ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 80 ตอนที่ 20 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 80 ตอนที่ 20 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ
ตอนที่ 20 เหตุใดบุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอจึงกรีดร้องปฏิวัติ
“สะ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง ที่พูดนั่น………”
“ตามนั้น ฉันจะไปตามทางเดียวกันกับอริซ”
ลาบริกซ์ซังกับคุณตาแสดงท่าทางสับสน เมื่อลูน่าลุกจากเกาอี้ไปเปิดประตู ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา พร้อมประกาศอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าไม่มีคำที่ฟังดูเฉพาะเจาะจง ฉันพึมพำเกี่ยวกับการปฏิวัติ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นห้องของฉัน แต่ก็ยังเป็นห้องของหอพักรวม ฉันไม่รู้ว่าจะมีหูอยู่ที่ไหนบ้าง หลังจากนั้นลาบริกซ์ซังกับคุณตาก็มองมาที่เบลล์ซัง เป็นการยืนยันว่าได้พูดคุยกันไปแล้วใช่ไหม ค่ะ เมื่อยืนยันกลับไป ทั้งสองคนก็มองหน้ากัน แล้วพยักหน้าให้กัน
“เช่นนั้นก่อนอื่น ย้ายที่กันเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะ”
“อ้า กลับไปที่ห้องทำงานของข้ากันก่อนแล้วกัน”
ฉันสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นที่ห้องทำงานนั่น แต่ถ้าลองคิดดูให้ดี อาจเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับใช้พูดคุยเรื่องที่ซับซ้อนเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น ตอนมิร่าซัง และเบลล์ซังเมื่อเช้านี้ และคุณตาก็เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักร เมื่อเป็นอะไรประมาณนั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่าจะต้องมีมาตรการบางอย่างเพื่อรักษาความลับ ถ้าอย่างงั้นการคุยกันที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุด โดยพื้นฐานแล้ว ทั้งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองกับแม่ทัพแห่งราชอาณาจักรคนปัจจุบันที่เป็นผู้ก่อตั้งมาเรียน่า・ไอริสต่างก็ตัดสินใจว่าไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งหากยังมีปัญหา ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีวิธีแก้ปัญหาไหนที่ดีไปกว่านี้ เป็นการดีที่จะปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง
“เช่นนั้น อริซซามะ”
“อืม”
ฉันจับมือของเบลล์ซังที่ยื่นมาให้ แล้วลุกจากเก้าอี้พร้อมกับคู่หูที่นั่งอยู่บนตัก ฉันเดินข้างเบลล์ซังออกจากห้องไปทั้งแบบนี้ ลูน่ากับสเตลล่าซังอยู่ข้างหลัง ส่วนมิร่าซังอยู่รั้งท้ายสุดเพื่อคอยป้องกันด้านหลัง ที่ไกลออกไปอีกหน่อย มีอัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่ารออยู่ที่โถงทางเดิน เมื่อลงบันไดมาก็เจอนักเรียนและครูกำลังรีบออกจากหอพัก แม้บรรยากาศไม่เหมือนเดิม แต่จัตุรัสฟื้นคืนความสงบกลับมาแล้ว ฉันเข้าไปในอาคารเรียนพร้อมกับฟังเสียงน้ำพุให้ชุ่มหู ห้องทำงานของคุณตาอยู่ลึกเข้าไปเล็กน้อยบนชั้นหนึ่ง ในทางเดินยาว มีคนแปลกหน้าหลายคนยืนพิงกำแพง เมื่อพวกเขาเห็นพวกเรา ก็ตั้งตัวตรงและโค้งคำนับอย่างเงียบ ๆ การคุกเข่าทำความเคารพในทางเดินแคบ ๆ จะกลายเป็นอุปสรรค คุณตากับลาบริกซ์ซังแค่มองผ่านไปโดยไม่เอ่ยปากใด ๆ คงเป็นหนึ่งในลูกน้อง …ไม่สิ น่าจะเป็นของคุณตา หากมองให้ดี หนึ่งในนั้นคือชายที่คอยเฝ้าประตูอยู่เสมอ เห็นได้ชัดว่าหน้าที่หลักไม่ใช่คนเฝ้าประตู
