Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ) - ตอนที่ 370 - กิลแห่งความสว่าง
- Home
- All Mangas
- Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ)
- ตอนที่ 370 - กิลแห่งความสว่าง
ทุกคนทําได้แค่ดูเท่านั้นและก็ไม่ได้พูดอะไรสักคํา ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิก็ได้รับคําสั่งจากตระกูลแคลซี่ให้ไปประชุมสภาตอนนี้เลย และที่นั่นตอนนี้ลออนก็ได้ถูกประกาศว่ามีความผิดและก็ถูกปลดออกจากตําแหน่งผู้ปกครองหรือขุนนางชั้นสูงนับตั้งแต่ที่ศาลตัดสินในตอนนี้ เขาไม่ใช่ขุนนางอีกต่อไป นอกจากนี้เขายังไม่อาจจะระดมกองกําลังของจักรพรรดิไปไหนได้ด้วย
ในขณะเดียวกัน เมื่อค่าตัดสินที่ลงมาจากตระกูลเซรี่และตระกูลแคลซีนั้น มันก็ได้เริ่มแสดงผลของมันแล้ว ในเวลาแค่สามวันอานาจและอิทธิพลของลิออนก็เหมือนจะหมดไปแล้ว สิ่งที่แปลกก็คือตระกูลแคลซี่และตระกูลเซรี่ทําแบบนั้นได้โดยที่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับพวก
เขา
และเรื่องนี้เองมันก็ทําให้ทั้งสองตระกูลรู้สึกว่ามันแปลกๆ พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลิออนนั้นกําลังทําอะไรอยู่ ลออนจะยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ไหม? ทุกอย่างไม่ได้มีอะไรที่แน่นอนเลย จากสิ่งที่ลออนได้แสดงก่อนหน้านี้ มันก็ทําให้เห็นได้ว่าเขาพยายามที่จะสู้ต่อ และคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่นอน
ถึงกระนั้นก็เถอะทั้งสองตระกูลก็ไม่ได้คิดอะไรมากและรีบไปที่ดินแดนของล้ออนทันที พวกเขาได้ล้อมรอบคฤหาสน์ของลออนไว้แล้ว แต่ก่อนที่พวกเขาจะบุกเข้าไป คฤหาสน์แห่งนี้ก็ลุกเป็นไฟ! ทุกคนที่นั่นทําได้แค่ยืนมอง หลังจากที่ไฟดับลงกองทหารก็รีบเขาไปในคฤหาสน์ทันที แน่นอนว่าคฤาสน์ทั้งหลังถูกไฟไหมไปทั้งหมดและยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่อาจจะหาข้อมูลของลิออนได้เลย และก็สิ่งที่สําคัญที่สุดตอนนี้เลยก็คือคนในตระกูลของลิออนรวมถึงตัวเขาเองด้วยได้หายตัวไปอย่างลึกลับ!
