ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 8 ระฆังดังขึ้นเพื่อใคร
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 8 ระฆังดังขึ้นเพื่อใคร
ตอนที่ 8 ระฆังดังขึ้นเพื่อใคร
เอกสารและหนังสือจำนวนมากวางอยู่บนชั้นวางและโต๊ะ ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษและหนัง มีแสงแดดส่องผ่านหน้าต่างแค่เล็กน้อยจนห้องดูมืดสลัว
แม้ว่าข้าจะทำงานอยู่ที่นี่ทุกวันจนคุ้นชินกับกลิ่นและบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์นี้แล้ว แต่ในสายตาของลูกสาวข้าจะคิดเช่นไรกัน หรือบางทีอาจจะไม่มีความประทับใจใดๆเลย นอกจากกลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์
“ที่นี่ ห้องทำงานของคุณพ่อ สถานที่ทำงาน”
“…..”
เมื่อมองย้อนกลับไป ในตอนที่ข้าแนะนำสถานที่ทำงานอย่างภาคภูมิใจให้กับอริซที่ไม่เคยได้ขยับร่างกายอย่างเต็มที่ ข้าก็รู้สึกไม่ดี จนเผลอปล่อยมืออันแสนบอบบางของอริซไป แต่เมื่อข้ามองอริซให้ดีๆ ดวงตาของเธอกลับเปล่างประกายระยิบระยับ ขณะที่มองไปรอบๆ
“อริซ….?”
“ฟุเฮะ…..ในฝัน คุว๊าก”
“คุวะ….คืออะไรนะ?”
ข้าได้ยินคำที่ดูเหมือนกับคำในภาษาจักรวรรดิที่ข้าเคยเรียนรู้มาผสมเข้ากับคำในภาษาราชอาณาที่น่ารังเกียจ ช่างน่างงงวยจริงๆ ข้าพาอริซเดินไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ด้านในสุดของห้องพร้อมกัน….แน่ล่ะสิ เอกสารที่ข้ารวบรวมมาอ่านยังกระจัดกระจายอยู่ทั่วโต๊ะ
แม้จะไม่เข้าใจความหมาย อริซก็มองทุกอย่างเหมือนเด็กที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งที่ไม่รู้จักอยู่นิ่งๆ แต่เอกสารทั้งหมดนั้นเป็นเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่และภาษี ช่างเป็นภาพที่ไม่สมดุลกันเลยจริงๆ
ยังไงก็ตาม มันก็เป็นเรื่องแปลกๆที่สามารถเรียกรอยยิ้มของข้าได้จริงๆ อริซกำลังมองแผ่นกระดาษที่เขียนมาตรการผ่อนคลายการจัดเก็บภาษีอย่างตั้งใจ
“ฮาๆๆ รู้ไหมว่านี่เขียนว่าอะไร”
“….อืมมม ตัวเลข มากมาย”
ข้าประหลาดใจมากเมื่ออริซตอบกลับมา เธอมองตรงกลับมาที่ข้า ก่อนส่ายหน้าน้อยๆเหมือนถามกลับว่าผิดเหรอ
ม๊า ที่ตอบมาถูกต้องแล้ว แต่ข้าแค่กำลังรู้สึกประหลาดใจ ตกตะลึง ที่ได้รับคำตอบเกี่ยวกับภาษีโดยไม่มีความรู้ล่วงหน้ากลับมา
“นี่นะ คือ ภาษี….ของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ในมาเรียนา เป็นสิ่งที่ ต้องจ่ายเพื่อให้สามารถอยู่อาศัยที่นี่ได้ พ่อกำลังคิดว่าควรจะให้พวกเขาจ่ายมาเท่าไรดี”
“ภาษี”
“ใช่แล้ว ภาษี”
ในกรณีของเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ดูเหมือนว่าจะใช้การจ่ายด้วยเงินทั้งหมด แต่มันยังไม่เกิดขึ้นที่นี่และในชนบท การจ่ายหลักๆยังคงใช้ผลผลิตทางการเกษตรหรือสินค้าวัสดุอื่นที่หาได้โดยตรงในพื้นที่
มาเรียนาไม่ใช่เมืองใหญ่ ดังนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ที่ชายขอบจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักที่จะมายังคฤหาสน์หลังนี้ แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น ท้ายที่สุดการต้องมาพร้อมสัมภาระจำนวนหนึ่ง มันก็ไม่เรื่องง่ายๆเลย
“ไม่ได้เท่ากันเหรอ?”
