาวุโส? เขาอยู่ปกป้องตระกูล
อย่างไรเสีย นี่อาจจะเป็นกลยุทธ์หลอกล่อพวกเขาออกไปข้างนอก คฤหาสน์นั้นก็สําคัญและจําเป็นต้องปกป้องเอาไว้
“บิดา…”
หร่วนจวินเซียนที่ติดตามอยู่ด้านหลังฟางหยวนมีสีหน้าสิ้นหวัง วิทยายุทธ์ของเขาถูกผนึกเอาไว้แต่เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใด เขาแบกเหอซานถงที่หมดสติเอาไว้
เมื่อเห็นหร่วนหมิงมาถึง เขาก็ร้องเรียกออกไปแต่แล้วก็รู้สึกละอายขึ้นมา
“จวินเซียน เจ้ากับอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง?”
เห็นแล้วหร่วนหมิงก็ทําได้เพียงถอนหายใจ
“ข้าไม่เป็นไร ส่วนอาจารย์ก็เพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย…คนผู้นี้เป็นอู่จงระดับชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่สาม บิดาระวังด้วย!”
หร่วนจวินเซียนมองฟางหยวนแล้วตะโกนบอกออกมา
ใครจะรู้ว่าฟางหยวนกลับไม่สนใจเขาเลย? ฟางหยวนมองเจ้าตระกูลหร่วน “เจ้าคือหร่วนหมิง? ดีมาก! เจ้านําของที่ข้าต้องการมาหรือไม่?”
“ข้าน้ํามันมาแล้ว!”
หร่วนหมิงเปิดถุงผ้าออก ด้านในนั้นมีฉีหลินสีแดงเขียวเป็นประกาย
“รอเดี๋ยว!”
เห็นฟางหยวนเดินตรงไปทางเขา หร่วนหมิงก็ก้าวเท้าถอยและยกหยกโลหิตฉีหลินขึ้นกลางอากาศ “ข้าจะส่งของให้ แต่เจ้าก็ต้องมอบคนออกมา! หากเจ้ากล้าเล่นตลกใด ข้าจะทําลายของชิ้นนี้และตระกูลหร่วนจะเป็นปรปักษ์กับเจ้าไปตลอดกาล!”
“หึม… ได้อยู่แล้ว!”
ฟางหยวนถอนหายใจและผลักหร่วนจวินเซียนไปด้านหน้า
เมื่อพวกเขาเดินเข้าหากันแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองที่ด้านหลังหร่วนหมิงก็เริ่มรวบรวมพลังธาตุของตน ทําให้สถานการณ์ตึงเตรียดมากขึ้น
ในบรรยากาศเช่นนี้ ทุกคนล้วนตึงเครียดเป็นที่สุด
ตอนที่หร่วนจวินเซียนเดินไปได้ครึ่งทาง ก็เกิดบางอย่างขึ้น
พร้อมกับเสียงหัวเราะคิก ฟางหยวนร่ายก้าวมายาและไปถึงตรงหน้าหร่วนหมิง ตวัดกรงเล็บออกไป!
“เจ้าโจรนี่!”
หร่วนหมิงจ้องมองเขาและเรียกพลังธาตุของตนขึ้นมาเตรียมทําลายหยกโลหิตฉีหลิน
ที่ด้านข้างเขา ผู้อาวุโสสองคนตวาดเสียงดังและแผ่พุ่งพลังของชีพจรศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนออกไป
ทั้งหมดนี้เป็นแผนการที่วางเอาไว้ก่อนแล้ว หากฟางหยวนต้องการฉวยหยกโลหิตฉีหลินไป เขาย่อมต้องรับการโจมตีจากอู่จงขอบเขตเปิดชีพจรทั้งสอง! เป็นแผนการอันสมบูรณ์แบบ!
ฟางหยวนหลบทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ปัง!”
