ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 79 ตอนที่ 19 ความฝันในคืนน้ำค้างแข็ง
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 79 ตอนที่ 19 ความฝันในคืนน้ำค้างแข็ง
ตอนที่ 19 ความฝันในคืนน้ำค้างแข็ง
“โรงเรียนปิดงั้นเหรอเจ้าคะ”
“…..ค่ะ”
เบลล์ซังพยักหน้าอย่างหนักแน่นยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงให้กับสเตลล่าซังที่พึมพำ
……ลูน่ามาถึงที่ห้องในช่วงที่ฉันกินอาหารกลางวันเสร็จพอดี มิร่าซังทำหน้าที่เทน้ำใส่ถ้วยเสิร์ฟ และในระหว่างที่กำลังจิบน้ำกันอยู่เบลล์ซังก็กลับมา เมื่อเห็นว่าลูน่าอยู่กับฉัน เบลล์ซังก็กล่าวทักทายตามมารยาทก่อนตัดเข้าเรื่องดังกล่าวทันที แทนที่จะกลับมาเรียนต่อ โรงเรียนกลับเลือกที่จะปิดชั่วคราวไปทั้ง ๆ แบบนี้ ครูของโรงเรียนรวมทั้งคุณตากำลังไล่บอกนักเรียนแต่ละคนเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และดูเหมือนคุณก็กำลังจะมาที่นี่เช่นกัน แต่เบลล์ซังถูกขอให้ส่งข้อความแบบสรุปให้พวกเราก่อน เดิมทีโรงเรียนมีระบบที่เรียกว่า วันหยุดยาว ที่จะมีปีละครั้ง เป็นช่วงที่จะยกเลิกคลาสโดยสมบูรณ์ประมาณหนึ่งเดือน มีการตัดสินใจในทางเอกสารแล้วว่าจะเลื่อนวันหยุดยาวขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม
ม๊า ฉันเข้าใจเหตุผลดี น่าจะเป็นเพราะการประท้วงต่อต้านขุนนางเมื่อวานนี้ แม้ว่าจะตกลงกันได้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีกลุ่มอื่นลุกขึ้นมาทำแบบเดียวกันอีกครั้งเมื่อไหร่ และกลุ่มต่อไปอาจจะติดอาวุธมาก็ได้ ความจริงที่ว่าฉันกับลูน่าโค้งคำนับและขอโทษคงกลายเป็นข่าวลือในหมู่ประชาชนทั่วไปแล้ว ฉันก็แอบหวังว่าจะช่วยเบรกเอาไว้ได้บ้าง แต่ยังไงก็ตามการมั่นใจและโล่งอกในเวลานี้ก็เป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป และแน่นอนว่ายอมต้องมีความสงสัยว่าจะสามารถทำการเรียนการสอนในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนักเรียนทั้งครูไม่ง่ายเลยที่ทั้งสองฝ่ายจะมีสมาธิเหมือนปกติ ดังนั้นการปิดชั่วคราวไปจนกว่าความมั่นคงของทั้งราชอาณาจักรจะเข้าที่เข้าทางจึงเป็นการดีกว่า หลายคนอาจคิดว่าการอยู่ในเมืองหลวงจะปลอดภัยกว่า แต่เมื่อวานก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแนวคิดนี้ล้มเหลว ถึงกระนั้นเมืองหลวงก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่ แต่ในแง่ของความเป็นไปได้ ตราบใดที่เป็นชนชั้นสูง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันมาก ในกรณีนี้การให้อยู่บ้านตัวเองจะดีกว่า ทั้งในแง่ของจิตใจและในแง่ที่ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงออกไป ความปลอดภัยเชิงสัมพัทธ์ดูเหมือนสูงขึ้น ถึงในความเป็นจริงจะยังเป็นแค่ความคิดของฉันคนเดียว ลูน่าที่นั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทียอมรับแต่ก็แสดงมีสีหน้ายุ่งยาก เธอมีความคิดแบบเดียวกันกับฉันใช่ไหม