“ขอบคุณ เสมอ”
“อ๊ะ เอ๊ะ….มะ ไม่ขอรับ”
“อริซซามะ”
ฉันถูกเบลล์ซังตำหนิด้วยเสียงที่แทบจะเป็นการกระซิบ แย่แล้ว หรือว่าฉันจะทำอะไรที่สมควรไป อ้า ไม่มีทาง หรือว่ามีเหตุผลบางอย่างที่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับพวกเราโดยตรง หากฉันรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหรือคนที่ทำงานคล้ายคลึงกัน ดังนั้นควรระมัดระวังคำพูดและการกระทำเหล่านี้ในอนาคต ทันทีที่ฉันนึกได้ คุณตาก็เปิดประตูเข้าสู่ห้องทำงาน
“ซ้า ที่นี่แหละจ้า”
“ขอรบกวนด้วยก่ะ”
หลังจากพูดออกไป ฉันก็เข้าไปในห้องขณะที่ถูกดึงโดยเบลล์ซัง ดูเหมือนมิร่าซังที่เข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายกำลังสงสัยว่าจะให้จัดการยังไงกับอัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่าที่ติดตามมาด้านหลัง แต่ท้ายที่สุด ตราบใดที่พวกเขารับใช้ลูน่า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องร่วมมือกัน ดังนั้นผู้นำคนหนึ่งจึงเข้ามาในห้อง ส่วนที่เหลือรออยู่นอกห้อง แน่นอนว่าตัวตนของพวกเขาต้องถูกตรวจสอบแล้ว เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นข้ารับใช้ของเจ้าหญิงโดยตรง ถึงอย่างงั้นทางมาเรียน่า・ไอริสเองก็ไม่สามารถตรวจสอบหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักรได้เช่นกัน และจากคำพูดของลูน่ากับสเตลล่าซัง พวกเขาเป็นอัศวินที่ปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีต่อลูน่า ไม่ใช่ต่อราชอาณาจักร และในขณะเดียวกันก็มีสายสัมพันธ์อันยาวนานหลังจากที่ลูน่าเกิด จึงสามารถไว้วางใจได้ พูดไปแล้ว ก็ดูเหมือนมิร่าซังเองก็จะรับใช้ฉันมากกว่ารับใช้ราชอาณาจักร เกี่ยวกับการเป็นอัศวินผู้พิทักษ์งั้นเหรอ เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้าห้องมาได้หนึ่งคน เขาก็ยืนตัวตรงอยู่ข้างประตูโดยไม่พูดอะไร ท่าทางราวกับกำลังจะบอกจะไม่เข้าร่วมการสนทนา และไม่ดูเป็นคนช่างพูดด้วยเช่นกัน และดูเหมือนลูน่ากับสเตลล่าซังจะไม่สนใจเขา แต่ก็สามารถมองเห็นความไว้วางใจระหว่างเจ้านายและข้ารับใช้ได้ และคุณตากับลาบริกซ์ซังก็ดูเหมือนจะมั่นใจเช่นกัน หลังถูกกระตุ้นฉันก็เข้าไปนั่งข้างลูน่าบนเก้าอี้ที่ถูกวางไว้ข้างหน้าสองตัว เรื่องราวเริ่มต้นทันทีหลังจากนั้นหนึ่งจังหวะ
“….ก่อนอื่นใด กระหม่อมขอยื่นยันความหมายของถ้อยคำของฝ่าบาทก่อนได้หรือไม่”
“ความหมายก็ตามนั้น ฉันจะเดินเคียงข้างอริซ พูดให้ง่าย…..สู่หนทางแห่ง「การปฏิวัติ」”
