ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 84 ตอนที่ 4 รูนไฮม์
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 84 ตอนที่ 4 รูนไฮม์
ตอนที่ 4 รูนไฮม์
“ฮา……”
“เป็นอะไรไปเจ้าคะ องค์เจ้าฟ้าหญิง ใบหน้าสวยเสียหมดแล้วนะเจ้าคะ”
“หนวกหูน๊า”
มีแค่สเตลล่าที่กล้าใช้นิสัยเสียในตอนที่เรียกเจ้าฟ้าหญิงจนสัมผัสได้ ยังไงก็ตามฉันถอนหายใจไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ร่างกายที่ดูห่อเหี่ยวหมดแรงไม่ได้เกิดจากการเหนื่อยล้า ไม่สิ ไม่มีแม้แต่ความอ่อนเพลีย แต่ยังไงก็ตาม ก็อย่างที่สเตตล่าพูด มีเหตุพลพิเศษที่ทำให้ฉันเปิดเผยด้านที่ดูน่าอดสูเช่นนี้ ――――ใช่
“…….อยากเจออริซ”
….ทั้งสรุปได้ในประโยคเดียว ฉันอยากเจออริซ ฉันอยากเจอนางฟ้าสีเงินบริสุทธิ์ที่แกว่งไปมาด้วยความนุ่มฟู อยากได้ยินเสียงใสน่าฟังที่เหมือนเสียงกระดิ่ง อยากสัมผัสผิวเรียบเนียนนุ่ม แต่นั่นจะเป็นจริงได้อีกครั้งก็ยังต้องรออีกสักพักใหญ่ ฉันอยากกระโดดออกจากวังไปหาเธอทันที แน่นอนว่าฉันทำไม่ได้ ฉันเป็นเจ้าหญิง และการปฏิวัติที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย
――――อีกทั้ง บทบาทของฉันที่ได้รับจากแผนการคือการเป็นธงของการปฏิวัติควบคู่ไปกับอีกคนหนึ่งด้วยกัน
“เพราะคนที่นี่มีเพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้า แต่ไม่พยายามแสดงสิ่งที่คิดออกมาอย่างง่ายดาย ฉันเหนื่อยกับการต้องพูดหยั่งเชิงพร้อมดึงเจตนาที่แท้จริงออกมาสุด ๆ แล้ว”
“หากเป็นรูนไฮม์ซามะที่สามารถเดาใจดิฉันได้ คิดว่าที่เหลือก็แค่ระดับง่าย ๆ แล้ว……….ดิฉันล้อเล่นเจ้าค่ะ อย่าจ้องดิฉันเช่นนั้นสิเจ้าคะ”
ม๊า แน่นอนว่าสเตลล่าเข้าใจยาก ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่กับเธอมาตั้งแต่เกิด แต่ก็มีหลายครั้งที่ฉันไม่เข้าใจว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอไม่แสดงอารมณ์ แต่เป็นเพราะใบหน้าของเธอแทบจะดูไร้ความรู้สึกเลยต่างหาก สีหน้าที่ไม่แสดงออกมาตามใจคิดนั้น เป็นหน้ากากชิ้นเยี่ยมสำหรับการปกปิดที่วิเศษมาก นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตเห็นได้ว่าข้ารับใช้คนอื่น ๆ มักจะหลีกเลี่ยงเธอ ยกเว้นอัศวินผู้พิทักษ์ของฉันและญาติของเธอเอง เหตุผลก็เพราะแปลกและน่าขนลุก ยังไงก็ตามการสามารถเข้าใจจิตใจภายในของสเตลล่าได้นั้นแตกต่างจากการเข้าสังคมกับผู้มีอิทธิพลที่มาชุมนุมกันที่พระราชวัง
“…..ได้รับบทบาทสำคัญ”
“ไม่มีเหตุผลต้องฝืนทำสักหน่อยนะเจ้าคะ”
“คิดจะลาออก?”