“ถึงอย่างงั้นนี่ก็เป็นการกระทำที่เร่งด่วนเกินไป การตัดสินใจเช่นนี้อยู่เหนือขอบเขตการดำเนินงาน”
ลูน่ากล่าวสรุปความคิดของเธอ ซึ่งฉันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการเห็นด้วย จริงอยู่ว่าเป็นอาจเป็นเรื่องธรรมดาและดีที่จะจัดการในเชิงรุกให้เร็วที่สุด แต่โรงเรียนก็ไม่ควรที่จะปิดและส่งนักเรียนทุกคนกลับบ้านอย่างกะทันหันไม่นานหลังจากเรื่องแบบนั้น ฉันได้ยินมาว่าตั้งแต่เกิดเรื่องก็มีการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณเมืองหลวงและโรงเรียน ลูน่าบอกว่าไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นเหมือนมีอัศวินคอยเฝ้าระวังอยู่เสมอ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่าจะมีการลุกฮือขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วในสถานการณ์เช่นนี้ จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องของเวลา แต่ถึงกระนั้น ก็ควรจะมีเวลาสักระยะก่อนที่ “ครั้งต่อไป” จะเกิดขึ้น ยังมีขั้นตอนรวบรวมนักเรียนทั้งหมดและจัดสถานที่สำหรับการอธิบายที่เหมาะสม และยังต้องใช้เวลาอีกเท่าไรในการติดต่อบ้านแค่ละตระกูลก่อนที่จะทำการปิด ยังไงก็ตาม เบลล์ซังกลับบอกว่าทุกคนจะออกจากโรงเรียนในวันพรุ่งนี้และมะรืนนี้ เนื่องจากคุณตากับลาบริกซ์ซังได้ทำการตัดสินใจหลังจากที่ได้พูดคุยกัน แม้อาจจะเกิดจากความสับสนบางอย่าง แต่การที่รีบไปให้ถึงจุดนั้นคงต้องมีสาเหตุอื่นแน่ เพราะในแง่ของความปลอดภัยแล้ว การเคลื่อนไหวที่เร่งรีบเกินไปจะทำให้เกิดความสับสนและความเป็นไปในทางลบ
“….ไม่ได้มีแค่นี้สินะ?”
และเมื่อลูน่าถามแบบนั้น เบลล์ซังก็ดูขมขื่นเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเธอลังเลที่จะพูดถึง”บางอย่าง” ขณะพูดฉันก็สังเกตเห็นว่าเบลล์ซังตั้งใจเบี่ยงเบนสายตาไปทิศทางอื่นหลายต่อหลายครั้ง เวลาที่เบลล์ซังคุยกับใครสักคน และเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจริงจัง เธอจะพูดคุยพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่เสมอ เมื่อไตร่ตรองให้ดีแล้ว แม้จะเบี่ยงแค่เล็กน้อย แต่โดยเบื้องต้นแล้วระหว่างคุยก็มักจะเบี่ยงมาทางฉันตลอดเวลา ท่าทางการพูดราวกับไม่ได้หยุดสายตาตรงนั้นตรงนี้โดยไร้จุดหมาย
“เบลล์”
“….ค่ะ อริซซามะ”
ฉันเรียกชื่อเธอเป็นการกระตุ้น และแน่นอนว่าเบลล์ซังก็ตอบรับอย่างที่คิด ดวงตาที่หลบต่ำก็เงยขึ้น แต่หางคิ้วกลับตกลงราวกับกำลังโศกเศร้าบางอย่าง ในที่สุดเบลล์ซังก็เริ่มพูด
“เรื่องนั้น…..ดิฉันยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ค่ะ พูดได้แต่ว่าเพื่อจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ จึงเป็นเหตุผลที่จำเป็นต้องปิดโรงเรียนค่ะ”
“จุดปาสงค์”
“ค่ะ…..เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงอริซซามะและเจ้าฟ้าหญิงเป็นอย่างยิ่งค่ะ”
“กับ หนู?”
