ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 69 ตอนที่ 9 ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 69 ตอนที่ 9 ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ
ตอนที่ 9 “ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ”
“อา……?”
หลังจากเสียงกรีดร้องของลูน่า ฉันก็ได้ยินเสียงตะโกนไม่เป็นภาษาของเบลล์ซังและมิร่าซังที่อยู่ข้างหลัง ในขณะที่ฉันยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ที่มุมของสายตาที่กำลังมองลูน่าอยู่ กำแพงด้านซ้ายของทางเดิน――――หรือก็คือ ชั้นหนังสือกำลังล้มลงมาทางนี้ ในที่สุดฉันก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน มีอันตราย อันตราย ต้องวิ่งหนี….มีแต่คำพูดเหล่านั้นที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ยังไงก็ตามร่างกายของฉันไม่ยอมทำตามสิ่งที่คิด ได้แต่ยืนแข็งทื่อไม่เครื่องไหว ในระกว่างชั่วเวลาหนึ่งวินาทีที่หยุดนิ่งในหัวของฉันกลับแจ่มชัดอย่างประหลาด ช่วงเวลาแห่งการรับรู้เหมือนขยายขึ้นหลายสิบเท่า ชั้นวางที่กำลังล้มลงมาอย่างช้า ๆ และหนังสือจำนวนมากที่กำลังจะทะลักตกลงมาจากในชั้น ลูน่ามองมาอย่างสิ้นหวังโดยมีสเตลล่าซังพยายามจับตัวลูน่าหมอบลงเอาไว้แน่น มิร่าซังและเบลล์ซังกำลังเคลื่อนไหวจากเบื้องหลัง ทั้งหมดนั้นให้ความรู้สึกที่คมชัด บางทีแม้แต่เสียงของลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นแต่ละครั้งก็สามารถรับรู้ได้อย่างละเอียด
“นี่ คือ……อะไร”
รู้สึกเหมือนเวลาของคนอื่นบิดเบี้ยว และไม่ตอบสนอง ยังไงก็ตามร่างกายของฉันยังคงแข็งทื่อเนื่องจากความสับสนและความประหลาดใจ การถ่ายทอดคำสั่งจากหัวของฉันทำได้ไม่ดีนัก ในปฏิกิริยาตอบสนองที่อืดอาด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เชื่อฟังคำสั่งหันไปหาชั้นวางที่ล้มลงมา ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ แต่กลับทำให้สับสนมากขึ้น เสียงของฉันที่หลุดโดยไม่ได้ตั้งใจอาจไม่ได้ออกเสียงจนสุดจริง ๆ หลักฐานคือ ริมฝีปากที่ยังขยับไม่พ้นจากลักษณะของตัวอักษรตัวแรก
“ฮี่……เมมมมมะ……. !”
“อะ……….ริ………สะ……..”
