ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 72 ตอนที่ 12 Comme Lna Liddell
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 72 ตอนที่ 12 Comme Lna Liddell
ตอนที่ 12 Comme Lna Liddell
“อริซซามะ อริซซามะ”
ฉันยกเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นช้า ๆ ก่อนขยี้ตาที่ยังสะลึมสะลือ อืม ร่างกายของฉันยังคงรู้สึกเหนื่อยอยู่ ฉันสงสัยจังว่าตัวเองนอนไปนานแค่ไหนแล้ว ท้องที่มองเห็นจากหน้าต่าง เป็นท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้มมากกว่าครั้งสุดท้ายที่จำได้ทำให้มึนงงเข้าไปอีก ยังไงก็ตาม ดูไม่เหมือนตอนเย็นหรือตอนกลางคืน แต่ไม่ว่าจะตอนเช้าหรือตอนเที่ยงก็ดูเหมือนว่าฉันจะหลับไปเกินครึ่งวันแล้ว เบลล์ซังสังเกตเห็นทันทีเมื่อฉันตื่นขึ้น เธอเขยิบเข้ามาหยุดที่ข้างเตียงและเรียกหาฉัน
“ฟุเนี๊ยว”
“…..อ้า โล่งอกไปที ในที่สุดก็ตื่นแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ?”
“อะ อือ…….”
เบลล์ซังถามรัว ๆ โดยไม่เหลือมาดความสุขุม แม้จะยังไม่ได้พูดกันสักคำ แต่ฉันก็โล่งใจที่สามารถตอบสนองกันและกันได้แล้ว ฉันพยายามที่จะประมวลผลอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ส่ายหัวที่ยังมึน ๆ อยู่เล็กน้อยเพื่อให้คลายจากอาการเคลิ้มหลับ ………อ้า จะลุกเลยดีไหมน่ะ และ
“……อะกู๊ว….”
“อะ อริซซามะ!?”
ฉันไม่มีทางลืมได้ นั่นอาจเป็นความฝันอย่างที่ท่านแม่บอก แต่ยังไงก็ตาม ไม่ใช่แค่ความฝันอย่างแน่นอนฉันสามารถยืนยันได้ ของฝากของท่านแม่ถูกทิ้งไว้ในหัวของฉันอย่างไม่ผิดแน่นอน เป็นความทรงจำ ความทรงจำของท่านแม่ เป็นเรื่องราวที่ฉันไม่รู้จัก เป็นช่วงเวลาที่ท่านพ่อ ท่านแม่ และเบลล์ซัง ทั้งสามคนได้ใช้เวลาที่สงบสุขร่วมกันในชีวิตประจำวันผสมผสานกันไป เป็นความเอาใจใส่ที่บอกได้ว่าแค่นี้ก็ทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ได้พบหน้ากับท่านแม่ในความฝัน และโอบกอดของขวัญเหล่านี้ไว้ในหน้าอก ฉันร้องไห้เงียบ ๆ เบลล์ซังรีบเข้ามาจับมือฉันทันที อยู่ดี ๆ ฉันก็ร้องไห้ออกมา ไม่รู้ทั้งเหตุผลทั้งแรงจูงใจ ทำได้แค่ให้ความสำคัญกับการสงบสติอารมณ์ก่อน
“ม๊าย ม๊ายเป้น ร๊าย……”
“ไม่เอาสิคะ ถ้าไม่เป็นไรทำไมถึงร้องไห้ออกมาล่ะคะ ยังมีอาการเจ็บอยู่ที่ไหนอยู่รึเปล่าคะ?”
“หน้าอก”
“นะ หน้าอก!? แบบนั้นแย่แล้วสิคะ!”