และก็เกิดความเงียบ เบลล์ซังไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่สิ เธออาจจะพูดไม่ได้ ตั้งแต่แล้วก็เป็นเรื่องราวที่ร่วมตัดสินใจโดยคนสามคนที่เป็นถึงหัวหน้าของหัวหน่วยข่าวกรอง อาจเป็นเรื่องลับที่ต้องเก็บเป็นความลับแม้แต่กับพวกเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นการพยายามถามต่อไปก็มีแต่จะแค่รบกวนเบลล์ซังเท่านั้น คงต้องพยายามทำให้ลูน่าที่ยังคงสงสัยสงบ ยังไงก็ตามกลับเป็นเบลล์ซังที่เริ่มพูดต่ออีกครั้ง ฟู๊ว เบลล์ซังถอนหายใจด้วยท่าทีที่จริงจังกว่าปกติ ก่อนจ้องมองมาที่ดวงจาของฉัน
“พูดอีกอย่างคือ――――เกี่ยวกับการมุ่งสู่อุดมคติที่อริซซามะตั้งเป้าเอาไว้ค่ะ”
ฮา ฉันกำลังหายใจไม่ออก สิ่งที่ฉันมุ่งหมาย อุดมคติ
…..ลูน่ากับสเตลล่าซังใช้เวลาเล็กน้อยก่อนที่จะกลืนลมหายใจเฮือกใหญ่ตามฉัน มิร่าซังที่เงียบอยู่ข้างหลังมาตลอดหลุดเสียงคร่ำครวญครึ่ง ๆ กลาง ๆ ออกมา ดูจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนเธอน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้จากคุณตาหรือลาบริกซ์ซังมาก่อนแล้ว
นั่นคือ หรือก็คือ
“……ปะติ วัด?”
ความเงียบที่หนักหน่วงนั้น คือคำตอบทั้งหมด เบลล์ซังพยักหน้าอย่างไม่มีแรง ฉันพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีคำพูดใดออกมา …..ไม่มีทาง จะเกิดขึ้นจริง ๆ เหรอ
เบลล์ซังบอกว่าการปิดโรงเรียนก็เพื่อไปสู่จุดประสงค์ใหญ่ และนั่นคือการมุ่งสู่อุดมคติของฉัน “การปฏิวัติ” กล่าวคือ การพูดคุยระหว่างคุณตากับลาบริกซ์ซัง คือ การตัดสินใจที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น แม่ทัพใหญ่คนปัจจุบันของราชอาณาจักรกับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองแห่งราชอาณาจักร
ฉันควรพูดอะไรยังไงดี ส่วนตัวแล้ว ฉันสามารถพูดได้ว่ามีลมที่ช่วยเกื้อหนุนและพันธมิตรที่อุ่นใจ ฉันคิดว่าไม่มีทางได้มาหากไม่เป็นคนชักชวน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินจากอีกฝั่งก่อน เพราะจะดูเป็นการหลงตัวเองเกินไป ทั้งสองเป็นถึงแม่ทัพและหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง พวกเขาเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลมากที่สุดซึ่งได้รับการกล่าวถึงเป็นอันดับแรกในบรรดาข้ารับใช้ของราชอาณาจักร การที่ทั้งสองคนถูกปลุกให้ลุกขึ้นมาปฏิวัติ แน่นอนว่าฉันมีแผนสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ดูเหมือนจะได้กำไรสูงและแม่นยำยิ่งกว่าแผนที่คิดเอาไว้ ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นการประมาทที่พยายามคิดและเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการปฏิวัติเพียงลำพัง แผนของฉันส่วนใหญ่เกี่ยวกับการโน้มน้าวใจและขอยืมพลังผู้คนที่มีความเห็นอกเห็นใจ อันที่จริงฉันก็เริ่มที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์กับแผนการทฤษฎีว่างเปล่าที่ไม่มีระดับความน่าเชื่อถืออะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังมองหาวิธีที่จะได้ผลลัพธ์ที่แทบเป็นไปไม่ได้อย่างการที่ไม่ต้องการให้ใครต้องหลั่งเลือด แต่บางที ……หากลาบริกซ์ซัง แม่ทัพใหญ่แห่งราชอาณาจักร คุณตาหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง และลูน่า หากทุกคนร่วมมือกัน
ฉันคิดสามารถทำได้ ใช่ไหม
“….ใช่ค่ะ อริซซามะ”
เบลล์ซังตอบกลับอีกครั้ง เป็นลูน่าที่ก้มหน้าลง ――――อ้า แย่แล้ว เลินเล่อเกินไป ที่ตรงนี้ ลูน่าและสเตลล่าซัง หลังจากนี้ เบลล์ซัง ไม่สิ คุณตากับลาบริกซ์ซังยังต้องขอความช่วยเหลือจากลูน่า ถึงกระนั้น การปฏิวัติก็เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับทั้งสองคน ลูน่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าหญิง ทั้งยังเป็นเจ้าฟ้าหญิงลำดับที่หนึ่ง สายเลือดโดยตรงของราชาและราชินีองค์ปัจจุบัน แม้ก่อนหน้านี้จะพลาดพลั้งไปบ้าง แต่การพูดถึงการปฏิวัติอย่างชัดเจน……..
