ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 60 ตอนที่ 20 บุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอพบเพื่อนของเธอได้อย่างไร
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 60 ตอนที่ 20 บุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอพบเพื่อนของเธอได้อย่างไร
ตอนที่ 20 บุตรีขุนนางผู้ทรงเกียรติเช่นเธอพบเพื่อนของเธอได้อย่างไร
“……เอาล่ะ ไปกันเถอะ อริซ”
“อืม”
ฉันค่อย ๆ ปล่อยมือเล็ก ๆ ของอริซ ทันทีที่ขึ้นเวทีก็ได้รับเสียงเชียร์และเสียงปรบมือที่ดังกว่าก่อน แม้ว่าละครยังไม่จบ แต่นี่คือบทที่ดีที่สุดของวัน หรืออาจจะเป็นเพราะฉันคือเจ้าหญิง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเพลิดเพลินกับการแสดงละครอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะลืมสถานะของฉัน แน่นอนว่ามีนักเวทย์บางคนที่ไม่สนเรื่องนี้ บางทีพวกเขาอาจปรบมือส่งเสียงยินดีต้อนรับจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ปัจจัย “เพราะเป็นเจ้าหญิง” ไม่ใช่ศูนย์ แต่
“การแสดงต้องจบลงตามเวลาอย่างแน่นอน”
แน่นอน มาทำให้เสียงปรบมือให้ดังมากกว่านี้ แต่เป็นให้กับความประทับใจในละคร ไม่ใช่แค่เสียงเชียร์ที่หลอกลวงเพียงเพราะฉันเป็นเจ้าหญิง ให้ดังก้องอย่างเป็นธรรมชาติไปกับความรู้สึกที่ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ และตื่นเต้นในความประทับใจ ไม่เป็นไร ถ้าเป็นฉันกับอริซ ด้วย”ละครเพลง”รูปแบบใหม่ที่อริซสร้างขึ้น ต้องทำได้แน่
“ลูน่า”
“อืม”
พวกเรามองตากันและกันอีกครั้งก่อนที่จะเริ่ม เพียงแค่คำเดียวก็เพียงพอต่อการแลกเปลี่ยน เพียงเท่านี้พวกเราก็สามารถสื่อความรู้สึกของกันและกัน เจ็ดวันนี้ดูเหมือนจะสั้นแต่ก็ยาว ผลลัพธ์ของความพยายามทั้งหมดที่เราสองคนได้สั่งสมมาจะได้โชว์ออกมาทั้งหมดแล้ว
“รูนไฮม์ซามะ………”
เมื่อมองกลับไปที่ที่นั่งผู้ชมอีกครั้ง ฉันก็เห็นสเตลล่ากำลังมองมาที่ฉันที่สุดปลายสายตา เสียงพึมพำที่น่าได้ยินมาไกลถึงตรงนี้ แต่ฉันได้ยินดังก้องในหูอย่างแม่นยำ ที่อยู่ข้างกันคือ ผู้ติดตามของอริซทั้งสองคนที่กำลังมองไปที่อริซด้วยท่าทางที่คล้ายคลึงกัน เมื่อฉันเหลือบมองไปที่เธอ ก็ดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วเหมือนกัน และฉันยังพบอีกว่าการแสดงออกที่ตึงเครียดเล็กน้อยต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากของเธอได้ผ่อนคลายลง
“…..ก็ ต้องเป็นนั้น”
