Almighty Coach – โค้ชอหังการ - ตอนที่ 136
ฝางไฮควานตอนนี้ออกจากทีมเยาวชนแล้วไปเข้าทีมชาติแล้ว หลี่ไต้ก็ไม่ได้เป็นห่วงมากนัก เพราะว่าลูกคนรวยไปไหนก็ได้รับการดูแลอย่างดีทั้งนั้นละ
สำหรับอนาคตของฝางไฮควานนั้น หลี่ไต้ไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก ฝางไฮควานนั้นเป็นนักกีฬากระโดดไกลที่มีพรสวรรค์ ถ้าเขาฝึกหนักขึ้นละก็ เขาก็สามารถไปเป็นนักกีฬาระดับโลกได้แน่ๆ การฝึกและทรัพยากรการฝึกของทีมชาตินั้นดีกว่าทีมเขตมากนั้น นี้เป็นโอกาสที่ดีของฝางไฮควาน เขาจะเก่งขึ้นกว่าอยู่ที่นี้เยอะ
สำหรับนักกีฬากระโดดไกลคนอื่นๆอยู่ในระดับDกันซะหมด ดีสุดก็D+ แย่สุดก็D- ในสายตาของหลี่ไต้ พวกเขานั้นอาจจะขยันจนกลายมาเป็นนักกีฬามืออาชีพได้ก็จริง แต่ถึงแม้จะเป็นได้ พวกเขาก็พัฒนาไปได้อีกไม่ไกลหรอก พวกเขาอาจจะออกไปในเวลาอันสั้นเพราะว่าไม่พัฒนาไปไหน
แต่หลี่ไต้ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลยนักกีฬาพวกนี้ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มาที่นี้พร้อมกับความฝึน หลี่ไต้รู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะเสนอโอกาสให้พวกเขาได้ลองอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าความฝันของเขาจะไม่ได้เป็นจริง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ลอง
เอาความเป็นจริงแล้วการที่ฝางไฮควานโดนทีมชาติเรียกตัวไปเข้านั้นถือเป็นข่าวดีมากสำหรับนักกีฬากระโดดไกลในทีมคนอื่นๆ รวมไปถึงนักกีฬาในทีมเยาวชนด้วย เพราะว่าไฮควานถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นเยี่ยงอย่าง และที่สำคัญคนอื่นก็ได้เห็นการฝึกหนักด้วย
นักกีฬาหนุ่มหลายๆคนได้รับแรงบันดาลใจจากฝางไฮควานและฝึกหนักกว่าเดิม และผลที่ได้คือทีมกรีฑามีผลงานที่ดีขึ้นมาก
ผู้นำของทีมกรีฑาเขตอย่างชูเหว่ยตงติดต่อมาหาหลี่ไต้ พวกเขาได้เก็บที่นั่งในทีมของเขาไว้แล้วก็กำลังทำงานเอกสารทั้งหมดให้เรียบร้อย หลี่ไต้จะได้เริ่มสมัครล่วงหน้าแล้ว แต่พอชูเหว่ยตงได้ยินมาว่าหลี่ไต้จะไปสมัครโครงการฝึก เขาก็บอกหลี่ไต้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการยื่นสมัคร แค่เตรียมตัวสำหรับการเข้าโครงการฝึกก่อน พวกเขาจะปรับตำแหน่งให้หลี่ไต้ทีหลัง กลายเป็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับหลี่ไต้สุดๆ
หลี่ไต้เข้าใจชูเหว่ยตงความมั่นคงมีค่ามากในการฝึกกีฬา ถ้าเข้าทีมเขตไปซักพักแล้วต้องย้ายไปอยู่ทีมชาติ ความมั่นคงก็จะขาดหายไป ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อนักกีฬา อีกอย่างหลี่ไต้ยังต้องอยู่ในทีมเยาวชนอีกซักพักเพื่อฝึกนักกีฬาระดับDพวกนี้ก่อน
…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บิ่นหลูโทรมา
“สวัสดีครับ โค้ชหลู เรื่องโครงการฝึกเหรอครับ? ครับ? ผมติดรึเปล่าครับ?”หลี่ไต้ถามแบบกังวล
บิ่นหลูพูดเสียงเบาๆ “พวกเขาเลือกมาแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้เลือกนาย!”