ข้าเอนหัวของตัวเอง เพื่อไล่ความคิดอื่นๆออกไป เพื่อทำความเข้าใจคำถามของอริซ บางทีเธอคงอยากจะถามว่าทำไมภาษีถึงไม่ได้เก็บในจำนวนคงที่
“นั้นสินะ ควรจะพูดว่ายังไงดีละ….อ้า ใช่ งั้นยกตัวอย่าง เช่น ผักและผลไม้ที่อริซกินอยู่ทุกวันนี้ มาจากการปลูกของคนที่อาศัยอยู่ในมาเรียนา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกให้ได้ผลผลิตเท่ากันเสมอไป นั่นเป็นเหตุผลที่พ่อพยายามเปลี่ยนอัตราภาษีที่พวกเขาต้องจ่ายเข้มาทุกครั้ง”
“….สุดยอด”
เข้าใจจริงๆเหรอ? การแสดงออกที่เหมือนกับจะเกินจริงไปทำให้รู้สึกแปลกๆ เหมือนชายชราชาวนาที่จ่ายภาษีเป็นเวลาหลายปี …เป็นปกติประจำ หรือมันเกิดจากจิตใจที่บิดเบี้ยวกันน่ะ
“แต่…..”
“หือ?”
“อริซ ฉลาด”
เด็กดี ข้าลูบหัวเธอเบาๆ แต่ทันใดนั้นก็เกิดคำถามขึ้นในใจ
อริซดูฉลาดมากๆเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นมีเพียงแค่คำชี้แจง หลักคำนวณ และเกณฑ์จำนวนภาษีที่จ่าย ความคิดที่เกิดขึ้นนี่เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆงั้นรึ
นี่อริซสามารถทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องภาษีด้วยข้อมูลที่น้อยนิดเช่นนี้ได้อย่างงั้นรึ หากได้พัฒนาตัวเองขึ้นอีก จะสามารถเข้าใจการชำระภาษีแบบอัตราคงที่รึเปล่านะ?
กว่าที่บรรพบุรุษของเราต้องใช้เวลาและความพยายามเป็นอย่างมากกว่าที่จะมาถึงขั้นนี้?
ไม่สิ ถูกต้องแล้ว ข้าถูกโจมตีด้วยความรู้สึกที่ทำให้เสียวกระตูกสันหลังจนแข็งไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนอยากหนีความจริงไปอีกครั้ง มีคำถามเกี่ยวกับอริซที่ยังเด็กและอ่อนแอเกิดขึ้นมากมายที่ข้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้
“….ดูนี่สิ อริซเข้าใจไหมว่าพ่อกำลังต้องการทำอะไรอยู่?”
จากนั้นอริซก็มองไปที่กระดาษหนังโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ข้ายิ้มอย่างโล่งอก แต่ทันใดนั้น อริซก็เปิดปากพูดสิ่งที่ทำให้ข้าต้องกลั้นหายใจ
“เพื่อลด เพราะทุกคนทำงานได้ไม่เท่ากันมากมาย ลดจำนวนที่จะได้”
“นะ…..”