เสียงของทั้งสองคนยืดออกและเปลี่ยนเป็นเสียงสูงที่ค่อย ๆ ผ่านหูเข้ามาก้องในหัวของฉัน คลื่นของคำเหล่านั้นสั่นสะท้าน รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของแก้วหูแต่ละข้างได้อย่างชัดเจน ตึกๆๆ มีบางอย่างเต้นแรงในตัวฉัน ไม่นานหลังจากที่ได้สัมผัสถึงตัวตนที่แท้จริงของสิ่งนั้น ทั้งชั้นวางหนังสือและหนังสือมากมายที่กำลังถูกโยนออกกลางอากาศ ทำให้เกิดความปั่นป่วนในอากาศเหนือหัว
เห็นแล้ว มองเห็นแล้ว
ฉันเห็นทุกอย่าง สิ่งที่สายตาของฉันรับรู้ได้ขยายกว้างออกไปอีก เริ่มแรก หนังสือ ชั้นวางที่ล้มลง ทีละชิ้นทีละชิ้น และพวกฉัน สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ตามขอบเขตที่ขยายขึ้นตามลำดับ นั่นคือแต่ละสิ่งมี”สี”ที่แตกต่างกัน
…….ทันใดนั้นฉันก็ถูกห่อหุ้มด้วยปรากฏการณ์เดจาวู ทั้งความรู้สึกที่ราวกับเวลาถูกยืดออก และสีสันที่ปรากฏให้เห็น สิ่งนี้ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นมาก่อน ฉันรู้จักทั้งหมด ทั้งหมด เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่พยายามรักษาบาดแผลของเบลล์ซังที่ตลาด ตอนที่เผชิญหน้ากับอายาเมะที่เข้ามาโจมตีใกล้ฟาร์มแมเรียน ในความทรงจำที่ผ่านมา ช่วงเวลาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนไม่ได้สังเกตว่าฉันถูกนำพาไปสู่บางสิ่ง จนถึงตอนนี้ ฉันคิดว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงการเร่งความคิดของฉันในยามวิกฤต แต่ ไม่ใช่เลย ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย
และฉันก็สังเกตเห็น แต่ละ”สี”ที่มองเห็นกำลังเลื้อยไปมา ปลายทางมุ่งตรงไปวนรอบตัวและเชื่อมข้างในแต่ละคน แม้แต่กับชั้นวางที่กำลังล้ม สีกำลังเลื้อยอยู่ ใช่ เรื่องนี้แน่นอน
――――แล้วคือ อะไรกัน…………?
ใช่ “กระแส” สิ่งที่ฉันเห็นคิกระแส กระแสของทุกสิ่งที่ถูกมองเห็นเป็นสีสัน ตัวอย่างเช่น สีแดงที่เห็นจากลูน่าต้องเป็นการไหวเวียนของเลือดแน่ ๆ สีเหลืองรอบ ๆ ตัวของมิร่าซังและเบลล์ซังที่พยายามจะเคลื่อนไหวต้องเป็นกระแสไฟฟ้าจากสมอง และข้างหลัง ไม่สิ ไม่ใช่ที่ข้างหลัง แต่เป็นกระแสขนาดใหญ่ที่คลอบคุมพวกเราทั้งหมด ในทันทีที่ฉันรับรู้ จิตสำนึกของฉันก็ราวกับถูกภาพลวงตาของการถูกคลื่นยักษ์กลืนกิน ความรู้สึกที่ไม่รู้จั ความยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจต้าน ความกลัวกำลังจะปกคลุมฉัน แต่ ไม่ได้ จะถูกกลืนกินไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากสีที่ระบุปลายทางของชั้นวางจะกระทบกับชั้นวางฝั่งตรงข้าม พวกเราจะอยู่ในช่องว่างพอดี และอาจจะไม่ถูกกระแทกจากชั้นวางที่ล้มลงมาในทิศทางนั้นโดยตรง ด้วยเหตุนี้ เบลล์ซังกับมิร่าซังจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และมิร่าซังอาจจะพยายามกระตุ้นพลังเวทมนตร์เสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเธอ เบลล์ซังพยายามพุ่งเข้ามาปกป้องฉัน ตรงข้ามกับมิร่าซังที่พยายามควบคุมร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเวทมนตร์เสริมพลังพุ่งตรงใส่ชั้นวางหนังสือ ฉันแน่ใจว่าเธอหยุดการล้มของชั้นวางหนังสือได้อย่างแน่นอน สำหรับคนที่ฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวินอาจจะเป็นเรื่องง่ายในการเสริมความแข็งแกร่งทางกายด้วยพลังเวทมนตร์ แต่ไม่ได้ แม้ว่าจะหยุดชั้นวางเอาไว้ได้ แต่มิร่าซังก็ไม่มีทางที่จะสามารถจัดการหนังสือแต่ละเล่มที่ตกลงมาจากชั้นวางได้แน่นอน เช่นนั้นแล้ว หนังสือพวกนั้นจะต้องตกลงมาแน่นอน หนังสือที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาของผู้คนนี้มีน้ำหนักพอสมควร ดูเหมือนจะมีพลังมากพอที่จะทำอันตรายผู้คน แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ฉันแน่ใจว่า”สี”มากมายพวกนี้จะโจมตีเข้าใส่เบลล์ซังที่พยายามปกป้องฉัน
ถ้าแบบนั้น ไม่ดีแล้ว ผลที่ตามมาฉันอาจจะรอด แต่ฉันยอมให้ตัวเองบาดเจ็บมากกว่าที่จะกลายเป็นสาเหตุให้เบลล์ซังต้องบาดเจ็บ เพื่อปกป้องฉัน รอยยิ้มอ่อนโยนต้องบิดเบี้ยดด้วยความเจ็บปวด ไม่เอาอีกแล้ว…….
