ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 7 พาลูกสาวฮิคิโคโมริออกจากห้อง
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 7 พาลูกสาวฮิคิโคโมริออกจากห้อง
ตอนที่ 7 พาลูกสาวฮิคิโคโมริออกจากห้อง
“อัศวินและเจ้าหญิงได้แต่งงานกัน และใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขตลอดไป จบบริบูรณ์”
“เย้ เย้”
เรื่องราวจบลงพร้อมหนังสือที่ถูกปิดลง ฉันตบมือส่งเสียง ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าซาบซึ้งมากๆ ถึงมันจะเป็นเรื่องราวในราชสำนักก็เถอะ มันเป็นเรื่องราวคลาสสิกของอัศวินที่เข้าช่วยเหลือเจ้าหญิงที่ถูกลักพาตัวไป ก่อนที่จะจบด้วยการแต่งงาน แต่มันก็เป็นเรื่องราวของชนชั้นสูงในราชสำนักอยู่ดี ทั้งๆที่เป็นเรื่องราวที่งดงามขนาดนี้แท้ๆ
“สนุกจัง”
“ขอแค่อริซซามะชอบก็ดีเหนือสิ่งอื่นใดแล้วค่ะ”
เบลล์ซังพูดออกมาด้วยสีหน้าค่อนข้างพึ่งพอใจ
เมื่อฉันกำลังหันไปดูหนังสือภาพที่วางอยู่บนโต๊ะ เพื่ออ่านต่อ ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางเดิน คุณพ่อเหรอ
“ดูเหมือนนายท่านจะมาแล้วละค่ะ”
“ท่านพ่อ?”
“ค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตแลกเปลี่ยนกับนายท่านเลยนะคะ”
“อืม”
เบลล์ซังดันตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปที่ประตู ก่อนจะเปิดมันออกเบาๆ แน่นอนว่าคนที่เข้ามาคือพ่อของฉัน
“โอ๊ะ เบลล์ ขอบใจมาก”
“ด้วยความยินดีค่ะ ดิฉันพึ่งอ่านหนังสือภาพเสร็จไปอีกเล่มหนึ่งเองค่ะ”
“งั้นเหรอ ….เอ่ออออ อรุณสวัสดิ์ อริซ”
“สาหวัสดียามเช้าก่ะ”
“ฮะๆ พูดธรรมดาๆเหมือนทุกวันก็ได้”
“อารูณ สวัสดิ์ก๊า”
“อืม อรุณสวัสดิ์”
ด้วยเหตุผลบางอย่างคุณพ่อมีรอยยิ้มแหยๆตอบกลับคำทักทายแบบสุภาพที่ฉันใช้ มันทำให้ฉันถูกดึงออกจากโลกของอัศวินในพริบตา
เบลล์ซังที่เฝ้ามองการสนทนาด้วยรอยยิ้มได้ขอตัวจากไป ก่อนออกจากห้องและปิดประตูลงเงียบๆ เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน คุณพ่อก็เกาหัวเล็กน้อย ก่อนเดินมาข้างๆเตียง
เหลือบไปที่หนังสือภาพบนโต๊ะ จากนั้นก็หันมาหาฉัน ขณะที่เหมือนกำลังจะพูดบางอย่าง คุณพ่อก็เกาหัวอีกครั้ง
“…..หืม?”
ในขณะที่ฉันยื่นหน้าเข้าหาเพื่อกระตุ้นให้พูด คุณพ่อก็หัวเราะขมขื่นออกมาก่อนลูบหัวฉัน ฉันอยู่นิ่งๆให้ลูบโดยไม่ขัดขืน แล้วคุณพ่อก็นั่งยองๆข้างเตียง
“จะว่าไงดีล่ะ นั้นน่ะ…..อริซ อยากออกไปข้างนอกไหม คิดว่ายังไง?”
“ข้างนอก?”
