ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 97 ตอนที่ 17 โชคชะตา
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 97 ตอนที่ 17 โชคชะตา
ตอนที่ 17 โชคชะตา
“……สู๊ดยอด”
“อ้า พระราชวังยังงดงามเช่นเดิม แต่ก็แค่ภายนอกล่ะนะ”
หลังจากได้ยินว่าลูน่าเริ่มลงมือแล้ว พวกเราก็แยกเป็นสองกลุ่มทันที พวกไลลา หน่วยองครักษ์สตรีศักดิ์สิทธิ์มุ่งไปยังเขตคฤหาสน์ขุนนางทั่วเมืองหลวงเพื่อกลับไปหาพ่อแม่ของพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะสัญญาว่าจะกลับบ้านทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวงไม่ว่าจะช่วยชีวิตฉันสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ม๊า ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ครอบครัวมีความสำคัญต่อทุกคน
ในอีกด้านหนึ่ง พวกเราถูกคุ้มกันไปตามถนนหลักที่ตรงไปยังเขตรอบนอกของพระราชวัง ถูกเรียกว่าถนนลำดับที่หนึ่ง และยังเป็นถนนที่พาไปสู่โรงเรียนที่มักจะแออัดไปด้วยผู้คนมากมาย แม้ว่าฉันจะได้มาเพียงแค่ห้าหรือหกครั้ง แต่ก็พอจะจำบรรยากาศที่มีร้านค้าต่าง ๆ เรียงกันเป็นแถวได้ อาจเป็นเพราะแบบนั้น สถานการณ์ที่ไร้ผู้คนตอนนี้จึงทำให้ฉันรู้สึกประหลาดเป็นพิเศษ ยังไงก็ตามอัศวินคุ้มกันก็ดูเหมือนจะกังวลเกี่ยวกับอายาเมะเช่นกัน ลาบริกซ์ซังคงเคยได้ยินเรื่องส่วนใหญ่มาจากมาเรียน่า・ไอริสมาแล้วจึงดูไม่สนใจ
……และเมื่อเดินทางมาถึงเขตรอบนอกของพระราชวัง ก็เจอเหล่าอัศวินเข้าแถวจนแน่นขนัดอยู่ที่นอกรั้วเหล็กที่ล้อมรอบพระราชวัง พวกเขากำลังเฝ้าความปลอดภัย――――จริง ๆ แล้วคือการปิดล้อม――――อาคารรูปตัวยูขนาดใหญ่ พระราชวัง ฉันตะลึงกับการมีอยู่อย่างล้นหลามจนลืมสถานการณ์ไปชั่วครู่
แต่เดิมคงจะสดใสกว่านี้ ผนังด้านนอกที่ให้ความรู้สึกถึงฤดูกาลเป็นสีเอิร์ธโทนแดง และเสาค้ำเป็นสีเบจ หลังคาสีเทาประดับประดาด้วยประติมากรรมต่าง ๆ และนาฬิกาขนาดใหญ่ฝังอยู่ใกล้หลังคาของอาคารกลาง ……นี่คือพระราชวัง ไม่เหมือนกับที่จินตนาการไว้ ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างแนวตั้งแต่เป็นอาคารขนาดใหญ่ในแนวนอน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าราชวงศ์ในขณะสร้างทรงตระหนักถึงความเท่าเทียมกันของสถานภาพทางสังคม แม้ว่าฉันจะอยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่งแล้ว ฉันก็ไม่ได้ตระหนักถึงพระราชวังแห่งนี้มากเป็นพิเศษ แต่เมื่อลองเปลี่ยนมุมมองไปครั้งหนึ่งก็รู้สึกสวยงามอย่างเหลือเชื่อ
คุณพ่อตอบกลับความประทับใจที่ใสซื่อของฉันที่หลุดออกไปโดยไม่ตั้งใจด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน เมื่อมองจากตรงนี้ไปด้านหน้า……อัศวินจากกลุ่มที่รออยู่หน้าประตูหลักรีบวิ่งมาที่นี่
“ท่านแม่ทัพ!”