――――『อริส ซามะ ไม่เป็นไร ใช่ไหมคะ……..? 』
…….ไม่เอา ฉันไม่อยากเห็น เรื่องนั้นไม่เอา ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ ไม่ ไม่――――จิตสำนึกที่เต็มไปด้วยการปฏิเสธความจริงปรากฏขึ้น ในความโกลาหลที่ไม่ชัดเจนอาจจะมีความคิดแบบนั้นอยู่จริง ๆ แต่ฉันก็จับเอาไว้แน่น ฉันจับคลื่นมหาสมุทรที่ใกล้เข้ามา กระแสขนาดใหญ่ที่พยายามห่อหุ้มฉันด้วยความกลัวเมื่อกี้ ตามตรรกะแล้วไม่มีตัวตนใดอยู่ที่นั่น สัญชาตญาณ….ไม่สิ “ความรู้” ทำให้ฉันเข้าใจว่านั่นคือสิ่งใด นั่นคือ “เวลา” กระแสที่อยู่ในทุกสรรพสิ่ง เวลา ไงล่ะ ในทันใด จุดแต่ละจุดก็เชื่อมโยงเข้าต่อกัน ความคิดที่กำลังมองหาก็ถูกดึงออกมาจากความทรงจำมาแสดงให้ฉันในทันที
“เวทมนตร์นั้น คือ เวลา ยังไงล่ะ”
เป็นคำพูดของคุณตา แต่เป็นคำพูดเดียว มีเพียงคำพูดนั้นที่นึกออกในหูของฉัน
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
――――ไม่มีความลังเลใจอีกต่อไปแล้ว
“――――ซาม๊าาาาา………. !”
เวลาที่บิดเบี้ยวค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิม ไม่มีการลังเลอีกแล้ว รวบรวมพลังเวทมนตร์มหาศาลจากก้นบึ้งของร่างกาย และปลดปล่อยจากฝ่ามือไปคลุมรอบชั้นวางหนังสือ เปรี๊ยะ ฉันรู้สึกว่าพลังในร่างกายของฉันอ่อนแอลง ความรู้สึกแบบเดียวกับเวลาร่างกายไม่มีแรง แต่ว่า ยังไม่ได้ ยังก่อน ขออีกนิด
“……….ดวงตา”
ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของลูน่าพึมพำออกมาด้วยความงุนงง แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ฉันทุ่มทรัพยากรความคิดและสติทั้งหมดที่มีมุ่งเน้นไปที่พลังเวทมนตร์ของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า ไม่เป็นไร ยังเห็นกระแสอยู่ ใช้พลังเวทมนตร์ที่ปล่อยออกมาผสมผสานกับทุกสีของชั้นวางหนังสือและหนังสือที่กำลังร่วงลงมา ปล่อยให้พลังเวทมนตร์ของตัวเองแล่นเข้าไปประสมประสานจนราวกับจะให้หลอมละลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเวลาเดียวกันชั้นวางหนังสือที่เอียงอย่างรุนแรง ตอนนี้ก็กำลังทรุดตัวลงมาอย่างรวดเร็ว มิร่าซังที่อยู่ข้าง ๆ ก็วางมือบนชั้นวางหนังสือเพื่อพยายามดันค้ำเอาไว้ แรงโมเมนตัมของชั้นวางหนังสือชะลอตัวลง และในช่วงเวลาเดียวกันปลายทางของกระแสก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แล้วก็เป็นไปตามคาด หนังสือที่ร่วงออกมายังคงไม่หยุด ฉันหลับตาลงเมื่อได้ยินหน้ากระดาษพลิกไปมาตามลมขณะตกลงมา