หลี่ไต้ตกใจมากเขาคิดว่าเขาจะได้เปรียบเรื่องอายุเเล้วนะ ไม่พอยังมีเรื่องความสามารถด้วย เขาคิดว่าเขาต้องได้เป็นคนที่ถูกเลือกในโครงการฝึก เขาไม่คิดว่าคนอื่นจะได้รับเลือก
“พวกเขาเลือกใครไปครับ?”หลี่ไต้ถาม เขาได้พิสูจน์ตัวเองโดยการส่งฝางไฮควานไปเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมได้เเล้ว เขาจึงสงสัยว่าใครกันที่มาเเซงหน้าเก่งกว่าเขาได้
“ฉวงซูฉี เขาอายุ29ปีนี้แล้วก็มีคุณสมบัติตรงตามที่พวกเขาต้องการ”บิ่นหลูพูดต่อ “มันเป็นเรื่องของระบบอุปถัมภ์หน่ะนายเข้าใจไหม ลุงของเขาเป็นรองผู้จัดการของกรมการกีฬาเขต ชูเหว่ยตงกับฉันพยายามยื่นมือเข้าไปช่วยนายแล้ว แต่เราก็ช่วยได้ไม่ได้มาก เอาจริงๆเราทำอะไรไม่ได้เลยด้วย แต่ไม่ต้องรู้สึกแย่นะ นายยังหนุ่มยังแน่น นายยังมีโอกาสอีกมากนะ”
ฉวงซูฉีอีกแล้วเหรอวะ!หลี่ไต้เดือด
ก่อนหน้านี้ ฉวงซูฉีก็ได้แย่งชิงเอาทีมทุ่มน้ำหนักไปจากหลี่ไต้ แล้วก็ยังทิ้งภาระของทีมกระโดดไกลไว้ให้หลี่ไต้ด้วย ยังโชคดีที่หลี่ไต้ได้เจอกับฝางไฮควาน นักกีฬากระโดดไกลพรสวรรค์ระดับA แล้วก็ชนะการแข่งในทีสุด
แล้วรอบนี้ ฉวงซูฉียังจะแย่งเอาโอกาสในการได้ฝึกกับทีมชาติไปจากหลี่ไต้อีกเหรอ!
ถ้าเหตุผลที่มันได้โอกาสนี้ไปเป็นเพราะฉวงซูฉีเก่งกว่าเขา หลี่ไต้ก็คงจะยอมรับได้ แล้วก็ยังชื่นชมฉวงซูฉีด้วย แต่นี้ฉวงแม่งชิงโอกาสนี้ไปด้วยการใช้เส้นสายของครอบครัว แล้วหลี่ไต้ก็รับมันไม่ได้สุดๆ
บิ่นหลูรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดของหลี่ไต้ เขาเลยพูด “ใจเย็นๆก่อนหลี่ไต้ เหตุผลที่ฉวงซูฉีมันได้โอกาสนี้ไปก็เพราะว่าพ่อของเขาดันเป็นผู้จัดการด้วย ดังนั้น นายต้องใจเย็นๆไว้นพ อย่าทำอะไรที่มันไร้เหตุผลไปละ เรายังอยู่ในระบบอยู่ เพราะงั้นเราต้องเล่นตามเกมเข้าไว้”
“ผมเข้าใจกฎของเกมนี้ดีครับ ไม่ต้องห่วงครับโค้ช ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่นอน”หลี่ไต้หายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะพูดต่อ “โค้ชครับ มีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีผมอยากจะอยู่คนเดียวซักพัก ไม่ว่ากันนะครับ”
“ได้ซิ ไม่มีปัญหา! อยากโทรหาฉันเมื่อไรก็ได้เลยนะ “บิ่นหลูเข้าใจดี เขาเลยปล่อยให้หลี่ไต้อยู่คนเดียวก่อน
หลี่ไต้วางสายไป การโดนรบกวนเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาอยากโดนตอนนี้ ดังนั่งเขาเลยปิดโทรศัพท์ แล้วนั่งเงียบๆคนเดียว
กฎของระบบเหรอ? หลี่ไต้หัวเราะกับตัวเอง พยายามจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองพึ่งพูดไป นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขยะแขยงกับระบบแบบนี้
ตอนที่เขาเรียนจบ หลี่ไต้ได้แต่ฝันว่าจะได้ทำงานดีๆแล้วได้เงินเดือนธรรมดาๆ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาควรจะปล่อยเรื่องงานไปแล้วไปตามล่าความยุติธรรมก่อน!
