ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 71 ตอนที่ 11 การกลับชาติ・มาเกิดใหม่
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 71 ตอนที่ 11 การกลับชาติ・มาเกิดใหม่
ตอนที่ 11 การกลับชาติ・มาเกิดใหม่
ความมืดที่ดำมืดสนิท ไม่ใช่ว่ามองไม่เห็นจุดหมาย แต่เป็นมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่ว่าจะเพ่งมองแค่ไหนก็เห็นแต่พื้นที่ว่างเปล่าที่มืดมิดไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกไป ที่นี่ที่ไหนกัน
“เบลล์……?”
ฉันพยายามร้องเรียนเธอด้วยความหวังเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่มีการตอบกลับ หากไม่มีสิ่งของหรือคนที่จะชี้นำ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ยังไงก็ตามก็ไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด ตั้งแต่แรกที่นี่คืออะไรกันแน่ สถานการณ์สำหรับฉันคืออะไร ไม่เข้าใจ วิตกกังวล และเดียวดายในความมืดมิดอันเงียบสงัด ฉันรู้สึกเหงา น้ำตากำลังจะไหล ไม่ได้ ต้องไม่เป็นไร ขั้นแรกต้องสงบใจลงก่อน และจัดระเบียบความคิด ฉันเช็ดดวงตาที่เปียกชื้นด้วยแขนเสื้อและสำหรับตอนนี้ก็นั่งลงก่อน เย็น
“เอ๊ะโตะ……”
พยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ฉันแน่ใจว่าตัวเองอยู่ในห้องสมุด ที่นั่นฉันกำลังจะถูกทำร้ายด้วยอุบัติเหตุที่โชคร้าย แล้วฉันก็รอดพ้นจากสถานการณ์ความลำบากด้วยการควบคุม”กระแส”ที่ดูไม่ชัดเจน แต่ฉันคิดว่าเป็นการไหลของเวลาหรือแรงโน้มถ่วง และสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุคือ เด็กสาวที่มาเพื่อขอโทษเรื่องที่ผ่านมา และคืนดีกัน แล้ว…….แล้ว?
“อะเอ๊ะ”
ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้น ตรงนั้น ฉันพยายามนึกถึงความทรงจำที่จู่ ๆ ก็ขาดหายไปอย่างกระทันหัน และจากนั้นก็วนตามลำดับอีกครั้งจนถึงจุดที่ความทรงจำขาดหายไปอีกครั้ง ลูน่ารู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นการคืนดีง่าย ๆ และ……อ้า มีเพียงเบลล์ซังเท่านั้นที่มีใบหน้าไม่สบายใจ จากนั้นฉันก็พยายามส่งเสียงถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพิจารณาว่าฉันไม่มีความทรงจำหลังจากนั้น ฉันก็แน่ใจว่าฉันเป็นลมตอนนั้น แม้ว่าจะใช้พลังเวทมนตร์ไปมาก แต่ฉันก็รู้สึกว่ายังพอมีเหลืออยู่ แต่ฉันปวดหัว ใช่ เมื่อจัดการกับกระแสเสร็จ ฉันก็จำได้ว่าปวดหัวอย่างรุนแรงตลอดเวลา เข้าใจแล้ว อาจเป็นเพราะใช้สมองมากเกินไป หากลองคิดดูให้ดี ไม่มีทางที่เวทมนตร์ที่สามารถใช้จัดการย้อนเวลาสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ไม่มีทางที่จะไม่เป็นภาระเลย ไม่เพียงแค่นั้น อย่างแรกเลย เวลาที่รับรู้ได้จะถูกเร่งขึ้นหลายเท่า นอกจากนี้ยังรับรู้ถึงกระแสของสรรพสิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือ การฝืนบิดเบือนเหตุผลของโลก สมองของมนุษย์คนเดียวไม่สามารถทนได้ เช่นนั้น บางที ฉัน
“ตาย แล้ว?”