เบลล์ซังเริ่มร้อนใจจนฉันได้ยินเธอทำเสียงตื่นตกใจด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เพราะวิธีพูดที่ชวนให้สับสนของฉัน ฉันแน่ใจว่าจากมุมมองของเบลล์ซัง เธอคงนึกถึงความผิดปกติที่เป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น ที่หัวใจ ฉันส่ายหน้าอย่างเร่งรีบ
“ม๊ายใช่ ม๊ายใช่ที่ร่างกาย รัดแน่นที่ใจ”
“…..ที่ใจอย่างงั้นเหรอคะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงใช่ไหมคะ เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ”
“เอ๊ะโตะเน๊ะ”
ซ้า ฉันควรจะทำยังไงดี ฉันควรพูดออกไปมากแค่ไหนกัน จะบอกถึงเรื่องที่ได้คุยกับท่านแม่ในฝันเลยดีไหม ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถึงจะน่าสงสัยว่าฉันรู้จักเธอได้ยังไง เรื่องที่ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือความทรงจำที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ อย่างที่คิดไว้การใช้คำว่าความฝันคงไม่เพียงพอ ในความทรงจำเหล่านั้น เบลล์ซังได้รับความสำคัญอย่างมาก เธอถูกเลี้ยงดูมาเหมือนลูกสาวแท้ ๆ และมีความรู้สึกอยากจะเจอท่านแม่ที่ตายไปแล้วอีกครั้งเหมือนกัน อาจจะมากกว่าที่ฉันรู้สึกด้วยซ้ำ และไม่ใช่แค่เบลล์ซังเท่านั้น ทั้งท่านพ่อ ท่านตา และลาบริกซ์ซังก็ด้วย เช่นนั้นแล้ว ถ้าแบบนั้น ความจริงที่ว่ามีฉันแค่คนเดียวที่ได้เติมเต็มความปรารถนาที่ไม่ควรจะเป็นจริงได้ น่าจะส่งผลกระทบต่อทุกคนไม่น้อย แน่นอนว่าฉันรู้ว่าเบลล์ซังไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ฉันแน่ใจว่าเธอคงจะมีคิดอยู่เล็กน้อย ว่าทำไมคนที่ได้เจอถึงไม่ใช่ฉันกัน
“อึก”
สำหรับฉัน ฉันรู้สึกอยากจะหลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้ แม้ว่าทุกคนอาจจะไม่ว่าอะไร แต่ฉันก็รู้สึกใส่ใจ ฉันคิดว่าควรเป็นแบบนั้นใช่ไหม แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเบลล์ซัง และท่านแม่ ก็เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฉันเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่ต้องการที่จะถูกมองด้วยสายตาที่มีข้อสงสัย เป็นแค่ความเห็นแก่ตัวของฉัน แต่ยังไงก็ขอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสักหน่อย เอาไว้ว่าถ้าถูกถึงฉันค่อยตอบแล้วกัน
“หนูฝันเห็นก้าซามะ”
“ฝันถึงโอก้าซะ…..อลิเซียซามะงั้นเหรอคะ”
“อืม”
แก้มของเบลล์ซังคลายออกเมื่อฉันพูดถึงคุณแม่ ฉันมีความสุขที่คนสองคนที่มีความสำคัญสำหรับฉันมีความสำคัญต่อกันมาก ๆ ฉันรู้สึกได้ถึงภาพลวงตาที่ระยะห่างระหว่างฉันกับเบลล์ซังนั้นสั้นลงอีก เช่นนั้นแล้วฉันจึงไม่ต้องการให้เธอโอบกอดความรู้สึกเศร้าแห่งความสงสัยว่าทำไมถึงไม่ได้เจอคุณแม่มากเกินควร แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ควาฝันของฉันเท่านั้น
“จากนั้นได้คุยกัน ถูกกอดรัด บริเวณโดยรอบเริ่มสว่างขึ้น นอนอีกแล้ว”
“……จริง ๆ เหรอคะ?”
แต่เบลล์ซังที่ฟังคำพูดของฉันอย่างจริงจังถามกลับมาคำหนึ่งสั้น ๆ คิ๊ว ฉันถูกกอดลงหน้าอกนุ่มฟูอย่างแรง ซึ่งแรงกว่าปกติ แขนของเบลล์ซังที่โอบกอดฉันไว้ กอดฉันแน่นจนแผ่นหลังของฉันเหมือนจะงอกลับด้านให้ได้ ถึงจะเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ฉันก็ไม่ได้ต่อต้าน ฉันไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี่มาก่อนเลย ฉันรู้สึกถึงความร้อนที่ส่งผ่านจากทั่วทั้งร่างกายจากทางผิวหนังมาถึงฉัน ฉันรู้ว่านี่คือความรักทั้งหมดที่เบลล์ซังทุ่มเทให้กับฉันนั่นเอง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันก็ร้องไห้ใส่เบลล์ซังทั้ง ๆ แบบนี้ไปหลายนาที ฉันขอโทษที่ทำให้หน้าอกต้องเปียกด้วยน้ำตาอีกแล้ว เบลล์ซังผ่อนแรงแขนลง ก่อนจ้องมองมาที่ดวงตาของฉันที่เงยหน้าขึ้นมอง มีคำว่าไม่เป็นไรหรอกค่ะเขียนอยู่ในดวงตาสีดำสนิทสองดวงที่กำลังสะท้อนดวงตาสีทอง หางตาที่ตกลงต่ำสะท้อนความรู้สึกเศร้าอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่นานก็กลายเป็นรอยยิ้ม