ความเจ็บปวดวิ่งแปล๊บอยู่ในอกของฉัน แต่ตอนนี้ต้องลืมไปก่อน ม๊ายเป็นร๊ายใช่ไหม? ฉันยิ้มกลับให้อริซที่ถามแบบนั้นด้วยสายตา ด้วยสัญญาณนั้น เราจึงเคลื่อนห่างจากกันเล็กน้อยและก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว หลับตาลงเพื่อเพิ่มสมาธิ ในที่สุดเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ก็สงบลง ความเงียบที่ราวกับจะได้ยินแม้เสียงเข็มหมุดตกได้เข้าครอบงำหอประชุม ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ และ
“อ้า เหตุใด เหตุใดกัน ท่านนางฟ้า”
เมื่อจู่ ๆ นางฟ้าก็บอกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว บทที่ 6 เริ่มต้นทันทีหลังจากนั้น เปิดดวงตาที่ตกลงสู่ความเศร้าขึ้นช้า ๆ และผสมเข้าไว้ในเสียง จับหน้าอกด้วยมือทั้งสองข้างแล้วทรุดตัวลงบนเข่า จากจุดนั้น อริซ ไม่สิ นางฟ้าหิมะหันหลังกลับไปชั่วขณะ ไม่กี่วินาทีแห่งความเงียบงัน นางฟ้าก้มหน้าก่อนหันสู่สรวงสวรรค์ และส่งเสียงสั่นเครือด้วยคอขาวบอบบางของเธอ
“….ข้าต้องกลับแล้ว ไม่อาจทำสิ่งใดได้”
คำพูดถูกพูดด้วยเสียงน่ารักที่ลิ้นยังไม่แข็งแรงพอ อย่างไรก็ตาม คำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของนางฟ้าที่บริสุทธิ์และไร้เดียง จนความเศร้าโศกดูเหมือนจะหายไปที่ไหนสักแห่ง ทุกคนเบิกตากว้างต่อรูปลักษณ์อันลึกลับราวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของอริซ พวกเขาถูกดึงดูดเข้าหาเธอด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เหมือนกับฉันในตอนนั้นที่กลายเป็นผู้อาศัยในโลกของเธอ
“ทำไม ทำไมกันเล่า ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันอยู่ในโลกใบนี้ ท่านจะบอกว่าเป็นเพียงความฝันจริง ๆ งั้นหรือ”
“….ไม่เลย แต่ ความฝัน ย่อมคือความฝัน ข้ามีความจริงของข้า เช่นเดียวกับ ท่านที่มีความจริงของท่าน”
เมื่อฉันยืนขึ้นก้าวออกไปหนึ่งก้าว นางฟ้าก็หันกลับมาที่ฉัน ความเห็นอกเห็นใจผสมผสานกับความโศกเศร้าสร้างรอยยิ้มที่ขมขื่นซับซ้อนขึ้นมา และใจชั่วพริบตาฉันก็เกือบลืมไปว่านี่คือการแสดง อริซแสดงออกถึงความรู้สึกของนางฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ……ไม่สิ
“อ้า ท่านนางฟ้า……….”
อริซในตอนนี้ไม่ได้กำลังแสดงเป็นนางฟ้า แต่ตอนนี้เธอคือ “นางฟ้า”ที่แท้จริงของเรื่อง ฉันเองก็เช่นกัน ฉันไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ชื่อ รูนไฮม์ แต่เป็นนักกวีที่ตกหลุมรักนางฟ้า
“ยามเมื่อหิมะโปรยปราย ยามนั้นข้าจำต้องกลับไปยัง ณ ที่ข้าจากมา”
“ระ เรื่องนั้น”
