Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ) - ตอนที่ 275
บทที่ 275 – ความผิดหวัง
นี่เป็นรอบที่ 2 แล้วที่นกอินทรีย์ได้บินกลับมาในวันนี้ ครั้งแรกที่พวกมันมากตอนที่เจ๋าไห้กำลังนอนหลับอยู่ แต่นกอินทรีย์พวกนั้นก็ได้รับจดหมายจากเจ่าให้เพื่อไปส่งเวลส์ ซึ่งเจ้าฉินอี้เป็นคนส่งนกอินทรีย์พวกนี้ไป การกลับมาของนกอินทรีย์ในครั้งนี้ก็เพื่อนำจดหมายมาให้เจ๋าไห้
และเมื่อนกอินทรีย์มาถึงเจ้าไหก็ออกมาจากมิติ เขาเห็นนกยืนอยู่หน้าเจ่าฉินอี้ เมื่อพวกมันเห็นเจ๋าไห้มันก็เดินมาหาเจ๋าไห้และใช้ปากของพวกมันจิกไปที่หน้าของเจ๋าไห้เบาๆ ด้วยความรักที่พวกมันมี
เจ๋าไห้ลูบหัวนกพวกนั้น และบอกให่เจ๋าฉินอี้นำจดหมายมาให้เขา เมื่อเจ้าให้ได้อ่านจดหมายนั้น เจ๋าไห้ก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เวลส์งานยุ่งมาก ดูจากการเขียนจดหมายด้วยความเร่งรีบนี้แล้วก็เข้าใจได้ทันที
ถึงแม้เวลส์จะเขียนด้วยความรีบก็เถอะ เจ๋าไห้ก็เข้าใจว่าในจกดหมายนั้นกำลังจะบอกอะไรกับเขา เวลส์บอกเจ๋าไห้ให้ส่งตัวกาซอลไปให้เขา โดยการใช้แผนที่ที่อยู่ด้านหลังจดหมายที่เขาเขียนไปโดยการให้นกอินทรีย์นำทางไป
ตอนนี้เจ๋าไห้ไม่ได้คิดอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้เองเจ๋าไร่กำลังเดินทางไปที่เผ่าราชาและเจ๋าไห้ไม่ได้รีบร้อนอะไร ดังนั้นเจ๋าไห้ก็กลับเข้าไปในมิติ
กรีนและคนอื่นกำลังพูดถึงเรื่องของการสร้างโรงเรียน โชคดีที่มีผู้คนจำนวนน้อยในปราสาทดังนั้นจึงสามารถทำสิ่งต่างๆได้ง่ายมากๆ
แต่สิ่งที่เล่าให้คิดก็คือพวกเขาไม่ควรทำอะไรเมื่อพวกเขาไม่เต็ใจที่จะทำมัน แต่ที่ต้องทำก็เพราะพวกเขามีไม่กี่คนเท่านั้น วิธีการที่ดีก็คือ กำหนดงานให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมจะได้ไม่ได้มีใครคนใดเหนื่อยอยู่คนเดียว ถ้าจะมีโรงเรียนเกิดขึ้นในภายหลังอีก โรงเรียนพวกนั้นจะได้ใช้แบบอย่างที่ดี
ตอนนั้นอลิชและอเรียกลับมาจากข้างนอกมาพวกเขากำลังนำธงมาให้เจ๋าไห้ และตอนนี้ก็อยู่ในมือแล้ว ซึ่งรูปบนธงนั้นก็มีรูปหัวของกระทิงอยู่ และนี่ก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นธงของเผ่าอะไร
เจ๋าไห้มองไปที่ธงและหยิบมา และส่งไปให้เม็ก ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างของเขา เขาหันมาหาอลิชและพูดว่า “อลิชนายต้องนับจำนวนเด็กๆที่นายมีให้เร็วที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ และนายต้องหาครูเพื่อมาอยู่ในโรงเรียนมาด้วย”
ทั้งอลิชและอเรียทั้งสองฟังคำสั่งของเจ๋าไห้ เจ๋าไห้หันไปหากรีนและพูดว่า “ปูกรีนฉันจะปล่อยให้ปู่จัดการกับเรื่องนี้ด้วย เพราะฉันยังคงต้องกลับไปที่ทุ่งหญ้า ฉันเพิ่งได้รับข่าวจากเวลส์ให้พาตีกาซอลไปหาเขา”
กรีนพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนายน้อย ทุกอย่างที่นี่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติและคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่แน่นอน ฟื้นในช่วงฤดูหนาวได้ถูกจัดทำขึ้นด้วย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล”
เจ๋าไห้หัวเราะและพูดว่า ” ดีมากเลยล่ะ จริงๆแล้วเราไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ฟื้นมากเกินไปสำหรับฤดูหนาวเลย ดอกไม้ของเจ้าฉินอี้สามารถแพร่กระจายความร้อนได้ในช่วงฤดูหนาว เพื่อที่ปราสาทจะไม่หนาวเกินไป ตอนนี้เรามีอาหารมากมายที่เราไม่สามารถจะกินที่มีทั้งหมดได้ ตอนนี้ฉันยังคิดว่าเราควรจะสร้างโรงงานผลิตสัตว์ให้เร็วที่สุด กับอลิชและคนของเขาเข้าร่วมในการผลิตบันสวนควรจะง่าย ดังนั้นทุกคนจะมีบางอย่างที่ต้องทำในช่วงฤดูหนาว ปู่คิดอย่างไร?”