“อ้า สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
ลาบริกซ์ซังตอบกลับการคำนับด้วยการถามถึงสถานการณ์ทันทีอย่างร้อนใจ เนื่องจากการปิดล้อมเขตรอบนอกยังไม่ถูกยกเลิก จึงมีแนวโน้มว่าการควบคุมภายในยังไม่แล้วเสร็จแต่จากสิ่งที่ฉันเห็น อัศวินดูเหมือนจะมีความตึงเครียดแต่ก็ยังรักษาความสงบเอาไว้ได้ ฉันหวังว่าทุกอย่างจะไม่เลวร้าย
“ครับ จากที่ได้สอบถามสาวใช้ที่พึ่งหนีออกจากพระราชวัง การปฎิวัติภายในขององค์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบรรลุผลขั้นแรกแล้วครับ ดูเหมือนบุคลากรส่วนใหญ่ในหมู่ข้ารับใช้และราชองครักษ์จะเลือกเข้ามาพันธมิตร ยกเว้นกลุ่มเป้าหมายครับ”
“ตอนนี้ยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้สินะ”
“ฮ๊า ดูเหมือนว่าเป้าหมายจะอยู่ระหว่างงานเลี้ยงอาหาร และในปัจจุบันกำลังทำการควบคุมสถานที่ต่าง ๆ พร้อมมุ่งหน้าไปยังห้องบัลลังก์เพื่อจัดการจับกุมทั้งหมดในครั้งเดียวครับ”
“เข้าใจล่ะ แต่คราวนี้พวกเราไม่ได้มาร่วมมื้ออาหาร ก็สะดวกสำหรับพวกเราล่ะนะ…..แต่เดี๋ยวก่อน มีพวกส่วนกลางให้ความร่วมมือด้วยหรือไม่?”
“ฮาฮาๆๆ เจ้าต้องล้อเล่นอยู่แน่ ๆ ถ้ามีใครเข้าร่วมมือตามแผนการนี้ พวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่ถูกเรียกว่า”ขุนนางส่วนกลาง”ตั้งแต่แรกหรอก”
“แน่ล่ะนะ ……เอาล่ะ ขอบคุณสำหรับรายงาน กลับเข้ากองของเจ้าซะ”
“ฮ๊า!”
ลูน่าดูเหมือนจะทำได้ดีทีเดียว ลาบริกซ์ซังเล่นมุกตลกเบา ๆ บางทีอาจเป็นการทำให้อัศวินรู้สึกดีขึ้น หรือคงเพื่อคลายความตึงเครียดของเหล่าอัศวิน แล้วเขาก็ถอนหายใจ จากนั้นก็มองขึ้นไปที่พระราชวังด้วยท่าทางเศร้า
“……มีบางอย่างที่ร่วงหล่น”
“เพราะแบบนั้นเจ้าถึงได้อยากเปลี่ยนไม่ใช่รึ? ลาบริกซ์”
“ฮัททีเรีย เจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างไปก็คงไม่เข้าใจว่าทำไม แต่มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ข้าต้องมาชี้ดาบเข้าใส่คนที่ครั้งหนึ่งข้าเคยถวายสัตย์ปฏิญาณตนอย่างใจจริงมาก่อน ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นศัตรู แต่เพราะข้าคืออัศวิน”
“อัศวิน สินะ ……สำหร้บข้า ข้าก็แค่ต่อสู้เพื่อปกป้องอลิเซียเท่านั้น”
“อ้า แน่นอน เจ้าไม่ใช่อัศวิน แต่เป็นวีรบุรุษต่างหาก”
“หยุดเลย อย่ามาพูดเรื่องนั้นต่อหน้าอริซกับท่านพ่อตาสิ มันน่าอาย”
“โฮ่ๆๆ จากที่คุยกันมาถึงตอนนี้ ข้าพอเข้าใจแล้วว่าทำไมอลิเซียถึงยอมมอบความความไว้วางใจให้เจ้าน้อจ๊า”
เช่นเดียวกับคุณตาที่พูดแบบนั้น คุณพ่อกับลาบริกซ์ซัง และฉันกับเบลล์ซัง ทุกคนต่างดูเศร้าเหมือนกันเมื่อเอ่ยถึงชื่อคุณแม่ แต่ไม่มีใครพูดมากกว่านั้น อายาเมะจ้องมาที่ฉันอย่างกังวล และฉันก็ลูบเธอแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร” มีเพียงมิร่าซังคนเดียวที่ไม่รู้จัก ทำให้ดูเหมือนเธอจะอึดอัดเล็กน้อย
ในความเงียบอันมีความเศร้าเจือปน จู่ ๆ คุณตาก็หันมากล่าวขอโทษ และมองกลับไปที่ถนน ที่มุมทางเข้าซอยที่อยู่ไกลออกไปมาชายหนุ่มคนหนึ่งยืนราวกับรออยู่ตรงนั้น ฉันเดาว่าเขาคงเป็นคนจากหน่วยข่าวกรอง อาจมีข้อมูลใหม่จากสถานที่ต่าง ๆ ……แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ฉันเป็นกังวลนิดหน่อยเกี่ยวกับคนนั้นและอีกสองคนในซอยด้านหลัง ฉันไม่อยากคิดแบบนั้น แต่บางทีชายคนนั้นอาจมาจากฝ่ายที่เป็นศัตรูกับคุณตา หรือกลุ้มต่อต้านที่แสร้งทำตัวเป็นหน่วยข่าวกรอง หรือไม่ก็……ไม่สิ ถ้าคิดเอาเองไปเรื่อยแบบนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าคุณตาตัดสินว่าไม่เป็นไร ก็ไม่เป็นไร
“โฮ่ง”
“เอ๊ะ…….”
