Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ) - บทที่ 357 - ลานพลัมหวาน
- Home
- All Mangas
- Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ)
- บทที่ 357 - ลานพลัมหวาน
สมิธตกใจเมื่อเขารู้เกี่ยวกับอาหารแห้งตั้งแต่ที่ตระกูลแคลซี่ได้ติดต่อกับชนเผ่าสมิธรู้ดีว่าชน เผ่าพวกนั้นจะชอบสู้รบกันบ่อยๆครั้ง และในขณะที่พวกเขาต่อสู้กันนั้น พวกเขาก็จําเป็นต้องการอาหารแบบนี้ สมิธจึงรู้ดีกับเรื่องนี้ว่ามันสําคัญแค่ไหน
จริงๆแล้ว สมิธไม่ได้คิดว่าเจ่าไห่จะต้องการขายอาหารแห้งในทวีปนี้ ยังไงก็ตามความคิดของเขาก็คุ้มค่าที่จะพยายาม เพราะอาหารกระป๋องค่อนข้างน่าเบื่อ ดังนั้นหากพวกเขาได้กินอาหารว่างพวกเขาอาจจะชอบมัน
แต่สมิธก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับเจ่าไห่และพูดว่า “น้องไห้อาหารแห้งเหล่านี้ ทํามาจากเนื้อแกะ และเนื้อพวกนี้ก็มีคุณค่ามากในทวีปนี้ ทําให้อาหารกลายเป็นอาหารที่ดูเหมือนจะใช่ต้นทุนเยอะเกินไป”
เจ่าไห่ก็ยิ้มและพูดว่า “จริงๆแล้ว อาหารของฉันนั้นไม่ได้ทําจากเนื้อแกะเพียงอย่างเดียว แม้ว่าฉันจะมีธุรกิจที่ทุ่งหญ้า แต่จํานวนเนื้อแกะของฉันก็มีไม่มากนัก นอกจากเหนือแกะแล้ว อาหารแห้งของฉันยังทําจากเนื้อกระต่ายตาสีฟ้าด้วย พี่สมิธน่าจะรู้ว่าเนื้อกระต่ายตาสีฟ้านั้นไม่ได้ขายดีมากในทวีปนี้ ฉันจึงเอาเนื้อของพวกมันมาผสมกับเนื้อแกะด้วย”
สมิธก็ตอบเจ่าไห่ว่า “กระต่ายตาสีฟ้าคืออะไร? นี่เป็นสิ่งใหม่สําหรับฉันเลยนะ ไม่ใช่ที่นิยมเลยนะที่จะใช้กระต่ายตาสีฟ้าในการทําอาหารแห้ง นายท่าแบบนั้นจริงๆงั้นหรอ?”
เจ่าไห่ก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันทําจริงๆ เพราะจํานวนกระต่ายตาสีฟ้าที่ฉันมีมันค่อนข้างเยอะ และพวกมันก็ไม่อาจจะทําให้เป็นอาหารกระป๋องได้ นอกจากนี้ฉันไม่ต้องการที่ขายกระต่ายตาสีฟ้าจนหมด เพราะฉันยังต้องการหนังของมัน”
สมิธก็ยิ้มและพูดว่า “ทําตามที่นายคิดเถอะ การขายอาหารของนายทําให้ทหารรับจ้างเหล่านั้นจําเราได้ไม่ว่านายหรือตระกลแคลซี่ของฉัน”
เจ่าไห่ก็พยักหน้าและพูดว่า “แต่วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่อีกหนึ่งอย่าง เราจําเป็นต้องจัดการกับหนังกระต่ายเหล่านั้นและฉันยังต้องขายผลิตภัณฑ์หลังสัตว์ พี่คิดยังไงกับเรื่องนี้?”
สมิธก็โบกมือและพูดว่า “นายไม่จําเป็นต้องเป็นกังวลถึงเรื่องนี้เลย ฉันจะจัดการมันเอง นายยังคงต้องใช้เวลาในการทําความคุ้นเคยกับสถิติของธุรกิจของนาย และดูว่าใครที่นายสามารถขายสินค้าของนายได้ หากนายมีปัญหาอะไร อย่าลังเลที่จะมาหาฉัน”
เจ่าไห่ก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันจะขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา แต่พี่สมิธฉันอยากรู้ว่าทําไมพี่ถึงดูแลฉันดีขนาดนี้ เราเพิ่งได้เจอกันครั้งแรกเอง?”