“งั้นเหรอ แล้วฉันต้องทำอะไรบ้าง”
“เอ๊ะ”
เอ๊ะ ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ส่งเสียงแบบนั้น เบลล์ซัง มิร่าซัง และสเตลล่าซังต่างก็ตกตะลึง ลูน่าเป็นธรรมชาติมากจนรู้สึกเหมือนเป็นบทสนทนาประจำวัน ถามไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับกันเป็นเบลล์ซังซะอีกที่เสียการควบคุมตัวเองอย่างสมบูรณ์และส่งเสียงไร้ความหมาย ซึ่งไม่แปลกใจเลย เพราะเจ้าหญิงกลับถามว่าต้องทำยังไงและเคลื่อนไหวเชิงรุกอย่างไรราวกับพยายามจะปฏิวัติซะเอง ……ไม่สิ ฉันรู้ว่าลูน่าไม่ชอบสถานะปัจจุบันของราชอาณาจักรอย่างแน่นอน เป็นพายุแห่งการดูหมิ่นต่อสิ่งที่เรียกว่า”ศูนย์กลาง”ตลอดเวลา รวมถึงพ่อแม่ของเธอ ราชาและราชินี ยังไงก็ตามลูน่ายังคงเป็นเจ้าหญิง และลูกสาวของพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกที่มีแนวโน้มที่จะได้เป็นราชาองค์ถัดไปมากที่สุด แน่นอนว่าลูน่าต้องเข้าใจดีว่าเรื่องนั้นมีความหมายยังไงกับประชาชนทั่วไป
ในที่แรกการปฏิวัติที่ฉันตั้งเป้าไว้ไม่ใช่การล้มล้างสถานะราชวงศ์ชั้นสูง แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบ อย่างแรกคือการตั้งเป้าหมายไปที่การมีประชาธิปไตยบางส่วน ฉันจะพูดถึงเรื่องนี้กับเบลล์ซังและคนอื่น ๆ อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ไม่สำคัญว่าจะโค่นล้มลงมาแบบไหนก็ไม่อะไรยืนยันเลยว่าจะสำเร็จ และด้วยแรงผลักดันบางอย่างเป็นไปได้มากที่จะเกิดเหตุร้ายจากใครบางคน ถ้าจัดลำดับโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยของความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตราย ชนชั้นสูงที่เป็นศัตรูกับประชาชนทั่วไปมักจะมาก่อน นั่นเป็นความจริงสำหรับฉันในฐานะขุนนาง แต่ลูน่าที่เป็นเจ้าหญิงมีระดับที่แตกต่างจากฉัน
“ละ ลูน่า”
“อะไรเหรอ อริซ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่ได้กลัวจนไม่กล้าบอกฉันหรอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่ แบบนั้น……”
ฟู๊ว สูดลมหายใจอีกครั้ง ลูน่าละสายตาจากเบลล์ซัง และจ้องมาที่ดวงตาของฉันซึ่งหันหน้าเข้าหากัน นั่นทำให้ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้ ดวงตาสีแดงเข้มและสีเขียวเข้มของลูน่ามีเปลวไฟแห่งเจตจำนงอันแข็งแกร่งสถิตอยู่ในนั้น อย่างไรก็ตามเธอกล้าที่จะเปิดเผยความสั่นไหวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังออกมาโดยไม่พยายามปิดบัง ความกลัว ความวิตกกังวล ความลังเล และความโศกเศร้า และยังมีภาพสะท้อนของตัวฉันเองด้วย
“……อริซ”
“ลู น่า”