เปลี่ยนพลังเวทย์มนตร์เป็นพลังงานแล้วดึงกลับ แต่แทนที่จะดึงกลับเข้าตัวเอง กลับส่งไปที่ตำแหน่งของกระแสหลายวินาทีก่อนหน้านี้ ฉันยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับเวทมนตร์ของตัวเอง ถ้าหากเปิดใช้งานเวทมนตร์แห่งน้ำแข็งขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าจะควบคุมยังไง จะกลายเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงที่ไม่ใช่แค่ชั้นวางหนังสือเท่านั้นที่จะถูกแช่แข็งแต่ยังรวมถึงแขนของมิร่าซังที่ยันชั้นวางหนังสือเอาไว้อีกด้วย นอกจากนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะยึดกับพื้นได้สำเร็จไหม พูดอีกอย่างหากทำไปแล้วผลที่ได้อาจเป็นแค่การแช่แข็งชั้นวางหนังสือ ในทางกลับกันก็จะกลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักและความเสี่ยง นั่นเป็นเหตุผลทั่นจะประยุกต์ใช้สิ่งที่ฉันทำกับเบลล์ซังในครั้งนั้น ผสมพลังเวทมนตร์กับสีที่มองเห็นได้และควบคุมทิศทางของกระแส ค่อย ๆ บังคับให้โค้งงอจากทิศทางเดิมให้กลับไปสู่ตำแหน่งอดีตพร้อมทั้งลบระลอกคลื่นที่แผ่กระจายออกไป
…….จับได้แล้ว ฉันแน่ใจเป็นความรู้สึกนี้ ไม่เป็นไร ทำได้แน่นอน สามารถทำสำเร็จแน่นอน ในขณะที่ให้กำลังใจตัวเอง ฉันก็รู้สึกเหมือนโอบกอดความเชื่อมั่นที่แปลกประหลาด ฉันหลับตาลงก่อนเปิดขึ้นอีกครั้ง
“กลับไปซ๊า………… !”
หมุน วนรอบ เปรี้ยง กระแสที่ถูกบิดเบี้ยวด้วยพลังเวทมนตร์ของฉันไปในทิศทางตรงข้ามที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของโลก ดังภาพที่ฉันคิดไว้ การเคลื่อนตัวของหนังสือที่ตกลงมาจากชั้นวางหนังสือช้าลง ในท้ายที่สุดก็หยุดอยู่กลางอากาศอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่มิร่าซังกำลังสับสน เธอก็จ้องไปที่ชั้นวางหนังสือซึ่งสูญเสียน้ำหนักอย่างสับสนก่อนที่จะปล่อยมืออย่างกล้า ๆ กล้ว ๆ ยังไงก็ตามแม้จะเสียการค้ำยันที่แข็งแกร่งของมิร่าซังไป ชั้นวางหนังสือก็ไม่ขยับเลยจากสภาพเอียง
“นี่……อะไรกัน”
“ไม่มีทาง อริซซามะ ―――― “
สำเร็จแล้ว…….. !หยุดได้แล้ว!