หยกโลหิตฉีหลินแตกเป็นชิ้นอย่างไม่สามารถทําอะไรได้ขณะที่หร่วนหมิงอึ้งไป
“ฮ่าฮ่า… เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าต้องการของสิ่งนี้?”
เขาชี้นิ้วชี้ข้างขวาออกไปพร้อมเสียงหัวเราะ ปราณดาบสีแดงสายหนึ่งปรากฏขึ้น
ปราณดาบนั้นโจมตีได้ไกลเป็นร้อยพันลี้และยังส่องประกายสว่างไสวไปทั่วสิบเก้ารัฐ
“อั้ก!”
การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหมายความว่าการทําผิดพลาดเพียงก้าวเดียวย่อมนํามาซึ่งผลลัพธ์ในการต่อสู้ ขณะที่อู่จงทั้งสองคาดเดาความตั้งใจของฟางหยวนผิดไป พวกเขาก็ต้องหลบปราณดาบด้วยท่าทางอันน่าอับอาย
พวกเขาเสียเปรียบฟางหยวนตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ และตระหนกยิ่ง
“นอนลง!”
ด้านหลังฟางหยวน ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ของเขาก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนไปเป็นเกราะวิญญาณปกคลุมตลอดร่างของเขา เมื่อเขาเข้าไปใกล้ขึ้น เขาก็ตวัดกรงเล็บใส่หร่วนหมิง
ภายในการโจมตีของพลังธาตุระดับหก อู่จงธรรมดาเช่นหร่วนหมิงย่อมทําอะไรไม่ได้มาก ต่อให้ระเบิดพลังธาตุระดับที่สองจากเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนของตนออกมา มันก็ยังไม่เพียงพอ คอของเขาถูกรวบกําไว้ สมองกลายเป็นว่างเปล่า
“บิดา!”
ภายในไม่กี่วินาที ฟางหยวนก็บีบให้อู่จงระดับเปิดชีพจรสองคนถอยออกไปแล้วจับตัวหร่วนหมิงได้
สีหน้าของหร่วนจวินเซียนเปลี่ยนไป ดวงตาแดงก่ํา
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าฟางหยวนนั้นเผยระดับการฝึกตนขอบเขตเปิดชีพจรให้เขาเห็นเพื่อให้เขาหลอกผู้อาวุโสหลายคนของตนต่อและก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
เขาไม่เคยรู้เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้จะอันตรายถึงเพียงนี้!
“อืม… ก็แค่คู่จงขอบเขตเปิดชีพจรสองคน เหตุใดจึงไม่นําพวกเขาไปด้วยเพื่อเป็นการรับประกันให้แก่ข้าเองเล่า!”
หลังจากจับตัวหร่วนหมิงได้ ฟางหยวนก็มองไปทางผู้อาวุโสสองคน และพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายภายในดวงตาฟางหยวน
มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เขาไม่ได้เตรียมการรับเอาไว้ว่าเขาจะสามารถจับตัวสมาชิกของตระกูลหร่วนได้
หลายคน
“เจ้าโจรนี่!”
ในตอนนี้เอง มีเสียงดังมาจากทางตีนเขา และมีผู้คนกลุ่มหนึ่งกําลังตรงเข้ามา
คนที่นําอยู่ด้านหน้าเป็นชายชราผมขาวผู้หนึ่ง ที่ด้านหลังเขานั้นมีหกชีพจรศักดิ์สิทธิ์กําลังก่อรูป ทําให้เขาดูราวกับยักษ์
“เคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุณ? นี่น่าจะเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสที่มีระดับการฝึกตนถึงระดับหนึ่ง! เขาน่าจะอยู่ในลําดับพยัคฆ์!”
ฟางหยวนค่อนข้างตกใจ เมื่อมองไปที่กลุ่มคนด้านหลัง เขาก็พบว่ามีคนชี้นิ้วมาทางเขา
เมื่อแรงสะเทือนจากถ้อยคําของพวกเขาแผ่ออกมา ฟางหยวนก็รู้ว่ากําลังจะเกิดอะไรขึ้น ที่ด้านนอกโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขา หมอกสีเทาพยายามล่วงล้ําเข้าไป
“ซ่า!”