ความเย็นยะเยือกไหลไปตามเส้นประสาทในกระดูกสันหลังโดยตรง ไม่ ไม่ รอก่อน ถ้าตายไปแล้วก็ไม่ควรที่จะมีสติสัมปชัญญะสิ ไม่มีทางมาคิดอะไรแบบนี้ได้
……แต่ ถึงจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน แต่ก็ยังน่ากลัว เพราะฉันเคยประสบกับสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มาแล้ว ฉันที่ควรตายไปแล้วกลับเกิดใหม่เป็นหญิงสาวชนชั้นสูงที่ชื่อว่าอริซอยู่ในตอนนี้ เมื่อคิดแล้วจึงไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีเกิดอะไรขึ้นอีก บางทีทุกคนอาจจะอยู่ในสภาพนี้หลังจากที่พวกเขาตาย
“น่ากลัว”
ฉันไม่สามารถปฏิเสธและเปลี่ยนความคิดได้ ฉันกลัวจนทนไม่ไหว กลัวที่จะไม่ได้เห็นแสงสว่างเป็นครั้งที่สอง กลัวที่จะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวัน กลัวที่จะไม่ได้เจอเบลล์ซัง ฉันกลัวจนทนไม่ไหว ไม่เอา แบบนั้นไม่เอา อย่างน้อยก็ให้ฉันได้บอกลา อย่างน้อยก็ให้ได้ขอบคุณและลาก่อน อยากกอดเบลล์ซังอีกครั้ง อยากอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นและถูไถแก้ม
“เบลล์”
…..ยัง ยังไม่เข้าใจ ยังคงเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตายเสมอไป ตัวอย่างเช่น นี่คือช่องว่างระหว่างความเป็นกับความตายก่อนตายจริง ๆ และอาจมีวิธีที่จะหวนกลับคืนไป ใช่แล้ว การมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไปไม่ดี สถานการณ์ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแม้ว่าจะร้องไห้และขดตัวแค่ไหน ฉันต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
“ทางออก ทางออก ฉันต้องหาให้เจอ”
ตั้งใจมองอีกครั้ง คราวนี้มองไปรอบ ๆ อย่างแน่วแน่เพื่อไม่ให้มองข้ามความไม่กลมกลืนสักอย่าง อะไร ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยเหรอ เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีงั้นเหรอ ถ้าเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อย่างน่าประหลาด ก็จะเหลือแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น ยังไงอย่างไรก็ตาม ก็เป็นความจริงที่ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าฉันเอาแต่รอแบบนี้ ………ยืนเฉย ๆ สถานที่ที่ไม่ขยับเขยื้อนแบบนี้ แค่ลุกขึ้นก่อน ลุกขึ้นเถอะ ถ้าเช่นนั้นฉันแน่ใจว่าจะไม่เป็นไร ก็เพราะพึ่งนั่งลงหลังจากที่ยืนอยู่ไม่นาน ก็แค่กลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่เป็นไร
“โยชิ โยชิ……”
ใช้มือพยุงขาที่สั่นเทาเพื่อค่อย ๆ ลุกขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เข่าค่อย ๆ เหยียดออกไป ก่อนจะปล่อยมือที่พยุงขาออก ทนอีกหน่อย……ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยืนขึ้น ในที่สุดฉันก็ยืนตัวตรง ฉันมีคำพูดอยู่แค่นั้น แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างมาก ตอนนี้อริซซามะยืนได้แล้วนะคะ แม้ว่าเบลล์ซังมักจะพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ฉันก็รู้สึกว่าสามารถเรียกรอยยิ้มกลับมาได้ นี่คือความรู้สึกของคลาร่างั้นเหรอ ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนั้น ฉันส่ายหัวของตัวเอง และเงยหน้าขึ้นสำรวจสภาพแวดล้อมอีกครั้ง ――――
“ฮี่……….. !?”
ฉันได้ยินบางอย่าง ฉันตกใจสะดุ้ง อาการตัวสั่นที่เพิ่งสงบไปกลับมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่ฉันกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ก็ช่วยไม่ได้ จู่ ๆ ฉันก็ได้ยินบางอย่างในสถานการณ์แบบนี้ ฉันตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว ฉันฟังอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ว่าฉันต้องการหรือไม่
“มะ มีใคร อยู่เหรอกะ……?”
“…..อะ อ้า อาาา”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!?”
ถึงฉันจะเป็นคนถามไปเอง แต่เมื่อได้รับคำตอบกลับมาจากบางสิ่ง ฉันแทบล้มทั้งยืน ………ฉันพยายามตรวจสอบเป้าหมายด้วยการชำเลืองมอง ไม่เป็นไร ไม่มีรั่วไหล อาจคิดว่าดูไม่ทุกข์ร้อนแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่อันตรายถึงชีวิตใกล้เข้ามา แต่นี่ก็ก็เป็นปัญหาชีวิตและความตายอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อฉันหันกลับมาเป็นการเป็นงานอีกครั้งหลังจากเรื่อยเปือย ในที่สุดฉันก็เริ่มได้ยิน”เสียง”ที่ชัดเจน ครั้งนี้ฉันพยายามไม่ให้เสียงกรีดร้องดังกลบ
“อา……ริสุ……อริ……ส”
“เอ๊ะ…….?”
