Bringing The Farm To Live In Another World (ไปสร้างฟาร์มอีกโลกกันเถอะ) - ตอนที่ 274
บทที่ 274 – นโยบาย
โรงเรียนไม่จําเป็นต้องมีเพียงที่อื่น ที่นี่ก็สามารถมีได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็คือโรงเรียนในเมืองของพระเจ้า ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เก่าแก่ที่สุดมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ในโรงเรียนนั้นมีเพียงการแข่งขันที่มีการจัดอันดับสูง นักพยากรณ์และนักเวทย์ได้รับการสอน ชนเผ่าทั่วไปสามารถเข้าไปเรียนที่นั่นได้
และนั่นก็เป็นเหตุที่ชาวเผ่าเห็นว่าโรงเรียนนั้นเป็นสิ่งที่สําคัญมาก เนื่องจากคนที่ได้เรียนจะได้มีประสบการณ์มากมาย และพวกเขาก็จะได้รับความรู้ด้วย อลิซและอเรียได้รับแรงบันดาลใจจากลอร่า เธอต้องการที่จะสร้างโรงเรียน เพราะโรงเรียนเป็นที่สถานที่ที่สําคัญ และมีการจัดการแข่งขันเพื่อทดสอบประสิทธิภาพอีกด้วย
ทั้งสองคนมองไปที่เจ่าไห่ ซึ่งมองไปที่กรีนและพูดว่า “ในวันต่อๆไป ประชากรของเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ และด้วยจํานวนเด็กๆ ในแง่นี้การสร้างโรงเรียนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันคิดว่าเราควรสร้างโรงเรียนตอนนี้ เมื่อประชากรของเรายังเล็กและรวบรวมประสบการณ์ ด้วยวิธีนี้ถ้าเราต้องการที่จะสร้างโรงเรียนเมื่อประชากรมากขึ้นเราจะได้ครบคุมดูแลทุกอย่างได้”
กรีนพยักหน้าและพูดว่า ” นายน้อยมีจุดหายที่ดี โรงเรียนควรอยู่ในระดับที่ดี มีห้องพักจํานวนมากอยู่ในปราสาทในตอนนี้ ดังนั้นเราควรจะทําอย่างนั้นทันที”
คาเรทยังพยักหน้าและพูดว่า “ผมคิดว่าเราควรจะสร้างโรงเรียนสอนการใช้เวทมนตร์ ฝึกทุกอย่างให้กับเด็ก พวกเขาจะได้มีความรู้ความสามารถเพื่อเอาไปใช้ชีวิตของพวกเขา และเราควรจะทําแบบโรงเรียนเวทย์นะเจ่าไห่”
เจ่าไห่ส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าเราต้องการสร้างโรงเรียนตอนนี้เราต้องทําอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ในอนาคต แน่นอนว่า “ไม่” ถ้าเราทําตามรูปแบบของโรงเรียนเวทมนตร์ในทวีป เราจําเป็นต้องมีหลักสูตรรายละเอียดเพิ่มเติม เรายังไม่มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ ก่อนอื่นเราจะสํารวจจํานวนเด็กและดูอายุแล้วแยกพวกเขา และนั่นก็ขึ้นอยู่กับอายุของพวกเขา แผนของฉันคือการให้เด็กๆ ได้รับการสอนจากพ่อแม่ก่อนอายุ 4 ขวบ เมื่อเด็กอายุ 4 ขวบเราจะส่งพวกเขาไปที่โรงเรียนอนุบาลแบบครบวงจรและให้พวกเขาดูแลโดยบุคลากรที่เฉพาะเจาะจง เรานําพวกเขาไปที่โรงเรียนอนุบาลทุกเช้าและนําพวกเขากลับไปที่บ้านของพวกเขาทุกคืน พวกเขาจะกินข้าวตอนเที่ยง ขณะที่พวกเขาอยู่ในโรงเรียนอนุบาล เราจะให้การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้พวกเขารู้คําศัพท์และการคํานวณขั้นพื้นฐาน
เมื่ออายุ 7 ขวบพวกเขาจะเข้าชั้นเรียนอย่างเป็นทางการแบ่งออกเป็นวรรณคดี คณิตศาสตร์และการเรียนศิลปะการต่อสู้ ซึ่งจะต้องดําเนินการในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่นสามชั้นเรียนอาจมีความยาวได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง พวกเขาจะไปโรงเรียนและกลับมาจากโรงเรียนในเวลาเดียวกันกับเด็กอนุบาลด้วยเวลารับประทานอาหารเดียวกัน
เมื่ออายุ 12 ปี พวกเขาจะถูกแบ่งตามหมวดหมู่อย่างเป็นทางการ เช่นเดียวกับคนที่มีพรสวรรค์ในศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่เวลาของพวกเขาจะถูกใช้ไปกับการเรียนการสอนการต่อสู้และการเรียนรู้โดยทั่วไป สําหรับคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องเวทมนตร์ความสนใจของพวกเขาจะถูกใส่เข้าไปในเวทมนตร์และการเรียนรู้โดยทั่วไป ถ้ามีคนที่มีความสามารถไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้บทเรียนอื่นๆ และเราสามารถจ้างคนงานบางคนเพื่อสอนทักษะบางอย่างได้ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เก่งเกี่ยวกับคําพูดและตัวเลขที่พวกเขาจะมีทักษะบางอย่างเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แม้เพียงอย่างน้อยที่พวกเขาจะรู้เกี่ยวกับเลขคณิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งสามารถเป็นสิ่งที่ดีสําหรับพวกเขา คุณคิดอย่างไร คาเรท?”
กรีนและคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้คิดว่าเจ่าไห่จะนําทุกสิ่งทุกอย่างไปพิจารณา พวกเขารู้ จากคําพูดของเขาว่านี่ไม่ใช่แผนแบบง่ายๆ เพราะแผนการที่เขาเสนอมีรายละเอียดที่สมบูรณ์มาก พูดได้เลยว่าโรงเรียนเวทมนตร์ในทวีปต่างๆ ไม่ได้ระบุรายละเอียดอย่างที่เจ่าไห่แนะนําและเริ่มตั้งแต่อายุ 4 ขวบขึ้นไป หนึ่งควรรู้ว่าโรงเรียนในทวีปโดยทั่วไปเริ่มตั้งแต่ 6 ถึง 7 ปีในระหว่างที่มีเพียงการฝึกอบรมขั้นพื้นฐานและคําที่ได้รับการสอนและไม่มีอะไรอื่น พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าไห้ได้นําการศึกษาของโลกมาช่วยหลังจากที่ได้รับการยกย่อง
อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องยอมรับว่าแผนการศึกษาของเจ่าไห่นั้นดีกว่าโรงเรียนอื่นๆ ในทวีปมาก ถ้าพวกเขาสามารถนํามาใช้ได้ แน่นอนว่ามันคงจะเป็นโรงเรียนที่ไม่เหมือนใครในทวีป ซึ่งจะทําให้เป็นประวัติศาสตร์ได้ก่อน
เนื่องจากผู้คนในทวีปมีค่าความแข็งแกร่งทางทหารมาก โรงเรียนสอนเวทมนตร์จึงสอนเทคนิคการต่อสู้และคาถาเวทย์เป็นหลักสูตรหลักของพวกเขา อย่างไรก็ตามโรงเรียนที่เจ๋าไห่เสนอก็แตกต่างไป เพราะส่วนใหญ่เป็นการสอนการเขียนและคณิตศาสตร์ ตั้งแต่ต้นจนจบความสําคัญถูกนํามาใช้ แต่สิ่งที่เล่าให้พูดกรีนและคนอื่นๆไม่เคยได้ยินมาก่อน
ลอร่าหัวเราะและพูดว่า “ถ้าเราทําตามที่พี่ไม่พูด” ค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องใช้ไปจะหนักมาก ตัวอย่างเช่นเด็ก 4-7 ปีเป็นเรื่องยากที่จะดูแลและมีจํานวนบทเรียนที่แตกต่างกันและคนที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการทําอาหารและเลี้ยงเด็กทุกคนต้องการคน แล้วใครจะเป็นคนที่คอยดูแล? เด็กในโรงเรียนอนุบาลทุกคนต้องกินอาหารและครูต้องได้รับค่าแรง เราต้องจ่ายเองหรือไม่? การลงทุนจะเป็นหลุมลึกและมีสิ่งที่ต้องการมากเกินไป ในการจัดสรรงบประมาณเมื่อกล่าวถึงการพัฒนาแดนทมิฬ ฉันกลัวว่ามันจะทําไม่ได้”
กรีนและคนอื่นๆ พยักหน้าอย่างที่พวกเขารู้ว่าลอร่าหมายถึงอะไร แน่นอนถ้าพวกเขาตั้งโครงการโรงเรียนเช่นเดียวกับที่เจ่าไห่แนะนําไว้จํานวนเงินลงทุนจะมากเกินไป พวกเขาอาจไม่สามารถรู้สึกได้ในขณะนี้เมื่อมีจํานวนน้อย แต่หากมีผู้คนจํานวนมากค่าใช้จ่ายจะเป็นผลรวมที่มากพอสมควร
เจ่าไห่พยักหน้าและพูดว่า “ฉันรู้และเข้าใจเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ค่าเล่าเรียนจะต้องได้รับ แต่เราไม่สามารถใช้เวลามากเกินไป พ่อแม่ของนักเรียนจะจ่ายเงินส่วนหนึ่งส่วนในขณะที่เราจะจ่ายเงินอีก ด้วยวิธีนี้โรงเรียนสามารถสร้างได้ แผนของฉันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ แต่เป็นมุมมองของประเทศ โรงเรียนต้องได้รับการจัดการโดยประเทศโดยตรงแทนที่จะปล่อยให้คนอื่นจัดการ นอกจากนี้เรายังมีจํานวนที่น้อยอยู่และไม่มีการค้าขาย แต่ถ้าเมื่อเรามีคนจํานวนมากแล้วก็จะมีพ่อค้าและเราจะมีภาษี ภาษีสาหรับอะไร? เพียงเพื่อให้ทหาร? ฉันคิดว่าไม่จําเป็นต้องมี เราสามารถใช้การจัดการสไตล์ทหารในโรงเรียนได้ ด้วยวิธีนี้เมื่อมีการต่อสู้ใดๆ เราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการขาดทหาร เพื่อประโยชน์ของตระกูลบูดาในการเป็นราชวงศ์ที่ยาวนาน ฉันคิดว่าเราจะต้องพิจารณาภาษีอย่างถูกต้อง ภาษีที่เราได้รับจะต้องใช้ในสถานที่ที่ถูกต้องตามคําพูดเหล่านี้ ” ก็มาจากประชาชน”
ลอร่าและคนอื่นๆตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยได้ยินถึงอุดมคติของเจ่าไห่ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในทวีปเมื่อพิจารณาถึงภาษี ปัจจุบันอยู่ในทวีปยุโรปผู้ปกครองสูงสุดคือราชวงศ์และขุนนาง แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของภาษีที่พวกเขาได้รับจากการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างและการทหารที่จําเป็น แม้โรงเรียนในทวีปจะต้องเสียค่าเล่าเรียน สิ่งที่เจ่าไห่นําเสนอคือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยิน
ทุกคนเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่คาเรทจะตบต้นขาของตัวเองและพูดว่า “เยี่ยม! จัดการเลยเจ่าไห่! คําพูดของนายดีมาก เพื่ออนาคตที่ดีของตระกูลเรา นี่คือสิ่งที่เราควรทํา มิฉะนั้นเราจะไม่ได้มีความเจริญเลย”
กรีนไม่ใช่คนที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดู เขารู้สึกหงุดหงิดเพียงเล็กน้อย เนื่องจากความตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าเจ่าไห่จะวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว ขอบคุณคาเรท เขากลับไปสู่ความรู้สึกของเขาและพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ใช่! มันดีมากเลย! ฉันสนับสนุนนายน้อย”
หลังจากคําพูดของทั้ง 2 ผ่านไป เรื่องทั้งหมดได้รับการตัดสินโดยทั่วแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการหาสถานที่และครู
เมอร์รินพูดว่า ” การหาสถานที่ไม่ยากหรอก แต่สําหรับเด็กๆ เราจะต้องหาที่เงียบสงบและกว้างขวาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ พวกเขายังสามารถเล่นภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ ฉันขอเสนอเป็นด้านหลังของประสาท” ด้านหลังปราสาทเป็นสถานที่ที่เดิมที ตั้งใจจะให้เป็นที่เก็บสินค้า
ไม่มีใครมาที่นี่ แต่ที่นั่นก็ไม่มีอะไรเสียหาย เพียงทําความสะอาดและที่นั่นก็สามารถใช้เพื่อการเรียนได้แล้ว ที่นั่นห่างจากส่วนนอก ห่างจากโรงงานผลิตน้ํามันและโรงสี ความเงียบที่นั่นเป็นสภาพที่เหมาะสําหรับโรงเรียน
ตอนนี้คนที่มีความรู้เกี่ยวกับปราสาทมากที่สุดคือเมอร์ริน ดังนั้นเมื่อเธอทําตามจุดมุ่งหมายของเธอไม่มีใครต่อต้านเธอ เจ่าไห่พยักหน้า “จากนั้นให้เลือกด้านหลังของปราสาทและมีคุณยายเมอร์รินจะรับผิดชอบ ถัดไปคือการเลือกครู เราสามารถมีครูเพื่อจัดการกับบทบาทของครูสอนศิลปะการต่อสู้ แต่เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่า เราจะต้องให้คนในพวกเขาได้กลายเป็นครูด้วย ฉันจะปล่อยให้นายจัดการอลิซค้นหานักรบจากเผ่าของนายเพื่อสอนเด็กๆ แต่อย่าลืมหาคนที่ฉลาด เรากําลังจะสอนเด็กอยู่ที่นี่ ถ้าเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดและไม่รู้จักการสอนเด็กก็ไม่ควรที่จะเอามา”
เจ่าไห่รู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์ และชาวเผ่าแตกต่างกันมาก เห็นได้ชัดว่ามนุษย์ไม่สามารถสอนเทคนิคให้กับเด็กๆ ที่เป็นชาวเผ่าได้ ดังนั้นเจ่าไห่จึงต้องการเลือกครูจากชนเผ่า
อลิซและอเรียก็คุกเข่าลงต่อหน้าเจ่าไห่และพูดเสียงดังว่า “โอ้นักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ หัวใจของนายกว้างเท่ากับทุ่งหญ้าและพลังอํานาจของคุณมีอํานาจมากเท่ากับพระเจ้าเลย” ความรู้ของท่านยิ่งใหญ่กวนักพยากรณ์และท่านก็เป็นเหมือนแม่น้ํา โปรดสบายใจเพราะเราจะจัดการกับสิ่งที่คุณสั่งให้ดี” หลังจากคําพูดเหล่านั้นทั้ง 2 คนก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น
เจ่าไห่ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะทําแบบนี้ เขาโบกมือให้มือก่อนที่ จะจับตัวทั้งคู่ขึ้น เจ่าไห่มองไปที่ 2 คนและพูดว่า “จําไว้ว่าในขณะที่คุณเป็นทาสของฉัน ฉันแตกต่างจากมนุษย์คนอื่นๆที่นี่คุณและมนุษย์มีค่าเท่ากัน แต่คุณต้องไม่ทรยศฉัน ถ้าคุณทําเช่นนั้น ฉันจะทําให้คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพซอบบี้ของฉัน”
เจ่าไห่พยักหน้า “และอย่าลืมว่าชนเผ่าไม่มีอยู่แล้ว บอกให้คนอื่นมาใช้ชีวิตที่นี่โดยเร็วที่สุด หากมีความช่วยเหลือใดๆ ที่คุณต้องการเพียงแค่หาคนที่คุณเห็นในการประชุมครั้งนี้ ที่ทําให้ฉันนึกถึงคุณยังคงมีธงมิตรภาพของเผ่าของคุณหรือไม่”
อลิซพยักหน้า “เรายังคงมีมันอยู่ คุณต้องการมันหรอ?”