แต่ในขณะที่ฉันมองด้วยความกังวล อายาเมะก็เห่าออกมาหนึ่งครั้งก่อนแสดงท่าทางว่าจะเดินตามคุณตาไป เธอรับรู้ได้ถึงความกังวลของฉันสินะ ดูเหมือนว่าเธอจะมีความเห็นว่าสามารถรับประกันความปลอดภัยทางร่างกายของฉันได้แน่นอน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าเลยกำลังพยายามลดภาระทางจิตใจของฉันด้วย
ฉันลังเล แต่การมีอายาเมะไปด้วยฉันก็โล่งใจขึ้น นอกจากนี้ฉันก็เคยเห็นความสามารถของคุณตาโดยตรงมาก่อนแล้วด้วย เมื่อฉันลูบสีข้างและกล่าวขอบคุณ อายาเมะก็เห่าอย่างมีความสุข และวิ่งตามคุณตาไป เมื่อคุณตาสังเกตเห็นอายาเมะที่วิ่งตามไป ก็หันกลับมามองฉัน และยกมือให้ ก่อนหายเข้าไปในซอย
แล้วพยายามหันกลับมามองพระราชวัง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันจึงมองไปที่เบลล์ซังและมิร่าซัง และพวกเธอก็ลูบหัวฉันเบา ๆ
“เป็นอะไรไปรึคะ อริซซามะ”
“อะ อืออึ……”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามีอายาเมะที่มีพลังเท่าคนร้อยคนไปด้วย เป็นข้าเองก็รอดได้เหมือนกันค่ะ!”
“อืม ……นั่นสินะ ขอยกุณ”
ทั้งสองคนรู้ว่าฉันเป็นห่วงคุณตาจึงช่วยกันให้กำลังใจฉัน
ม๊า ก็คงกลับมาในเร็ว ๆ นี้ล่ะ ในที่สุดการปฏิวัติก็มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว บางทีฉันอาจจะระมัดระวังเกินไป หรือบางทีฉันอาจจะขี้ขลาด เป็นเรื่องไม่ดีเลยแต่
……ยังไงก็ตาม ที่เหลือก็แค่รอให้ลูน่าออกมาอย่างปลอดภัย ―――― และ ในตอนนั้นเอง
ทันใดนั้นภายในพระราชวังก็เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้น ฉันหันกลับมามองและเพ่งสายตาไปที่อีกด้านหนึ่งของรั้วเหล็ก ไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้น แม้แต่อัศวินที่รออยู่ก็ทำแบบเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น ลูน่าและคนอื่น ๆ ออกมาแล้วเหรอ มองจากตรงนี้ไม่ค่อยดีเลย……
“…….นั่น”
ลาบริกซ์ซังจ้องไปที่จุดหนึ่งและพึมพำออกมา ฉันมองตามการจ้องของเขา แต่ฉันก็มองไม่เห็นอะไร เพราะถูกบังโดยหลังของเหล่าอัศวินและรั้วเหล็ก เสียงร้องด้วยความดีใจดังขึ้นจากใครบางคนก่อนที่จะขยายตัวเป็นลูกโซ่ต่อ ๆ กัน ดังจนฉันเกือบปิดหูตัวเองโดยไม่ตั้งใจ
ฉันกระสับกระส่าย เบลล์ กอด……..