“สภาพร่างกายรู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ”
“รู้สึกหนักนิดหน่อย แต่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว”
ท้ายที่สุดเบลล์ซังก็ไม่กล้าแตะเรื่องความฝันและคุณแม่ ว่าแล้วเชียวว่าเธอคือคนที่รู้จักฉันดีที่สุดในโลก และฉันตัดสินใจยอมรับความใจดีของเธออีกครั้ง แต่การได้เจอกับคุณแม่ที่ฉันไม่ควรจะรู้จักหน้าตาได้ทิ้งอิทธิพลต่าง ๆ ไว้กับฉัน อย่างแรกคือความอบอุ่นและความเศร้า แล้วความทรงจำในอดีต จากนั้น…….ความสับสน
“เน๊ เบลล์”
“คะ อริซซามะ”
“หนูน่ะนะ”
ในความฝันนั้น ฉันรับรู้ว่าคุณแม่คือแม่ของฉันอย่างแน่นอน คุณแม่ที่ฉันไม่ควรจะรู้จักใบหน้า คุณแม่ที่ฉันไม่สามารถพูดคุยด้วยได้แม้แต่สักครั้งเดียว แต่ทันทีที่เห็น ฉันก็แน่ใจว่าเป็นคุณแม่ของฉันอย่างแน่นอน และฉันยังจำความคนึงหานั้นได้ ทั้งความนึกคิดและความรู้สึกที่ท่วมท้นออกมา แล้วมาเสียใจในภายหลังที่น้ำตาไหลจากอกจนท่วมอกจริง ๆ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พูดได้แค่คำเดียวว่าขอโทษ ทั้งที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าทั้งหมดนั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ นั่นเป็นเหตุผลที่คำถามหนักใจหมุนวนกลายเป็นความสับสนตลอดเวลา กล่าวคือ
“อาจจะจำเรื่องของโอก้าซามะได้”
――――ฉันสงสัยว่าความทรงจำของ”อริซ”ของตัวเอง มีเริ่มจากตอนอายุสองขวบจริง ๆ อย่างงั้นเหรอ
ฉันคิดว่าเป็นช่วงเวลานั้นเองที่ฉันจำฉันได้อย่างชัดเจน ฉันอยู่ในฐานะอริซที่สังเกตเห็นถึงจุดเชื่อมต่อจากจุดสิ้นสุดในฐานะ”อาริสุ”จากชาติที่แล้ว ดังนั้นเรื่องแปลกประหลาดจึงเกิดขึ้น ความปรารถนาสุดท้ายที่อยากจะได้ไปอยู่ในโลกแห่งความสุขที่อาริสุหวังไว้ ได้ยินโดยสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่เรียกว่า “พระเจ้า” และฉันสงสัยว่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ …….แต่
“เรื่องอลิเซียซามะ งั้นเหรอคะ?”
“อืม”
“แต่นั่น…….จริงอยู่ที่ว่าอริซซามะได้พบกับอลิเซียซามะหลังจากเกิดมาไม่นานจริง ๆ แต่………”
“อืม แต่ บางทีหนูอาจจะจำได้”
ในส่วนลึกของความทรงจำที่อยู่เหนือจิตสำนึกพื้นผิวของฉัน อาจจะมีทั้งใบหน้าทั้งเสียงของคุณแม่ที่ฉันรับรู้ได้ตอนเกิดอยู่ โดยดั้งเดิมแล้ว การไม่มีความทรงจำตั้งแต่เกิดจนถึงสองขวบก็จะต้องไม่มีอัตตาเลยแม้แต่น้อย ฉัน อริซมีตัวตนอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน และพวกเบลล์ซังก็ดูแลฉันเป็นอย่างดีด้วย นี่หรืออาจะเป็นความสับสนยุ่งเหยิง เพราะความทรงจำของคุณแม่เข้ามาผสมปนเป
…..แต่ แต่ว่า ถ้าไม่ใช่ล่ะ ถ้าฉันในตอนนั้นเป็นแค่ตุ๊กตาที่หายใจได้จริง ๆ เท่านั้น แล้วบุคลิกดั้งเดิมของ”อริซ”หายไปไหนกัน ฉันไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย บางทีอาริสุอาจจะลบอริซไปแล้ว ความคิดที่น่ากลัวและโหดร้ายเกินความคิดของฉันแล่นเข้ามาในหัว ถึงขั้นนี้แล้ว ฉันต้องรีบยืนยันตัวตนของตัวเองในเวลานั้น
“อาโน๊เน๊ะ เบลล์ ของหนู…….เรื่องตอนหนูประมาณหนึ่งขวบ เป็นยังไง?”