ในวินาทีถัดมา ค่ายกลดาบแปดประตูก็สะเทือนและปราณดาบสีแดงก็เริ่มเปล่งแสงออกมา สลายหมอกสีเทาไปจนหมด
“จ้าวคําสาป?! หรือว่าจ้าวแห่งฝัน?”
ฟางหยวนยิ้ม ด้วยการปกป้องจากจิตวิญญาณในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขา มันจึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการโจมตีจากเจตจํานงเวทย์ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการต่อสู้ระหว่างจ้าวแห่งฝัน ที่สนามต่อสู้หลักก็คือโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของพวกเขา
เมื่อเขามองลงไป เขาก็พบว่าคนส่วนใหญ่พวกนั้นล้วนกระอักเลือดออกมา
“พวกเขาเรียกกําลังเสริมมาสินะ นี่น่าจะเป็นผู้ที่มีความสามารถสูงส่งในมณฑลออู่แล้ว… ลืมมันไปเสีย!”
เขาไม่ต้องการสู้ต่อและเตรียมตัวจากไป
อย่างไรเสียเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีผู้มีทักษะสูงส่งในมณฑลอีอู่เพียงไม่มาก พวกนั้นก็ยังสามารถสร้างปัญหาได้เมื่อร่วมมือกัน
“ไป!”
ก่อนที่เขาจะจากไป เขาก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้น ก็เหมือนกับมีพระอาทิตย์อีกดวงบนฟ้า ปราณดาบจากดาบสีแดงเพลิงนั้นราวกับแสงอาทิตย์ เมื่อมันส่องลงมา มันก็แทรกซึมเข้าไปในต้นไม้และก้อนหิน และขวางกลุ่มคนที่กําลังไล่ตามมาเอาไว้
ทุกคนตกตะลึงและชําลงแม้จะเห็นฟางหยวนหนีเข้าไปในป่า
“ศิษย์พี่!”
ผู้อาวุโสทั้งสองเห็นหัวหน้าผู้อาวุโสและรู้สึกละอาย
“ใครจะคิดว่าเจ้าบ้านั่นกลับต้องการตัวหร่วนหมิง!”
หัวหน้าผู้อาวุโสมีสีหน้าเย็นชา “แม้ว่าข้าจะรีบมาแล้วมันก็ดูเหมือนข้าจะช้าไปเล็กน้อย!”
โดยไม่สนใจเรื่องของหร่วนจวินเซียน เขามองคนข้างหลัง “พี่ฉิงอขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“คนผู้นั้นฝึกฝนทั้งเคล็ดวิญญาณและวิทยายุทธ์และยังมีเจตจํานงเวทย์อันทรงพลังยิ่งนัก เดิมพี่ฉิงอริ้นต้องการร่ายคําสาปให้เขาสับสนแต่ใครจะรู้ว่ากลับเจอการสะท้อนกลับเข้า!”
หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งส่ายหน้า “ตระกูลหร่วนของท่านไปก่อศัตรูร้ายกาจเช่นนี้เมื่อใดกัน? หากข้ารู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่ตกลงยื่นมือมาช่วยแล้ว!”
“ข้าต้องขออภัยเรื่องนี้ด้วย!”
หัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูลหร่วนยิ้มขึ้น “ข้าเองก็สงสัยเรื่องนี้ แต่ว่าวางใจได้ว่าข้าจะไม่นําพวกท่านเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ หลังจากนี้แล้ว พวกเราจะส่งของขวัญชดเชยให้พวกท่าน!”
ได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงหลายคนนี้ที่ยื่นมือมาช่วยก็มีท่าที่เป็นมิตรขึ้นไม่น้อย แต่ในใจของหัวหน้าผู้อาวุโสนั้น เขากระอักเลือดนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว