Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 141
ในห้องประชุมนั้นเองโค้ชต่างๆก็ยุ่งอยู่กับการคุยกัน ผู้นำจากทีมชาติก็โบกมือให้สัญญาณบอกให้ทุกคนเงียบ
หลังจากที่ทุกคนหยุดพูดกันแล้ว ผู้นำกลุ่มก็พูด “ก็ อย่างที่รู้ๆกันนะครับว่าที่นี้คือค่ายฝึกตำรวจ พวกคุณอาจจะสงสัยว่าเรามาทำไมกันที่นี้แทนที่จะเป็นศูนย์ฝึกของทีมชาติ
หัวหน้าหยุดซักพักเพื่อมองสีหน้าของทกคน พอเห็นว่าทุกคนกำลังรอให้เขาอธิบายต่อ เขาก็พูด “ตามแผนการดั่งเดิมของทีมชาตินั้น โครงการฝึกโค้ชรุ่นใหม่นี้จะต้องรับคนมาแค่30-35คน แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้เรามีจำนวนมากกว่า60คนที่นี้
พอได้ยินอย่างนั้นแล้วหลี่ไต้ก็หันไปมองฉวงซูฉีอย่างช่วยไม่ได้ แล้วคิดว่าผู้นำอาจจะกำลังหมายถึงว่ามีกว่าครึ่งของเราในนี้มาจากการเส้นเข้ามา
ผู้นำพูดต่อ “พวกคุณทุกคนที่นี้เป็นโค้ช ดังนั้นผมจะไม่อธิบายอะไรมากละกัน ทรัพยากรของเรามีจำกัด โครงการฝึกของเราไม่ได้มีทรัพยากรมากพอที่จะฝึกโค้ชหนุ่มจำนวนมากกว่า60คนได้ ดังนั้น เราจึงจะทำการคัดออกครึ่งนึงก่อน ตามแผนของเราแล้ว จะมีเพียง30คนของพวกคุณเท่านั้นที่จะอยู่ ส่วนที่เหลือ ต้องไป!”
ผู้นำหยุดไปซักพักแล้วกวาดสายตามอง เห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังดูอับอายอยู่ โดยเฉพาะคนอย่างฉวงซูฉี คนที่เข้ามาทางเส้นสายนั้นมีโอกาสมากกว่าที่จะโดนคัดออก
ฉันคิดว่าฉันจะโดนส่งไปที่ทีมชาติโดยตรงเลยซะอีก ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่ามีรอบคัดออกแบบนี้ด้วย! ฉวงซูฉีไฟรนก้น
แต่กลับกันนั้น เขาก็สงบเหมือนกัน เขาไม่กลัวอะไรเพราะว่าเขามีเส้นสายที่แน่นหนา บางคนถึงขั้นยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
เหอะ คัดออกเหรอ? ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ลุงคนที่3ของฉันเป็นหัวหน้าสมาคมกีฬา เขาคุมเรื่องงบประมาณของโครงการนี้อยู่ พวกเขาไม่กล้าคัดฉันออกหรอก!
พี่เขยฉันเป็นโค้ชทีมชาติ ฉันเป็นเครือญาติของทีมนี้เลยนะ พวกเขาคงไม่คัดฉันออกใช่ไหมละ?
ฉันมีลุงเป็นรองผจก.ของกรมการกีฬาอยู่ ถึงจะเป็นพระเจ้าก็ไล่ฉันออกไม่ได้โว้ยย!
มีคนอีกหลายๆคนกำลังคิดแบบเดียวกันนั้น ไม่ว่าความสามารถของพวกเขาจะมีมากแค่ไหน กองหนุนของพวกเขาก็แกร่งกว่าของฉวงซูฉีแน่ๆ! บางคนถึงขั้นไม่แคร์อะไรเพราะรู้ว่าตัวเองต้องรอดแน่ๆด้วย
“สำหรับวิธีการที่เราจะคัดออกนั้น ครูตำรวจเฉิน จากค่ายฝึกตำรวจนี้จะเป็นคนบอกรายละเอียดให้ฟัง” ผู้นำชี้ไปที่ชายที่ใส่ชิดลายพรางยืนอยู่ข้างๆแล้วพูดต่อ “ผมจะออกไปตอนเที่ยง แล้วหลังจากนั้น พวกคุณจะอยู่ใต้คำสั่งของครูเฉิน เขาจะเป็นคนประเมินความสามารถของพวกคุณ และจะเป็นคนชี้ขาดว่าใครจะอยู่ใครจะไป!”