ทำไม ข้าทำได้แค่ส่งเสียงไม่เป็นภาษาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนพูดไม่ออก ทำไมถึงเข้าใจได้? ตัวเลขทั้งหมด ข้าสามารถเข้าใจได้ เพราะข้าเป็นคนที่เขียนเสริมเข้าไปเองอย่างลวกๆ แล้วทำไมเจ้าถึงสามารถได้ข้อสรุปแบบนั้นได้กัน
แน่นอนว่าหากเป็นผู้ใหญ่มาพูดเช่นนี้ก็คงจะแค่น่าประหลาดใจ… ไม่สิ ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าเป็นประชาชนธรรมดาที่ไม่เคยได้รับการศึกษาระดับเดียวกับขุนนางหรืออัศวินก็ไม่มีทางเข้าใจได้เด็ดขาด ข้าควรจะชื่นชมอริซดีไหม
แต่เธอยังเป็นแค่เด็ก เป็นแค่เด็กเกิดใหม่ที่ยังไม่ได้รับการศึกษาใดๆเกี่ยวกัยนโยบายภายในประเทศ คณิตศาสตร์ และอื่นๆ แต่เช่นนั้นแล้ว ทำไม ถึงสามารถเข้าใจวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็วกัน?
“….ไม่ใช่เหรอกะ?”
“ไม่…. ก็ใช่อยู่ ใช่อยู่ แต่..”
สิ่งที่ข้าเห็นคือ ลูกสาวที่หางคิ้วตกด้วยความกังวลใจ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไหวพริบความเฉลียวฉลาด และมุมมองที่แตกต่างสินะ ความคิดเช่นนี้วนเวียนเต็มหัวของข้า
และเพื่อที่จะตรวจสอบ ข้าจึงลองถามคำถามเพิ่มเติมอีกหนึ่งข้อไป
“ทำไมถึงได้เข้าใจละ?”
“เอ๊ะโตะ….”
ความหมายคือแสดงตรรกะให้ข้าเข้าใจ มันอาจจะยากสำหรับเด็กที่พึ่งเข้าใจคำศัพท์เพียงน้อยนิด แต่ข้าก็จะได้ฟังข้อสรุปอะไรและอย่างไร ข้าต้องการรู้ขั้นตอนการคิด เพราะบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นแค่เรื่องที่อริซคิดมาได้แบบบังเอิญๆ
“นี่ เลขบนนี้ ภาษีข้างหน้าเยอะ บัญชี? เคลื่อนย้าย นั่นเป็นเหตุผล ตอนนี้”
“……..”
ปลายนิ้วเล็กๆชี้ไล่ไปตามตัวเลขบนแผ่นกระดาษหนัง และอธิบายประกอบอย่างคร่าวๆ แต่ข้าบอกได้เลยว่า ข้อสรุปนั้นสมเหตุสมผลมาก
“การผลิตของตอนนี้ น้อยกว่า เมื่อก่อน ตังนั้น ภาษีลดลง”
นั้นถูกต้องแล้ว คร่าวๆคือขึ้นอยู่กับผลผลิตและรายได้จากภาษีของปีที่แล้ว ซึ่งข้าได้ใช้มาประเมินจำนวนภาษีในปีนี้ ถ้าให้พูดการเก็บเกี่ยวผลผลิตของผู้คนในดินแดนในปีนี้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าได้ยินมาว่าสถานการณ์ของเกษตรกรค่อนข้างย่ำแย่ ดังนั้นข้าจึงพยายามลดอัตราการเก็บภาษีลงชั่วคราว
“…..นั้นถูกต้อง”
“เฮ๊ะๆ”
เมื่อรู้ว่าไม่ผิด ใบหน้าของอริซก็ผ่อนคลายลงด้วยความโล่งอก ดวงตาสีทองเข้มนั้นดูล้ำลึกเกินยังถึง เหมือน ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงปัญญาอันลึกล้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างเล็กๆนั้น
“ฉลาดมาก อริซ…… จริงๆนะ”
“ขอบกุณ”
ทำไม ลูกสาวของข้าถึงได้พูดขอบคุณด้วยใบหน้าอ่อนโยนแบบนั้น ข้าทำได้แค่ยิ้มและยิ้ม
“ทำเกินไป”
“….ทำสิ่งใดเกินไปงั้นรึคะ อริซซามะ?”