สัมผัสได้ถึงความตกใจเล็กน้อยจากด้านหลัง แน่นอนว่าจากอัศวินผู้พิทักษ์ เขาน่าจะเคยได้ยินคำหยาบคายที่มีต่อศูนย์กลางของราชอาณาจักรจากลูน่าเป็นประจำ แต่ไม่ใช่กับคำพูดจากผู้เป็นเจ้านาย ยังไม่นับว่าเป็นถึงเจ้าหญิงที่ทำให้สั่นไหวได้เช่นครั้งนี้ นอกจากนี้ลาบริกซ์ซังเองก็อยู่ที่นี่ นั่นหมายความว่าเหล่าผู้นำกำลังรวมตัววางแผนกันอยู่ที่นี่ ฉันจึงไม่แปลกใจเลย ตรงกันข้าม ลาบริกซ์ซังกับคุณตาที่เป็นคนถาม หลับตาลงอย่างเงียบ ๆ ราวกับพวกรู้คำตอบอยู่แล้ว
“…เช่นนั้นสินะ”
“ใช่ …..ฉันไม่จำเป็นต้องปิดบัง ทั้งฉันทั้งอริซต่างก็มาด้วยความตั้งใจนั้น มีแผนอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
และลูน่าก็มองไปที่คุณตาราวกับกำลังทดสอบ …..อ้า เข้าใจแล้ว บางทีลูน่าอาจไม่รู้ว่าคุณตาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของราชอาณาจักร ฉันเคยคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง เพราะเป็นเจ้าหญิง แต่ดูจะไม่ใช่สำหรับกรณีนี้ นั่นหมายความว่าคนระดับหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง แม้แต่คนของราชวงศ์เองก็ไม่สามารถรู้ตัวตนได้ง่าย ๆ ยังไงก็ตามถึงลูน่าจะไม่รู้ แต่ก็น่าจะพอเดาได้ว่าคุณตาไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการโรงเรียนธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน และยิ่งน่าจะเข้าใจแม่นยำยิ่งขึ้นจากรายละเอียดเรื่องที่กำลังจะคุย และอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลาบริกซ์ซัง เบลล์ซัง และมิร่าซังต่างก็อยู่ในหน่วยข่าวกรองที่แตกต่างจากหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักร และตอนนี้ที่กำลังจะฟังรายละเอียดของแผนการกันก็ไม่มีที่ว่างสำหรับสงสัยทุกคนที่ลงเรือลำเดียวกันอีกแล้ว ฉันแน่ใจว่าควรแบ่งปันเช่นกัน
“……ถูกแล้วจ้า และเจ้าฟ้าหญิงกับอริซก็เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในแผนการครั้งนี้…….ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก”
“แม็กพ็อดซามะ…….”
ฟู๊ว คุณตาพูดพลางถอนหายใจกับตัวเอง ตามด้วยลาบริกซ์ซังราวกับกำลังท้อใจกัน พูดอีกอย่างหนึ่งคือการใช้เด็กอย่างพวกเราในแผนการน่าจะเป็นเรื่องที่เกินทนสำหรับทั้งสองคน การปกป้องเด็ก ๆ เป็นงานสำคัญสำหรับทั้งคู่ ยังไงก็ตามฉันเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว แต่ก็อาจเป็นเรื่องยากเล็กน้อยที่จะยืนยันว่าพร้อมสำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า ตัวอย่างเช่น ถ้าเบลล์ซังต้องหลั่งเลือดอีกครั้ง ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะสงบลงได้ แต่ฉันก็ตั้งใจไว้แล้ว แม้ว่าจะเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ฉันก็ตั้งใจที่จะเดินบนเส้นทางนี้ สำหรับฉันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดภายในใจ แต่ลูน่า เบลล์ซัง มิร่าซัง สเตลล่าซัง และแน่นอน ลาบริกซ์ซัง กับคุณตา พวกเขามีจุดรวมหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างให้ได้แม้เพียงเล็กน้อย ถึงขั้นนี้แล้วฉันไม่รู้สึกคัดค้านที่จะต้องใช้ตัวเองเข้าไปในแผนการ และด้วยความคิดเช่นนั้นในใจ ฉันจึงขอให้พูดต่อ