การหายตัวไปของลิออนทําให้คนในจักรวรรดิโรเซ่นอยู่กันด้วยความสับสน พวกเขาไม่คิดว่าลิออนจะทําอะไรแบบนี้ได้ มันเป็นอะไรที่ยอดเยื่อมมาก เขาทําให้ตระกูลแคลซี่และตระกูลเซรี่ และก็คนในทวีปทุกคนไม่อาจจะรู้ว่าเขาหายไปไหน
คนเดียวที่รู้ว่าเขาหายไปไหนคนเดียวเลยก็คือเจ่าไห่ เจ่าไห่ได้ส่งนกอินทรีย์ของเขามาเพื่อดูดินแดนของลิออนแล้ว เจ่าไห่ไม่ได้ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ และเขาก็ไม่ต้องการที่จะได้รับผลประโยชน์ใดๆด้วย แต่เขาเองก็เห็นได้ชัดว่าเป็นศัตรูของลิออน ถ้าหากลิออนหนีไปได้เจ่าไห่ก็ไม่อาจจะนอนหลับได้สนิท เจ่าไห่ได้สั่งนกอินทรีย์เพื่อไปดูลิออนและก็เพื่อให้แน่ใจว่าลิออนจะไม่สามารถหนีเขาไปได้
และสิ่งที่เขาได้เห็นจากลิออน ก็คือลีออนได้ติดต่อกับกิลแห่งความสว่างและเจ่าไห่ก็คิดว่าการที่ลิออนสามารถหนีไปได้ในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเพราะกิลแห่งความสว่างแน่นอน
แม้ว่าคําสอนของพวกเขาจะอ่อนแอมากในจักรวรรดิ แต่ก็ไม่ควรลืมว่าตอนนี้พวกมันเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในทวีป จักรวรรดิโรเซ่นไม่ยอมให้กิลแห่งความสว่างเปลี่ยนคนของพวกเขาให้เชื่อในศาสนาพวกเขา มันก็เลยทําให้รู้สึกว่าอิทธิพลของกิลแห่งความสว่างนั้นอ่อนแอมาก ในจักรวรรดิโรเซ่น
ในครั้งนี้ผู้มีพลังระดับ 8 ทั้งหมดถูกส่งไปช่วยเหลือลออน ในขณะเดีวกันพวกเขายังซ่อนความลับของพวกเขาไว้ในคฤหาสน์เพื่อไม่ให้ใครรู้กับสิ่งที่พวกเขากําลังทํา มันเป็นเพราะความช่วยเหลือของคนที่ซ่อนตัวอยู่ ลีออนสามารถที่จะออกจากจักรวรรดิโดยที่ไม่ให้ใครรู้ก็ได้
เจ่าไห่ไม่อาจจะหยุดลออนและสิ่งที่กิลกําลังทําได้ แต่ก็คอยมองดูอยู่ตลอดเวลา เจ่าไห่ไม่ได้เข้าไปหยุดการทําเรื่องร้ายของพวกเขา เพราะเขาต้องการเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกิลในจักรวรรดิโรเซ่น
และก็ไม่ได้มองหาอีกต่อไป ดูเหมือนว่ากิลจะมีคนอยู่ในจักรวรรดิโรเซ่น มีคนอย่างน้อย 10,000 คนกระจายอยู่ในที่ซ่อน และก็มีคนที่อยู่ในหมู่พวกเขา มีแม้กระทั่งคนที่เป็นขุนนาง ซึ่งพวกเขาไม่เคยได้เปิดเผยตัวตนของพวกเขาเลย
สิ่งที่เจ่าไห่ไม่เข้าใจก็คือแรงจูงใจของกิลที่ต้องในคนมากมายเพื่อช่วยลิออน มันเป็นเพราะสมบัติของลิออนงั้นหรอ?
ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าสมบัติที่ลิออนมีนั้นมันมีอยู่มากมายเลยจริงๆ จากสิ่งที่เจ่าไห่คิดออกมามันจะสูงถึงหลาย 1,000,000 เหรียญทองเลย แต่เงินจํานวนนี้ก็ไม่น่าจะเพียงพอสําหรับกิลแห่งความสว่าง ที่จะจ้างคนจํานวนมากมาเพื่อดูช่วยลออน เราน่าจะรู้ว่ากลแห่งความสว่างกําลังเสี่ยงต่อการทําลายล้องทุกคนภายในจักรวรรดิโรเซ่นด้วยการทําเรื่องแบบนี้