ฉันส่ายหัวเป็นสัญญาณว่าไม่มีอะไรตอบกลับเบลล์ซังที่ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ใช่ ฉันทำเกินเลยไป ฉันจำหน้าคุณพ่อในห้องทำงานได้ เป็นใบหน้าที่แข็งค้างอย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันควรจะใจเย็นๆรอจนกว่าประตูสู่การศึกษาจะเปิดออก ทำให้เหมือนเกิดมีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหมือนทำทุกอย่างเพื่ออนาคต แต่ว่า พอฉันเข้าไปในห้องหนังสือ สติของฉันก็ลอยหายไปไหนซักที่
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดหลังมองเห็นโต๊ะทำงานหรูที่ฉันไม่เคยได้มีมาก่อน หนึ่งในความปรารถนาก่อนตายในชาติก่อน ฉันเองก็ต้องมีให้ได้ และสุดท้าย ความรู้สึกที่บอกว่าสามารถบอกลาชีวิตทำงานเยี่ยงทาสออกไปได้แล้ว
เกิดในฐานะขุนนาง ฉันรู้ว่ามันมีความคลุมเครือหลายอย่างๆอยู่ แต่ฉันไม่สามารถระงับความเบิกบานใจได้เนื่องจากความรู้สึกตื่นเต้นและไฟแห่งการปฏิวัติในอดีตของฉันที่ลุกโชนขึ้น
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเช่นนี้ ฉันลืมไปเลยว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่เคยได้รับการศึกษาในสายตาคนทั่วไป เป็นแค่ “อริซ” ตัวน้อยๆที่อยู่แต่ในห้องทั้งวัน
ในโลกก่อนแม้ว่าระบบโลกเก่าจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่ผู้คนก็ยังได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับหนึ่ง ก่อนหน้านั้นการปล่อยให้แรงงานทาสมีความรู้สติปัญญาก็ก่อให้เกิดการประท้วง แต่ในทางกลับกันมันก็มีปัญหาถ้าแรงงานทาสโง่เกินไป
ยกตัวอย่างเช่นโคโลนี่ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับ สัตว์ พืช ยา และเครื่องจักร หลังจากสามปีของการศึกษา แต่ละคนก็จะได้รับการมอบหมายให้ไปประจำการในแต่ละโคโลนี่ตามความเหมาะสม และแน่นอนฉันที่เร้าร้อนท่วมท้นไปด้วยแนวคิดการปฏิวัติไม่ยอมรับแนวคิดระบบดังกล่าว จึงถูกเรียกว่ากบฏ ข้อกำหนดผูกพันเกี่ยวกับการศึกษาคือสิ่งที่ต้องก้าวข้าม สุดท้ายฉันถูกส่งไปโคโลนี่การผลิตไฟฟ้า ที่ที่เป็นดังนรก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ตามโคโลนี่แล้ว ฉันจะได้เรียนรู้เรื่องด้านพลังงาน หรือปัญญาประดิษฐ์ แต่ในเวลานั้นการต่อสู้ปฏิวัติยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เหล่าเจ้าที่จึงทำตัวเป็นเสาหินไม่สอนอะไรทั้งสิ้น
ในกรณีของฉัน ครูที่รับผิดชอบวิชาสังคมคือคนๆนั้น ภายในห้องเรียนที่ถูกติดตั้งกล้องวงจรปิด เขาได้ทำการศึกษาการล้างสมองเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าแรงงานทาส แต่เหล่าเด็กๆที่แสดงสัญญาณแห่งการกบฏจะถูกย้ายไปเรียนห้องอื่นภายใต้คำว่า การศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้นเราจึงให้รับการบรรยายเรื่องเสรีภาพและสังคมในโลกเก่าบังหน้า ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
จากนั้นเขาก็ถูกจับโดยการแจ้งความจากครูคนอื่น ซึ่งโทษคือประหารชีวิต แต่ชื่อของเหล่า “นักเรียนที่แท้จริง” ไม่เคยถูกเปิดเผย