คำพูดที่ออกมาในฉับพลันทำเอาตาฉันเบิกกว้าง แต่เมื่อมองย้อนกลับไปอดีตจนถึงปัจจุบัน
ฉันเข้าใจทันที ฉันไม่เคยได้ออกไปจากห้องเลย ถึงจะเคยถูกพาไปอาบน้ำที่ระเบียงข้างๆบ้างเป็นบางครั้ง แม้ว่าฉันจะพูดอย่างนั้นแต่ฉันก็เพลิดเพลินกับการเป็นฮิคิโคโมริเป็นอย่างดี และเมื่อเห็นฉันฝืนยิ้มให้ คุณพ่อที่เห็นรอยยิ้มกลับมีสีหน้าเศร้าๆด้วยเหตุผลบางอย่าง
“….ไม่สิ ขอโทษด้วย ที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็เพราะพ่อเอง”
“เอ๊ะ”
ขอโทษ? นั่นมันอะไรกันนะ? ช่วยไม่ได้ แต่ฉันจะอธิอายให้เข้าใจง่ายๆเอง
อย่างแรก ฉันไม่ได้ถูกห้ามออกไปจากห้อง ฉันพยายามอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่ให้รบกวนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ฉันมีความสุขมากๆที่ไม่ต้องลุกออกจากเตียง
และไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็มีเบลล์ซังและเหล่าเมดซังค่อยจัดการให้ทั้งหมด ทั้งอาหารทั้งการทำความสะอาด ตั้งแต่เช็ดทำความสะอาดร่างกายไปจนถึงความบันเทิงเช่นหนังสือภาพ ….แน่นอนว่าผ้าอ้อม
ไม่สิ จากมุมมองของคุณพ่อคงกำลังคิดโทษตัวเองที่ทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวมานานอยู่อย่างแน่นอน นั้นสินะ มันก็มีมุมมองด้านนั้นด้วยล่ะนะ แถมตอนเจอกันครั้งแรก ฉันก็พูดแบบนั้นออกไปด้วย และยิ่งเมื่อคิดทุกอย่างผ่านตัวกรองที่เต็มไปด้วยความรู้ผิด การได้เห็นฉันฝืนยิ้มก็คงตีความไปอีกแง่จากที่ฉันต้องการสื่อแน่ๆ ไม่แปลกเลยที่คำว่า “ขอโทษ” จะหลุดออกมา
ฉันเข้าใจวงจรความคิดของคุณพ่ออย่างสมบูรณ์ ฉันไม่ได้คิดมากขนาดนั้นหรอกนะ ฉันเลยลองเปิดปากพูดพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง
“ม๊ายเป็นไร”
จากนั้นคุณพ่อก็อ้าปากค้างทำหน้าเหมือนถูกค้อนทุบลงที่หัว ก่อนก้มหน้าลงอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณพ่อพยายามกัดริมฝีปากไม่ให้ฉันเห็น ขณะที่จ้องมาที่ฉัน ก่อนที่จะเริ่มลูบหัวฉันอีกครั้งเงียบๆ
“…..เหมือน อลิเซีย…..เจ้าช่างเหมือนกับแม่ของเจ้าจริงๆ”
ความสับสนถูกเร่งขึ้นจากคำพูดลอยๆคนเดียวของคุณพ่อ จะแปลกเกินไปแล้ว การตามร่องรอยความคิดของฉันควรจะสมบูรณ์แบบสิ ตรงไหนที่ฉันพลาดไปกันน่ะ
มูๆๆๆ ฉันลองคิดไตร่ตรองดูอีกครั้ง ระหว่างมองลอดมือที่หยุดลูบหัวฉันแล้ว ฉันพยายามมองตาคุณพ่ออย่างระมัดระวัง ดวงตาสีทองถูกย้อมด้วยความจริงจังราวกับตัดสินใจอะไรได้ ฉันรอคำพูดของคุณพ่อ
“อริซ”
“ก่ะ”
“….ไม่ว่าอะไร เจ้าไม่ต้องอดกลั้นอะไรเอาไว้อีกแล้ว ไม่ต้องกังวลความรู้สึกของข้า เจ้าสามารถพูดตามใจเจ้าได้มากเท่าที่เจ้าต้องการเลย”
มันอะไรกันอีกล่ะ ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
ไม่สิเดี๋ยวก่อน งั้นหรอกเหรอ บางครั้งฉันก็มักจะลืมว่าร่างกายนี้ยังเด็ก มันจะเป็นเรื่องน่ากังวลถ้าหากว่าเด็กๆไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายไปมาและเอาแต่อยู่ในห้องตลอดเวลา
