Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 140
ในออฟฟิศของผู้จัดการฉวงในกรมการกีฬาเขต ฉวงซูฉีกำลังมองไปที่ลุงของเขาอยู่
“ลุงครับ ลุงต้องช่วยผมนะ ผมไปบอกกับคนอื่นไว้แล้วว่าผมจะเข้าทีมชาติแล้วทุกคนก็รู้หมดละด้วย แล้วตอนนี้ผมดูเหมือนเป็นไอ้ห่วยไปแล้ว มันน่าอายมากเลย ผมแทบจะอยู่ที่นั้นไม่ได้อยู่แล้ว!
ลุงของเขาพูดไม่ออก เขามองฉวงซูฉีอย่างไม่สบอารมณ์
“ช่วยเบรกซักพักได้ไหม ฮะ? หัดโตซะบ้างได้ไหม นี้ฉันช่วยแกมากี่รอบแล้วเนี่ยตลอดหลายปีมานี้เนี่ย แล้วดูแกซิ แกทำอะไรบ้าง?ไอ้ขี้แพ้เอ้ย!”
รองผอ.ฉวงยังคงโกรธอยู่ เขาพูดต่อ “ดูอย่างเรื่องเมื่อหลายวันก่อนซิ นายบอกให้ฉันย้ายนายไปอยู่ทีมทุ่มน้ำหนัก บอกซะดิบดีว่าจะทำให้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น แล้วผลเป็นไงละ? ไหนละเหรียญรางวัล ทีมกระโดดไกลที่แกจากมาเขาพัฒนาเด็กอัจฉริยะที่ถูกทีมชาติเอาตัวไปฝึกตั้งแต่อายุ16ปี! แกเป็นคนที่มีเส้นสายดีที่สุด แต่ก็ยังเสือกเสียเปรียบได้! แกเป็นอะไรของแกวะหะ?”
“แกบอกว่าแกอยากไปฝึกกับทีมชาติ ฉันเลยแนะนำแกเข้าไป แต่แล้วเป็นไงละ? พวกนั้นไม่รู้จักแกด้วยซ้ำ! แถมยังถามอีกเอาหลี่ไต้เข้ามาแทนได้ไหม หลี่ไต้คนที่แกแย่งทีมทุ่มน้ำหนักไปไง ใช่ไหมละ แล้วก็ยังเป็นคนเดียวกับที่ฝึกเด็กกระโดดไกลอัจฉริยะนั้นด้วยใช่ไหมละ แล้วก็ยังเป็นคนที่เคยไปทำงานที่ศูนย์ฝึกเป๋ยโข่วภายใต้การนำของติ้งจี่ไห แล้วยังไม่พอไปมีส่วนร่วมในการฝึกของหลินเฟ่ยเหลียงอีกด้วย…”
ด้วยความที่เป็นหัวหน้ากรมการกีฬาเขต มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ข้อมูลพวกนี้มา
“หลี่ไต้มันก็แค่โชคดีแค่นั้นละ!”ฉวงซูฉีพึงพัม เขาโกรธตอนที่ได้ยินชื่อหลี่ไต้
“หุบปาก!!”ผจก.ฉวงตะโกน “โชคดีงั้นเหรอ? งั้นแกก็จะบอกว่าติ้งจี่ไหโง่ด้วยงั้นซิ? ถ้าหลี่ไต้มันเป็นไอ้ขี้แพ้แบบแก แกคิดว่าโค้ชติ้งคนนั้นจะอ้าแขนรับเขามาให้ฝึกกับหลินเฟ่ยเหลียงเหรอ นั้นมันหลินเฟ่ยเหลียงเลยนะเว้ย! มีแต่โค้ชที่เก่งที่สุดเท่านั้นละที่จะได้ฝึกให้หลินเฟ่ยเหลียง พูดถึงเรื่องโชคดีแล้ว นี้ฉันให้โอกาสแกไปกี่รอบแล้วเนี่ย? ทำไมแกไม่โชคดีซักครั้งบ้างเลยไม่ได้รึไงวะ? แค่ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ไม่ได้ซักครั้งเลย!”