“ไม่สิเจ้าคะ จริง ๆ เลย”
“อะฮาๆๆ ก็นั่นสินะ”
ใช่ อีกบทบาทหนึ่งที่ฉันได้รับมอบหมาย โดยใช้ประโยชน์จากโอกาสการเข้างานสังคมของพระราชวังที่จัดขึ้นแทบทุกวันเพื่อค้นหาจากผู้มีอิทธิพลของราชอาณาจักรที่จะเห็นด้วยกับแผนการ แน่นอนว่านี่เป็นบทบาทที่จริงจังและยากมาก แต่ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ได้รับหน้าที่นี้ หากจะพูดให้ถูกต้องกว่าคือ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย ตัวจริงที่สำคัญกว่าเป็น แม่ทัพลาบริกซ์ที่มีหน่วยข่าวกรองอยู่ภายใต้การควบคุม และผู้อำนวยการของโรงเรียน…..ผู้อำนวยการแม็กพ็อดแห่งหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักร แต่พวกเขาเองก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ด้วยตำแหน่งและสถานะของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่สามารถแสดงพฤติกรรมเข้าหาเพื่อพูดคุยกับเหล่าขุนนางโดยตรงโดยไม่ระมัดระวังได้
…..ในแง่นั้น ฉันที่เป็นเจ้าหญิงจึงจำเป็น ฉันอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดในราชอาณาจักรแห่งนี้ ที่ยกเว้นแค่พ่อแม่ของฉัน ทำให้เป็นการง่ายที่จะถามคำถามโดยตรงกับขุนนาง และไม่ถูกหลอกลวงง่าย ๆ เหมือนเป็นการประชดประชัน เพราะมีตัวอย่างก่อนหน้าที่มีผู้ถูกลงโทษเพียงเพราะคำพูดที่ทำให้ราชวงศ์ขุ่นเคืองจากการตอบคำถามของราชวงศ์เอง
และก็เพราะร่างกายที่ยังเป็นเด็ก ต่อให้เป็นคนในราชวงศ์ ท้ายที่สุดฉันก็ยังเป็นเด็ก ไม่ว่าจะมีทักษะในการเข้าสังคมมากแค่ไหน ก็มีขุนนางไม่มากนักที่อยกมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบจริง ๆ เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดความประมาท โจมตีที่ตรงนั้น คำพูดที่ปกติไม่เคยพูด อาจหลุดปากออกมา”โดยไม่ตั้งใจ” เมื่อคว้ากระแสมาได้สักครั้งแล้ว ที่เหลือก็เป็นอำนาจของราชวงศ์ ฉันได้รับมอบหมายบทบาทนี้โดยคาดหวังถึงการเข้าใกล้จากมุมอื่น
แน่นอนว่าฉันจะไม่ทำผิดพลาดให้อีกฝ่ายรู้ถึงแผนการจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกเขาจะอยู่ฝั่งเดียวกัน แต่ว่าแล้วยังไงฉันก็เป็นแค่เด็กอายุแปดขวบ ที่ต้องได้รับความสนับสนุนอย่างมั่นคงจากสเตลล่าและอัศวินผู้พิทักษ์ ถึงจะอันตรายนิดหน่อย แต่กล่าวอีกนัยก็หมายความว่าทั้งสองคนเชื่อใจในตัวฉันด้วย …..นอกจากนี้ เมื่อฉันได้รับมอบหมายบทบาทนี้มาให้ อริซเองก็ได้รับบทบาทอื่นเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว ก็ช่วยไม่ได้นอกจากต้องทำให้ดีที่สุด
“…..รูนไฮม์ซามะ ดิฉันรู้ว่าท่านเหนื่อยมาก แต่ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
สเตลล่าพูดกับฉันที่กำลังล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียง ….อ้า ฉันรู้น๊า ยัยบ้า
ขณะละทิ้งถ้อยคำที่ไม่สมเป็นเจ้าหญิงไว้ในใจ ยังไงก็ตามร่างกายก็ยังคงขี้เกียจ ทันใดนั้น มือของสเตลล่าก็เข้ามาจัดเสื้อผ้า และยืดผมที่ยุ่งเหยิงให้เยียดตรง มัดริบบิ้นที่หน้าอกแน่นจนฉันต้องพ่นลมหายใจ
“เช่นนั้น ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ――――「องค์เจ้าฟ้าหญิง」”