ความโล่งใจชั่วขณะเติมเต็มหัวใจของฉัน แต่ยังคงฟุ้งซ่านไม่ได้ ฉันเพียงแค่หยุดได้เท่านั้น ถ้าฉันไม่ดันกลับเข้าที่เดิม ท้ายที่สุดก็จะล้มลงมาต่อทันทีที่ฉันเสียสมาธิ ความรู้สึกสงบและความยินดีหายวับไปเมื่อฉันเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง
“อะ…..คุ!”
“อริซ!?”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ รูนไฮม์ซามะ!”
ฉันสามารถรักษาความตึงเครียดไว้ได้ ในขณะที่เกือบจะทรุดตัวลงไปจากสิ่งที่ดูเหมือนจะทำให้สติหลุด สเตลล่าซังหยุดลูน่าไม่ให้วิ่งมาหาฉัน หากมีใครเข้ามาใกล้และสัมผัสข้าง ๆ ตอนนี้ ความสมดุลจะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายทันที นั่นรวมถึงลูน่าด้วย เบลล์ซังกับมิร่าซังไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสฉัน พวกเธอได้แต่ยืนนิ่งไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้ทุกคนรีบหนีออกไปจากชั้นวางหนังสือเดี๋ยวนี้ แต่ไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้
“……กละ บ กลับไป……. !”
ดังนั้นแล้ว ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยายามให้ถึงที่สุด อดทนกับอาการปวดหัวที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังคงมองไม่วางตา ฉันรู้สึกเหมือนดวงตาของตัวเองกำลังส่องประกายเจิดจ้า แต่แน่นอนว่าฉันไม่มีเวลามายืนยัน กฎเกณฑ์ดั้งเดิม และ พลังเวทมนตร์ที่พยายามบิดเบือน ในที่สุดกระแสก็หยุดอยู่ ณ จุดสมดุล แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคู่ไม่ได้หยุดแต่กำลังฟาดฟันกัน เมื่อถูกพลักกลับมาก็ผลักกลับไปด้วยพลังเวทมนตร์ พูดไปแล้วก็คือการประลองกำลัง ดันกลับไปด้วยพลังอันหนักหน่วง ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็จับพลิกย้อนกลับไปได้
“เวลา กำลังย้อนกลับ……… !?”
สีหน้าไร้อารมณ์ของสเตลล่าซังทลายลง เธอลืมควบคุมน้ำเสียงจนเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะเป็นการแผดเสียงของความไม่เข้าใจและความประหลาดใจ ที่อยู่ถัดไปคือเด็กสาวจากห้องอาหารที่ทรุดลงนั่งจนสะโพกกระแทกพร้อมดวงตาเบิกกว้างที่ถูกแช่แข็ง เธอเป็นคนทำงั้นเหรอ ความโศกเศร้าของฉันกำลังจะทะลักออกมา แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น ฉันไม่เห็นสีแห่งความเกลียดชังหรือความรู้สึกเป็นศัตรูจากสายตาของเธอ ฉันรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าตอนนี้ฉันสามารถมองเห็นกระแสของอารมณ์ได้เช่นกัน และเมื่อมองเข้าไปในความตั้งใจของเธอ เจาะลึกเข้าไปในความสับสนจนในที่สุดก็เห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง นั่นคือความเสียใจ …….เละ
“อึก คู๊วววววว…….อีก นิด……เพราะอย่างงั้ง ขอร้องล่ะ……. !”
อาการปวดหัวที่รุนแรงขึ้นอีกครั้งทำให้สติของฉันแทบแตกสลายเป็นชิ้น ๆ และบดความคิดให้เป็นผุยผง แต่ ขออีกนิด อีกแค่นิดเดียว ฉันพยายามดันทั้งชั้นวางทั้งหนังสือกลับไปยังตำแหน่งก่อนที่จะล้ม หนังสือส่วนใหญ่ค่อย ๆ กลับเข้าไปในชั้นเหมือนเล่นภาพย้อนกลับ ยังไงก็ตามชั้นวางหนังสือยังไม่กลับสู่ตำแหน่งเดิม พลังของกระแสเปลี่ยนไปตามสัดส่วนของขนาดวัตถุงั้นเหรอ เหมือนกับการดึงของหนักออกจากของเหลวที่มีความหนืดสูง ด้วยความคิดเช่นนั้นฉันจึงย้อนกลับกระแสอย่างหมดหวัง เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นไม่รู้จบ อีกนิดเดียว ขออีกนิดเท่านั้น
“อะ อา ………. ――――โอ้อออออออออออ!”