สมิธมองเจ่าไห่และถอนหายใจพูดว่า “ก็เพราะนายสมควรที่จะได้มันไง เราเป็นพันธมิตรของกลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดซึ่งได้รับความเสียเปรียบตลอดเมื่อได้เจอกับกิลแห่งความสว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามักจะประสบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพวกเรา เราคิดว่า เป็นเพราะขาดข้อมูลเกี่ยวกับกิลแห่งความสว่าง ข่าวที่นายบอกไว้เมื่อไม่นานมานี้มีความสําคัญมากต่อกลุ่มนักเวทย์ของเรา มันจะทํารู้สึกดีขึ้น”
ตอนนี้เจ่าไห่รู้ว่าทําไมสมิธถึงทําแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมิธนั้นเป็นคนที่ดีจริงๆ ที่มีความคิดแบบนั้นก็เพราะว่าเขาเป็นคนดีมากๆ
จากสิ่งที่เขาเข้าใจจากคําพูดของสมิธตระกูลแคลซี่ถือว่าเป็นของนักเวทย์แห่งความมือ พวกเขารักกลุ่มนักเวทย์แห่งความมืด
เจ่าไห่คิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับเรื่องนี้ ตระกูลแคลซ่อาจจะพูดได้ว่าเป็นตระกูลของนักเวทย์แห่งความมืด การพัฒนาและการล่มสลายของตระกูลของพวกเขามีผลต่อชะตากรรมของนักเวทย์แห่งความมืด พวกเขาจึงไม่อาจจะทนต่ออาชีพตนักเวทย์แห่งความมืดได้ เพราะแบบนี้พวกเขาจึงก่อตั้งกลุ่มนักเวทย์แห่งความมืดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาเป็นนักเวทย์แห่งความมืด พวกเขาจึงรู้ว่านักเวทย์แห่งความมืดไม่ชอบใครบางคนที่เป็นหัวหน้าของพวกเขา พวกเขาจึงตั้งพันธมิตรขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนกัน และทําให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น พอพวกเขาประสอบความสําเร็จกับเรื่องนี้ พวกเขาก็มีนักเวทย์แห่งความมืดและคนอื่นๆก็มาช่วยกัน ในการแก้ปัญหา
กิลแห่งความสว่างงั้นหรอ? ไม่จําเป็นต้องรอพวกเขาทําอะไรก่อน หลังจากที่นักเวทย์แห่งความมืดได้มองกิลแห่งความสว่างว่าเป็นศัตรูหมายเลข 1 แล้ว
เจ่าไห่มองไปที่สมิธและยิ้มพูดว่า “ฉันเกลียดกลแห่งความสว่างมาก ตอนนี้ที่ทุ่งหญ้า ฉันสามารถฆ่าเทพผู้มีพลังระดับ 9 ของกิลได้”
สมิทมองอย่างไม่เต็มใจเขาไม่รู้ว่าเจ่าไห่ได้จัดการฆ่าเทพผู้มีพลังระดับ 9 ของกิลแห่งความสว่าง เรื่องนี้ทําให้เขาตกใจมาก เขามองเจ่าไห่และพูดว่า “นายสังหารเทพผู้มีพลังระดับของกิลแห่งความสว่างจริงๆงั้นหรอ?”
เจ่าไห่ก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ครับ เทพผู้มีพลังคนนั้นมีพลังธาตุไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสําเร็จจากการฝึกของกิล ตอนนี้กลแห่งความสว่างได้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับชนเผ่าในทุ่งหญ้าและให้ความร่วมมือกับเผ่ามูล เพื่อเอาชนะเผ่าเฮคัส และฉันก็ยังได้ช่วยเหลือเผ่าเฮคัส แต่เราก็เอาชนะเผ่ามูลมาได้ นอกจากนี้ฉันยังได้สังหารเทพผู้มีพลังระดับ 9 ของกิลแห่งความสว่างไปด้วย รวมทั้งเผ่ามูลที่ทํางานให้กับกิลแห่งความสว่าง และตอนนี้ฉันก็ได้เป็นราชาของเผ่าเฮคัสอีกคนแล้ว”
สมิธรู้สึกตกใจมากอีกครั้ง ตระกูลแคลซี่ได้ทําธุรกิจกับเหล่าชนเผ่ามาหลายปีแล้ว แต่การได้เป็นราชาของชนเผ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนจากทวีปอื่นทําแบบนั้นได้จริงๆหรอ?