ถ้าฉันได้ยินไม่ผิด เสียงนั้นกำลังเรียกชื่อของฉันอยู่แน่นอน ขณะที่มึนงง เสียงนั้นก็ชัดเจนขึ้น และกำลังเข้ามาใกล้ แม้ว่าจะกังวลอยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะหนี ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนั้น
“――――อริซ”
“ฮี่….”
ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เป็นสุข ในที่สุดฉันก็ยินเสียงที่ชัดเจน เป็นเสียงของผู้หญิง ฉันหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ฉันหันไปทางที่ได้ยินเสียงอย่างช้า ๆ ราวกับหนังสยองขวัญ
มีสีทองอยู่
“อริซ”
น้ำเสียงห่อหุ้มด้วยความอ่อนโยนห่างไกลจากความน่าขนลุก ดูเหมือนว่ามีความปรารถนาดีมากมายต่อฉัน ไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทเลย มีความสับสนมากกว่าความหวาดกลัว “เธอ”จับมือที่เย็นเยียบและสั่นของฉันอย่างแผ่วเบา ผมยาวสยายแผ่วเบามีสีทองลึกลับเหมือนดวงจันทร์ ภายใต้สีทองนั้นคือ――――ดวงตาสีทองสองดวงที่เหมือนกับของฉันที่กำลังส่งยิ้มมาให้อยู่ ฉันพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว คนแปลกหน้าที่ฉันไม่ควรจะรู้จัก
“――――โอก้า ซามะ?”
เธอไม่ตอบอะไร แต่แค่เบา ๆ เล็กน้อย คิ้วขมวดอย่างเศร้าสร้อย แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว น่าแปลกที่ฉันมั่นใจว่าคน ๆ นี้คือคุณแม่ของฉัน ไม่สิ มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไป ความไม่สบายใจนี่คืออะไรกัน ฉันกำลังรู้สึกยังไงกันแน่
“อริซ”
“ก่ะ กะ”
“เธอคือ อริซ? หรือว่า……. 「อาริสุ(有栖)」?”
“เอ๊ะ……?”
ความคิดที่จะค้นหาตัวตนที่แท้จริงของความรู้สึกที่ไม่ลงรอยชะงักลงอย่างสมบูรณ์แบบ เธอ เมื่อกี้ฉันแน่ใจว่าเธอเรียกฉันว่า “อาริสุ(有栖)” อันที่จริง เป็นการพูดชื่อเดียวกันสองครั้งติดต่อกัน แต่ฉันกลับเข้าใจความแตกต่างของการเรียกแบบนั้นได้ เพราะอย่างที่เธอถาม ฉันคืออริซ และในขณะเดียวกันก็เป็น อาริสุ ด้วย แต่ที่เธอพูดหมายความว่ายังไง แล้วทำไมฉันถึงรู้ว่าเธอเป็นแม่ของฉัน และตั้งแต่แรกแล้วที่นี่คือที่ไหนกันแน่ คำถามที่ฉันพยายามจะถามถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของเธอ
“จงจดจำไว้ แท้จริงทั้งสองก็คือตัวลูกเอง”
“กำลังพูด เรื่องอะไร……..”
หลังจากถามได้ไม่นาน ฉันก็ถูกเธอกอด
โม๊ว ฉันไม่เข้าใจอะไรอีกต่อไปแล้ว อยากได้ยินมากเหลือเกิน ดวงตาคู่เดิมมองกลับมาที่ดวงตาของฉันที่ไม่ได้ซ่อนความกังวลใจเอาไว้เลย ขอโทษ เธอพึมพำเบา ๆ
“ไม่เป็นไร ที่นี่ นั่นสินะ ก็เป็นเหมือนดั่งความฝัน”
“ฝัน?”
“อืม ฝัน ตอนนี้อริซกำลังหลับอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ลูกจะตื่นขึ้นในเร็ว ๆ นี้ แล้วก็จะได้พบกับเบลล์และอัศวินของลูกอีกครั้งในไม่ช้านี้”
“……อืม”
“เด็กดี”
มือใหญ่ที่ลูบไล้ปัดผมตรงหน้าผากนั้นอบอุ่นมาก ควบคู่กับคำพูดที่บอกว่าจะได้กลับไปในเร็ว ๆ นี้ จิตใจและร่างกายจึงเต็มไปด้วยความโล่งใจ รอยยิ้มสะท้อนบนใบหน้าที่ผ่อนคลาย โม๊ว ไม่ต้องสงสัยเลย เธอคืออลิเซีย โอก้าซามะของฉัน
“อึก อะ อึกก ฮี”
“ปะ เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ?”