แต่เมื่อได้คิดอีกนิดหน่อยแล้ว เจ่าไห่ก็เข้าใจว่าทําไมกลแห่งความสว่างถึงทําแบบนั้น มันเป็นที่พอใจของสมาชิกในกิลที่เป็นอัศวิน! กลุ่มนี้มีคนในกลุ่มที่เป็นขุนนางทั่วทุกทวีปต่างๆ แม้ว่าตำแหน่งของพวกเขาจะไม่สูงมากในทวีปที่ไปอยู่ แต่ก็ยังมีผู้ที่ยืนในระดับเดียวกันกับลิออนด้วย
ตอนนี้ถ้าลิออนแพ้ไป โดยที่ไม่ได้ถูกช่วยไว้จากกิล มันจะส่งผลอย่างไรต่อกิล พวกเขาจะยังคงช่วยกิลต่อไปไหม? และเพื่อเอาใจผู้คนเหล่านี้ กิลจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปช่วยลีออน
จากสิ่งที่สรุปได้ก็คือ กิลแห่งความสว่างนั้นได้ตัดสินใจใช้กําลังทั้งหมดของเขาเข้ามาภายในจักรวรรดิโรเซ่นเพื่อช่วยลออน ในขณะที่ส่งนักเวทย์ผู้มีพลังระดับ 8 มา การระดมกําลังคนนี้ไม่ใช่เรื่องยากของกิล หากกิลไม่ได้กลัวเทพผู้มีพลังระดับที่ 9 ของจักรวรรดิโรเซ่น
เจ่าไห่ไม่ได้เคลื่อนไหวทันที เพื่อจัดการคนเหล่านั้นในกิล เจ่าไห่รู้ดีว่ากิลต้องการให้ลิออนออกจากจักรวรรดิโรเซ่นและวิธีที่ดีที่สุดก็คือการออกจากทวีปและไปยังที่ที่ห่างไกล แต่จักรวรรดิโรเซ่นถูกยึดครองโดยจักรวรรดิทั้งสองไปทางทิศเหนือและทิศใต้และเส้นทางไปสู่อาณาจักรทั้งสองนั้นเป็นเหมือนคอขวด หากพวกเขาผ่านเส้นทางนั้นมันจะเป็นเรื่องง่ายมากที่พวกเขาจะถูกเจอ
และในทางกลับกันชายฝั่งของจักรวรรดิโรเซ่นนั้นยาวมาก และไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มากนัก ตราบใดที่พวกเขารู้ตารางการลาดตระเวนของกองทัพเรือของจักรวรรดิโรเซ่น มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะออกไป
เจ่าไห่ก็เพียงแค่ตามพวกเขาไปและจดไว้ว่าใครเป็นคนที่ช่วยเหลือลออนไป หลังจากที่เขาจัดการกับลออนแล้ว เขาจะให้ชื่อเหล่านี้กับตระกูลแคลซี
เจ่าไห่รู้ว่าตระกูลแคลซี่ไม่ต้องการให้เขามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเขาต้องการให้เจ่าไห่ได้เห็นถึงพลังของตระกูลของพวกเขา แต่เจ่าไห่ก็ยังต้องการที่จะแสดงความสามารถของเขา เขาต้องการทําให้ตระกูลเป็นที่รู้จักว่าเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งและไม่ใช่ตระกูลเล็กอีกต่อไป
ในเวลาเดียวกันนอกจากการตามลิออนไปแล้ว เจ่าไห่ก็ทําสิ่งอื่นเช่นกัน มันเป็นการกําจัดทุกสิ่งที่ลออนจะเอามาใช้ให้มันใช้ไม่ได้
จริงๆ แล้วไฟในคฤหาสน์ของลิออนนั้นก็เกิดจากเจ่าไห่ เมื่อลออนหนีไป เขาได้หนีออกไปด้านหลังของคฤหาสน์ และมันก็ทําให้ตระกูลแคลซีและตระกูลเซี่ไม่อาจจะเอาอะไรออกมาได้มากนัก เพราะพวกเขาจําเป็นต้องรีบ มีสิ่งดีๆมากมายที่ไม่ได้นําออกมาเช่นเฟอร์นิเจอร์และสิ่งที่ชอบ เนื่องจากเขาไม่สามารถออกไปพร้อมของทั้งหมดของเขา ลีออนไม่คิดว่าคฤาสน์ของเขาจะถูกเผา เขาคิดแค่ว่าจะให้ทั้งสองตระกูลเข้ามาและไม่เจอตัวเขา มันจะทําให้ทั้งสองตระกูลสับสนมาก
แต่เจ่าไห่จะทิ้งของดีๆเหล่านั้นได้ยังไง? เจ่าไห่จึงได้เอาพวกมันทั้งหมดเข้าไปในมิติ และเมื่อตระกูลแคลซี่มาถึง เจ่าไห่ก็ตัดสินใจที่จะเผามันทิ้ง!