สมิธเป็นคนแรกที่ได้ต้อนรับเจ่าไห่ ตั้งแต่หลังช่วยกลุ่มของนักเวทย์แห่งความมืดแก้ปัญหา และยังเป็นเพราะจดหมายของเบลล์ เบลล์ยกย่องเล่าไฟมากในจดหมายของเขา สมิธจึงตัดสินใจที่จะดูแลเจ่าไห่เป็นอย่างดี
แต่สมิธไม่ได้คิดว่าเจ่าไห่จะทําให้เขาประหลาดใจอย่างต่อเนื่องได้แบบนี้ อย่างแรกเลยก็คือธุรกิจและแนวคิดของเขาเป็นสิ่งที่ดีสําหรับธุรกิจ นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินว่ามีเพียงสองคนที่ได้รับไวน์นมเท่านั้น ตอนนี้สมิธรู้สึกตื่นเต้นมาก
สมิธมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับสัดส่วนของธุรกิจที่ไม่ซ้ํากัน ซึ่งธุรกิจสามารถนําเข้ามาได้และสูงมาก นอกจากนี้เขายังเป็นคนที่มองภาพใหญ่ขึ้น เขาจึงยอมรับธุรกิจนี้ แต่ก็ยังถามว่าเจ่าไห่มีผลิตภัณฑ์อื่นๆไหม เขาต้องการเห็นว่ามีถนนสําหรับธุรกิจที่ดีอีกหรือไม่ที่เขาอยากจะเห็นว่ามีอะไรบ้างที่เจ่าไห่อาจจะมี
หลังจากนั้นไม่นานความคิดทางธุรกิจก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ สมิทรู้สึกกระวนกระวายใจ เนื่องจากธุรกิจนี้ฟังดูธรรมดาและธรรมดาเกินกว่าที่ดูเหมือนว่าไม่มีลักษณะพิเศษเลย
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เจ่าไห่ได้พูดคุยเกี่ยวกับทหารรับจ้างเป็นลูกค้า สมิธรู้ว่าเป้าหมายทางธุรกิจของเจ่าไห่คืออะไร ทหารรับจ้างในทวีปโดยรวมเป็นตัวแทนของกองกําลังที่ไม่สามารถคาดเดาได้
แม้ว่าความแข็งแกร่งของทหารรับจ้างมักมีน้อยมาก สมิธไม่สามารถเพียงแค่ประมาทความสามารถของพวกเขา ตระกูลที่ดีเหล่านี้มีเครือข่ายข้อมูลระหว่างทหารรับจ้างเหล่านั้น พวกเขารู้ว่าทหารรับจ้างที่น่ากลัวจะเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาขึ้นมา
แม้ว่าจะค่อนข้างน่ากลัว แต่ก็มีประสิทธิภาพต่ํา ดังนั้นหากพวกเขาได้อาหารแห้ง ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นอาหารประเภทพิเศษก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับทหารรับจ้าง ไม่มีธุรกิจอื่นใดที่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ทหารรับจ้างได้มากนัก
และในที่สุดเจ่าไห่ก็เปิดเผยว่าเขาเป็นราชาของเผ่าเฮคัสนี้เป็นข้อมูลที่ตี ราชาของทุ่งหญ้ามีตำแหน่งสูงมากในทุ่งหญ้า ไม่ว่านายจะเป็นเผ่าใดก็ตามตราบเท่าที่นายเป็นราชาก็ดีมากของเผ่า แม้แต่เผ่านักรบจะยอมรับคุณด้วยความสุภาพอ่อนโยน นี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงสถานะนี้
แต่ถึงแม้จะเป็นราชา แม้แต่การเป็นสมาชิกของเผ่าก็เป็นเรื่องยากมากที่จะทํา นี่เป็นเพราะชนเผ่าส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจคนจากทวีปอื่น มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนจะเป็นสมาชิกของกลุ่มนักรบชนเผ่า และวิธีการที่คนจะกลายเป็นหนึ่งเดียว สมิทเกือบไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้เขามองเจ่าไห่ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เมื่อมองสมิธ เจ่าไห่รู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ เขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “พี่สมิธบอกความจริงว่าฉันไม่ใช่แค่ราชาของเผ่าเฮคัสเท่านั้นฉันยังมีเพื่อนๆอยู่อีก ธงจากเผ่าหมูก็มี พี่เห็นสัตว์เวทย์ที่ลากรถของฉันไหม? นั่นคือสัตว์ที่มีไหวพริบของเพื่อนของฉัน ฉันมีสัตว์ที่ได้จากแพื่อนด้วย ในทุ่งหญ้า ฉันสามารถมั่นใจได้ว่าฉันจะไม่ถูกโจมตีโดยชนเผ่าอื่นๆ ฮิฮิ.”