กรีนพยักหน้าและตอบเจ๋าไห้ว่า “ตอนนี้เรามีแกะเท่าไหร่หรอนายน้อย?” เจ๋าไห้ตอบกรีนไปว่า “ประมาณ 30000 ตัว”
เจ๋าไห้พูดต่ออีกว่า “ปู่กรีน, หาที่ดินว่างๆโดยเฉพาะสำหรับการฝึกอบรมทหารม้า อลิชและคนของเขาเป็นชนเผ่า ดังนั้นเราต้องไม่ปล่อยให้พวกเขาลืมรากเหง้าของพวกเขาในการขี่ม้า นอกจากนี้เรามีห้องพัก การเตรียมการฝึกอบรมสำหรับพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องที่ยาก เมื่อเด็กเหล่านี้เรียนหนังสือพวกเขาจะต้องเรียนขี่ม้าด้วยเช่นกัน เราจะปล่อยให้อลิชและคนของเขาเลือกคนที่เป็นครูสำหรับบทเรียนเหล่านั้น ในขณะที่คุณปู คาเรทยังสามารถให้คำแนะนำได้ คาเรทหัวเราะ “เอาล่ะ ฉันจะสอนให้ดี”
เจ๋าไห้พยักหน้าและมองไปที่ท้องฟ้า “ฉันกำลังมุ่งหน้าไปที่ทุ่งหญ้าก่อนที่จะเปลี่ยนเส้นทางของเรา ฉันจะกลับมาทานอาหารกันสักหน่อยลอร่า, เม็ก, เนียร์, พักที่นี่ ฉันจะออกไปคนเดียว”
ลอร่าพยักหน้า แต่เม็กก็พูดว่า “ฉันจะไปกับนายน้อย ฉันไม่มีอะไรทำ” เจ๋าไห้ไม่ได้ห้ามและพาเด็กไปด้วย
เมื่อมาถึงทุ่งหญ้า เจ๋าไห้สั่งให้นกอินทรีย์นำทางเหล่าซอบบี้ทันที จากนั้นเขาก็พาเม็กกลับเข้าไปในมิติอีกครั้ง
ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรที่แตกต่างไปจากขบวนนี้ รถม้าของลอร่านั้น ถูกปิดไว้ทุกด้าน และไม่มีใครรู้ได้เลยว่ามีคนอยู่ในนั้นหรือไม่
เจ๋าไห้และคนอื่นๆ ยังคงกลับไปพักผ่อนภายในมิติ ในเวลากลางคืนลอร่าได้ขอร้องกับเจ๋าไห้ ให้เจ้าให้ได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตและอยู่ในมิติซึ่งมันดีต่อร่างกายของเขา นั่นคือเหตุผลที่เธอต้องการให้ เจ๋าไห้นอนหลับในมิติทุกคืน
เจ้าไม่รู้ว่าการขอร้องของลอร่า เป็นเพราะการดูแลของเธอ เขาไม่ได้ไม่เข้าใจ และเจ๋าไห้ก็รู้ดีว่าเมื่อเขาอยู่ในมิติจะไม่มีใครมารบกวนเขา เจ๋าไฟจะสามารถนอนได้เต็มที่เมื่อตัวเขาเองอยู่ที่นั่น
ห้องทดลองของคาเรทเดิมที่เคยอยู่ในมิติตอนนี้ถูกย้ายไปที่ปราสาทของป้อมภูเขาเหล็กแล้วแต่เมื่อที่คาเรทมีห้องทดลองอยู่ในมิติ เขาก็ถูกลอร่าไล่ออกมาอยู่ที่อื่น
เคเรทไม่ค่อยจะเข้าใจลอร่าเลย ซึ่งเขาก็น่าจะทำอะไรกับห้องทดลองของเขาได้แท้ แต่กลับถูกไล่ออกไปอยู่ที่ปราสาท ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะอากาศที่นี่ดีมาก
ในอีกสองสามวันที่จะมาถึงเจ๋าไห้และคนอื่นจะให้ความสนใจไปกับการสร้างโรงเรียน ซึ่งมีเด็กมากกว่า 200 คนจากชนเผ่ามอทอ พวกเขาจะมีลูกจำนวนมากเมื่อพวกเขารู้สึกสบายใจ
เจ๋าไห้และคนอื่นๆ จัดระเบียบพวกเขา เด็กที่มีอายุมากกว่า 12 ปีส่วนใหญ่จะเรียนรู้วรรณคดีและศิลปะการต่อสู้ เด็กอายุระหว่าง 7 ถึง 12 ปีสามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้ที่ด้านบน เด็กอายุ 4-7 ขวบจะได้รับการสอนเหมือนเป็นคนรุ่นก่อน