คำพูดที่กล่าวออกมาได้สร้างความสิ้นหวังให้กับนักกวีจนไม่อาจสะกดสายตาและส่งเสียงสะอื้นไห้ออกมา นางฟ้าทำเพียงมองลงมาเท่านั้น ใช่ สักวันเธอจะต้องกลับบ้านของเธอ และฉันต้องกลับบ้านของฉันเอง กลับสู่ช่วงเวลาดั้งเดิมของตน
“……ถ้า ถ้าหากว่า”
เมื่อเห็นนักกวีเอามือกุมหัว นางฟ้าก็เดินเข้ามาใกล้อีกก้าว และนั่งย่อตัวลง นางฟ้าผู้ควบคุมหิมะ และ มนุษย์หนึ่งคน ที่ลงท้ายด้วยสองคนที่กำลังทุกข์ทรมานจากความรักในตอนนี้ ตราบใดที่ยังมีอารมณ์ความรู้สึกในเรื่องความโรแมนติก ก็ย่อมที่จะแทบไม่มีความแตกต่างกับใครเลย ทุกคนย่อมโศกเศร้าหากจะมิได้พบเจอกับคนที่รัก
“ถ้า ถ้าหากว่าข้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดา เจ้าก็จะได้ไม่ต้องคิดมากแบบนี้เช่นนั้นหรือ”
เสียงสั่นเครือที่ราวกับกำลังฝืนบีบขยี้บางสิ่ง นักกวีเงยหน้าขึ้น ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่กำลังทุกข์ทรมาน หากเป็นเพียงแค่รักข้างเดียวอย่างแท้จริงก็คงไม่มีช่วงเวลาเช่นนี้
ราวกับจะพิสูจน์เรื่องนั้น ดวงตาของนางฟ้าเปียกชื้น
“ไม่ใช่เช่นนั้นเลย ท่านนางฟ้า นั่น…..นั่นนะผิดแล้ว”
ฉันปฏิเสธคำพูดของนางฟ้าที่พูดออกมาราวกับจะแหลกสลาย นั่นไม่ถูกต้อง ถ้าหากไม่ใช่เธอ ถ้าหากไม่ใช่ฉัน บางทีช่วงเวลานี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ทว่า
“เพราะว่า แม้ตอนนี้จะช่างเจ็บปวดจนมิอาจเอื้อนเอ่ย แต่การที่ข้าได้อยู่เคียงข้างท่านก็ช่างสุขใจเหลือคณานับ แต่เพราะท่านคือท่าน และ ข้าก็คือข้า ด้วยเหตุประการฉะนี้พวกเราจึงได้พบกันโดยบังเอิญ”
“แต่ แต่ว่า”
“ใช่ แน่นอนว่าถ้าหากรู้ว่าต้องมีจุดจบที่แสนเศร้าและเจ็บปวดเช่นนี้ ข้าก็มาดหวังว่าพวกเราก็ควรที่จะไม่ได้พบเจอกันแต่แรก ……ความคิดเช่นนั้น หากข้าบอกไปว่าไม่ได้คิดก็คงเป็นการโกหกกัน”
…..ใช่ ใช่แล้ว
――――ถ้าหากว่าฉันไม่ใช่ฉัน
แน่ใจได้เลยว่าพวกเราจะไม่ได้มาเจอกันที่นี่
――――ถ้าหากเธอไม่ใช่เธอ
ฉันก็คงไม่รู้สึกถึงความโหยหาเช่นนี้
“…..แต่ว่า ข้า ไม่ว่าจะต้องเสียสละอะไรสิ่งใดไปมากกว่านี้ ข้าก็ไม่ต้องการที่จะโกหกความรู้สึกที่มีให้แก่ท่าน”
“โกหก เช่นนั้นหรือ”
ไม่ว่าจะมีผลลัพธ์ที่เจ็บแปวดแค่ไหนรออยู่ ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าจะมีความโศกเศร้ารออยู่แค่ไหน ฉันก็ไม่สามารถโกหกความรู้สึกเหล่านั้นได้ ท้ายที่สุดแม้แต่การพูดกลบเกลื่อนก็ยังทำไม่ได้
“ใช่แล้ว มีเพียงเรื่องนี้ ข้าเชื่อว่าท่านเองก็เช่นกัน……. ท่านไม่ได้ต้องการพบข้าจริง ๆ เช่นนั้นหรือ?”