“เรื่องของอริซซามะตอนอายุได้หนึ่งขวบเหรอคะ……?”
“อืม”
แล้วเบลล์ซังก็ทำหน้าลำบากใจ เธอดูวิตกกังวล เมื่อลูบหัวของฉัน เธอก็เริ่มพึมพำถึงความทรงจำ ฉันแค่รออยู่เงียบ ๆ รอฟัง ผลักความคิดของตัวเองไปที่มุมของตรรกะ
“……นั่นสินะคะ หากให้พูดอย่างตรงไปตรงมาจนเหมือนไม่มีความเคารพก็คง ไร้ซึ่งแสงสว่าง กะมั้งคะ”
“แสง?”
“ค่ะ”
ใช่ คำสั้น ๆ ของความรู้สึกโศกเศร้าที่เบลล์ซังไม่เคยปลดปล่อยออกมาขณะที่คิดถึงฉัน แน่นอนว่าฉันจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ ทว่าฉันค่อนข้างเข้าใจอุปมาของไร้ซึ่งแสงสว่างอยู่ในระดับหนึ่ง ตามตัวอักษรเลย อาการเหมื่อลอยที่สติไม่อยู่กับตัว มองไม่เห็นแสงสว่างในดวงตาหรือมีแต่ความมืดมน อยู่ในสภาพที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ อะไรแบบนั้นสินะ และนั่นคือหลักฐานที่เพียงพอที่จะเร่งความวิตกกังวลของฉันให้เร็วขึ้น เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่เหี่ยวเฉาเร่งเร้าให้ไปต่อ เบลล์ซังก็พยักหน้าและพูดต่อ
“อริซซามะในตอนี้มีการแสดงออกทางสีหน้าที่หลากหลายได้แล้ว บางครั้งก็มีใบหน้าเศร้า บางครั้งก็ยิ้มอย่างมีความสุข ที่ทั้งหมดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ”
“อืม”
อ้า ใช่ นั่นสินะ ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน และเมื่อฉันเศร้า ฉันร้องไห้ และเมื่อฉันมีความสุข ฉันก็ยิ้มอย่างมีความสุข ยังไงก็ตามทันทีหลังจากที่เปลี่ยนจากอาริสุมาเป็นอริซ หัวใจของฉันก็ถูกครอบงำด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและรีแอคชั่นเท่านั้น และฉันก็ตระหนักดีว่าฉันไม่ได้แสดงออกมามากนัก ถ้าพูดแบบนั้นฉันก็เข้าใจแล้ว หรือก็คือยิ่งกว่าที่คาดไว้
“ดูเหมือนว่างเปล่า”
ขณะครุ่นคิดเล็กน้อยสีหน้าของเบลล์ซังบิดเบี้ยวเปลี่ยนเป็นสีหน้าโศกเศร้าในพริบตา แต่เธอส่ายหัวช้า ๆ ให้กับฉันที่กำลังรอคำตอบกลับมาตัวสั่น
“ไม่ค่ะ ถึงแม้จะดูเหมือนอยู่ในสภาวะที่หัวใจดูจะไม่อยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แม้ในยามที่มองเข้าไปดวงตาของกันและกันเหมือนกำลังมองดิฉันอยู่ แต่ดิฉันก็รู้สึกได้ว่าเหมือนกับกำลังมองไปยังอีกโลกหนึ่งอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“งั้นแล้ว!”
” ―――― แต่ว่า ……แต่ว่า อริซซามะอยู่ที่นี่เสมอค่ะ”
ฉันพยายามส่งเสียงที่แทบจะเป็นการกรีดร้องออกไปราวกับจะไม่ให้อะไรมาขวางกั้น แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เบลล์ซังยังสามารถขัดจังหวะได้ ดวงตาของเธอกำลังจ้องมองตรงมาที่ดวงตาของฉัน ตลอด ราวกับกำลังบอกว่าเฝ้ามองมาตลอด
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดวงตาของดิฉันก็สะท้อนเพียงอริซซามะเพียงผู้เดียวตลอดมาไม่เปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เกิดมา อริซซามะก็คืออริซซามะค่ะ จนถึงตอนนี้ดิฉันที่อยู่ใกล้ชิดท่านที่สุดสามารถรับประกันได้”
“อะ อุ……..”