“ข้ากลุ้มใจมาตลอดว่าจะขอร้องทั้งสองคนเช่นไรดี แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งสองคนจะเป็นผู้เสนอตัวเองเช่นนี้ ……..ไม่สิ ให้ถูกต้อง เมื่อคิดย้อนไปแล้วก็จะเห็นว่าพวกเธอได้ตัดสินใจไปแล้ว”
พึ่งได้ใช้ชีวิตในรั่วโรงเรียนเพียงไม่กี่เดือน คุณตาที่นึกถึงวันเหล่านั้นได้ขมวดคิ้วอย่างโศกเศร้า และเมื่อหันกลับมามองที่พวกเราอีกครั้ง ก็ไม่มีความลังเลหลงเหลืออยู่ในสายตาอีกต่อไป แล้วในที่สุดก็เริ่มพูดอย่างเปิดใจ แผนการปฏิวัติที่จะกำหนดชะตากรรมของราชอาณาจักร ของพวกเรา
“ข้าและคนอื่น ๆ ได้ตัดสินใจทิศทางคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึกใด ๆ ดังนั้นข้าจะขออธิบายในภาพใหญ่ก่อน”
“อืม”
ม๊า ก็ควรจะเป็นแบบนั้น เวลาพึ่งผ่านไปไม่กี่วันนับจากวันที่ลาบริกซ์ซังมาที่โรงเรียน เว้นแต่จะมีการติดต่อกันมาในระยะหนึ่งก่อนหน้าแล้ว แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ยังต้องจัดการกับการประท้วงด้วย ย่อมทำให้ไม่มีเวลาสำหรับการวางแผนอย่างละเอียด ค่อนข้างที่จะพูดได้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่สามารถร่างแนวทางจนเสร็จแล้ว ชื่อเสียงและความสามารถของทั้งสองคนไม่ได้มีไว้แค่โชว์
“ประการแรก ตั้งสมมติฐานว่าจะใช้ประโยชน์จากเหตุจลาจลของกลุ่มต่อต้านที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้”
“กลุ่ม ต่อต้าน”
“อ้า ในโอกาสนี้พวกเรามาพูดถึงเรื่องรายละเอียดกันเถอะ”
หลังจากนั้นคุณตาก็อธิบายถึงกลุ่มต่อต้าน แม้จะรู้อยู่ว่ามีจริง แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินรายละเอียดเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ลาบริกซ์ซังกับเบลล์ซังก็คอยเสริมอยู่จากด้านข้าง
…….กลุ่มต่อต้าน ฉันจำได้ดี เป็นชื่อที่หมายถึงกลุ่มหัวรุนแรงที่ต่อต้านระบบปัจจุบัน เท่าที่ฉันรู้สึก และสิ่งที่พึ่งได้ยินไป ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดพวกเขาจะกลายเป็นกลุ่มที่”แค่”ต่อต้านระบบไปแล้ว แม้ว่าการโจมตีที่ตลาดมาเรียนาจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจลาจล แต่ว่ากันว่าเดิมทีเป็นแผนที่ถูกปฏิเสธไปแล้ว เนื่องจากมีการคำนวณทางตัวเลขแล้วพบว่ามีผลเสียมากกว่าผลดีอย่างมหาศาล อาจกล่าวได้ว่าการแก้แค้นคือจุดประสงค์สูงสุดของการต่อต้านชนชั้นขุนนาง เริ่มแรกพวกเขาต้องการล้มล้างระบบปัจจุบัน และยืนหยัดขึ้นมาเพื่อสร้างระบบใหม่ที่ประชาชนทั่วไปจะไม่ถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม แต่เมื่อเวลาผ่านก็ดูเหมือนว่าวิธีการและจุดประสงค์จะเปลี่ยนไปก่อนที่จะได้ทันรู้ตัวกัน พูดไปแล้วเรื่องก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ จนเหมือนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดา ยังไงก็ตามพวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป จึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะกวาดล้างสมาชิกออกไปอย่างเปิดเผย