“…..อ้า เพื่อบ้านเกิด เพื่ออริซ”
ทิ้งคำสาบานที่เกินจริงเล็กน้อยเอาไว้ในห้องเพื่อเริ่มทำกิจวัตรที่ทำทุกวัน
เปลี่ยนจากเด็กสาวนามรูนไฮม์ ไปเป็น โร้ด・รูเนเรีย เจ้าหญิงองค์เดียวแห่งราชอาณาจักร
“…..เอ๊ะโตะ คู่สนทนาของวันนี้ ฉันสงสัยว่าส่วนใหญ่เป็นนักเวทย์ใช่หรือไม่”
“เพคะ องค์เจ้าฟ้าหญิง มีผู้บริหารจากสมาคมจอมเวทมย์แห่งเมืองหลวง ที่เหลือคือ ขุนนางหลายคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์เพคะ”
“อือ ม๊า น่าจะง่ายกว่าคนกลางเมื่อวานนิดหน่อย”
ฉันยืนยันกับสเตลล่า ขณะเดินอยู่ในทางเดินของพระราชวังซึ่งยาวและกว้างเกินความจำเป็น ดูเหมือนจะไม่มีข้อผิดพลาด ถ้ามีแค่นักเวทย์และผู้อุปถัมภ์เป็นคู่ต่อกรนั้นง่ายกว่าการจัดการกับขุนนางเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่ค่อยสนใจอำนาจ แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วเหล่านักเวทย์จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับงานวิจัย ผลลัพธ์ของงานวิจัยดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับคำชมมากนัก แต่ก็ดูจะไม่ได้จุกจิกเรื่องค่าตอบแทนมากนักเช่นกัน ตัวอย่างเช่น วีรบุรุษในสงครามครั้งก่อน ฮัททีเรีย พ่อของอริซ หรือที่รู้จักกันในนาม แฮทเตอร์ ได้รับตำแหน่งขุนนางเป็นการขจัดความรำคาญ แต่หากเป็นในสถานการณ์เดียวกัน เหล่านักเวทย์ส่วนใหญ่หากทำได้ก็พร้อมเต็มใจที่จะปฏิเสธทันที เพราะแน่นอนว่าแม้สถานะขุนนางจะเป็นตำแหน่งที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาลในราชอาณาจักร แต่ในขณะเดียวก็มีงานที่มาพร้อมตำแหน่งขุนนางเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักจะถูกกำหนดให้เป็นผู้อุปถัมภ์ของบางสถาบัน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีบรรดาขุนนางมาพร้อมกับเหล่านักเวทย์ในวันนี้ เพราะพวกเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อุปถัมภ์สมาคมนักเวทย์แห่งเมืองหลวง ม๊า ดูเหมือนว่าผู้อุปถัมภ์สมาคมคนปัจจุบันจะปรารถนาที่จะได้รับการสนับสนุนตัวเอง และดูเหมือนจะคาดหวังขุนนางที่สมชื่อขุนนางไว้เล็กน้อย แต่
…..ถึงอย่างงั้นแน่นอน ถ้าได้เป็นขุนนาง ก็จะต้องใช้เวลากับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การค้นคว้า เช่น งานและการเข้าสังคม นักเวทย์เกลียดเรื่องพวกนั้นเหนือสิ่งอื่นใด ไม่สำคัญว่าจะต้องนอนบนกองฟางหรือไม่ ตราบเท่าที่ได้ศึกษาในสิ่งที่ตนใฝ่หาได้ก็เพียงพอ สำหรับพวกเขา สิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การวิจัย อันดับที่สองคือ การวิจัยเช่นกัน และอันดับสาม สภาพแวดล้อมที่พวกเขาสามารถสบายใจได้ และในท้ายที่สุด ความมั่งคั่งและเกียรติยศก็จะมาหาเอง พูดให้ดูดีเหล่านักวิจัยนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความเชื่อมั่น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาเป็นคนประหลาด มีนักเวทย์บางคนที่มีจุดประสงค์อยู่ที่เกียรติยศและความมั่งคั่ง แต่นักเวทย์เหล่านั้นไม่ได้อยู่สังกัดสมาคมใด หรือต้องบอกว่าไม่สามารถอยู่ได้จะถูกกว่า เหล่านักเวทย์ยังมีความภาคภูมิใจในแบบของพวกเขา