ฟู๊ว ซูด คราวนี้ลูน่าหายใจเข้าลึก ๆ พวกเรานิ่งเงียบรอฟังคำพูดที่จะถูกปลดปล่อยออกมา แน่ใจว่าต่อจากนี้ต้องเป็นความรู้สึกของลน่า เป็นคำจากก้นบึ้งจากหัวใจของเจ้าหญิง ของรูนไฮม์ ของลูน่าที่มีชีวิตอยู่มาแปดปี แสงสว่างส่องประกายลอดผ่านช่องว่างหน้าต่าง
“…..ฉันน่ะนะ ฉันคิดมานานแล้ว”
ในที่สุดลูน่าก็เริ่มพูด สิ่งที่ฉันจะได้เห็นและได้ยิน คือทุกสิ่งที่หล่อหลอมสร้างลูน่าในวันนี้
ความรู้สึกบางอย่างที่ฉันรู้สึกมาเป็นเวลานาน
“สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ราชอาณาจักรปัจจุบัน คำพูดของพวกเรา คำพูดของเหล่าประชาชน คำพูดของบรรพบุรุษ คำพูดของใครที่ถูกต้อง ควรจะเชื่อคำพูดไหน ……ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้ว”
ลูน่าเดินตามรอยความทรงจำของตัวเองราวกับกำลังมองไปยังที่ไกลแสนไกล หลังเปลือกตาปิดลงคงมีหลายเรื่องที่ลอยวน สเตลล่ายังคงนิ่งและปิดตาของตัวเองในลักษณะเดียวกัน ฉันตั้งใจฟังคำพูดของลูน่า
“ท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ ฉันก็ได้พบกับเธอ……อริซ ตอนแรกฉันคิดแค่ว่าเธอช่างเป็นเด็กที่แสนประหลาด อายุน้อยกว่าฉัน คำพูดยังติด ๆ ขัด ๆ และยังขี้กลัวอยู่เสมอ แต่ ดวงตาของเธอเท่านั้นที่แตกต่าง ต่างจากแววตาไหน ๆ ที่ฉันเคยเห็น และในตอนที่ได้ออกเดทกัน ฉันก็รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของดวงตานั่น เด็กสาวที่ชื่ออริซ・ฟอน・แฟร์มีล――――「สตรีสูงศักดิ์」ตัวจริง”
โดกิ หัวใจของฉันดังขึ้นเล็กน้อยจากความเขินอาย ฉันไม่ได้หลบสายตา ฉันแน่ใจว่าลูน่ามองฉันในฐานะสตรีสูงศักดิ์ และฉันก็กำลังมองลูน่าในฐานะ”เจ้าหญิง”
“ฉันคิดว่าเด็กคนนี้เป็นคนเดียวที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างฉันได้ ในที่สุดขุนนางที่เข้าใจถึงความผิดพลาดก็ปรากฎตัว …..แต่ ไม่ใช่เลย”
ลูน่าลืมตากลับขึ้นมา จากนั้นก็หัวเราะในคอราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง และก่อนที่ใครจะรู้ตัวเธอก็คลายกำปั้นที่กำแน่นจนสั่นบนโต๊ะออก มีรอยเล็บลึกบนฝ่ามือ
“……คนที่ไม่รู้อะไรเลยคือตัวฉันเอง ในชีวิตประจำวันที่จะว่าสั้นก็สั้นจะยาวก็ยาว เธอมักจะทำในบางสิ่งที่ดูแตกต่างจากพวกเราเสมอ ตัวอย่างเช่น คำพูด「จะทานแล้ว」ก่อนมื้ออาหาร ตอนแรกฉันเข้าใจว่ากำลังอธิษฐานเผื่อพวกสัตว์และพืชผักที่กลายเป็นส่วนผสม ไม่สิ นั่นอาจจะถูกแล้ว ……เพียงแต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ยังเป็นการขอบคุณไปถึง「เหล่าผู้คน」ที่ทำการเลี้ยงดูเพาะปลูกวัตถุดิบและทำอาหารด้วย”