“หลี่ไต้คนนั้น เขามีอะไรซักอย่าง อย่างน้อยเขาก็เก่งกว่าแกแหล่ะ นั้นเป็นเหตุผลที่ทีมชาติต้องการเขา แล้วเมี่อไรแกจะโตได้ซักทีวะ ชื่อของนายคือซูฉีนะ ทำไมไม่ขยันเรียนแล้วทำงานดีๆบ้างวะ? ถึงฉันจะเป็นลุงแกแต่ฉันก็ช่วยแกไม่ได้ไปตลอดนะเห้ย! ถ้าฉันเกษียรแล้วแกจะเป็นยังไง ถ้าแกยังเป็นงี้ต่อไปอะ!”รองผจก.ดูหงุดหงิดสุดๆ
“คุณลุงครับ ผมเข้าใจว่าลุงจะสื่อนะครับ นั้นเป็นเหตุผลที่ผมอยากจะไปฝึกกับทีมชาติไงครับ ผมอยากที่จะเรียนรู้กับโค้ชระดับสูง ถึงแม้ว่าเขาจะสอนผมเพียงเล็กน้อยผมก็จะเรียนรู้จากเขาให้เยอะๆเลยครับ แล้วผมจะไม่ทำให้ลุงผิดหวัง”ฉวงซูฉีพูดพยายามทำน้ำเสียงให้สำนึกผิด
แต่แน่นอนว่าลุงของเขารู้ว่าฉวงซูฉีไม่ได้หมายความอย่างงั้นจริงๆเหตุผลจริงๆที่เขาอยากไปฝึกกับทีมชาติก็เพราะเขาดันไปโม้กับทุกคนไว้แล้วเท่านั้นเอง
แต่ถึงยังไง พอคิดดูดีๆแล้ว ผจก.ฉวงก็คิดว่ามันก็ดีเหมือนกันนะที่ให้ฉวงซูฉีมีโอกาสไปเรียนรู้กับทีมชาติบ้าง ถึงแม้เขาจะเรียนรู้ได้น้อยนิดแต่อย่างน้อยมันก็เป็นประโยชน์กับเขาตอนที่เขากลับมาทีมเขต
“แกเป็นหลานคนเดียวของฉันนะ”รองผจก.ส่ายหัว “ฉันพอจะมีเส้นสายอยู่ในสำนักงานกีฬาชาติอยู่ เดี๋ยวฉันจะลองดูให้ แต่ฟังนะ ถ้านายได้เข้าไปแล้ว นายต้องขยันให้สุดหัวเลยนะ แล้วก็อย่าสร้างปัญหาให้ฉันอีก เข้าใจไหม
…
รองผจก.ฉวงนั้นมีอำนาจอยู่พอสมควร ดังนั้นบางทีเขาอาจจะใช้มันเพื่อให้ที่ว่างในรายชื่อให้ฉวงฉูซีได้
เมื่อหลี่ไต้ได้ยินเรื่องนี้แล้วเขาก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร ขณะที่มือใหม่ที่พึ่งเข้ามาในวงการอย่างเขายังให้โค้ชติ้งช่วยได้ รองผจก.ฉวงก็คงสามารถหาวิถีทางที่จะทำให้ฉวงซูฉีมีที่ยืนได้ เพราะว่าเขาทำงานให้กับรัฐบาลมาเป็น10ปีแล้ว
หลี่ไต้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด เพราะว่าการยิ่งมีคนเยอะ หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เยอะขึ้นด้วย แม้แต่ทีมชาติเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีทรัพยากรแบบไม่มีจำกัด พวกเขาต้องการโค้ชที่มีความสามารถจริงๆ หลี่ไต้รู้จักฉวงซูฉีดี เพราะงั้นเขาถึงคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรที่จะเอาฉวงเข้าไป
หลี่ไต้มาถึงทีมกรีฑาชาติก่อนเวลานัดถึง3วัน
นี้เป็นครั้งแรกที่หลี่ไต้ไปเมืองหลวง เหตุผลที่เขามาเร็วขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาอยากที่จะสำรวจสถานที่ก่อน