เจ่าไห่พยักหน้า “นํามาให้ฉันหลังจากนี้ ฉันต้องการธงมิตรภาพเพื่อทําธุรกิจบนทุ่งหญ้า” นี่เป็นสิ่งที่เจ่าไห่คิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ธงมิตรภาพของเผ่าหมูได้ทําให้เขาได้รับความรู้สึกที่ดีจากชนเผ่ามากมายซึ่งทําให้ความสําคัญของธงดังกล่าวชัดเจนต่อเจ่าไห่
อลิซพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ไม่ต้องห่วงเจ้านาย ฉันจะนํามาให้คุณทันทีหลังจากที่ฉันกลับมา”
เจ่าไห่พยักหน้า “เอาล่ะนั่งลง อย่าลืมเรียกฉันว่านายน้อย ฉันไม่ได้บอกนายงั้นหรอ?”
เจ่าไห่หันไปหากรีนและคนอื่นๆ และพูดว่า “ใครจะเป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้และจะมีอีกคนหนึ่งมาจากเผ่า ซึ่งน่าจะเพียงพอสําหรับช่วงเวลานี้ ถ้าจัดการเรื่องที่จะต้องคอยดูแลให้บล็อคและร็อคดูแล อย่างไรก็ตามทั้งสองคนยังคงเป็นหลักเกี่ยวกับการฝึกต่อสู้ เมื่อพูดถึงครูนักเวทย์ฉันเลือกบัฟฟ์ ถึงแม้ว่าเขาจะกลายเป็นซอบบี้และระดับของเขาลดลงมากเขาควรจะสามารถจัดการได้ เขาเคยเป็นนักสู้ในระดับ 9 มาแล้ว”
เมอร์รินและคนอื่นๆ ไม่ต้องการให้ซอบบี้สอนเด็ก แต่ไม่มีทางอื่น ตอนนี้พวกเขาไม่มีผู้สมัครที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามการที่ บัฟฟี่ทําหน้าที่เป็นครูจะไม่ใหญ่เกินไปในการจัดการ ดังนั้นบัฟฟี่จึงต้องสอนเด็กๆ ว่าจะตอบโต้กับการโจมตีด้วยเวทมนตร์ได้อย่างไร
เมื่อเจ่าไห่เห็นว่าไม่มีใคร มีอะไรจะพูดเขาก็พูดต่อว่า การทําอาหารจะไม่เป็นปัญหา เลือกผู้หญิง 2 คนจากชนเผ่าและอีก 2 คนจากพวกทาส การสอนเด็กเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนจะยากขึ้น โอ้ใช่ เราสามารถปล่อยให้โอโลบาลองสอนพวกเด็กๆเกี่ยวกับคําศัพท์และคณิตศาสตร์ ยายคิดว่าไงยายเมอร์ริน?”
เมอร์รินรู้สึกว่านี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาไม่มีคนจํานวนมาก เมอร์รินสามารถทําได้ แต่เธอไม่มีเวลาพอสมควร พวกเขาทําได้แค่ทําตามคําแนะนําของเจ่าไห่เท่านั้น
เมื่อเขายืนยันว่าไม่มีการคัดค้านเล่าให้พูดกับกรีนว่า “คุณปูกรีนยายเมอร์รินฉันจะทิ้งเรื่องเหล่านี้ให้คุณทั้งสองคน เราจะมุ่งหน้ากลับไปที่ทุ่งหญ้า ติดต่อฉันหากคุณต้องการอะไรอลิซ, เอาธงมิตรภาพมาให้ฉันด้วย”
อลิซและอเรียทําตามเจ่าไห่ เจ้าให้พูดกับเมอร์รินว่า ” คนบนทุ่งหญ้าส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์ พวกเขาจะไม่คุ้นเคยกับนิสัยการกินของเราตอนนี้ วิถีชีวิตของพวกเขาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยเช่นกัน เฝ้าระวังเรื่องนี้ด้วยยายเมอร์ริน” เมอร์พยักหน้า และในขณะนั้น เจ๋าฉินอี้ก็บอกเจ่าไห่ว่านกอินทรีย์กลับมาแล้ว