…..สรุปว่ากลายเป็นกองโจรพลเรือนไปแล้วสินะ ชาติที่แล้วของ”อาริสุ”ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นเองก็มีสิ่งที่คล้ายกันแบบนี้มีตัวตนอาละวาดไปทั่วโลกอยู่เหมือนกัน ม๊า แต่ไม่เหมือนกับทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้า ผู้ปกครองของโลกใบนั้นไม่ลังเลที่จะกำจัดผู้ที่ต่อต้าน ชนชั้นปกครองและนายทุนผู้มีอำนาจบางส่วนมองเห็นคุณค่าและเคารพความซื่อสัตย์ของผู้คนจำนวน จึงทำให้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย และต่อสู้นองเลือดด้วยอาวุธในมือ ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่าเป็นเหตุการณ์วุ่นวายขนาดเล็ก แต่แน่นอนว่าเป็นข้อมูลที่ถูกควบคุมเอาไว้ และฉันได้ฟังความจริงครูของฉัน อันที่จริงเป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งระดับโลก ไม่สิ เป็นสงครามที่ดูเหมือนบางคนจะถึงกับเรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 4”
ยังไงก็ตาม การที่บอกว่าจะใช้ประโยชน์จากการก่อจลาจลของพวกเขาก็เท่ากับว่าปิดตาจากความเที่ยงธรรม หลังจากอธิบายเกี่ยวกับกลุ่มต่อต้านเสร็จแล้ว ลาบริกซ์ซังก็รับช่วงอธิบายต่อจากคุณตาที่หันไปดื่มน้ำ
“อย่างที่ได้ยินไป ทุกวันนี้ประชาชนทั่วไปต่างก็เบื่อหน่ายกับกลุ่มต่อต้านแล้วเช่นกัน แต่พวกเขามีไหวพริบ โดยการไม่เรียกตัวเองว่ากลุ่มต่อต้าน แต่จะใช้วิธีกระตุ้นสร้างแรงผลักดันให้เกิดการจลาจลขึ้น ก่อนที่จะยกธงขึ้นเป็นผู้นำในเวลานั้น”
แน่นอนในยามที่เกิดการจลาจลขึ้น ประชาชนทั่วไปที่ถูกดูดกลืนโดยแรงผลักดันย่อมไม่สามารถปฏิเสธพวกเขาได้อีกต่อไป ในทางกลับกัน หากไม่มีใครเข้าไปบูรณาการและชึ้นำสั่งการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของราชอาณาจักร ในไม่ช้าการจลาจลก็จะถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นหากมีฝ่ายใหญ่เข้ามารับตำแหน่งทันทีหลังจากเกิดการจลาจลขึ้น ด้วยความร้อนแรงของการจลาจลแล้ว แม้ผู้ที่มาจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเล็กน้อยผู้คนก็พร้อมที่จะติดตามไป นั่นคือแผนของกลุ่มต่อต้าน ฉันคิดหยาบเกินกว่าที่จะเรียกว่าแผนได้ แต่จากมุมมองของพวกเขาแล้ว เกือบจะแน่ใจได้เลยว่ายังไงก็ต้องเกิดการจลาจลขึ้นอย่างแน่นอน แม้จะไม่ได้วางแผนหรือเคลื่อนไหวก็ตาม ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงเรื่องของการกระตุ้นให้เกิดในเวลาที่สะดวกสำหรับพวกเราเท่านั้น ดูเหมือนการวางแผนโดยละเอียดแทบไม่จำเป็น
“แต่ทว่า พวกเขาก็มีจุดอ่อนร้ายแรงประการหนึ่ง”
“…..จุดอ่อน?”
“พะยะค่ะ เจ้าฟ้าหญิง ถึงแม้พวกเขาจะพยายามชูธง แต่พวกเขาไม่มี「ธง」ดังกล่าว…..ไม่สิพวกเขาได้โยนธงทิ้งไปด้วยตนเอง”
“ธง สินะ”
พวกเขาโยนทิ้งไปแล้ว นั่นคือจุดประสงค์ดั้งเดิมที่พวกเขามองข้ามไป กล่าวอีกนัย ธง คือคำประการณ์ ทุกคนที่มีส่วนร่วมจะเชื่อมั่นร่วมกัน และหากไม่มีเป้าหมายร่วมกันก็จะแตกกระจาย โครงสร้างที่ไม่มีวัตถุประสงค์นั้นเปราะบาง การกำจัดชนชั้นขุนนางของพวกเขา มองแวบแรกก็เหมือนจะเพียงพอ แต่แท้จริงแล้วไม่มีอนาคต ไม่การวางแผนรองรับหลังกำจัดขุนนาง ในสภาพเช่นนั้นความวิตกกังวลจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อความร้อนแรงแผ่วเย็นลงก็จะทำให้เกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ สุดท้ายก็จะพังทลายลงอย่างไร้ค่า