“หนู หนู จริง ๆ แล้ว อยากเจอมาตลอด ช่วยไม่ได้ อยากทำแบบนี้มานานมากแล้ว……..”
“…….อริซ”
“อึก ขอโทษ ก่ะ ขอโทษ ก่ะ…… !”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ยังไงก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง คำเหล่านั้นก็ล้นออกมาพร้อมการสะอื้นไห้ ทั้งหมดนี้ ความรู้สึกที่ต้องการถ่ายทอดที่ขับเคลื่อนความคิด และยุ่งเหยิงไปหมด ว่าแล้วว่าฉันไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือความตั้งใจที่แท้จริงของฉัน ฉันเข้าใจเพียงว่านั่นคือความรู้สึกทั้งหมด
“ขอโทษ แม่…….อ้า แม่ขอโทษ อริซ แม่ขอโทษจริง ๆ………. แม่อยากอยู่เคียงข้างลูกจริง ๆ แม่เองก็อยากเลี้ยงดูเผ้ามองดูลูกเติบโตพร้อมกับฮัททีเรียกับพวกเบลล์ด้วยกันมาก ๆ ………. !”
“……อึก แงงงงงงง๊”
“นี่ อริซเริ่มยืนได้ตอนไหน? เริ่มพูดเป็นภาษาได้เมื่อไหร่? ตอนไหน เมื่อไหร่…….แม่เองก็เสียใจที่ไม่สามารถอยู่กับลูกในทุก ๆ ช่วงความทรงจำที่ล้ำค่าเหล่านั้นได้ ทำอะไรไม่ได้เลย……….อึก!”
“ฮือออออออ…….. !หนูเอง หนูเองก็อยากอยู่ด้วยกัน………. !”
เมื่อสังเกตที่เธอ……ที่คุณแม่ น้ำตาก็กำลังไหลเหมือนกัน ราวกับไขว่คว้าความอบอุ่นที่ไม่มีวันกลับมา เพื่อปลอบประโลมตัวเองด้วยความสุขที่ควรจะมี ทว่า ทว่าพวกเราแค่กอดกันและกัน สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ทำไม่ได้ ขณะที่หยดน้ำตาแสนล้ำค่าผสานกันทีละหยดทีละหยด ฉันก็เอาแต่ร้องไห้เอาแต่ใจอยู่ที่อกของคุณแม่
“โอก้าซัง โอก้าซัง………”
“อริซ…… !”
พวกเราร้องไห้ไปมากแค่ไหนกันนะ เรียกกันและกันไปมากแค่ไหนกันนะ น้ำตายังคงไหลริน แม้จะเจ็บคอจนร้องไม่ออก ฉันโอบกอดคุณแม่ด้วยสองมือจนแน่น ไม่อยากปล่อยมืออีกแล้ว
…….ราวกับว่าถ้าปล่อยมือไปจะไม่มีทางได้กอดอีกแล้ว
ฉันรู้ว่าฉันกลัวมากจริง ๆ
“เน๊ อริซ”
“กะ……”
เสียงมีความรู้สึกทั้งเศร้าและเหงาจริง ๆ แต่คุณแม่เช็ดน้ำตาของฉันด้วยใบหน้าที่ดูมีความสุขและเหมือนรู้สึกพอใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง ฉันไม่อยากคิดถึงสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไป ฉันส่ายหัวหลายครั้งและพยายามหลีกเลี่ยง แต่ฉันก็รู้ดีว่าความหวังนั้นไม่มีวันเป็นจริง ฉันซบหน้าลงที่หน้าอกสร้องแนวต้านสุดท้ายอย่างอ่อนกำลัง ขณะที่กำลังรอคำนั้น ฉันก็รู้สึกว่าการสางผมที่หลังหัวราวกับปลอบโยน
“……โอก้าซัง คิดว่าใกล้ถึงเวลาที่จะต้องไปแล้ว”
“อึก…..กุ อ อ อ”
คิ๊ว หน้าอกกระชับเข้ามา ฉันรู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเตรียมตัวมามากแค่ไหน ความจริงก็เข้าครอบงำใจฉันอย่างง่ายดาย แต่ จะไม่ร้องไห้ โม๊ว ฉันจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว เพราะ เสียงของท่านแม่สั่นมาก ๆ ฉันรู้ ยิ่งฉันร้องไห้มากเท่าไหร่ ท่านแม่ก็จะเจ็บปวดเท่านั้น ฉันพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสิ้นหวัง และเช็ดน้ำตาอีกหลายครั้ง ฉันฝืนยิ้มบิดเบี้ยวทั้งที่อยากร้องไห้
” ―――― อึก……… !”