” ―――― ริซซซซซซซซ อริซ……………………. !?”
ฉันดึงตัวเองออกจากมือที่กำลังจะยกฉันขึ้นอุ้มของเบลล์ซังที่กำลังจ้องมองไปที่พระราชวังราวกับเจาะลึกเข้าไปเหมือนกัน ฉันค้นหาที่มาของเสียงที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอย่างเร่งรีบ
ขาของฉันขยับไปเอง
กึกๆๆๆ และประตูถูกเปิดจากภายใน ฉันประสานสายเข้ากับตาทั้งสองข้างสีแดงเข้มเขียวเข้มที่ปรากฎออกมาตัดผ่านเหล่าอัศวิน
“ลูน่า……….. !”
“……….!? อริซ!”
ทั้งสายตาทั้งเสียง เพียงชั่วขณะพวกเราก็เหมือนตัดขาดออกจากโลก
มีแค่ฉันกับลูน่า ในเวลาเดียวกันพวกเราก็วิ่งหากันเป็นเส้นตรง มีเพียงทองละเงินเท่านั้นที่กอดกันอยู่ในโลกนั้น
“อ้า อริซ อริซ ปลอดภัยดีใช่ไหม……..โล่งอกไปที……..”
“ลูน่า ลูน่า……….”
“เป็นอะไรไป? ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”
“อืม ลูน่าล่ะ?”
“อืม ไม่เป็นไร ……โล่งอกจริง ๆ”
หลังจากกอดลูน่าและยืนยันความปลอดภัยของกันและกัน พวกเราก็ทรุดตัวลงนั่งตรงนั้นโดยไม่สนว่าเสื้อผ้าจะสกปรก และในที่สุดโลกก็ไล่ตามาทัน
รับรู้ได้ถึงเสียงและสายตาที่ฟื้นกลับมาทีละคน นั่นเหรอสตรีศักดิ์สิทธิ์ เดาได้ทันทีเพราะสีผมงั้นเหรอ ฉันพึ่งสังเกตได้ว่ากำลังถูกพูดถึงจากทุกที่ ฉันวิ่งออกมาโดยไม่สนใจสายตา แต่ตอนนี้ได้แต่กอดคู่หูไว้แน่นเพื่อซ่อนแก้มที่ร้อนของตัวเองทั้งที่ยังจับมืออยู่แบบนั้น ลูน่าที่เห็นแบบนี้แล้วก็ดูโล่งใจ หรือไม่ก็เหมือนจะหน้าฝืนยิ้ม เสียงฝีเท้าที่ดังตามมาทีหลังคือของเบลล์ซัง กับมิร่าซัง และสเตลล่าซังที่เดินมาจากด้านหลังของลูน่า
“ทั้งที่มีหม่อมฉันอยู่แล้วแท้ ๆ ดูเหมือนว่าองค์เจ้าฟ้าหญิงจะชอบแฟร์มีลซังมาก ๆ เลยนะเพคะ”
“สเตลล่าซัง ดีใจจริง ๆ ที่คุณยังปลอดภัยอยู่”
“คุณเองก็ด้วย น็อกซ์เบลซัง แม้อาจจะไม่มากเท่าองค์เจ้าฟ้าหญิง แต่ดิฉันเองก็เป็นห่วงเช่นกันนะคะ”
โทนของสเตลล่าซังยังคงดูเหมือนเดิม แม้ในความจริงจะไม่ได้เจอกันมานาน บรรยากาศที่ทำให้รู้สึกหวนคิดถึงก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ พูดจากใจ ฉันรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาเริ่มต้นกันใหม่กับพวกลูน่าแบบนี้
……แต่ยังก่อน ความวิตกกังวลของฉันหมดไปในทันทีและเริ่มผ่อนคลาย แต่ยังไม่ควรปล่อยตัวตอนนี้
“ลูน่า”
“หืม”
ลูน่าเข้าใจได้ในคำเดียว เธอปล่อยแขนที่โอบรอบหลังของฉันออก และยืนขึ้นก่อนหันไปทางประตู คุณพ่อกับลาบริกซ์ซังซึ่งกำลังควบคุมสั่งการอัศวินที่อยู่โดยรอบเห็นดังนั้นจึงเข้ามา มีทั้งใบหน้าที่คุ้นเคยซึ่งเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่า และอัศวินในชุดที่ไม่คุ้นเคย พวกเขาน่าจะเป็นราชองครักษ์ที่อยู่ภายใต้ราชวงศ์โดยตรง บางสิ่งที่พวกเขานำมาด้วยทำให้ต้องใช้ความระแวดระวังอย่างเต็มที่