ดังนั้นฉันจึงไม่ถูกจับ และรอคอยวันเวลาที่ประกายไฟแห่งการปฏิวัติจะลุกโชนขึ้นมา ม๊า แต่ในท้ายที่สุดพวกเราก็ไม่อาจต้านทานความจริงได้ หลังการกบฏครั้งใหญ่ผ่ายแพ้ การเฝ้าระวังและการลงโทษก็เข้มงวดขึ้น สังคมปศุสัตว์ปลอดภัยขึ้น และฉันก็จบชีวิตลงในฐานะทาสแรงของบริษัท
อย่างไรก็ตามความรู้ที่ฉันได้รับจากพวกเขาก็เป็นของจริง รวมทั้งสามัญสำนึกมากมายจากโลกเก่า
แม้จะเป็นการศึกษาภาคบังคับขั้นต่ำ ฉันก็ยังได้เรียนเรื่องคณิตศาสตร์ และภาษีสมัยใหม่ แต่อาจารย์ของฉันกลับก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง และสอนฉันเกี่ยวกับภาษีในโลกเก่า มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไปได้ แต่บอกได้เลยมันดีกว่าภาษีแบบปัจจุบันมากๆ
ยังไงก็ตาม ฉันก็รู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองอย่างมากในชีวิต
และด้วยความรู้เหล่านั้น จึงทำให้ฉันสามารถตอบคำถามของคุณพ่อได้ คำถามที่ฉันไม่ควรตอบได้ และจากการคาดเดาตัวอักษรที่ฉันยังไม่สามารถอ่านได้ และตัวเลขต่างๆที่เขียนต่อหลัง ฉันก็พอจะเดาได้ว่าคุณพ่อกำลังพยายามลดภาษีลงเนื่องจากผลผลิตในปีนี้มีไม่มาก และ บางส่วนก็เข้าปากฉันไปทุกมื้ออาหาร ช่างน่าภูมิใจ
เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พ่อของฉันจะรู้สึกประหลาดใจในตอนที่ฉันเปิดปากพูด เด็กสี่ขวบที่พูดอย่างคล่องแคล่วเกี่ยวกับการเก็บภาษีไม่ได้เป็นอะไรนอกจากเรื่องน่าขนลุก มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
ฉลาดมากๆ นั้นคือสิ่งที่ฉันได้ยิน มันทำให้ฉันยิ้มไม่หุบ ม๊า เห็นได้ชัดว่าได้รับผลแง่บวก แต่ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ เบลล์ซังก็มารับฉันกลับมาที่ห้อง
“อริซซามะอยากให้อ่านหนังสืออีกไหมคะ?”
“….อืมมมม ยังก่อน นอน”
ฉันดำดิ่งลงกับเตียง ซ่อนหน้าไว้ใต้ฟูก และกอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น
ในใจของฉันเต็มไปด้วยความเสียใจและความสับสน ทำไมฉันถึงตอบคำถามกันนะ ทำไมถึงทำผิดพลาดเหมือนจงใจพลาดแบบนี้ ล้อกันเล่นรึไงน่ะ ต่อไป ฉันต้องพยายามให้มากกว่านี้แล้วสิ
ในกรณีนี้มันไม่ใช่ “เด็กฉลาดที่ฉายแววอัจฉริยะในอนาคต” แต่เป็น “เด็กประหลาดน่าขนลุกที่พูดถึงเรื่องภาษีได้ตั้งแต่อายุสี่ขวบ” และมันอาจไปเพิ่มการทำงานคุณพ่อให้หนักขึ้นด้วย ฉันเป็นคนที่ได้รับเสมอมา ตอนนี้ฉันเหนื่อย
“….เช่นนั้นรึคะ ถ้าอย่างงั้น เพลงกล่อมเด็กล่ะคะ?”
“อืม ฝากด้วย เบลล์”
“โปรดวางใจได้เลยค่ะ”
หลังได้ยินเบลล์ซังก็ยิ้มอีกครั้งและนั่งลงที่ปลายเตียงตามปกติ
“โอ้ ซิสเตอร์・จิลล์ โอ้ ซิสเตอร์・จิลล์”
มันเป็นเพลงกล่อมเด็กที่เบลล์ซังชอบร้องมากที่ ในขณะที่เสียงดังก้องไปทั่วห้อง ดวงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาในห้องอย่างเงียบ ๆ เป็นเรื่องที่ใครสักคนไปเยี่ยมซิสเตอร์ที่ชื่อจิลล์กลางดึก แล้วพยายามสั่นระฆังปลุกซิสเตอร์ เป็นพลงที่เน้นความรู้สึก ถ้ากับคนที่กำลังจะเข้านอนคงรู้สึกว่าเนื้อเพลงมันน่าจะกลับด้าน แต่หากได้ฟังทำนองแล้วจะรู้สึกสงบและรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“หลับรึยัง? หลับรึยัง?”