นั่นเกินไปหน่อยแล้ว สิ่งที่ลูน่าพูดไม่ได้ผิดแต่มีเรื่องที่เข้าใจผิดพลาดอยู่ จริงอยู่ว่าฉันรู้สึกขอบคุณคนที่เพาะปลูกและคนที่ทำอาหารที่เปลี่ยนชีวิตให้กลายเป็นส่วนผสม แต่การทำแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดขึ้นเอง ฉันแค่ทำไปเพราะเป็นประเพณีของบ้านเกิดในชาติก่อนของฉันที่อาจารย์เป็นคนสอนให้ ลูน่าพูดต่อ
“ก่อนหน้านั้นในห้องสมุด ฉันเกลียดตัวเองที่ล้มลงในอุบัติเหตุนั้น ท้ายที่สุดก็ถูกปกป้องด้วยเวทมนตร์ที่ไม่เคยเห็นนั่น ร่วมถึงคนที่เข้ามาปกป้องอย่างไม่ลังเล ข้ารับใช้ทั้งสองของเธอและข้ารับใช้ของฉัน …..เหนือสิ่งอื่นใด คือการไม่ยอมรับการเป็นเพื่อนกับเด็กผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับการกลั่นแกล้งโดยตรง”
ฉันมีความสุขมากที่ได้รู้ถึงเหตุผลการแสดงออกในอดีตที่ไม่ยอมรับเพื่อนของลูน่า กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นศัตรูกัน
“…..และเมื่อวาน ฉันก็รู้สึกยอมแพ้จนขยับตัวไม่ได้ แต่เธอที่ควรจะอายุน้อยกว่าฉัน กลับทำในสิ่งที่กล้าหาญกว่าใคร ๆ ในตอนนั้น ที่นั่น….การคลุกเข่าลงไปขอโทษแบบนั้น ไม่ใช่แค่ขุนนางที่จะลังเล แต่ทุกคนเองก็ยังลังเล สุดท้ายก็ปลุกเร้าความรู้สึกดีของสามัญชนที่ควรจะประท้วงต่อต้านพวกเรา เมื่อได้เห็นภาพแบบนั้น…….ฉันก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว จนในที่สุดฉันก็รู้ตัว”
ฉันไม่ได้ถามอะไร ดวงตาของลูน่าจ้องมาที่ฉันอีกครั้ง ฉันก็เลียบแบบกลับไป
นั้นเป็นเพราะทุกถ้อยคำถ่ายทอดผ่านสายตาที่สะท้อนของกันและกัน
“การคิดถึงใครสักคน การปกป้องใครสักคน การหวังให้มี「ความสุข」….ก่อนที่ฉันจะเป็นเจ้าหญิง ก่อนที่เธอจะเป็นสตรีสูงศักดิ์ ก่อนที่สเตลล่าจะเป็นข้ารับใช้ ก่อนที่ประชาชนจะเป็นสามัญชน”
ตลอดเวลา ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ฉันได้คำตอบหนึ่งเดียวหลังจากที่คิดมานานเช่นเดียวกับลูน่า
ในบั้นปลายของชาติที่แล้ว ฉันคิดว่าพวกชนชั้นปกครองควรไปตายซะทุกคน …..แต่ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้ปกครอง ฉันได้เรียนรู้ว่ามีคนอยู่ฝ่ายนี้ที่มีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง ตัวอย่างเช่นคุณพ่อของฉันที่ไม่สามารถก้าวข้ามความตายของคุณแม่ที่จากไปตลอดกาลได้ ลูน่าถูกเฝ้ามองด้วยอคติในความเป็นเจ้าหญิง แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เช่นเดียวกับคุณตาที่เสียใจกับการจากไปของคุณแม่ ในขณะที่คุณแม่เองก็ร้องไห้ในความฝัน และมิร่าซัง เบลล์ซัง ต่างก็ทุกข์ใจจากความปรารถนาของฉัน
ไม่สำคัญว่าสถานะของฉันจะเป็นอย่างไร
เหมือนกัน ทุกคนล้วนเหมือนกัน
“พวกเราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง …..ดังนั้น”