ตอนนี้ฉันยอมแพ้แล้ว สำหรับฉันชีวิตในตอนนี้อาจจะน่าพึงพอใจ แต่ในสายตาของคุณพ่อและเบลล์ซังมันมีความหมายที่แตกต่างออกไป นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่เคยพูดอะไรที่เห็นแก่ตัวออกไป
แต่ที่นี่ตอนนี่ฉันควรจะเป็นแค่เด็กไร้เดียงสาที่เอาแต่ใจ อย่างเช่นอยากให้คุณพ่อมาทำอะไรให้ อืมมม นั่นล่ะดี
นอกจากนี้ ฉันในตอนนี้ก็ยังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สามารถสนุกกับชีวิตแบบฮิคิโคโมริได้อีกนาน แถมยังไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ฉันไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นตลอดไป ฉันอยากจะตอบแทนคุณพ่อและเบลล์
นอกจากนี้ฉันยังเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านหลังนี้ ถ้าคุณพ่อไม่คิดแต่งงานใหม่อีกแล้ว มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันจะกลายเป็นผู้สืบทอด นั่นหมายความว่าฉันจะต้องทำในสิ่งที่คุณพ่อกำลังทำอยู่ตอนนี้
ถ้าเป็นเช่นนั้น
“…..ข้างนอก อยากเห็น”
จากนี้ไปฉันต้องการเรียนรู้การทำงานอยู่ข้างๆ ฉันจะไม่ปล่อยให้สูญเปล่า การสืบทอดงานจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน ต่อให้มันเป็นงานใช้แรงงานเหมือนกับงานปั่นไฟฟ้าก็ตาม
….เอาแต่ใจแบบเด็กๆตามต้องการ และเรียนรู้สิ่งที่ต้องการในอนาคต ฉันรู้สึกพึงพอใจตัวเองที่คิดข้อเสนอที่สร้างสรรค์ออกมาได้ พอแอบมองลอดมือคุณพ่อไปอีกครั้ง ใบหน้าเปียก ตาที่มองที่ฉันกำลัง…….ร้องไห้?
“เอ๊ะ”
“อ้าา อริซ…..”
อ้า พระเจ้า ใครก็ได้ ได้โปรดบอกฉันที ว่าทำไมเขาถึงร้องไห้
ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าตัวเองช่างโง่นักที่คิดว่าตัวเองจะสามารถคิดอะไรที่สร้างสรรค์ออกมาได้
“ขอโทษ….. จริงๆ……”
“อะไรก่ะ”
คำถามหลุดออกจากปากไปด้วยไม่ตั้งใจ ฉันกอดตัวเองจนแน่นหน้าอก ฉันเองก็เริ่มรู้ตัวนิดๆแล้วว่า ฉันไม่เก่งในการไล่ตามความคิดของคนอื่น
“เป็นเรื่องนั้นดีแล้ว จริงๆรึ….?”
“อืม”
มันเป็นเรื่องเอาแต่ใจที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว หรือว่าจะขอตุ๊กตาสัตว์เพิ่มเติมดี แต่ตุ๊กตาสัตว์ทั้งหลายก็เป็นของที่เบลล์ซังมอบให้ หรือจะเป็นหนังสือภาพเล่มใหม่ดี อ้า ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการเลย
มันอาจจะเป็นอิทธิพลจากชาติก่อนที่ไม่มีความโลภมากนัก สิ่งที่ต้องการมีแค่การพักผ่อน และกการได้นอน
“….เข้าใจแล้ว แต่ ทีละเล็กทีละน้อย บอกพ่อถึงความเอาแต่ใจที่แท้จริงของอริซทีละเล็กทีละน้อยก็ได้ พ่อขอร้อง”
“……อะ อืม”
ฉันไม่ได้ที่อยากจะพูดโกหก แต่สำหรับตอนนี้ฉันทำได้แค่พยักหน้ารับต่อการแสดงออกที่ลึกซึ้งของคุณพ่อ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
คุณพ่อดูเหมือนจะพึมพำคิดอะไรบ้างอย่าง และในพริบตาเดียว
“เอาละ วันนี้ไปเดินรอบๆคฤหาสน์ก็แล้วกัน”
“ในบ้าน?”