ตึกๆ ฉันแอบตีไหล่เป็นจังหวะเบาๆ ระหว่างเอียงหูฟังโทนเสียง เหมือนโลกหมุนไปตามเสียงใสๆของเบลล์ซัง ช่วยปลอมโยนหัวใจที่เหี่ยวแห้งจากความล้มเหลวของฉัน
“สั่นระฆัง สั่นระฆัง”
คลื่นกำลังลดลง ระดับน้ำทะเลลดลงฟื้นฟูจากความบ้าคลั่งกลับสู่ความสงบ
“ดิ๊ง・ด่อง・ดิ๊ง ดิ๊ง・ด่อง・ดิ๊ง”
จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นและเพลงจบลง ฉันกลับมาสงบอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะเลิกฟูกออกจากหน้า และจ้องไปที่เบลล์ซัง เบลล์ซังกำลังหลับตาพริ้ม เมื่อร้องเสร็จแล้ว เปลือกตาก็เปิดออกช้า ขนตาสีดำพลิ้วไหว
ในขณะที่ฉันหลงเสน่ห์เข้าเต็มๆ เบลล์ซังที่ร้องเพลงเสร็จแล้วก็เห็นว่าฉันกำลังจ้องเธอตาไม่กระพริบ
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“….เบลล์ สวย”
“ม๊า อริซซามะ…..ฟุๆๆ อริซซามะทั้งสวยทั้งน่ารักกว่าดิฉันอีกค่ะ”
เป็นเพราะคำพูดบริสุทธิ์ของเบลล์ซัง ทำใจฉันเต้นรัว คำพูดแสนหวานที่ตอบกลับมาฝังลึกลงข้างใน จนฉันต้องมุดฟูกปิดหน้าอีกรอบ
“กะ…ขอบกุณ”
ฉันตอบกลับด้วยเสียงขาดๆหายๆในคอ ความเงียบแพร่กระจายไปครู่หนึ่งและในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหว ขอให้ร้องเพลงกล่อมเด็กต่อไป
“รับทราบแล้วค่ะ ถ้าเช่นนั้น นั้นสินะคะ…..ลองเพลงดูนี้แล้วกันนะคะ”
เสียงสูดลมหายใจดังชัดเข้ามาในหูของฉัน ฉันหลับตาลง รอด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นเพลงแบบไหน
” ――― ใต้แสงจันทร์ โอ้ เพื่อนของข้า ข้าขอยิมโคมไฟหน่อยได้ไหม ข้าต้องการเขียนจดหมาย”
มันเป็นเพลงที่ฉันไม่เคยได้ยิน น้ำเสียงที่เข้าใจง่ายและระดับเสียงต่อเนื่อง มันเป็นจังหวะสบายๆ ที่มีแต่งแต้มด้วยสืจนสวยงาม
“เทียนละลายในยามค่ำคืน แสงไฟได้หายไปแล้ว”
ในเนื้อร้องที่ชวนโศกเศร้า มีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีอารมณ์มากกว่าปกติ ฉันกำลังโดนเจาะเข้าไปในช่องว่างของหัวใจ
“ได้โปรด กรุณาเปิดประตู……”
เสียงสะท้อนและความเงียบ ฟังเสียงสุดท้ายจนจบ คราวนี้ฉันเปิดเปลือกตาขึ้น
และจากนั้น แน่นอน ฉันตอบรับด้วยเสียงปรบมือให้กับการร้องของเบลล์ซังที่ดูจะเหมือนจะกังวลใจเล็กน้อยที่ร้องเพลงใหม่
“เพลงนี้ ชอบ”
“…. ――― ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ”
เบลล์ซังยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ฉันกลับรู้สึกว่าตาของเธอดูเปียกน้อยๆ