และปฏิเสธที่จะอนุญาตให้บุคคลเหล่านั้นเรียกตัวเองว่านักเวทย์ และแทนที่จะได้รับการสนับสนุนจากสมาคม ในทางตรงข้ามพวกเขามักจะถูกผลักเข้าไปในเงามืดในฐานะคนนอกรีต กลายเป็นนักเวทย์ศาสตร์มืด มีทั้งข้อดีและข้อเสียของการเป็นขุนนาง ในความเป็นจริง ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะให้ผลลัพธ์ที่สำคัญใด ๆ ดังนั้นฉันจึงคิดว่านี่เป็นการทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ มีน้อยคนที่สามารถสร้างผลงานได้ แต่คนเหล่านี้ก็คงไม่ไร้สมองพอที่จะถูกจดจำในฐานะคนนอกรีตจากสมาคมตั้งแต่แรก
“ต้องระมัดระวังมารยาทขั้นต่ำสุด แต่ก็ไม่ขายการยั่วยวนที่มากเกินไป”
“เพคะ …..นอกจากนี้ ยังมีผู้รักชาติอยู่ในหมู่พวกเขาด้วยเพคะ”
ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็น่าจะหนีไปจักรวรรดิแล้ว หากนำเอกสารการวิจัยบางส่วนในราชอาณาจักรไปเป็นของฝาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกนั้นจะได้รับการต้อนรับด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าตอนนี้ อาจจะมีปัญหาเรื่องความภูมิใจบ้าง แต่การที่พวกเขายังไม่ทำเช่นนั้นหมายความว่าพวกเขายังมีความรู้สึกคิดถึงประเทศชาติอยู่ เหล่านักเวทย์เป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น และมีแนวคิดหลักการสูงส่ง แต่ก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจที่ดี จากนั้นแล้วถ้าสามารถให้เหตุผลที่ถูกต้องตามทฤษฎีได้ ก็ง่ายที่จะดึงเข้ามายังฝั่งนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปราชอาณาจักรล่มสลาย สิ่งที่ต้องทำคือการอธิบายอย่างถูกต้องว่าระบบจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นไร เพื่อที่พวกเขาจะสามารถวิจัยค้นคว้าต่อไปได้อย่างสะดวกสบาย การสนทนานั้นง่ายกว่าขุนนางที่คุ้นเคยกับการเข้าสังคมและให้ความสำคัญกับการปกป้องตนเองก่อน
……ปัญหาคือ การนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ของฉัน
“….เอาล่ะ”
ขณะที่คุยกับสเตลล่าเกี่ยวกับเรื่องนั้น ฉันก็พบว่าตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูห้องโถงที่ใช้สำหรับอาหารเย็นแล้ว ฉันหันไปมองสเตลล่าอีกครั้ง ซึ่งเธอก็พยักหน้ายืนยันกลับมา เป็นการบ่งชี้ว่าฉันต้องการความช่วยเหลือในวันนี้เช่นกัน แล้วทำการยืนยันเช่นเดียวกันสำหรับอัศวินผู้พิทักษ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับสภาพโดยรอบ หลังตัดสินแบ่งปันความตั้งใจกับทุกคน ฉันก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ
“ไปล่ะนะ”
ประตูถูกผลักออกช้า ๆ
“――――อ้า ดูเหมือนลูกสาวข้าจะมาแล้ว”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้ต้องรอ ….โฮร่า รีบไปนั่งตรงนั้นสิ”
ทันทีที่ประตูเปิดออก แนวสายตาในห้องก็มารวมกันที่ฉัน ฉันชำเลืองมองเหล่านักเวทย์ที่ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งตามมารยาท ขณะตอบกลับเป็นพิธี ฉันก็เดินไปที่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะยาว ฉันเหลียวมองพ่อแม่ทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างหลังห่างจากโต๊ะเล็กน้อย และแลกเปลี่ยนสายตาเพียงชั่วพริบตา ฉันถูกสั่งให้นั่งลงโดยเร็ว ฉันสูดลมหายใจขณะเข้าไปนั่งยังที่นั่งที่ใกล้พวกเขามากที่สุด ถึงจะเป็นเจ้าหญิงแต่ก็ยังไม่ใช่ราชา ตามมารยาทของราชอาณาจักร ไม่อนุญาตให้ผู้ใดนั่งเคียงข้างราชา เว้นแต่ราชินี …..แต่เดิมฉันก็ไม่อยากนั่งข้างพวกเขาอีกแล้ว