“อ้า ถูกแล้ว มันจะเป็นปัญหาเอาได้ ถ้าลูกไม่รู้จักเส้นทางในบ้านของตัวเองเลย?”
“อืม”
แน่นอนว่ามันจะดูเป็นเรื่องตลกเอามากๆ ถ้าคุณไม่รู้โครงสร้าง เส้นทาง และการตกแต่งภายในบ้านของคุณเอง และคงจะเป็นการดีที่การอยู่แต่ในห้องมาจนถึงตอนนี้จะสิ้นสุดลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขอบเขตของกิจวัตรประจำวันต่างๆจะเพิ่มขึ้นทันที
แต่ฉันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย มันค่อนข้างคล้ายกันกับตอนที่ฉันต้องกลับไปทำงานหลังจากได้วันหยุดพักผ่อนหนึ่งวันเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี ฉันกังวลเกี่ยวกับสายตาของเพื่อนร่วมงาน ในกรณีนี้ก็คงเป็นสายตาจากเหล่าเมดซังที่กังวลเรื่องอัตราส่วนวันหยุดกับวันทำงาน
“จะไป ทันที?”
“นั้นสินะ งานของวันนี้ก็เสร็จหมดแล้วพอดีเลย ……อยากให้ช่วยลุกขึ้นยืนไหม?”
“อืม”
ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่แข็งแรงเท่าไร แต่ฉันก็สามารถยืนและเดินได้อย่างมั่นคงแล้ว ……ฉันสงสัยจัง ว่าฉันจะวิ่งได้แล้วไหมน่ะ
“โฮร่า จับมือพ่อไว้สิ”
“ขอบคูณก่ะ”
อย่างที่คิด ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่หนักอึ้งจากมือที่จับ ดังนั้นฉันจึงทำตัวว่าง่าย ยืนขึ้นแล้วสวมรองเท้าที่มีลักษณะคล้ายรองเท้าแตะข้างเตียง
“อะ อึน….”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ม๊ายเป็นไรก่ะ”
ไม่สิ ม๊า จริงอยู่ที่ฉันใช้ชีวิตแบบนี้มันดูสุขภาพแย่ แต่จะไม่ปกป้องมากเกินไปหน่อยรึไง ถึงอย่างงั้นฉันก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกน่ะ
“เอาล่ะ ไปกันเลยไหม เริ่มจากที่ชั้นสองก่อนก็แล้วกัน มาเถอะ”
“อืม”
ฉันจับมือกับคุณพ่อไว้ ด้วยที่เดินตามหลังนิดหน่อย แน่นอนว่าต้องถือตุ๊กตาหมีเอาไว้แน่นที่มืออีกข้าง และประตูก็ได้เปิดออก ฉันกำลังก้าวไปข้างหน้าต่อไปแล้ว
สิ่งแรกที่เห็นคือ ภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนังด้านหน้าห้อง เป็นภาพของหญิงสาวที่ดูงดงาม
พูดแบบนั้นแล้ว ก็ทำให้สงสัยว่านี่เป็นภาพของสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ฉันจำหน้าปกของหนังสือภาพที่ฉันเพิ่งอ่านไปได้ ฉันมั่นใจว่าใช่แน่ๆ
ขวา ซ้าย ฉันมองสองฝั่งสลับไปมา หากไปทางขวาจะมีระเบียงอยู่ที่ด้านนอกของประตูที่อยู่ปลายสุดทางเดิน ที่ด้านซ้ายจะมีบันไดอยู่ที่สุดทางเดินซึ่งฉันยังไม่เคยไปมาก่อน
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน เลยเงยหน้าขึ้นมองคุณพ่อ จากดวงตาสีทองของพวกเราทั้งสองก็สบกัน คุณพ่อยิ้มให้ฉัน ขณะที่ฉันรีบก้มหน้าหลบ
ฉันรู้สึกอายเอามากๆ
ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาบนใบหน้าของฉัน บังคับให้ฉันซ่อนหน้าครึ่งหนึ่งที่หลังตุ๊กตาที่ฉันหยิบติดมาด้วย
ข้าลูบหัวอริซที่ซ่อนใบหน้าของตัวเองลงในตุ๊กตาที่ถือมาเบาๆด้วยมือข้างที่ว่าง ก่อนเริ่มเดินไปทางซ้าย ดูเหมือนภาพวาดของสตรีศักดิ์สิทธิ์จะถูกสังเกตเห็นแล้ว หากแต่อริซคงไม่รู้ว่านี่เป็นภาพเหมือนของเธอเอง
ใบหน้าสวยครบเครื่องได้รับสืบทอดมาจากอลิเซีย ขนตางอนยาวสวยเข้าคู่กับดวงตาสีทองเข้มส่งเสริมกันจนดูโดดเด่น และ สีผม อลิเซียมีผมสีบลอนด์ ส่วนข้าแม้ในตอนนี้จะผมหงอกแทบหมดแล้ว… แต่ในอดีตมันเป็นสีดำเข้มไร้การเจือปน แต่บรรพบุรุษของฉันหรือแม้แต่คนทั่วทั้งราชอาณาจักรก็ไม่มีใครที่มี ผมสีขาวเงินสวยงามเช่นนี้ บางทีอาจจะไม่มีเลยทั้งโลก
สีผมที่เหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ผมยาวถึงสะโพกที่อ่อนนุ่มดุจดังแพไหม แต่หากยาวไปมากกว่านี้คงลำบากเกินไป อาจจะดีกว่าถ้าจะตัดมันสักหน่อย และแม้จะยังมีตัวเลือกในการดัด ถักเปีย แต่การทำแบบนั้น มันเป็นการน่าเสียดายผมตรงสวยหายากเช่นนี้
แต่ถ้าบางทีลูกสาวของข้า อาจจะเป็นผู้สืบสายเลือดจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ในตำนานอย่างแท้จริงก็ได้ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ข้าคิดเช่นนั้น แต่ความเฉลียวฉลาด ความอ่อนโยน และความอดทน ที่มากเกินวัยอย่างเห็นได้ชัด ก็ทำให้ข้าแอบคิดอยู่ลึกๆเช่นกัน จนถึงเมื่อไม่นานมานี้ อริซก็อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปิดสนิทโดยไม่รู้จักพ่อแม่ของตัวเอง ทำให้ไม่แยแสต่อข้า ไม่สิ แกล้งทำเป็นไม่แยแสมากกว่า ตั้งสติเอาไว้ก่อนสิตัวข้า
แม้อริซจะบอกแล้วว่า “ไม่เป็นไร” แต่ข้ารู้ดีว่ามันคงจะทำร้ายจิตใจเธอไปแล้ว จนอาจมีตรงไหนสักที่บิดเบี้ยวไป มีรอยอ่อนแรงที่เหมือนแบกทุกสิ่งเอาไว้ หรือว่าจะบิดเบี้ยวไปแล้ว
ถ้าเป็นเช่นนั้น ตัวข้า จะต้องเข้าใจให้ได้ ไม่เช่นนั้นจิตใจของอริซจะแตกสลายแน่ๆ แน่นอนว่าข้าไม่สามารถทำเรื่องนี้คนเดียวได้ อย่างแรกข้าไม่สามารถมาเจออริซตัวต่อตัวได้หากไม่มีเบลล์คอยช่วย
“ช้าๆ ค่อยๆ”
“ก่ะ”
ข้าจับตามองเท้าของลูกสาว พาเธอลงบันไดย่างระมัดระวัง ในขณะที่จับมือเล็ก ๆ ไว้แน่น นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ลูกสาวของข้าได้เดินลงบันได ใช่ ข้าไม่สามารถทำให้เด็กคนนี้มีความสุขได้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่านอกจากเบลล์และเหล่าเมดแล้ว เพื่อนเล่นที่อายุเท่าๆกันก็จำเป็นสำหรับเธอ
อีกหนึ่งตัวเลือกนั้น คือ โรงเรียนหลวงที่สามารถเข้าได้เมื่อมีอายุได้หกขวบ แต่ข้าได้ยินมาอย่างชัดเจนว่าคนที่อายุน้อยที่สุดในตอนนี้ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว
มันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกสาวข้าเอง แต่หากยังเด็กเกินไปก็จะไม่ชินกับการศึกษา หากมากไปอริซก็จะตามการศึกษาพัฒนาขั้นพื้นฐานสุดที่สอนให้ตามอายุไม่ทัน
“เอาล่ะ อีกนิดเดียว ทำได้ดีมาก”
“อึ้บ โชะ โต๊ะ”
ในระหว่างความคิดสุดท้าย อริซก็ลงมาจากบันได้ได้สำเร็จ เธอดูพอใจกับความสำเร็จจนยิ้มกว้างออกมาโดยไม่สนใจว่ากำลังโดนมองอยู่ ดังนั้นนี้จึงเป็นของขวัญที่ไม่ได้คาดคิดล่วงหน้าไว้ว่าจะได้รับ โลกแห่งความสุขของเธอกำลังแผ่ขยาย แต่ตอนนี้ข้าควรรีบชมเด็กคนนี้ก่อน
“ดีมากๆ พยายามได้ดีมาก”
“ฟุเนี๊ยว”
เมื่อข้าลูบหัวอริซอย่างรุนแรงนิดหน่อย เธอก็ส่งเสียงแปลกๆออกมา ในขณะที่หัวส่ายไปมาตามแรงมือข้า อริซแสดงออกอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับดวงตาที่เย็นชาไร้แวว กับคนอื่นมันอาจเป็นสิ่งที่รู้สึกน่าขนลุก แต่ไม่ใช่กับข้าหรือเบลล์
อริซสามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้อย่างแน่นอน และนั่นเป็นหลักฐานว่าเธอยังไม่ได้ปิดกั้นตัวเองอย่างเต็มที่ แต่หากพูดถึงเรื่องแปลกๆที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้แล้ว…
“โฮร่า นั้นคือห้องทำงานของพ่อเอง”
“ห้องทามงาน…?”
“ใช่แล้ว ห้องทำงาน เป็นห้องที่พ่อใช้ทำงานยังไงละ”
“ข้าวใจแล้ว ห้องทำงาน จำได้แล้ว”
ข้าไม่รู้เลยว่า”เข้าใจแล้ว”นั้นหมายถึงอะไร บางทีอาจเป็นแค่การพยายามพูดคำใหม่ๆที่พึ่งได้ยินเลยออกเสียงเพี้ยนไป แต่นานๆครั้งที่ได้เห็นด้านที่สมกับเป็นเด็กและรอยยิ้มสดใสที่สมวัย ก็ทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจ
ถึงอย่างนั้น การที่ข้าพาอริซมาดูห้องทำงานของข้าเป็นที่แรก ข้าช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ ไม่มีการหันหลังกลับอีกแล้ว ด้วยการแสดงออกอย่างจริงใจและสีหน้าที่แท้จริง ข้าเชื่อว่ามันต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน ข้าจะทุ่มเททุกอย่างที่มี ไม่สิ ไม่มีอะไรที่เรียกว่ามากเกินไป
ข้าเพียงแค่ต้องอยู่ที่นั่นและทำให้อริซมีความสุข ข้าพร้อมที่จะทำเรื่องเห็นแก่ตัวแต่งดงาม แต่ถ้าข้าถูกปฏิเสธความเห็นแก่ตัวนี่แต่แรกล่ะ
ถ้าเช่นนั้น ข้าก็มีข้ออ้างที่ดีพอกับการพาตัวออกมาจากห้องไปยังนอกบ้าน ไปขยายโลกให้กว้างใหญ่ ทั้งหมดเพื่ออนาคต เพื่อความสุขของอริซเอง
“ถ้าอย่างงั้น มาดูงานของพ่อกันเลย”
“อืม”
เสียงที่ตอบกลับสูงกว่าปกติเล็กน้อย มีความสุขจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ความโศกเศร้าที่เกาะกุมอยู่แน่นหนาในใจข้า ก็ค่อยๆถูกกะเทาะออก
ในไม่ช้าประตูห้องทำงานก็เปิดออกอย่างเงียบๆ