จะไม่ไหวแล้ว แม้ตระหนักได้แบบนั้น ฉันก็รีดเค้นพลังงานสุดท้ายและส่งคำสั่งไปยังพลังเวทมนตร์ทันที คูคูคู และเห็นได้ชัดว่าชั้นวางหนังสือเคลื่อนที่เร็วกว่าก่อนหน้าหลายเท่าจนเกือบจะกลับเป็นแนวตั้งแล้ว และฉันเกือบถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน พลังเวทมนตร์ที่ฉันเทเข้าไปกำลังจางหาย พลังเวทมนตร์ทั้งหมดกลายเป็นเชื้อเพลิงเพื่อต้านทานกระแสถูกใช้ไปโดยไม่ลังเล ความเหนื่อยล้าและอาการหมดแรงหลงเหลือในตัวฉันเป็นการแลกเปลี่ยน
“ฮา ฮ้า อะ…….ฟู๊…….ทำได้แล้ว………..”
ชั้นวางหนังสือที่หลุดจากการต่อสู้สั่นไหวเล็กน้อย แต่ด้วยน้ำหนักช่วยทำให้ยึดติดกับพื้นได้อย่างแน่นหนา และกลับมาเสถียร ฟู๊ว ลมหายใจแห่งความโล่งอกไหลล้นออกมา ผสมกับลมหายที่หอบแรงจนไหล่สั่นไหว ทั้งเบลล์ซัง มิร่าซัง ลูน่า และเสตล่าซัง แม้แต่เด็กสาวที่เป็นต้นเหตุ ร่วมถึงฉัน ต่างก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
“ดีจัง เลย……เอ๊ะเฮะๆๆ”
“อริซซามะ นี่……อริซซามะ จริง ๆ เหรอคะ?”
“อืม ใช่ เหมือนจะ เป็นแบบนั้น……..ทำ…..อะไรไปซะแล้ว”
ฉันยิ้มแก้มบานอย่างเป็นธรรมชาติด้วยความรู้สึกของความสำเร็จและความสบายใจ รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องตลกที่มีแค่ฉันที่ยิ้ม ในขณะที่ทุกคนกำลังตัวแข็งทื่อ จากนั้นรอยยิ้มที่เหมือนกินยาขมก็ปรากฎออกมา ในหมู่พวกเขา ลูน่าหลุดพ้นจากความสับสนได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อนึกขึ้นได้ เธอก็หันไปจ้องเด็กสาวที่ล้มอยู่ข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว
“นี่เจ้า…… !”
“ดะ เดี๋ยวก่อน ลูน่า!”