“เช่นนั้น มาทานกันเถอะ …..โอย”
“ฮา”
พ่อของฉันสั่งการข้ารับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยคาง เขาโค้งคำนับจนสุดตัว ก่อนรีบเดินผ่านหลังที่นั่งของนักเวทย์ไปที่ทางเดิน อาหารจะถูกนำเข้ามาโดยทันที ฉันหวังว่าวันนี้จะไม่มีของแปลก โดยเฉพาะนกประหลาดจานนั้น ขอโทษด้วยแค่พูดถึงก็รู้สึกพะอืดพะอมแล้ว เมื่อเขาออกไปแล้วก็เป็นสัญญาให้พ่อกลั้วคอด้วยไวน์แดงหนึ่งอึก แม่ทำตามโดยมีรอยยิ้มฉาบบนใบหน้าอย่างผิวเผิน แม้แต่ไวน์แดงเช่นนั้น คุณค่าของสิ่งที่พวกเขาดื่มในตอนนี้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายของครอบครั้วทั่วไปได้สองถึงสามวัน จริงอยู่ว่าช่วยไม่ได้ที่จะต้องเตรียมของชั้นสูงกว่าทั่วไปเพื่อให้เหมาะสมกับสถานะ แต่แบบที่ต่ำกว่านี่หนึ่งหรือสองขั้นก็เพียงพอสำหรับโอกาสเช่นนี้แล้ว พวกคุณทำอะไรกันอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้คนอดอยากเช่นตอนนี้ ฉันทั้งประหลาดใจและโกรธ เหล่านักเวทย์กำลังดื่มน้ำด้วยท่าทางอร่อยจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ยังไงก็ตาม กระหม่อมได้ยินเสียงเล่าลือด้านพระปรีชาขององค์เจ้าฟ้าหญิงมาบ้าง แต่เมื่อได้ยลโฉมก็นับว่าแล้วก็นับว่ามิผิดพะยะค่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ เป็นลูกสาวที่ข้าภาคภูมิใจเชียว”
――――ลูกสาวภาคภูมิใจอะไรกัน! พวกเราแทบไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ กล้าพูดคำพวกนั้นออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไงกัน
ด้วยความโกรธจัดทำให้เกิดความปั่นปวนขึ้นในท้องของฉัน ยังไงก็ตามฉันก็ยังคงแสร้งยิ้มต่อไป ฉันได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาที่ดูโล่งใจของสเตลล่าซึ่งอยู่ข้างหลังประมาณห้าก้าวเข้ามาในหู ฉันรู้ ฉันไม่ควรแสดงท่าทางออกมา
ยังไงก็ตามบรรดาขุนนางที่อุปถัมภ์สมาคมนี้…..ไม่สิ รอดูสถานการณ์อีกหน่อยดีกว่า
“อันที่จริง ช่างสมกับเป็นสายเลือดของฝ่าบาทอย่างแท้จริงเลยพะยะค่ะ อนาคตสดใสอย่างแน่นอน ฮาๆๆๆ”
“…..ฟู๊ว”
….กะแล้ว ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับชายคนนี้อีกแล้ว เขากำลังค้นหา คำชมทั่วไปที่มอบให้ฉันมีการให้เกียรติยกย่องพ่อของฉันเป็นนัยที่หากมองอย่างผิวเพินก็ดูเหมือนมีแค่ฝีปากประจบประแจง แต่ทว่าเบื่องหลังรอยยิ้มที่มอบให้พ่อแม่นั่น ฉันเห็นเขาเหล่มาที่ฉันอยู่ชั่วพริบตา ฉันไม่รู้ว่าเขารู้รึเปล่าว่าฉันสังเกตเห็นท่าทางนั่น หรือแค่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวตัว แต่ทว่าวิธีการที่มองนั้นมีความหมายโดยนัยคือ กำลังรอดูการเคลื่อนไหวบางอย่างของฉัน กล่าวอีกอย่างคือเขากำลังใช้ชุดคำพูดในปัจจุบันเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาบางสิ่งที่เขาต้องการ และฉันได้ทำ”ปฏิกิริยา”นั้นไป
ไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดถึงทั้งสายเลือด และ อนาคต การพูดถึงเรื่องสายเลือดเป็นการเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อพ่อแม่ แล้วการพูดถึงอนาคตต่อจากนั้นเกี่ยวพันอะไรด้วย เขาพยายามค้นหาว่าฉันมีความรู้สึกโกรธ หรือไม่ก็สงสัยต่อการปกครองบ้านเมืองของพ่อแม่ไหม ถ้าสมมติว่าที่ฉันเข้าใจคือความตั้งใจจริงของเขา แปลว่าเขาแสร้งสรรเสริญราชวงศ์ และตั้งคำถามกับฉัน
――――เจ้าคือคนของฝั่งไหน สินะ
“ฟุๆๆๆ……”
“อาร๊า ฉันคิดว่าฉันชอบคำพูดของท่านนะ”
ฉันเพ่งสมาธิไปที่ปลายสุดของขอบเขตการมองเห็นใช้เพียงสัมผัสโดยไม่มองเพื่อฟังปฏิกิริยาของพ่อแม่ ไม่แยแสเช่นเคย มีเพียงความปิติและความเย่อหยิ่งที่แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติยามที่ถูกชมถึงสายเลือดตัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่านี่คือ”คำถาม” อ้า แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ฉันรู้สึกอยากสรรเสริญเจ้าพวกขุนนางส่วนกลาง ต้องขอบคุณจริง ๆ ที่พวกเขาเอาแต่ประจบประแจงทุกวันทุกวัน เพราะแบบนั้นพ่อแม่ของฉันถึงได้เลิกสนใจที่จะค้นหาเบื้องหลังคำประจบประแจงเหล่านี้ ฉันอดอมยิ้มไม่ได้ ฉันตอบกลับ”เขา”อย่างประชดประชันโดยระวังไม่ให้รู้สึกว่าเป็นคำด่า
“ใช่แล้ว ฉันมีความสุขจริง ๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกสาวของเสด็จพ่อเสด็จแม่ เป็นพรที่ดีกว่าที่ประทานให้แก่สตรีศักดิ์สิทธิ์นั่นซะอีก”
“อาร๊า อาร๊า ลูน่าจังช่างน่าเอ็นดู ดูเหมือนตอนอยู่โรงเรียนจะโตขึ้นมากเลยนะ ดีใจจริง”
“ขอบพระทัยเพคะ ….ลูกเองก็อยากแนะนำเสด็จพ่อเสด็จแม่ให้เพื่อนที่ช่วยให้ลูกเติบโตได้รู้จักในสักวันหนึ่งเหมือนกันเพคะ”
“อาไม่เอาสิ ข้าต้องขอบคุณเด็กนั่นในฐานะพ่อต่างหาก ฮ่าๆๆๆๆ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อน พูดมาถึงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ก่อนที่แผนจะเริ่ม ข่าวลือของสตรีศักดิ์สิทธิ์……อริซก็เริ่มแพร่กระจายไปแล้ว และนี่เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง เทศกาลงานโรงเรียนมีประโยชน์กับฉันจนถึงตอนนี้ ในเวลานั้นคือคำตอบที่ถูกต้องครั้งใหญ่ ผลที่ตามมาคือความประทับใจของผู้มีอิทธิพลที่มีต่ออริซ แน่นอนในงานเทศกาลของโรงเรียนนั้น สมาชิกของสมาคมนักเวทย์แห่งเมืองหลวงก็เข้าร่วมด้วย ชายผู้นี้ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ก็เช่นกัน หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน และมาจบเรื่องกันเถอะ เพื่อบ่งบอกชัดเจนว่าฉันอยู่”ฝั่งนั้น” ….สมมติว่าเขารู้ว่าฉันกับอริซเป็นเพื่อนสนิทกัน
“ฮ่าๆๆๆ ไม่น่าเชื่อเลยนะพะยะค่ะว่าจะอายุแค่แปดขวบ ….ไม่คิดเลยจริง ๆ “
ยังไงก็ตามความกังวลกลัวเกินเหตุทำให้รอยยิ้มลึกซึ้งขึ้น
แววตาของชายที่กำลังหัวเราะร่าเริงไม่มีคำเยินยอ
” ――――「ผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง โนเบลส・คลาร่า」 มักถูกกล่าวถึงเสมอพะยะค่ะ”
เห็นได้ชัดว่า เป็นฉัน รูนไฮม์ที่กำลังถูกมอง