“……ไปปรากฎตัวที่นั่น ยกธงให้เร็วกว่ากลุ่มต่อต้าน เข้ายึคครองการปฏิวัติ ความหมายคือเช่นนั้น”
“ฉันพอจะมองภาพออกแล้ว”
ในเวลาเดียวกันที่ลูน่าพยักหน้า ฉันก็คิดขึ้นมาได้ ใช่ นั่นคือ ธงนั้น
“ฉัน และ――――”
…..เข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงลูน่า หากเจ้าหญิงผู้มีศักดิ์เป็นถึงว่าที่ราชาองค์ถัดไปเป็นผู้ขับร้องบทเพลงต่อต้านระบบด้วยเสียงอันดังด้วยตนเองแล้ว ประชาชนทั่วไปก็จะพบความชอบธรรมของพวกเขา ขุนนางบางส่วนก็จะออกมาเห็นพ้องด้วย สิ่งที่ผลักไสให้ประชาชนทั่วไปออกมาต่อต้านก็คือสถานภาพอันไม่สมเหตุสมผลของพวกเขา ในความคิดของพวกเขาการกำจัดขุนนางนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องรองลงมา ถ้าเจ้าหญิงและขุนนางบางคนจะอยู่เคียงข้างพวกเขาที่นั่น จุดประสงค์หลักก็จะกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม หรือก็คือ สามารถยืนยันการตัดสินใจชี้ขาดได้ว่าต้องการสร้างระบบใหม่ที่ปรับปรุงสถานภาพของประชาชนทั่วไป
“หนู”
และยิ่งไปกว่านั้น ฉันเป็นอีกหนึ่งธงที่จะช่วยตรึงเป้าหมาย ช่วยให้เหตุผล และเสริมสร้างความสามัคคี
…..ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้อีก กล่าวคือ รูปลักษณ์ เวทมนตร์ และข่าวลือของฉันที่แพร่กระจายออกไปแล้ว ทั้งหมดนั้นคือ ฉัน
“…..ต้องขอโทษจริง ๆ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง หนูอริซ”
……ให้ฉันเป็น “สตรีศักดิ์สิทธิ์”
ฉันเข้าใจดี การมีเจ้าหญิงอยู่เคียงข้างจะได้ทั้งความชอบธรรมและความรู้สึกปลอดภัย เช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรหากการมีตัวตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ถูกเพิ่มเข้าร่วม คนส่วนใหญ่ทั่วราชอาณาจักรเชื่อในตำนานคำสอนของเซนต์เนยูมุร์ และเทพนิยายมากมาย อ๊าย ความเย็นแปลก ๆ มากระทบหลังของฉัน หากทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นี่อาจเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้มาแต่แรก ฉันจริง ๆ แล้ว……คืออะไร ฉันรู้สึกอย่างนั้น ฉันถูกย้อมสีใหม่ให้กลายเป็นตัวตนที่เรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ แล้วทันใดนั้นความอบอุ่นจากมือของเบลล์ซังที่จับมาโดยไม่ได้ตั้งใจได้ช่วยขจัดความรู้สึกน่ากลัวออกไปจากจิตใจฉัน
“…….อริซซามะ ไม่มีเหตุผลที่ต้องดันทุรังไปหรอกนะคะ”
ไม่มาที่ไหนเมื่อไหร่ ดวงตาของเธอมองมาที่ฉันเสมอมา ดวงตาที่ห่วงใยเพียงร่างกายและจิตใจของฉัน ตราบใดที่มีเธออยู่ฉันก็รู้สึกมีความสุข เป็นความรักที่ลึกซึ้งซึ่งจุดไฟในใจของฉัน ดังนั้นนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องการให้พวกเราทุกคนมีความสุข ไม่ว่ารอยยิ้มของใครที่หายไปก็ทำให้สร้างวงล้อมแห่งความสุขไม่ได้ ความตึงเครียดและความกดดันที่หนักอึ้งโดยไม่รู้ตัวแปรเปลี่ยนเป็นแรงที่หนุนหลังของฉัน ไม่เป็นไร ฉันจะปกป้องเธอเหมือนที่เธอปกป้องฉัน
“……อืม ทุกคน หนึ่งเดียว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตลอดไป”
“อริซซามะ…..?”