จากคนที่ไม่กลัวอะไร ตอนนี้เริ่มหวั่นๆแล้ว พวกเขาเคยไม่กลัวเพราะว่าเส้นสายของพวกเขา แล้วคิดว่าทีมกีฬาชาติคงไม่กล้าไล่พวกเขาออกหรอก แต่พอมาเป็นว่า การตัดสินทั้งหมดขึ้นอยู่กับครูฝึกตำรวจแห่งค่ายฝึกตำรวจแห่งนี้ หน้าที่การงานในสายงานนี้มันเข้มงวดเรื่องกฏมาก เพราะงั้น เส้นสายไม่มีผลอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลี่ไต้แอบๆดีใจที่ทีมชาติฉลาดเหนือชั้น ถ้าทีมชาติทำการประเมินด้วยตัวเอง ทางทีมคงรับมือไม่ดีเท่าไร เพราะว่าพวก “เส้นสายนั้นจะกดดันทีมชาติและทางผู้นำทีมคงตัดสินใจอะไรที่เด็ดขาดไม่ได้ เพราะว่าต้องคอยเอาใจเบื้องบนด้วย นั้นหมายความว่าต้องเก็บคนที่ใช้เส้นสายเอาไว้ คนเส้นใหญ่นั้นมันมีอำนาจมากเกินกว่าที่ทีมชาติจะทำอะไรได้
แต่ทีมชาติก็ยังมีอำนาจในการเตะคนที่ไม่คู่ควรออกไปได้ผ่านตำรวจอยู่ดี คนที่ไม่มีคุณสมบัติมากพอนั้นก็เหมือนไม่มีขาไว้ยืนด้วยตัวเอง ด้วยการใช้อำนาจผ่านค่ายฝึกตำรวจแทนที่จะใช้ของทีมชาติซะเอง
ในวงการของทหารกับตำรวจนั้นจะมีระบบการคัดออกอย่างเข้มงวด ถึงมันจะไม่ได้100% แต่มันก็ยากมากที่จะหาเส้นสายมาช่วยพวกเขาให้ผ่านการประเมินไปได้ อย่างน้อยที่สุด การตัดสินใจของพวกเขานั้น น่าเชื่อถือแล้วก็ยังแฟร์กว่าทีมชาติเป็นคนตัดสินเองเยอะ แล้วถ้ามีใครเส้นใหญ่มากพอที่จะหือกับระบบการตัดสินของทหารตำรวจละก็ พวกเขาคงไม่จำเป็นต้องมาเป็นโค้ชต้อกต้อยแล้วละ
ชายในชุดลายพรางก้าวออกมาข้างหน้าแล้วยกมือทำวันทยาหัตร จากนั้นก็พูด “ยินดีที่ได้พบโค้ชทุกคน ฉันคือเฉิน เป็นครูฝึกตำรวจ ใน2อาทิตย์ที่พวกนายจะต้องอยู่ที่นี้ ฉันจะเป็นคนดูแลเรื่องการเป็นอยู่ของพวกนายเอง การเป็นอยู่ของพวกเรานั้นเรียบง่ายแล้วก็ไม่ได้สบายเหมือนกับที่พวกนายอยู่บ้านแต่ฉันก็หวังว่าพวกนายคงจะเชื่อฟังคำสั่ง และแน่นอน ถ้าใครทนไม่ได้รับไม่ไหวก็เชิญบอกฉันได้ทุกเวลา ฉันจะส่งพวกนายไปลงอะไรก็ได้ที่นายอยากไปเลย”
ครูฝึกเฉินอธิบายอย่างชัดเจนกับทุกคนว่าถ้ารู้สึกว่าการฝึกมันหนักเกินกว่าจะทนไหว แล้วรับไม่ได้ พวกเขาก็สามารถออกเมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ แล้วก็แลกกับการเสียพื้นที่ในการฝึกของพวกเขาไป
ทุกคนที่เลือกเข้ามาเป็นโค้ชมืออาชีพนั้นไม่ใช่พวกรนหาความสุขอยู่แล้ว การฝึกนั้นเป็นงานที่หนักกับทั้งนักกีฬาแล้วก็โค้ชด้วย มันก็เหมือนต้องร่วมหัวจมท้ายไปพร้อมๆกัน ในขณะที่นักกีฬากำลังออกกำลังกาย โค้ชก็ต้องออกด้วยเพียงแค่ออกน้อยกว่าหน่อย