ท่านแม่เองก็เกือบร้องไห้อีกครั้ง ก่อนจุมพิตที่แก้ม หน้าผาก และริมฝีปากของฉันเป็นเวลานาน และเพราะแบบฉันก็เลยจูบกลับคืนที่เดิมในลำดับเดียวกันและยาวนานเท่ากัน น้ำตาเอ่อล้นไม่หยุด แต่ในท้ายที่สุดพวกเราทั้งคู่ก็มีรอยยิ้ม
“สิ่งสุดท้าย แม่จะทิ้งของขวัญหนึ่งชิ้นเอาไว้ให้ลูก”
“ของขวัญ?”
“ความทรงจำของแม่ ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่อริซกำลังจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากรออยู่จากนี้ไปใช่ไหม? นั่นเป็นเหตุผลที่แม่จะทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ไว้ในหัวของอริซจ๊ะ”
“ขอบกุณก่ะ”
“ฟุๆๆๆ ถือว่าเป็นการฉลองวันเกิดที่แม่ไม่สามารถอยู่ฉลองด้วยได้เป็นเวลานานมาแล้ว”
เฮ๊ะๆๆๆ และรอยยิ้มที่ดูไม่ได้ พวกเราโอบกอกันอีกครั้งเท่านั้น อีกครั้ง ข้ามไหล่ตรงหน้าไป ฉันเห็นความมืดเปลี่ยนเป็นแสงสว่างด้วยแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ราวกับว่าดวงอาทิตย์กำลังขึ้นฉายแสง อ้า ต้องลาจากกันจริง ๆ แล้ว
“……โม๊ว ดูเหมือนจะได้เวลาแล้วจริง ๆ”
“……อืม”
ในที่สุดแสงก็ส่องสว่างทุกอย่างยกเว้นฉันและท่านแม่ ฉันยังคงมองหน้าท่านแม่ และท่านแม่ก็ยังมองมาที่หน้าของฉัน จากนี้ไปจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด
“โอก้าซามะ ชอบที่สุด รักที่สู๊ดเลยยยยยยยยย”
“แม่ก็รักลูกเหมือนกัน รักนะจ๊ะ อริซ”
แสงสว่างที่ระยิบระยับมากขึ้นมากขึ้น เริ่มที่จะลบตัวตนของท่านแม่ ความอ่อนโยนและอบอุ่นของท่านแม่กำลังหายไปด้วยวิธีที่ราวกับกำลังขึ้นสู่สวรรค์ ถึงกระนั้นฉัน ท่านแม่ จนถึงที่สุดก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากกัน ฉันยังคงยิ้มถึงที่สุด พวกเรายังจ้องมองด้วยสายตาแห่งรักอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาด้วยดวงตาสีเดียวกัน
“ขอให้มีความสุขนะ อริซ――――”
ฉันสลักคำของเสียงที่สะท้อนและจางหายไปไว้แน่นในอกของตัวเอง
ฉันจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ฉันจะไม่ลังเลอีกต่อไป ฉันจะมีความสุขอย่างแน่นอน แม้จะต้องทำร้าย แม้จะต้องถูกทำร้าย ถึงกระนั้น สักวันหนึ่ง ฉันจะคว้า “ความสุข” ที่ต้องการด้วยมือนี้ไว้ได้อย่างแน่นอน ฉันขอสาบานต่อชื่อ “อริซ อาริสุ” ที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกของทุกคน ของท่านแม่
…..นั่นเป็นเหตุผล โปรดดูหนูนะกะ หนูจะพยายามทำให้ดีที่สุดกับทุกคน
ถ้าวันหนึ่งที่หนูต้องไปที่นั่น หนูต้องการให้ท่านแม่ชมหนูว่าหนูพยายามได้ดีมาก
แต่ตอนนี้จบลงแล้ว ต้องห่างกันสักพัก
ดังนั้น ได้โปรดรอก่อนนะกะ
“ลาก่อนก่ะ โอก้าซามะ”