แสงที่สง่าผ่าเผยและส่องประกายระยิบระยับอยู่เบื้องหลังดวงตาของเบลล์ซังซึ่งพูดยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนั้น ทำให้ฉันปิดปากเงียบโดยไม่ตั้งใจ ฉันแน่ใจว่าเธอกำลังพูดสั่งสอนฉันอยู่ บางทีเธออาจมองเห็นว่าฉันกำลังทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่องจากการมีตัวตนอยู่ของตัวฉันเอง เป็นแววตาที่ฉันไม่เคยเห็น ฉันไม่สามารถยอมรับได้เหมือนปกติ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน ฉันกำลังจ้องมองไปที่”ฉัน”อย่างแน่นิ่ง ……..ใช่ ในแววตานั่น
“หนูก็คือหนู”
“ค่ะ อริซซามะก็คืออริซซามะค่ะ”
ไม่เป็นไร ฉันรู้สึกเดจาวูถึงตอนที่เบลล์ซังกอดฉันไว้แล้วกล่อมฉันว่าไม่เป็นไร ใช่แล้ว เหมือนกับคุณแม่ที่พูดแบบเดียวกันในฝัน ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนโดนเจาะเข้ากลางเป้า คุณแม่รู้เรื่อง “อาริสุ” และพยายามจะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันถูกบอกให้จดจำเอาไว้ แต่ในหัวของฉันกลับเต็มไปด้วยเรื่องอื่นจนหมด พอฉันตื่นจากฝันก็จำไม่ได้จนถึงตอนนี้
ตอนนั้น คุณแม่บอกว่า
「แท้จริงแล้วทั้งสองก็คือตัวลูกเอง」
” ―――― ทั้งสอง ฉัน…….?”
“อริซซามะ?”
ทั้งอาริสุ ทั้งอริซ ก็คือฉัน โดยไม่รู้สาเหตุทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่าฉันเข้าใจความหมายแล้ว แม้ว่าฉันจะมีความทรงจำของชีวิตในอีกโลกหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าอาริสุ ฉันก็เป็นตัวของตัวเอง อาริสุ ตอนนี้เป็นอริซ ฉันคิดว่าต้องการบอกฉันแบบนี้ใช่ไหม
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และมีบางอย่างในตัวฉันที่กำลังบอกฉันว่าใช่เช่นนั้น ฉันไม่สามารถหาเหตุผลหรือตรรกะที่ชัดเจนได้ ฉันแค่รู้สึกว่าถึงความแตกต่างตามสัญชาตญาณ
“อื~ม”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ”
…….ไม่สิ หยุดแค่นี้ก่อนเถอะ คิดมากเท่าไรก็ปวดหัวแค่นั้น เรื่องที่ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ฉันแน่ใจว่าเมื่อเวลาผ่านไปฉันจะสามารถจัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ และสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้มากขึ้น ความกังวลใจแปลก ๆ อีกแล้วของเบลล์ซังดูจะเป็นปัญหาที่ต้องกังวลมากกว่า อักษรสองตัวของความกังวลลอยเข้ามาในตาทั้งอย่างงั้น ฉันส่งยิ้มเขินอายเบา ๆ ให้กับเบลล์ซัง
“หนูก็คือหนู”
“ค่ะ อริซซามะก็คืออริซซามะค่ะ!”
ฉันรักแก้มของเบลล์ซังที่ผ่อนคลายไปด้วยความสบายใจมากกว่า ฉันขอโทษที่ทำให้ต้องกังวลอยู่เสมอ แต่ฉันก็ดีใจที่เธอค่อยกังวลเรื่องฉันเสมอมา และแม้จะเพียงเล็กน้อย ฉันก็อยากที่จะเอาใจใส่เบลล์ซัง ฉันแน่ใจว่าจะต้องเผลอหลับไปเพราะความผ่อนคลายในเร็ว ๆ นี้แน่นอน
“ขอบคุณ ที่พยายามทำงานเสมอมา”
“ฟุๆๆๆ ขอบพระคุณมากค่ะ แต่การห่วงใยอริซซามะไม่ใช่งานสำหรับดิฉันหรอกนะคะ?”
“อือึอ การสืบข้อมูลของ……….อะ”
“เอ๊ะ”
ความทรงจำที่รวมอยู่ใน”ของขวัญ”รั่วไหวออกมาในทันที
รอยยิ้มค้างแข็งทันที หลังจากนั้นฉันก็โดนเขย่าจากเบลล์ซังที่เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“…..อะไรเหรอ?”
หลังจากนั้น ฉันก็พยายามหลอกล่อและกลบเกลื่อนถ้อยคำเหล่านั้นให้ดูคลุมเคลือนานกว่าสิบนาที ในที่สุดไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ความเข้าใจผิดของเบลล์ซังที่สะสมมาจนถึงตอนนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิม และเธอเข้าใจเห็นคล้อยกับข้ออ้างจนเชื่อว่ามองเห็นความจริงบางสิ่งบางอย่างที่แอบแฝงอยู่