ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 6 ชั้นเรียนภาษาราชอาณาจักรของเบลล์ซัง
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 6 ชั้นเรียนภาษาราชอาณาจักรของเบลล์ซัง
ตอนที่ 6 ชั้นเรียนภาษาราชอาณาจักรของเบลล์ซัง
“เอาละ ต่อไปก็….”
หลังทำความสะอาดถาดอาหารเช้าของอริซซามะเรียบร้อย ดิฉันก็ออกจากห้องครัว ยืดตัวเล็กน้อย ก่อนเดินไปที่ทางเดินด้านหลัง ขึ้นบันไดแล้วเดินเลี้ยวไปยังสุดทางเดิน ไปยังห้องสมุดเช่นทุกครั้ง
ฮัททีเรียซามะคิดว่าที่นี่เป็นแค่ห้องอ่านหนังสือที่ดิฉันจะเข้าไปเมื่อไรก็ได้ แต่ดิฉันก็เคาะประตูส่งสัญญาณขออนุญาตก่อนทุกครั้ง
“ขออนุญาตค่ะ”
ดิฉันเปิดประตูเบา ๆ กลิ่นที่ไม่สามารถเข้าใจได้ของกระดาษและหมึกผสมปนเปมาแตะจมูก ดิฉันมองหนังสือทั้งหลายในห้อง
“เอ๊ะโตะ หนังสือสือภาพ….”
ดูเหมือนจะมีการจัดระเบียบหนังสือใหม่อีกครั้งก่อนที่ดิฉันจะมา การจัดเรียงหนังสือบนชั้นวางมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
“เจอล่ะ”
หนังสือที่ดิฉันต้องการอยู่ที่ด้านหลังของห้อง มันถูกรวบรวมเอาไว้ด้วยกันในชั้นวางหนังสือขนาดเล็ก ดิฉันนั่งยองๆมองไล่หาเล่มที่อริซซามะน่าจะชอบ
เอาเทพนิยายของสตรีศักดิ์สิทธิ์ดีไหมน้า อริซซามะเองก็มีผมสีขาวราวกับหิมะเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ในตำนานด้วย อืม สมบูรณ์แบบ
“ฟุๆๆ”
ดิฉันจินตนาการได้ถึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มดวงตาเปร่งประกายของอริซซามะยามที่ดิฉันกำลังอ่านหนังสือให้ฟังได้เลย โดยปกติอริซซามะจะไม่แสดงอารมณ์ออกมามากนัก ทำให้เวลาที่แสดงออกโดยไม่รู้ตัวจะยิ่งน่ารักมาก ๆ ยิ่งขึ้นไปอีก
รอยยิ้มที่แสดงให้ดิฉันเห็นเพียงน้อยนิด โม่ว
“เอาละ…ดิฉันจะถูกอริซซามะงอนแน่ๆถ้าให้รอนานเกินไป”
ดิฉันไม่สามารถพูดได้มากนัก แต่การแสดงออกทางสีหน้าที่สำคัญของอริซซามะถูกซ่อนลึกอยู่ภายในใจ ดิฉันดูหนังสือเพิ่มเติมก่อนกอดเอาไว้แนบอก
ดิฉันยืนขึ้นก่อนที่ดอกไม้สีขาวจะปรากฏในสายตา มาเรียนา・ไอริส มันเป็นดอกไม้หายากที่จะสามารถพบเห็นได้เฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น สีขาวสว่างดูสง่างามจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง และยังดูทรงเกียรติ เห็นแล้วชวนให้นึกถึงอริซซามะ และในภาษาดอกไม้
“ผู้ส่งสาร งั้นเหรอ…”
บางทีอริซซามะอาจจะเป็นฑูตสวรรค์ เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์
“แบบนั้น ฟุๆๆ ไม่มีทางหรอก”
ดิฉันหัวเราะให้กับความคิดแปลก ๆของตนเอง แต่ว่าสำหรับดิฉันแล้ว อริซซามะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในใจเสมอ แม้ว่าดิฉันจะมีสถานการณ์ที่ยากลำบากในวัยเด็กที่ดูจะห่างไกลจากความสุขและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ทว่าในตอนนี้สาวใช้เช่นดิฉันกลับได้รับความเมตตาอันล้นพ้น
ยกตัวอย่างเช่น หากซุปที่เตรียมไว้เย็นลงก่อนที่จะได้ทาน ตามบ้านขุนนางทั่วไป พวกเราจะถูกสั่งให้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วยความเย็นชา เจ้านายและผู้รับใช้ควรจะเป็นเช่นนั้น