ในมือของล็ออนนั้นเป็นแหวนมิติ เขาเอาของมีค่าทั้งหมดไปไว้ในมิติแล้วเขาก็ออกไปทันที
ผู้ที่เข้าไปช่วยเขานั้นมีเพียงไม่กี่คน แต่ซึ่งมีคนอีกมากที่ซ่อนตัวอยู่ในจักรวรรดิโรเซ่น พวกเขามีชีวิตอยู่ทุกวันในการทําธุรกิจของพวกเขา พวกเขาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจในจักรวรรดิโรเซ่น
สิ่งนี้ทําให้ลิออนสามารถหนีออกจากดินคฤหาสน์ของเขาได้ง่ายมากๆ หลายครั้งแล้วที่เขาได้รับการปกป้องจากคนเหล่านี้ ขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กๆที่อยู่ติดกับทะเล
เมืองนี้ไม่เหมาะสําหรับการท่าเรือ อย่างไงก็ตามเมืองแห่งนี้ได้สร้างท่าเรือเล็กๆไว้ ซึ่งไม่เพียงพอสําหรับเรือลําใหญ่ที่มารับคนที่มียศสูงๆได้
ขณะที่ยังอยู่บนถนนล็ออนได้ระวังตัวเป็นอย่างมาก เขาทําตัวเองให้เหมือนกับพ่อค้า และเข้าพักโรงแรมธรรมดาๆ เดินทางตามปกติและไม่ได้รีบไป เพื่อไม่ให้มีใครสงสัย
เป็นเรื่องน่าเสียดายสําหรับเขาที่เจ่าไห่ยังมีชีวิตอยู่ เจ่าไห่เห็นสถานที่ทั้งหมดที่ลิออนอยู่ นั่นน่าจะเป็นที่ซ่อนตัวของกิลแห่งความสว่าง เนื่องจากสถานที่เหล่านี้ถูกใช้เป็นที่กําบัง มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีข้อบกพร่องในการทําอะไรเลย แน่นอนว่าเจ่าไห่ยังได้จดบันทึกสถานที่เหล่านี้ไว้ด้วย
เมื่อลออนก้าวไปข้างหน้า เจ่าไห่ก็รู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ เส้นทางที่กิลแห่งความสว่างจัดขึ้นก็ดูเหมือนจะไม่มีจุดหมาย พวกเขาไม่ถูกสงสัยเลยแม้แต่น้อยพวกเขาทํามันได้อย่างไม่ต้องมีใครสงสัยเลย
เมื่อกลุ่มของลิออนมาถึงเมืองเล็กๆ ลออนก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น สิ่งเดียวที่พวกเขาทําได้ก็คือขึ้นเรือลําเล็กๆที่นี่และไปขึ้นเรือใหญ่กลางทะเล หากพวกเขาทําแบบนั้น พวกเขาก็จะปลอดภัย และไม่เป็นที่สงสัยอีกด้วย
ตระกูลขุนนางเล็กๆถูกเรียกว่า ยูจีนแซ่ พวกเขามีชุดประจําตระกูล ภายในจักรวรรดิโรเซ่นตระกูลของพวกเขาไม่มีความสําคัฯเท่ากับตราสัญลักษณ์
เจ่าไห่มองดูตระกูลยูจีนแซ่อย่างเงียบๆ เขาไม่ต้องการที่จะทําอะไรในตอนนี้ เนื่องจากเจ่าไห่ไม่ต้องการให้ลออนรู้ว่าเขามาที่นี่ ถ้าเขาจู่โจมหรือทําอะไร มันจะเป็นที่ดึงดูดความสนใจเอามากๆ และเขาอาจจะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีได้!