ฉันขอให้ลูน่าที่กำลังจะระเบิดความโกรธให้รอก่อน ไม่เหมือนกัน ใช่ ไม่เหมือนกัน ในตอนที่เธอถูกเห็นโดยลูน่า ในชั่วพริบที่ลนลาน ท่าทางที่เธอพึมพำคนเดียวแตกต่างออกไป เธอไม่ได้ต้องการจะทำอะไรแบบนี้ เธอไม่ได้มาเพื่อก่อกวน ไม่แม้แต่จะหลบซ่อนและแอบมอง ในตอนที่ฉันมองเข้าไปในกระแสของหัวใจเธอก่อนหน้านี้ก็ทำให้ฉันรู้ว่าต้องการที่จะทำอะไรจริง ๆ ถึงได้มาที่นี่ อ้า ไม่ผิดแน่ เธอไม่ได้มารออยู่ที่ห้องสมุดตั้งแต่แรก แค่รอเวลาเหมาะที่จะออกมาขอคุยด้วยจากด้านหลังด้วยความกังวลใจ แต่การมาถึงที่ไม่คาดคิดของลูน่านั้นทำให้เธอสับสนมาก และพยายามซ่อนตัวไว้ก่อนเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ม๊ายเป็นร๊าย หรอก”
ฉันรีดพลังหยดสุดท้ายจากร่างกายที่ส่ายไปมา หยุดเธอจากความกลัว ฉันวางมือบนไหล่ที่สั้นด้วยความกลัวอย่างแผ่วเบา ไม่เป็นไร
“คืนดี…..พยายามทำ”
“เอ๊ะ อะ…..มะ ไม่ใช่”
“ไม่ใช่?”
สิ่งที่ฉันพบในใจเธอคือ เสียใจและ อยากจะขอโทษ ไม่มีอะไรหรอก แค่โชคร้ายที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เธอพยายามจะขอโทษฉัน มาที่ห้องสมุดเพื่อต้องการที่จะคืนดี ฉันแน่ใจว่าเธอรอโอกาสนั้นมาตลอด บางทีอาจจะตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่เธอยังไม่ได้เตรียมใจที่จะทำในที่สาธารณะ แค่อยู่ที่ห้องอาหารในช่วงที่ฉันผ่านมา และเมื่อเห็นได้ชัดว่าฉันกำลังไปที่ห้องสมุด เช่นนั้นแล้วเธอก็ไล่ตามฉันมา ไม่ค่อยมีคนมาที่ห้องสมุด เธอจึงคิดว่าเป็นโอกาศที่ดี ฉันไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุอะไรที่ทำให้ตัดสินใจทำเรื่องนั้นไป ………แต่
“――――ขอโทษค่ะ ………แฟร์มีลซัง”
“……อืม ขอบกุณ”
การขอโทษ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เดิมทีก็เป็นเพราะความประมาทของฉันเอง ลูน่าอาจจะคิดว่าเรื่องนี้ดูไม่น่าเชื่อถือ ……แต่ฉันก็มีความสุข ว่าแล้วเชียว ความรู้สึกของผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็สามารถเริ่มต้นกันใหม่ได้ แม้แต่กับคนที่เคยชี้ดาบเข้าใส่ ฉันแน่ใจว่านี่เป็นก้าวแรกสู่ “ความสุข” ที่ฉันต้องการ
“ขอโทษค่ะ ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ฉันอิจฉาคุณ…….”
“ม๊ายเป็นร๊าย ม๊ายเป็นร๊าย”
“ช่างเป็นคนที่ใจดีจริง ๆ ฮือ…….”
บางทีอาจเป็นเพราะความสบายใจที่ได้รับการยอมรับแล้ว ความเสียใจและการโทษตัวเองที่ซ้อนทับกันอยู่จึงถูกปลดปล่อยออกมาในทีเดียว ฉันกอดเธอที่ร้องไห้โดยไม่คำนึงถึงน้ำมูกน้ำตาที่ไหลออกมา ที่อยู่ถัดจากใบหน้าที่ฟูมฟายคือ ใบหน้าที่มึนงงและระอาของลูน่า ฉันยังคงลูบหลังที่สะอื้นต่อไปจนสงบลง
“อริซซามะ…….”
“อาร๊าย………อะ เอ๊ะ?”
เหล่าคนที่รักฉันมากที่สุดได้แต่เฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ และสงบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มีเพียงเบลล์ซังเท่านั้นที่มองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่ดูไม่สบายใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ฉันเข้าใจความหมายของดวงตาทันทีโดยไม่ต้องถามเลย
“ฮิเมะ!?”
“อริซ!”
สติของฉันดำวูบจมดิ่งลงสู่ความฝันอันมืดมิด