“คนนั้นคือ……..ท่าน ราชา”
“พวกเราแทบไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้ทำแบบนี้ พวกเราสามารถจับกุมคนทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย บางทีแม้แต่ตอนนี้ก็คงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ด้วยซ้ำ”
ลูน่าพูดไม่หยุดอย่างน่าประหลาด และอย่างที่เธอบอก ราชาและคนอื่น ๆ ซึ่งถูกนำตัวออกมาทางประตูหลักโดยถูกมัดแขนทั้งสองข้างจนทำอะไรไม่ได้มีสีหน้างงงัน ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในราชอาณาจักรแห่งนี้ แต่พอได้เห็นสภาพแล้วก็อดรู้สึกเวทนาเล็กน้อยหรือสงสารไม่ได้ แน่นอนว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ผู้ร้ายหลักที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งทั้งหมดระหว่างขุนนางและสามัญชน
จากมุมมองของพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรที่พูดได้นอกจากพวกเขาแค่โชคร้ายที่ต้องเป็นคนจ่ายหนี้ทั้งหมดด้วยตัวเอง หากถามถึงสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบทั้งหมดของพวกเขา ก็คงเป็นการปล่อยปละละเลยระบบสังคมไว้จนเกิดเรื่องขึ้นเอง……พูดไปแล้วก็เป็นเหยื่อของเวลานั่นเอง
ลาบริกซ์ซังก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าต่อหน้าราชาที่แข็งทื่อ
“……ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ฝ่าบาท ไม่สิ กระหม่อมควรจะกล่าวว่ากลับไปยังจุดเริ่มต้นจะถูกกว่ากระมั้ง มีเพียงราชวงศ์และขุนนางเท่านั้นที่ได้เพลิดเพลินกับชีวิตอันฟุ่มเฟือย ด้วยเหตุนั่นพวกเราจึงไม่อาจยอมรับความรุนแรงที่ราวกับการเอาเปรียมผู้คนได้อีกต่อไปแล้วพะยะค่ะ”
“ไวท์รีด เจ้า……เจ้าลืมความเมตตาที่ข้าทำให้เจ้าได้เป็นแม่ทัพไปแล้วงั้นเรอะ!”
ราชาตะโกนเสียงดัง
คุณพ่อคุกเข่าลงข้างลาบริกซ์ซังที่กำลังยอมรับความขุ่นเคืองด้วยการก้มศีรษะ
“ทั้งลาบริกซ์ทั้งกระหม่อมต่างไม่เคยลืมความกรุณาของฝ่าบาทเลยพะยะค่ะ อย่างไรก็ตาม บ้านเมืองนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งพะยะค่ะ ราชอาณาจักรกำลังตกอยู่ในอันตรายจากความอดอยากอันรุนแรง โครงข่ายคมนาคมเป็นอัมพาต เหล่าประชาต้องทนทุกข์ทรมานจากความยากจนและการใช้แรงงานอย่างหนัก นอกจากจะทอดทิ้งไม่เหลียดแลแล้วยังทรงขูดรีดโดยไม่มีมาตรการรับมือใด ๆ เจ้าผู้ซึ่งละโมบในทรัพย์สมบัติที่สั่งสมด้วยเลือดและเนื้อของพวกเขา ไม่มีคุณสมบัติที่จะดูแลราชอาณาจักรอีกต่อไป”
“อย่ามาสามหาว เจ้าไพร่ชั้นต่ำ!การได้เล่นเป็นวีรบุรุษทำให้เจ้าหยิ่งทะนงได้ขนาดนี้เชียวเรอะ!”
“แก!”