ใช่ ถูกแล้ว ถึงจะกังวล ถึงจะเสียใจ ถึงจะผิดหวังในบางครั้ง ก็ยังคงหัวเราะ ถึงกระนั้น ทุกคนก็พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยตัวเอง ไม่มีความแตกต่าง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเวทมนตร์ แต่ละคนก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง ขุนนางและสามัญชนจ่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เช่นนั้นแล้วเหตุใดเราจึงกดขี่ข่มเหงสามัญชนเพียงฝ่ายเดียว เช่นนั้นแล้วเหตุใดเราจึงกำจัดขุนนางเพียงฝ่ายเดียว ทุกคนมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง
เพราะแบบนั้น
“――――ไม่มีใคร ไม่มีคำพูดของใครที่ผิดพลาด ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคำตอบที่ถูกต้อง ….ใช่ไหม อริซ?”
“อืม หนูตัดสินใจแล้วว่าอยากทำแบบนั้น”
“…..ดังนั้นฉันเองก็จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหญิง แต่เป็นการตัดสินใจในฐานะรูนไฮม์”
เหมือนสิ่งที่กังวลใจลูน่าปลิวหายไป เธอยิ้มด้วยท่าทางตัดสินใจได้แล้ว แก้มของฉันผ่อนคลายลงตามไปด้วย ใช่ ง่ายมาก ตั้งแต่แรกแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ที่จะกังวลใจ แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจของตัวเองที่จะตัดสินว่าถูกหรือไม่ เช่นนั้นแล้วจีงสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้วฉันจึงก้าวไปข้างหน้าได้ แม้จะรู้ว่าเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ฉันตั้งเป้าที่จะปฏิวัติโดยที่ไม่มีใครต้องหลั่งเลือดเพื่อ “ความสุข” ที่ฉันปรารถนา ต่อให้เป็นหนทางที่ไม่เป็นจริง ก็ดีกว่าต้องมาเสียใจคนเดียวในภายหลังจากสูญเสียทุกสิ่งโดยไม่ทำอะไรเลย
“…..ท่าทางเช่นนั้น ช่างเหมือนกับอลิเซียซามะเหลือเกิน”
“ข้าจะตามฮิเมะไปทุกหนทุกแห่ง”
ฉันโค้งคำนับและขอบคุณ เบลล์ซังกับมิร่าซังถอนหายใจด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะยอมแพ้ที่ไหนสักแห่ง เมื่อมองไปด้านข้าง สเตลล่าก็หันไปหาลูน่าด้วยท่าทางไร้อารมณ์ตามปกติของเธอ
“รูนไฮม์ซามะ เช่นนั้นดิฉันขอตัดสินใจด้วยตัวเองเช่นกัน”
“สเตลล่า เธอน่ะเป็นข้ารับใช้ของฉันนะ”
“อ้า อะไรกันเจ้าคะ ช่างกดขี่เหลือเกิน”
“….ทำไมไม่ขอเรียนการแสดงจากอริซก่อนสักหน่อยล่ะ”
“เอ๊ะ”
ก็อกๆๆ เสียงฝีเท้าและเสียงเคาะดังขึ้นที่ประตู ลาบริกซ์ซังกับคุณตาสินะ ในเวลาเดียวกันกับเบลล์ซังเปิดประตู ทั้งสองคนพูดอะไรกันบางอย่างที่ข้างหน้า ลูน่าสูดหายใจเข้าเหมือนเช่นก่อนหน้านั้น
“――――ฉันจะอยู่ข้าง ๆ อริซตลอดไป”
เมื่อตะวันส่องผ่านเมฆ ฉันกับลูน่าจับมือกัน