อะไรคือกฎนั้นกันวะ? ถ้าคนที่มีทุนชีวิตดีๆหน่อยก็มีสิทธิ์มาแย่งของของชนชั้นแรงงานเหรอ? แม่งไม่ใช่กฏแล้ววะ!
คนที่ไม่ได้มีเส้นสายหรือทุนชีวิตอะไรมาก่อนเลยต้องทำงานลำบากตรากตรำกว่าชาวบ้าน ถามยังมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับความสนใจจากเบื้องบน นี้ก็เป็นกฎของเกมด้วยละซิ
หลี่ไต้หายใจลึกๆอีกครั้ง เขาไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะออกจากระบบแบบนี้ เขาจะไม่คิดเรื่องนี้อีก เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนขี้ขลาด แม้จะมีส่วนหนึ่งในใจบอกเขาว่าปล่อยมันไปน่าจะดีกว่า เขายังต้องอยู่ในระบบเน่าๆแบบนี้ต่อไปถ้าเขายังอยากได้เงินเดือนที่มั่นคง เขายอมแพ้กับเรื่องงานไม่ได้เพราะว่าเขายังต้องการเส้นสายในทีมเพื่ออนาคต
หลี่ไต้รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ในตอนนั้นเลย ไม่ใช่แค่เพราะว่าเขาไม่พอใจกับผลที่ออกมา แต่มันเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเขาอ่อนแอ อ่อนแอเกินกว่าจะโต้ตอบได้!
เขาเป็นแค่คนธรรมดา เขาไม่ใช่ตัวละครหลักในนิยายที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสแล้วล้มคู่ต่อสู้ด้วยท่วงท่ามากมายเมื่อไรก็ตามที่เขาหงุดหงิด เขาไม่ได้มีแหวนเวทมนตร์ที่จะช่วยเขาแก้ทุกปัญหา ไม่ได้กล้าหาญขนาดที่บอกทั้งใต้หล้าว่าเขาคือที่สุด เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ในด้านกังฟู แล้วก็ไม่สามารถปีนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกเพื่อลงมามองสิ่งมีชีวิตข้างใต้อย่างมีชัย
เขาเป็น แค่ คน ธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดาๆ ตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะมีเส้นสายที่มากมายเป็นโค้ชชื่อดังสนับสนุนเขาอยู่แล้วก็ให้โอกาสเขาได้ฝึกนักกีฬาเก่งๆ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ทำอะไรเพื่อหยุดฉวงซูฉีไม่ให้แย่งโอกาสไปทีมชาติไม่ได้อยู่ดี
หลี่ไต้ไม่ได้อยากได้อะไรอีกแล้วนอกจากการไปเมาแล้วลืมทุกอย่าง เขาอยากได้คนรับฟังปัญหาของเขา แล้วแบ่งเบาความรู้สึกนี้
ทันใดนั้น เขานึกถึงซูฮงหยี ถึงแม้ว่าเขาจะต่างกันทั้งอายุและยศตำแหน่ง แต่ซูฮงหยีก็เป็นผู้ฟังทีดีสำหรับเขา แต่ที่สำคัญกว่า ซูฮงหยีเป็นคนที่กินเหล้าด้วยแล้วสนุกมาก
หลี่ไต้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดมัน แล้วโทรหาซูฮงหยี