แต่ตอนนี้มีปัญหาและนั่นคือการอุปกรณ์การสอน ซึ่งตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีอุปกรณ์ในการสอนโดยปกติแล้วครูจะสอนนักเรียนเกี่ยวกับคำพูดและจากนั้นเริ่มต้นด้วยการนำหนังสือเวทมนตร์หรือการต่อสู้ออกมาเป็นหนังสือ ซึ่งคิดว่าเด็กๆ จะได้รู้ว่ามีอะไรเขียนไว้บ้าง เกือบทุกโรงเรียนในทวีปสอนเช่นนี้
เจ๋าไม่คิดว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีมาก เด็กมีบทบาทและหนังสือเหมือนพื้นฐานของเวทมนตร์ การต่อสู้เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและไม่มีรสชาดมากที่สุด เด็กปกติจะเห็นว่ามันยาก และก็ยากมากที่พวกเขาจะสนใจ ดังนั้นเจ๋าไฟจึงเชื่อว่าหนังสือเล่ม ดังกล่าวไม่เหมาะที่จะเป็นสื่อการเรียนการสอน
เจ๋าไห้ไม่เคยต้องการเขียนเนื้อหาการสอนของตัวเองเพราะต้องใช้เวลามากเกินไป พวกเขาสามารถมองผ่านหนังสือที่พวกเขาได้ในตอนนี้เพื่อสิ่งที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามเจ๋าไห้ รู้ว่าหลังจากพบว่าการขาดแคลนทางจิตวิญญาณของผู้คนในโลกนี้ขาดไปอย่างมาก หนังสือในโลกนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ อันดับ 1 คือเวทมนตร์ซึ่งรวมถึงพื้นฐานข้อมูลเทคนิคการสร้างภาพการวิจัย การใช้วทมนตร์ คู่มือระดับการใช้งานระดับต่ำระดับกลางและระดับสูงและไม่มีอะไรเพิ่มเติม
1 เลยตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถหาอุปกรณ์และสามารถสอนเวทย์ได้
2 คือการต่อสู้ซึ่งรวมถึงพื้นฐานเทคนิคพื้นฐานการใช้ประโยชน์จากอาวุธ และไม่มีอะไรอื่นเช่นเดียวกับเวทมนตร์ความทรงจำจะลดลงเพื่อปิดสาวก
3 หนังสือดังกล่าวมีจำนวนน้อยมีผู้อ่านน้อยและนักเขียนน้อยลง หนังสือเหล่านี้จะประกอบด้วยความรู้พื้นฐานและไม่มีความคิดหลังการเรียนรู้
4 เป็นบันทึกย่อ หนังสือเช่นนี้ประกอบด้วยส่วนใหญ่ของเนื้อหา ซึ่งส่วนใหญ่นำวิถีชีวิตของชนบทในท้องถิ่นและตำนานพิเศษ หนังสือดังกล่าวมีจำนวนมาก แต่ไม่ได้เขียนตามมาตรฐานโดยปกติพวกเขาได้เขียนขึ้นโดยนักเวทย์หรือนักรบระดับสูงบางคนเกี่ยวกับประสบการณ์และการแสดงผลของพวกเขา เข่าไร่ชอบหนังสือพวกนี้มาก เพราะเขาสามารถเรียนรู้ศาสตร์พิเศษมากมายจากหนังสือได้
แต่ถ้าเลือกอุปกรณ์การเรียนการสอนจากหนังสือ 4 เล่มนี้ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีหนังสือเล่มไหนเหมาะสมมากนัก ในท้ายที่สุด เจ๋าได้ตัดสินใจว่าเด็ก 4-7 ปีส่วนใหญ่จะเรียนรู้วรรณกรรมซึ่งจะมาจากหนังสือดังกล่าว ซึ่งได้แนะนำนิทานที่ทำให้รู้เรื่องทุกประเภท ซึ่งเด็กๆ ก็น่าจะชอบ เด็กอายุ 7 ถึง 12 ปีจะได้เรียนรู้จากในหนังสือ และไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในการศึกษาของพวกเขาซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบด้วยหนังสือพื้นฐานของเวทมนตร์และศิลปะการต่อสู้ เนื้อหาการสอนสำหรับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจะต้องตัดสินใจหลังจากยืนยันการพัฒนา