สิ่งที่ลออนเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ ตระกูลแคลซีและตระกูลเซรี่ ขุนนางคนอื่นๆไม่สนใจเลยว่าลิออนจะมีชีวิตรอดได้ไหม? ท้ายที่สุดแล้วลออนก็กําลังหนีออกจากโรเซ่น
ด้วยเหตุนี้ความพยายามของตระกูลแคลซี่ในการหาตัวลิออนจึงไม่เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ อาจจะบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรเลย
แต่เจ่าไห่ก็ได้ตามลิออนมาหลายวันแล้ว เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกเขาไม่ได้ไปเจอกับสมิท เจ่าไห่เอาแต่อยู่ในมิติเพื่อสังเกตการณ์ของล้ออนทุกการเคลื่อนไหว
ลอร่ากับเม็กรู้ดีว่าเจ่าไห่กําลังทําอะไรอยู่ พวกเธอจึงไม่รบกวนเจ่าไห่ พวกเขายังคงติดตามเมแกนไป เมืองสกายนั้นสามารถเดินเล่นไปรอบๆได้อีกหลายวัน ในเวลานี้พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวของราชาของเมืองแล้ว
เมแกนเห็นว่าเจ่าไห่ไม่ได้ออกไปข้างนอกหลายวันแล้ว มันทําให้เธอรู้สึกอยากรู้อยากเห็น และถามลอร่าว่าเกิดอะไรขึ้น ลอร่าเพิ่งยิ้มและพูดว่าเจ่าไห่ยุ่งอยู่ แต่สิ่งที่เจ่าไห่กําลังทําอยู่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร
เมแกนมองที่ลอร่าและไม่ได้ถามอะไรอีก เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะอยากรู้มากเกินไป แต่มันก็ทําให้เธออยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเกี่ยวกับเจ่าไห่ เธอคิดว่าสถานะของการเป็นเจ่าไห่ถายในบ้านตลอดเวลานี้มันน่าจะอึดอัดมาก เธอนึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ออกไปข้างนอกหลายๆวันมันจะเป็นยังไง?
แต่เท่าไหก็ไม่จําเป็นต้องรออีกต่อไปในที่สุดลิออนก็มุ่งหน้าสู่ทะเล สําหรับเจ่าไห่ นี่ก็หมายความว่าการต่อสู้ของเขากําลังจะเริ่มขึ้น
กลุ่มของลิออนไม่ได้ในเมืองเล็กๆนานมากนัก นั่นเป็นเพราะพวกเขาต้องการออกจากแผ่นดินแห่งนี้ หากอยู่นานเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาเห็นอิทธิพลของตระกูลแคลซี่ ที่สามารถทําได้ พวกเขาจึงต้องการออกจากโรเซ่นให้เร็วที่สุด
ลิออนใช้เวลาเพียงหนึ่งวันในการพักผ่อนกับตระกูลยูจีนแซ่ วันต่อมาพวกเขานั่งเรือเล็กลําหนึ่งออกไปที่ทะเล ในตระกูลของลิออนมีเพียง 31 คนเท่านั้น คนน้อยแบบนี้มันก็ดีกว่าที่พวกเขาจะเดินทางมันทําได้ง่ายกว่าคนหมู่มาก
เรือแล่นออกไปช้าๆและอีกไม่นาเจ่าไห่ก็สามารถเห็นเรือล่าใหญ่ที่อยู่ใรทะเลได้ เมื่อเทียบกับเรือที่เง่าไห่เอามา มีขนาดใหญ่กว่ามาก
อีกสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นก็คือเรื่อถูกหุ้มด้วยเกราะดูเหมือนมหาสมุทร นอกจากความสามารถในการขนส่งสินค้า เรือนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วย
เจ่าไห่ดูเรือนั่นด้วยความระมัดระวัง บนยอดเรือมีธงที่เป็นสัญญาณลักษณ์ของเรือเดินสมุทร และบนเรือก็มีตัวอังษรสามตัวอ่านว่าโพไซดอน!