“…..ไม่เลย”
หลังจากค่อย ๆ ละสายตา คราวนี้ไม่พยายามแม้แต่จะซ่อนน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา นางฟ้าส่ายหัว ฉันมีความสุข แต่ก็เศร้า “นักกวี”กล่าวไปพร้อมกับพยายามอดทนเอาไว้แต่สุดท้ายก็เริ่มร้องไห้ออกมา
“…..เช่นนั้นแล้ว ที่ท่านบอกว่าไม่มีความรู้สึกเหล่านั้น ก็เป็นเรื่องโกหกสินะ”
จริง ๆ แล้วฉันก็รู้ตัวดี
ฉันรู้อยู่แล้ว แม้กระนั้น จนถึงที่สุดเธอก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามที่จะต้องพูด”เรื่องโกหก”ออกมา
“ท่าน นักกวี ……..อ้า ถึงเช่นนั้น ข้าไม่สามารถโกหกได้”
“ท่านนางฟ้า….”
ใช่ สุดท้ายนางฟ้าก็ยังคงโกหกอย่างอ่อนโยน เธอพยายามจากไปโดยไม่ให้คำตอบ ซ่อนความโศกเศร้าเสียใจที่ราวกับจะขาดใจเอาไว้ในอกของตน แต่นั่นคือ คำโกหกที่โหดร้ายที่สุดสำหรับเธอ นักกวีไม่สามารถปล่อยให้เธอแบกรับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเช่นนี้ได้
“ท่านนักกวี …..แต่ แม้กระนั้น เรื่องที่พวกเราต้องแยกจากกัน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“…..ไม่”
และฉันปฏิเสธเรื่องที่กำลังจะมาถึง รู้อยู่แล้ว ในความเป็นจริงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ถึงกระนั้น การเชื่อในสิ่งนั้นก็ยังสามารถฝันต่อไปได้ นักกวีคิดเช่นนั้น
“ข้าจะรอ จะรอต่อไปจนถึงหิมะตกครั้งหน้า ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหน แม้ว่าวันนั้นจะไม่มาถึงในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงอย่างงั้น ข้าก็จะยังรอต่อไป”
“……ท่าน นักกวี”
“……เพราะฉะนั้นแล้ว กรุณาตอบข้าเถอะ คำตอบของท่านที่มีต่อความรู้สึกของข้า”
จากนั้นนักกวีก็หลับตาลง
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราทั้งสองคนจะใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนานและไม่ปล่อยเวลาอันน้อยนิดหนักอึ้งนี้ให้เสียเปล่า
จากนั้นฉันก็ลืมตา
ทุกวันจากนี้ไป เชื่อมาอย่างยาวนานมากว่าจะต้องทอดทิ้งความรู้สึกที่สั่งสมมาไป
“……ข้า เป็นของท่าน”
แล้วพวกเราก็ทำท่าทางเหมือนมองออกไปข้างนอกด้วยกัน เหล่าผู้ชมเอียงหัวไม่สามารถคาดเดาบทต่อจากนี้ไปได้
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ใส่ความมุ่งมั่นทั้งหมดที่มีลงไป
“…..「แหงนมองฟ้ากว้างเหนือหิมะที่ทับถม」”
เสียงเพลงก็ดังขึ้น
“「ความอบอุ่นของรักจากนิ้วที่เย็นเยียบ」”
……ฉันรู้ อันที่จริงฉันก็รู้อยู่แก่ใจ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเธอในวันนั้น จากช่วงเวลานั้นที่เธอยิ้มตอบกลับมาอย่างมีความสุขพร้อมคำพูดเงอะงะ
เวลาที่ได้อยู่กับ”เพื่อน”เป็นครั้งแรก ก็ได้เปลี่ยนเป็น เวลาที่ได้อยู่กับ”คนโปรด”เป็นครั้งแรก