ไม่ใช่คุณพ่อหรือลาบริกซ์ซังที่ตอบ แต่เป็นเหล่าอัศวินที่อยู่รายรอบ
สำหรับพวกเขาทั้งสองต่างเป็นวีรบุรุษที่ชื่นชมและเคารพอย่างสูงสุด เมื่อถูกดูหมิ่นเรื่องนั้น อารมณ์ที่ถูกเก็บกดมาหลายปีก็ระเบิดออกมาในที่สุด
“ราชาห่าอะไรกัน! ไม่เคยโผล่หัวออกจากราชวังเลยด้วยซ้ำ! “
“แต่แรกแล้ว มันก็แค่ขโมยบัลลังก์จากองค์มหาราชาที่ทรงหายไปในความโกลาหลของสงคราม! ไอ้กบฏเอ๊ย!”
อย่างที่คาดไว้ เขาตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวและไร้หนทาง และไม่มีคำพูดใดที่จะตอบโต้ต่อการถูกตำหนิจากทุกทิศทางได้ ราชาได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนก้มหน้าลงปิดปากเงียบ ……ข้างหลังของเขาคือ ราชินีและขุนนางส่วนกลางที่กำลังกลัวจนตัวสั่น ……ฉันเกือบจะเมินหน้าหนี
แต่ฉันจะมองไปทางอื่นไม่ได้ ในฐานะผู้นำการปฏิวัติครั้งนี้ ฉันต้องไม่ละสายตาไปจากภาพที่เห็นอยู่นี้ ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาต่อจากนี้ ฉันอยากให้เขาถูกลงโทษด้วยการมีชีวิตอยู่และแบกรับบาปแทนโทษประหารชีวิต แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็มีหน้าที่ต้องดูจนจบ
ขณะเฝ้ามองลาบริกซ์ซังที่พยายามสงบความร้อนระอุที่กำลังเพิ่มขึ้น…….
“…..บ้า”
ก็ได้ยินเสียงพึมพำของลูน่า
คุ ฉันหายใจไม่ออก
บางทีฉันอาจจะหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงโดยไม่รู้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงภาระที่มากเกินไป ไม่สิ ฉันเข้าใจจากก้นบึ้งของหัวใจดีว่าการเริ่มต้นการปฏิวัติหมายความว่าอย่างไร เพราะแบบนั้นลูน่าที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดจึงรับหน้าที่ยึดอำนาจควบคุมในพระราชวังด้วยตัวเอง
ใช่แล้ว จะมาพูดอะไรเอาตอนนี้ ….แต่ถึงอย่างงั้น ราชา ราชินี
“ลูน่า…..”
――――ยังไงก็เป็นพ่อแม่
เจ้าหญิงองค์แรก เจ้าหญิงพระองค์เดียว ลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาเป็นพ่อแม่ของลูน่า
“….แต่”
แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
ทอดทิ้งเด็กที่ควรจะดูแล และเห็นเธอมีคุณค่าเพียงในฐานะเจ้าหญิง ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าครอบครัวได้เลย ……ลูน่าพูดถึงพ่อแม่ของเธอแบบนั้นเสมอ
แต่ ฉันก็รับรู้ได้ ว่าถึงจะเป็นอย่างงั้น ลูน่าก็ยังเรียกพวกเขาว่า”พ่อแม่”อยู่เสมอ
การที่มีคำด่าหลุดออกมานั่นเป็นเพราะเธอยังเห็นพวกเขาเป็นครอบครัว นั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องการขึ้นเป็นราชาและราชินีทรงธรรมที่แท้จริง เป็นเพราะได้เฝ้ามองมาตลอด
……เพราะลูน่าใช้นามสกุลของรูเนเรียอย่างภาคภูมิใจถึงขนาดนั้น
เธอพยายามอย่างหนักที่จะลองเปลี่ยนพวกเขาทุกวิถีทางอย่างหมดหวังแล้วใช่ไหม
บางทีอย่างน้อยเธอก็พยายามทำให้ตัวเองถูกประเมินค่าในฐานะเจ้าหญิงให้สูงขึ้น
ฉันไม่รู้ว่าลูน่ารู้สึกยังไงในตอนนี้
ทั้งหมดที่ฉันรู้จักเกี่ยวกับเธอ คือตั้งแต่ตอนที่ได้เจอลูน่าเป็นครั้งแรกที่โรงเรียน ฉันไม่รู้อะไรก่อนหน้านั้นเลย
ในท้ายที่สุด ฉันก็ไม่สามารถหาคำพูดที่สื่อไปให้เพื่อนสนิทของฉันซึ่งกำลังตัวสั่นอย่างเงียบ ๆ ได้