สมิธมองที่เจ่าไห่ เรื่องนี้ใหญ่มาก พวกเขาไม่คิดว่าเจ่าไห่จะมีความสามารถแบบนี้และจะไม่ถูกโจมตีโดยชนเผ่าเลย นี่เป็นความฝันของพ่อค้าทุกคน
สมิธฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้นสักครู่แล้วหันไปหาเจ่าไห่และถามว่า “น้องชาย ฉันรู้ได้ไหมว่าเพื่อนๆ เหล่านี้มีชื่ออะไรบ้าง ที่นายกําลังพูดถึง?”
เจ่าไห่รู้ว่าสมิธไม่มีความคิดที่อยากจะรู้จักเพื่อนของเจ่าไห่เท่านั้น หลังจากที่ทุกคนไม่ยอมให้เพื่อนๆ ของเขาเป็นเพื่อนของเขา แต่เขาไม่ต้องการปกปิดความจริงจากสมิธ เขาจึงอธิบายให้สมิธทราบว่าเพื่อนๆชื่ออะไน สมิธเข้าใจว่าธงที่ชนเผ่าของพวกเขาได้มาก่อนเป็นแค่ธงธรรมดา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่งสมิธเข้าใจเรื่องใหม่ระหว่างชนเผ่าในเวลานี้ฟิลก็เข้ามาพูดกับสมท และเจ่าไห่ว่า “นายน้อยเวลส์อาหารพร้อมแล้ว กรุณาไปนั่งที่ห้องอาหาร
สมิธลุกขึ้นยืนพร้อมกับเจ่าไห่และพูดว่า “น้องไห่ไปเถอะมาลิ้มลองอาหารของพ่อครัวของคฤหาสน์ของฉัน ฟิลค่านับและพูดว่า “มันอยู่ทางลานพลัมหวาน คนรับใช้ของนายน้อยถูกส่งไปที่ลานแล้ว”
สมิธพยักหน้าแล้วหันไปหาเจ่าไห่และพูดว่า “นายจะอยู่ภายในลานพลัมหวาน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คนของนายยังถูกส่งไปที่นั่น นั่นคือลานที่เป็นอิสระและเป็นที่ห่างไกลจากบ้านหลังใหญ่ ลานที่จะใช้สําหรับนายและคนเดียว ถ้านายต้องการฉันเพื่อบางสิ่งบางอย่างไปบอกฉันหรือลุงฟิล ลุงฟิลดฉันโตขึ้นเขามีความไว้วางใจมากที่สุด ถ้านายต้องการอะไรก็บอกเขาและเขาจะช่วยนาย”
เจ่าไห่ยิ้มและพูดว่า “ดีฉันจะจํามันได้ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้” หลังจากพูดคุยพวกเขามุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารของคฤหาสน์ ห้องอาหารของคฤหาสน์ได้ถูกวางไว้กลางลานทั้งหมด ห้องโถงใหญ่มากมีสถานที่สําหรับคนธรรมดากินอาหารสถานที่สําหรับตระกูลกินสถานที่สําหรับผู้เฒ่าที่จะกิน และในที่สุดก็เป็นสถานที่สําหรับแขกที่มากิน
จบบทแล้วนะครับ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