เวลานั้น ที่ฉันให้เธอนั่งข้างฉัน เวลานั้นที่ฉันชวนเธอไปทานอาหาร
ณ เวลานี้เป็นฉันเองที่ต้องการจะแสดงฉากนี้กับเธอ
“「ความฝันอันเลือนลาง ส่งให้น้ำตาไหลริน….. 」”
เปลี่ยนความรู้สึกที่โอบกอดให้กลายเป็นเสียงร้อง เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และร้องเพลงในส่วนของฉัน ต่อจากนั้นก็เป็นอริซ เสียงร้องของนางฟ้าดังก้องกังวานสดใส ไม่มีการออกเสียงที่เงอะงะตามปกติ ฉันรู้ว่าถ้าเธอพยายามย่อมสามารถทำได้ ฉันอยู่เคียงข้างอริซ เฝ้ามองเธอร้องเพลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าและแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
“「แหงนมองฟ้ากว้างที่หิมะโปรยปรายลงมา」”
ฉันรู้ดี แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเป็นเวลานาน
ฉันไม่ได้รับอนุญาตในร่างกายนี้ ในร่างของ”เจ้าหญิง”
ในอนาคต ฉันต้องให้กำเนิดราชาองค์ต่อไป ไม่มีสิทธิ์ตกหลุมรักผู้ใด
“「กุมมืออันเย็นเยียบในค่ำคืนที่――――」”
แต่ แต่ถึงอย่างงั้น ฉันไม่สามารถซ่อนความความรู้สึกเหล่านี้ และแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้อีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นแล้ว ฉันจะบอกเธอ ให้ฉันได้ถ่ายทอดความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอแม้จะเป็นแค่ในบทบาทสมมติของนักกวีและนางฟ้า
“ความฝันอันเลือนลางมอบให้น้ำตาที่ไหลริน……..”
ส่วนที่อริซรับผิดชอบจบลงแล้ว บทสุดท้าย
ครั้งนี้ เป็นการร้องเพลงคู่ “ตำนานดอกหยาดหิมะ”ได้เข้าสู่หัวใจของทุกคนที่นั่งฟังอยู่ภายในโรงเรียนทำให้ความเงียบและความตกตะลึงหวนคืนกลับมา
“「「――――รอคอยหิมะตกอีกครั้งในภวังค์ก่อนตื่น」」”
และเหมือน”นักกวี”ที่รอคอยหิมะ ฉันเองก็จะรอคอยเช่นกัน
ฉันเชื่อว่าวันที่ฉันจะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนั้นได้ และวันที่จะได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นจะต้องมาถึง
เพราะแบบนั้นแล้ว ตอนนี้ฉันจะยอมปล่อยทิ้งไปก่อน และลืมไปซะ
เช่นนั้นแล้วก็ขอให้ฉันได้บอกแม้เพียงแค่ครั้งเดียว แล้วฉันจะเก็บเอาไว้อย่างทะนุถนอมในจุดที่ลับที่สุดด้านหลังส่วนลึกที่สุดในหัวใจ
จนกว่าจะถึงวันนั้น ฉันขอเป็น”เพื่อน”ที่ดีที่สุดของเธอ
「――――、……」
ในที่สุดเพลงก็จบลง เสียงสุดท้ายหายไปราวกับถูกซึมซับด้วยความตื้นตัน ในระหว่างที่ยังไม่ถูกปลุกจากความซาบซ่านที่หลงเหลืออยู่ภายในใจ นักกวีกับนางฟ้า――――ฉันกับอริซก็หันหน้าเข้าหากัน
เน๊ อริซ ฉันจะรอ
แม้วันนั้นจะไม่มาถึง ฉันก็อยากอยู่ในความฝันนี้ตลอดไป
……ดังนั้นแล้ว หากเกิดความผิดพลาดชั่วพริบตาในช่วงเวลานี้จะเป็นยังไงกันนะ
“ละ ลูน่า………?”