“……รูนไฮม์ซามะ”
“สเตลล่า…..ขอโทษที ฉัน….เข้าใจดี นี่เป็นสิ่งที่ฉันตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“ขอกอดนะเจ้าคะ”
“…….อืม”
ลูน่ากลั้นน้ำตาไว้อย่างสิ้นหวังในอ้อมแขนของสเตลล่าซัง และสังเกตได้ว่าเหล่าอัศวินที่แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาจนถึงเมื่อกี้ต่างตกอยู่ในความเงียบอันอึดอัด อัศวินที่อยู่รอบ ๆ ตัดสินใจถอยห่างออกไปจนวิสัยทัศน์เปิดออก พ่อแม่…….ราชาและราชินีที่เห็นลูน่าต่างจ้องมองเธอด้วยสายตาเกลียดชังราวกับมองคนทรยศก่อนหันหน้าหนี ยังไงก็ตาม ฉันรู้สึกว่ามีการแสดงออกที่ซับซ้อนในใบหน้าที่มองเห็นจากด้านข้าง
“ขอบคุณนะสเตลล่า …….ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
“เช่นนั้น…..ไม่สิ รับทราบแล้วเพคะ”
ลูน่าค่อย ๆ ผละจากสเตลล่า แล้วขยี้ตาตัวเอง ก่อนหายใจออกและแหงนมองท้องฟ้า
เธอหลับตาให้ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอย่างไร้ความรู้สึก ก่อนหันมาหาฉัน
“อริซ”
“ลูน่า”
“……มาทำให้จบกันเถอะ”
“……อืม”
รอยยิ้มที่อ้างว้างนั้นติดตรึงในใจฉัน
ลาบริกซ์ซังงส่งสัญญาณไปยังอัศวินอย่างเงียบ ๆ พวกเขาพยักหน้าและแยกออกเป็นหน่วยและกระจัดกระจายไปในเมือง เป็นการเรียกประชาชน ขุนนาง และนักเวทย์ที่รอหรืออพยพไปยังบ้านของพวกเขาให้มายังที่นี่
……นั่นคือขั้นตอนสุดท้ายของแผน
เป็นการประกาศปฏิวัติโดยฉันและลูน่า
“ทางนี้”
“อืม”
ฉันเดินตามหลังสเตลล่าซังผ่านประตูหลักพร้อมกับลูน่าเข้าไปในพิ้นที่กลางรูปตัวยู
เป็นการเคลื่อนไหวที่วางแผนไว้แล้ว ฉันกับเบลล์ซังและมิร่าซัง ลูน่ากับเสคลล่าซัง ส่วนทุกคนนอกเหนือจากนี้จะพาราชากับคนอื่น ๆ ออกไปราว ๆ สิบก้าวแล้วกระจายกันไปอยู่บริเวณรั้วเหล็ก
เมื่อหันหลังกลับโดยมีนาฬิกาเรือนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางพระราชวังอยู่ข้างหลังก็จะเห็นถนนลำดับที่หนึ่งอยู่ตรงหน้า ทีละเล็กทีละน้อย ตามลำดับระยะใกล้ไกลจากที่นี่ ผู้อยู่อาศัยได้เริ่มแสดงใบหน้าของพวกเขาออกมา จมูกสีเทาโผล่ออกมาจากมุมที่ใกล้ที่สุดปะปนอยู่ในกลุ่ม อายาเมะ…..และคุณตา ดูเหมือนการพูดคุยจะจบลงแล้ว ทั้งสองเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็วและเข้าแถวข้าง ๆ พวกคุณพ่อ
“ขอโทษที ข้าพลาดเวลาปรากฏตัวซะแล้วน้อ”
“โฮ่ง”
แน่นอนว่าคงจะอึดอัดมากที่จะกลับมาในบรรยากาศนั้น หลังพูดแบบนั้น คุณตาที่โกนเคราแล้วก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับคุณพ่อและลาบริกซ์ซังที่อยู่ติดกัน อาจเป็นเพราะคนทั่วไปเริ่มมารวมตัวกัน ทำให้ไม่สามารถพูดอย่างเปิดเผยได้ ฉันเดาว่ากำลังแบ่งปันสิ่งที่พึ่งได้ยินมา และเมื่อทั้งสองคนได้ยินต่างก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย และพยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงมองมาที่ฉันและเบลล์ซัง ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะบอกฉันให้รู้หลังการประกาศสิ้นสุดลง
“….ในที่สุดด้วยสิ่งนี้”