เกราะของเรือมีความแข็งแรงมาก บนเรือมีปืนใหญ่เวทย์ด้วย ดูเหมือนว่าบนเรือนั่นจะมีลูกเรือมากกว่า 1,000 คน และก็ดูเหมือนว่าจะกําลังยุ่งมาก
ปกติแล้วเรือส่วนใหญ่จะมีความพร้อมในการขนส่งสินค้า จากสิ่งที่เจ่าไห่เห็นเรือล่านี้ถือเป็นเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่มาก
นี่เป็นเรือที่ดีมากเลยทีเดียวมันเป็นเรือที่เจ่าไห่กําลังต้องการ ในตอนนี้และโชคดีมากที่กิลส่งมาให้เขา เจ่าไห่ก็ไม่ได้คิดที่จะทําอะไรตอนนี้ แต่ถอนหายใจเมื่อคิดว่าองค์กรของกิลแห่งความสว่างมีดีแค่ไหน พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของซาตานอย่างแท้จริง พวกเขาให้สิ่งที่คุณต้องการทุกอย่าง
((ผู้แปลขอใช้ค่าว่าซาตานแล้วกัน เพราะเห็นว่ากลแห่งความสว่างนั้นมีเบื้องหน้าที่ดีงาม แต่ภายในนั้นเป็นเหมือนกับความมืดที่ซ่อนอยู่))
ในตอนนี้ลออนและตระกูลของเขาเริ่มขึ้นเรือไปและเมื่อเริ่มล่องเรือ เจ่าไห่รู้ว่านี่เป็นเวลาที่เขาจะปรากฏตัวออกไปได้แล้ว เขาก็ออกจากมิติไปทันที
โดยปกติแล้วเขาไม่ได้ปรากฏบนเรือทันที นี่เป็นครั้งที่เขาใช้หมอกมืดๆ เพื่อล้อมดาดฟ้าก่อนที่เขาจะปรากฏตัว เมื่อเห็นเงาของเขา เจ่าไห่ก็ถือไม้เท้าภูติไว้ในมือแล้ว ไม่นั้นก็ไม่ได้มีลักษณะที่พิเศษอะไร แต่มันก็มีโครงกระดูกพร้อมกับกระโหลกอยู่ด้านบน
ชายคนหนึ่งปรากฏตัวบนโพเดียดอนที่ถือไม้เท้าหัวกระโหลก และสวมเสื้อคลุมสีดําผู้ที่ไม่สามารถเห็นได้ว่าเจ่าไห่เป็นจอมเวทย์
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้จัก ผู้คนบนเรือจึงเริ่มตอบโต้ต่อเจ่าไห่โดยเฉพาะลิออน เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เจ่าไห่สวม เขาเองก็ไม่รู้จะตเองทํายังไง แต่เปลี่ยนท่าทางของเขา
นี่ไม่ใช่เพราะลิออนกลัวนักเวทย์แห่งความมืด สิ่งที่เขาคิดคือคนจากตระกูลแคลซี
ตระกูลแคลซี่เป็นตระกูลของนักเวทย์แห่งความมืดและตอนนี้เจ่าไห่ได้บังคับมือของพวกเขาตอนนี้นักเวทย์แห่งความมืดปรากฏบนเรือและนั่นก็หมายถึงอะไร ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรสิ่งแรกที่มาถึงจิตใจของลิออนก็คือตระกูลแคลซี่ตามมาทัน
ผู้ที่คิดแตกต่างจากความคิดของลิออนคือนักเวทย์จากกิล พวกเขาไม่ได้เป็นนักเวทย์แห่งแสง จริงๆแล้วนักเวทย์แห่งแสงนั้นไม่เป็นที่นิยมในจักรวรรดิโรเซ่น หากกิลส่งนักเวทย์แห่งแสงมา เพื่อช่วยเหลือลออนแล้วมันอาจเป็นไปได้ที่ลิออนจะต้องตายหลังจากนั้นนักเวทย์แห่งแสงนั้น ค่อนข้างโดดเด่นในจักรวรรดิ
นักเวทย์ผู้มีพลังระดับ 8 เหล่านี้ประกอบด้วยนักเวทย์แห่งน้ําสามคน นักเวทย์แห่งลมสองคน และนักเวทย์แห่งดินอีกหนึ่งคนนอกจากนั้นพวกเขายังซ่อนพลังของพวกเขาไว้