ฉันวางมือซ้ายลงบนแก้มของอริซที่ถูกย้อมเป็นสีแดง และรู้สึกได้ถึงหัวใจของตนเองที่กรีดร้องจนเจ็บปวด ฉันดึงเอวบาง ๆ ด้วยมือขวา เพื่อที่จะได้โอบรับเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเข้ามาพัวพันจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร นี่คือการแสดงใช่ไหม ฉันฝืนยิ้มให้กับท่าทางที่น่ารักและเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนพึมพำขอโทษด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ฉันประทับริมผีปากลงบนริมผีปากสีชมพูอ่อน
“――――อ อื้อ…. !?”
กรี๊ด แล้วฉันก็เหมือนได้ยินเสียงแหลมรุนแรงจากที่ไหนสักแห่ง
พวกขุนนางผู้ใหญ่เริ่มพูดคุยกับคนข้าง ๆ ทีละคน เหล่าข้ารับใช้ทั้งของฉันและของอริซส่งเสียงดังอย่างผิดปกติอยู่ที่ด้านหลัง
“ออออ อึก อือ…..ลุ ลูนะ……หายใจ..”
“……ฮา!? ขะ ขอโทษ อริซ”
พวกเราประสานเป็นหนึ่งเดียวกันนานเท่าไรกันนะ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองทำลงไปอยู่อย่างน้อยเกือบสิบวินาที ฉันจดจ่อกับรสหวานหอมจนแทบลืมเวลาไปอย่างสมบูรณ์แบบ ฉันขอโทษอีกครั้ง ในขณะที่เสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ตัวเองทำลายกำแพงแห่งเหตุผลอีกครั้ง จากสายตาท้วงติงของอริซที่ดูเหมือนมีมนตร์เสน่ห์ยั่วยวนผสมอยู่ครึ่งหนึ่ง
“โฮระ ฉากสุดท้าย”
“เอ๊ะ”
จูบ? ในเสี้ยววินาทีก่อนหน้าที่คำพูดนอกบทจะหลุดออกมา ฉันกระตุ้นให้เธอยังไม่ลืมว่าพวกเรายังอยู่กลางการแสดงอยู่ ฉันเองก็รีบคืนสติกลับไปยังตำนานดอกหยาดหิมะที่ยังเหลือยอู่
……ใช่แล้ว หลังจากที่ทั้งสองแลกจูบและบอกรักกัน ละครเรื่องนี้ก็ได้ดำเนินเรื่องมาถึงฉากจบ ตำนานของนักกวีกับนางฟ้าได้จบลงแล้ว และเรื่องราวตำนาน(Perce)ดอก(Neige )หยาด(Mur)หิมะของฉันก็ได้เริ่มต้นขึ้น
“อืม”
“งั้น โฮระ”
อริซกระตุ้นให้ฉันต้องพยักหน้า ดูเหมือนว่าตำแหน่งจะตรงกันข้ามกับปกตินิดหน่อย ชื่อเล่น ลูน่า ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง อริซเหมือนจะเกรงใจในความเป็นเจ้าหญิงของฉัน และถอยหลังหลีกเลี่ยงการคบหากลับไปที่ไหนสักแห่ง แต่ทันทีที่ให้เรียกอย่างนั้น เธอก็มีท่าทีราวกับสามารถก้าวเข้ามายืนเคียงข้างฉันได้อย่างเท่าเทียม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันได้รับการยอมรับให้เป็น”เพื่อนที่ดีที่สุด”ของเธออย่างสมบูรณ์ ฉันมีความสุขกับเรื่องนั้น และรู้สึกเศร้าเล็กน้อยอย่างที่คิด
…..จากนั้นไล่น้ำตาที่เกือบไหลอีกครั้ง จับมือและจ้องมองไปที่ดวงตาสีทองที่ไร้เดียงสา
“ท่านนางฟ้า…….ข้าเป็นของท่าน”
“ท่านนักกวี……ข้าเองก็เป็นของท่านเช่นกัน”
อริซ
ฉันเป็นของเธอ
เรื่องของเธอ
“ฉันรักเธอ”
――――ลาก่อน ความรักครั้งแรกของฉัน.
จบบทที่ 3