ฉันดึงมือของเบลล์ซังที่เชื่อมต่อกันแน่นไปวางไว้บนโต๊ะ คราวนี้ดึงมือของมิร่าซังมาวาง อัศวินผู้พิทักษ์ของลูน่าที่อยู่ข้างหลังเองก็ถูกฉันบังคับให้มาวางซ้อนกันเช่นกัน จากนั้น สเตลล่าซัง ลาบริกซ์ซัง คุณตา และมือของลูน่าซ้อนทับกันเป็นลำดับชั้น ต้องไม่ลืมมืออีกคู่ที่กระชับแน่นในยามที่ได้คุยกันในใจของฉัน ฉันมองใบหน้าที่สับสนของทุกคนทีละคนแล้วมือของตัวเองลงบนสุด
“เพื่อ「ความสุข」ของทุกคน ให้ทุกคน”
เวลาของทุกคนก็หยุดลงในทันใด ความเงียบดำเนินต่อไปสักพัก อาจจะกะทันหันเกินไปหน่อยงั้นเหรอ เมื่อแก้มเริ่มร้อนขึ้น จากที่ไม่มีใคร รอยยิ้มที่อ่อนโยน แข็งแกร่ง และอบอุ่นก็เอ่อล้น
“นั่นสินะคะ อริซซามะ ….ไม่สิ อริซ・ฟอน・แฟร์มีลโดโนะ”
“ฮ่าๆๆๆ! …..อ้า อริซยะ สายเลือดช่างเด่นชัดยิ่งนัก ผู้เฒ่าคนนี้ถูกดึงด้วยสีทองบริสุทธิ์นั่นเสียแล้วจ้า”
“………ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดองค์สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจึงถูกดึงดูดเช่นนั้น”
“อ้า แฟร์มีลซามะ……ถ้าดิฉันได้พบกับท่านก่อนที่จะได้รับพบรูนไฮม์ซามะ ดิฉันอาจตั้งสินใจรับใช้ท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ฮ๊า!? รู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่น่ะ สเตลล่า! ตอนนี้ใช่เวลามาล้อเล่นไหม!”
ลูน่ายังคงไร้ความรู้สึก……..ไม่สิ ขณะที่เธอส่งเสียงดังกับสเตลล่าซัง เธอก็มีรอยยิ้มกว้างราวกับตั้งใจกวน เสียงกระซิบแว่วมาตามลมถึงฉัน เป็นคำพูดพึมพำอย่างเขินอาย
“ฮิเมะ สมแล้วที่เป็น「ฮิเมะ」ค่ะ ข้าจะไปกับท่านทุกหนทุกแห่ง เพราะข้าคือ 「อัศวิน」 ของฮิเมะ….ของอริซซามะ”
มิร่าซังยิ้มออกมาขณะส่ายหน้าจนผมหางม้าสีฟ้าอ่อนแกว่งไหว พยายามที่จะหยุดไม่ให้ตาเปียกชื้นแต่ก็ล้มเหลว แล้วฉันก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ฉันรัก ฉันถูกลูบหัวอย่างกะทันหัน
“บะ เบลล์…….”
“ได้โปรดอย่าทำหน้าเช่นนั้นเลยนะคะ ดิฉันอยากจะสัมผัสอริซซามะ อยู่เคียงข้างอริซซามะ จนวาระสุดท้ายของชีวิต”
“….จะ ใจกล้าไม่เบาเลยนะ น็อกล์เบล”
“――――ฮ๊ะ!? มะ ไม่ใช่นะคะ! ดิฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”
ด้วยเหตุผลบ้างอย่างพอฉันเห็นเบลล์ซังที่แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที หน้าอกของฉันเต้นระรัว
ถ้าคุณอยู่กับทุกคน ฉันรู้สึกว่าฉันจะทำอะไรก็ได้
“เพราะแบบนั้น หนู…….”
เพราะแบบนั้น เพื่อการนั้น ฉันจะเปลี่ยนโลกที่เหมือนฝันให้เป็นจริงให้ได้อย่างแน่นอน โลกที่ทุกคนสามารถหัวเราะมีความสุขไปด้วยกันได้
ครั้งนี้ฉันจะไม่ร้องขอชีวิตหลังความตาม แต่ ครั้งนี้ ฉันจะต้องทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวเอง
“หนู
…..เพราะแบบนั้น โปรดมองหนูไว้นะคะ ท่านแม่
หนูจะโชว์คำตอบให้ได้เห็นเอง
ท่านแม่ ท่านยาย ด้วยเวทมนตร์นี้ที่เชื่อมโยงทุกคนไว้
ครั้งนี้ ครั้งนี้หนู
“จะเป็น「สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง」”
จบบทที่ 4