มันมีที่เพียงพอในทีมชาติสำหรับอยู่อาศัย ที่นี้ทุกตารางนิ้วมีค่าเยอะมาก ทางกรมการกีฬานั้นมีพื้นที่ใช้สอยสำหรับหอและบ้านพักใหญ่มาก พื้นที่นี้สามารถบรรจุคนได้500-600คนในช่วงกีฬาโอลิมปิค แล้วมันก็ง่ายต่อการจัดสรรค์ที่อยู่เพียงเพื่อคนไม่กี่โหลรวมถึงหลี่ไต้เองด้วย
3วันต่อมาทุกคนก็มาถึง ทางทีมชาติส่งรถตู้มา2คันเพื่อรับพวกเขาไปที่ฐานฝึกต่างๆ
หลี่ไต้นับจำนวนคนที่มีอย่างคร่าวๆ รถหนึ่งคันนั้นบรรจุได้ประมาณ30คน คนทั้งหมดก็คงประมาณเกิน60คนละมั้ง
มากันเยอะจังเลย เกินกว่า60คนอีกมั้งเนี่ย ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดจากทั่วทั้งประเทศแน่ๆ! หลี่ไต้จู่ๆก็คิดถึงฉวงซูฉี พวกเขาไม่ได้มาด้วยกัน
บางทีก็อาจจะมีบางคนเหมือนฉวงซูฉีก็ได้ที่ใช้เส้นสายเข้ามา จากนั้นหลี่ไต้ก็หัวเราะกับตัวเองตอนที่จำได้ว่าเขาก็ใช้เส้นสายของติ้งจี่ไหเหมือนกันนี้หว่า
มันใช้เวลาเกือบ2ชั่วโมงกว่ารถจะไปถึงที่หมาย หลี่ไต้ไม่รู้ว่าเขาที่เมืองฮั๋วจินหรือว่าเมืองอื่น แล้วรถก็ขับเข้าไปในประตูรั้ว
“ค่ายฝึกตำรวจฮั๋วจินเหรอ? หลี่ไต้อ่านคำบนป้ายด้วยความงง เพราะตอนนี้รถเข้ามาข้างในเรียบร้อยแล้ว
“นี้มันค่ายฝึกตำรวจนี้ เรามาทำอะไรที่นี้เนี่ย?”บางคนพูดขึ้นมา
“หรือว่ามันเป็นการพัฒนาการฝึก? ฉันได้ยินมาว่ามันมีกระแสนิยมแบบนี้อยู่ด้วย”อีกคนนึงพูด
“มีใครทำอะไรผิดมารึเปล่า ชูมือขึ้นแล้วสารภาพบาปมาซะดีๆไม่งั้นตำรวจจะมาจับพวกนายนะ”อีกคนนึงพูดติดตลก
“ไอ้บ้า นี้มันแค่ค่ายฝึกไม่ใช่คุก”
รถจอดในขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่
“เรามาถึงแล้ว เอ้า ลงจากรถ!”ผู้นำจากทีมชาติลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่ตึกหอพักในขณะที่คนอื่นๆก็เดินตามไป เขาได้จัดแจงที่พักให้ทุกคน
ถ้าเทียบกับบ้านพักในสำนักงานการกีฬา นี้มันแย่กว่าเยอะ ชายฉกรรจ์8คนต้องอยู่ในห้องๆเดียวที่มีเตียงแข็งๆแค่4เตียงกับห้องอาบน้ำและโถส่วม สภาพความเป็นอยู่ที่นี้แย่กว่าหอพักในมหาลัยเยอะ
เพราะนี้เป็นค่ายฝึกตำรวจ พวกเขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อสนุก อันนี้ก็พอเข้าใจได้
แล้วพอทุกคนลงหลักปักฐานกันแล้ว พวกเขาก็โดนเรียกไปที่ห้องประชุม หลังจากที่คนทั้งหมด60คนนั่งลงไปแล้ว หัวหน้าจากทีมกรีฑาชาติก็เดินมาพร้อมกับชายวัยกลางคนในชุดลายพราง
“คนๆนั้นที่ใส่เสื้อลายพลาง เขาเป็นโค้ชที่นี้เหรอ แล้วเขาจะมาฝึกเราเหรอ?”
บ้าหน่านี้มันค่ายฝึกตำรวจนะ หรือว่าเรากำลังจะได้รับการฝึกตำรวจแบบมืออาชีพวะ แบบพวกการต่อสู้หรือการยิงปืน ฉันไม่เคยจับปืนจริงๆมาก่อนเลยนะเห้ย
จู่ๆก็มีบางคนพูดขึ้นมาอย่างเริงร่า “มันคงจะดีเนอะถ้าเราได้จับปืนจริงๆ ฉันคงตายอย่างสงบถ้าได้ยิงซักนัด3นัด!”