พวกเราได้ทำการปฏิวัติได้สำเร็จแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือ ฉันไม่มีความรู้สึกถึงความสำเร็จเลย ไม่มีทั้งความเค้นทั้งความอ่อนล้า
ม๊า ก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดด้วยล่ะนะ หลังจากนี้ก็ยังต้องประกาศให้ข้อมูลให้เผยแพร่ถ่ายทอดไปให้ถึงทุกที่เพื่อให้การจลาจลสิ้นสุดลง กองทัพจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เป็นหลัก แต่พวกเรายังคงต้องเคลื่อนไหวต่อไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ พวกเราจะเข้าเยี่ยมทุกหนทุกแห่งภายใต้ธงของเจ้าหญิงและสตรีศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคโดยทำให้พวกเขารู้ว่าจบลงแล้วจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม การประกาศเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ในนามของเจ้าหญิงและสตรีศักดิ์สิทธิ์ การปฏิวัติได้บรรลุผลแล้ว ที่นี่พวกเราจะกลับสู่จุดเริ่มต้น และขอสาบานว่าจะฟื้นคืนชีพและฟื้นฟูราชอาณาจักรตามความเชื่อของ Nobliss Oblige”…..ฉันจะประกาศประโยคดังกล่าวร่วมกับลูน่า แน่นอนว่าเสียงของพวกเราไม่สามารถดังไปถึงกลุ่มคนด้านหลังได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้โดยใช้อุปกรณ์เวทย์มนตร์ขยายเสียงที่ถูกใช้โดยกองทัพ
เมื่อฉันหลับตาลงและยืนยันสิ่งนั้นอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะรู้ตัว บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง เมื่อฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มีทั้งคนที่เย้ยหยันกลุ่มราชาที่ถูกจองจำอย่างสะใจ ทั้งคนที่จ้องมองมาที่พวกฉันตามเสียงเล่าลือที่ได้ยินมา จากนั้นก็เป็นพวกไลลาที่กลับมาพร้อมกับพ่อแม่ มีนักเวทย์ที่ฉันรู้สึกเหมือนได้เห็นในงานเทศกาลโรงเรียน และกลุ่มที่แต่งตัวเหมือนที่คลอริน่าซังใส่ บางทีอาจเป็นสมาชิกของศาสนจักรล่ะมั้ง
……หากพวกเขายอมรับคำประกาศ การปฏิวัติจะประสบความสำเร็จในทันที
ในที่สุด ดูเหมือนว่าความรู้สึกของความเป็นจริงเอ่อขึ้นมา
“ฮิเมะ”
“อริซซามะ”
“อริซ”
เสียงจากเบลล์ซังและมิร่าซังที่ถอยไปอยู่ด้านหลังหนึ่งก้าว และจากลูน่าที่ยืนอยู่ข้างฉัน มีแต่สเตลล่าซังที่ไม่พูดอะไรสักคำ
เธอจ้องมองอย่างสงบ ราวกับให้การยอมรับไม่ต้องกังวลสิ่งใด ฉันสงสัยว่านั่นคือสิ่งที่เธอจะพูดหรือเปล่า
“อืม ขอบคุ ―――――……..หืม?”
ยังไงดี ระหว่างพยายามยิ้มกลับ ในทันใดนั้น
ฉันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่มุมของสายตา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ควรพลาด มีความไม่สบายใจแปลก ๆ ในอก
ความรู้สึกไม่ลงรอยกัน…….ไม่สิ เหมือนกับการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของ “เดจาวู” ในฝูงชน
“อริซซามะ?”
มุมหนึ่งของตรอกที่คุณตาเคยอยู่ก่อนหน้านี้
บางสิ่งโบกสะบัดตามลมอย่างแผ่วเบา
“อะ………?”
“ฮูด” นั่น
” ―――― ตายซะ”
“ลูกศร”ที่ฉันเคยเห็นในวันนั้นถูกพาดสายจนตึงสะท้อนแสงอาทิตย์อย่างเจิดจ้าอยู่ด้านหลัง
ปากที่บิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังที่มองออกจากเงาของหมวกฮู้ดขยับไปเช่นนั้น
ฉันได้ยินชัดเจน