และเพราะอย่างนี้ ที่พักห่วยๆนั้นกระจอกไปเลยสำหรับโค้ช เมื่อปีก่อนตอนที่โค้ชพานักกีฬาไปออกทริปต่างถิ่น โค้ชจะแบกฟูกไปให้นักกีฬานอนส่วนตัวเองก็นั่งนอนบนพื้นแข็งๆตลอดทั้งคืนเพื่อประหยัดงบ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โค้ชติ้งจี่ไหพาหลินเฟ่ยเหลียงไปที่ยุโรปเพื่อแข่ง ทางเจ้าภาพได้จัดหอพักไว้ให้กับแค่นักกีฬาเท่านั้น แต่ติ้งจีไหไม่อยากเสียเงินมาก เขาเลยนอนกับพื้นทั้งคืน
ครูฝึกเฉินพูดต่อ “สำหรับอาหารนั้นเรามีอาหารดีๆให้กิน เราจะไม่ได้มีเนื้อหรือปลาให้เยอะแต่อย่างน้อยเราก็ให้อย่างสมดุลกัน แล้วเพราะว่าพวกนายมาจากต่างถิ่นกันคงมีนิสัยการกินที่ต่างกันด้วย ดั่งนั้นเลยอาจจะยากไปหน่อยที่ต้องตามใจทุกคน เพราะงั้นถ้าใครทนรับอาหารไม่ไหวก็ไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆกับโรงอาหารกินเอาละกัน”
“ในค่ายฝึกตำรวจของเรานั้นมีการแจกจ่ายพวกผ้าเช็ดตัว สบู่ แปรงสีฟันยาสีฟันและอื่นๆให้อยู่แล้ว ร้านสะดวกซื้อก็ไม่ได้มีทุกอย่างนะ มันไม่ใช่ซุปเปอร์มาเก็ต”
“สำหรับเรื่องกฎมีระเบียบที่ฉันอยากที่จะให้พวกนายจำเอาไว้ เรามีการฝึกระบบปิดทั้งหมด หมายความว่าประตูทางเข้าจะปิดตั้งแต่วันจันทร์ยันวันศุกร์ มียามเฝ้าเวรตลอด24ชั่วโมง คนนอกที่ต้องการจะเข้ามาต้องแสดงบัตรประชาชน ส่วนคนในที่อยากจะออกไปต้องได้รับการอนุญาตก่อนเท่านั้น เพราะว่านี้เป็นงานวินัย อีกอย่าง ฉันไม่อยากเห็นพวกนายออกไปไหนบ่อยๆ จากนี้มันไกลกว่าจะถึงในเมือง แล้วก็พวกรถลาก็หายากไม่ค่อยสะดวก ถ้ามีอะไรเร่งด่วนละก็ให้มาหาฉันโดยตรงแล้วขอออกไป”
“วันศุกร์ตอนหลัง5โมงเย็นพวกนายสามารถเข้าออกค่ายได้อย่างอิสระ นายมีเวลาหยุด2วันติดคือวันเสาร์กับอาทิตย์ ทางเรามีรถบัสไปส่งที่ท่ารถ แล้วก็จำไว้ว่าให้กลับมาถึงในวันอาทิตย์ก่อน2ทุ่มเท่านั้น ถ้ามาสายกว่านั้นประตูจะปิดแล้วพวกนายจะมีปัญหากัน”
“ซักพักเดี๋ยวฉันจะพาพวกนายไปดูรอบให้คุ้นกับสถานที่ไว้”ครูฝึกเฉินเปลี่ยนหัวเรื่องแล้วพูด “ตอนนี้เดี๋ยวฉันจะบอกถึงรายละเอียดสำหรับวิธีการที่พวกเราจะทดสอบพวกนาย!”
นี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกคนโดยตรง ดังนั้นพอได้ยินอย่างนั้น โค้ชทุกคนเลยเงียหูฟังอย่างตั้งใจ