แต่กับอริซซามะแล้ว เธอจะบอกว่าไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้น อริซซามะจะพูดว่านี่เป็นของที่ดิฉัน”ตั้งใจทำให้” ใช่แล้ว ฮัททีเรียซามะก็เคยกล่าวยืนยันเช่นกันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและข้ารับใช้ของคฤหาสน์แห่งนี้แตกต่างจากสังคมชั้นสูงปกติเป็นอย่างมาก ดิฉันอยากให้เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหมดในโลกมาเรียนรู้จริง ๆ เลย ไม่สิ ที่จริงแล้ว
…โดยเฉพาะราชวงศ์ในยุคนี้
“รายได้ภาษีของปีที่แล้วคือ …อ้า เบลล์รึ”
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักตั้งแต่เช้าค่ะ ฮัททีเรียซามะ”
ดิฉันมองย้อนกลับไปยังประตูที่เปิดเข้ามา ผู้ที่เข้ามาคือฮัททีเรียซามะ ดิฉันรีบกล่าวคำขอบคุณทักทายออกไปเพื่อไล่ความคิดไร้สาระ ดิฉันหย่อนยานเกินไปรึเปล่านะ
“กำลังมองหาอะไรอยู่งั้นรึคะ?”
“ไม่มีอะไร ข้าแค่ต้องการรายงานข้อมูลของปีที่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าการเก็บเกี่ยวปีนี้ได้ผลผลิตไม่ดีนัก ข้าเลยคิดว่าจะลดภาษีลงเล็กน้อยจากรายได้ภาษีของปีที่แล้ว”
“เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันแน่ใจว่าผู้คนจะต้องพอใจกับการเอาใจใส่อันมีเมตตานี้อย่างแน่นอนค่ะ”
“ฮะ ๆ เจ้าประชดประชันกันรึ?”
“มะ ไม่ค่ะ! ไม่มีทาง! นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของดิฉันค่ะ”
เมื่อพูดถึงความอ่อนโยนที่ฮัททีเรียซามะมีแล้ว การให้เกียรติผู้คนเช่นตอนนี้ท่ามกลางกระแสการเหยียดหยันประชาชนทั่วไปที่ก่อตัวขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ถูกมองว่าค่อนข้างนอกรีต แต่แม้ในความเกลียดชังอันรุ่นแรงของประชาชนทั่วไปที่มีต่อเหล่าผู้มีอำนาจขุนนางชนชั้นสูงเช่นนี้ นี่ก็เป็นหลักฐานว่ายังเหลือความรู้สึกที่ค่อนข้างดีอยู่
แต่ยังไงก็ตาม ไม่ว่าการเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตไม่ดีแค่ไหน ราชอาณาจักรก็จะยังคงเก็บภาษีอย่างสม่ำเสมอ ผลที่ตามมาคือความอดอยากของประชาชน และในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกตัดทิ้งโดยไร้ความเมตตาเพียงเพราะพวกเขาเป็น”ประชาชนทั่วไป” และผู้ที่ไม่สามารถจ่ายภาษีได้จะถูกบังคับให้ต้องใช้แรงงานมากขึ้นในนามของการสนับสนุนประเทศชาติ นั่นคือวิธีการเป็นเพียงทาส
ว่ากันว่าจำนวนผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะพูดว่ายุคมืดได้มาถึงยุคของกษัตริย์ในปัจจุบันแล้ว
แต่แม้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ที่นี่ในมาเรียนาซึ่งก่อตั้งขึ้นในฐานะเขตเป็นกลางกับจักรวรรดิในสมัยสงครามครั้งก่อน ก็ยังคงได้รับการยอมรับให้มีการปกครองตนเองได้
ฮัททีเรียซามะได้สร้างชื่อเสียงของตนในสงครามเป็นอย่างมาก จึงทำให้กษัตริย์องค์ปัจจุบันหวาดกลัวว่าอิทธิพลของฮัททีเรียซามะจะขยายเข้าสู่ศูนย์กลางของราชอาณาจักร ――― กษัตริย์แคปปิทาเรียสจึงกำจัดความรำคาญและปัญหาการคุกคามจากจักรวรรดิด้วยการให้สถานะอันสูงส่งแก่นายท่าน และบังคับให้ย้ายมาปกครองดินแดนแห่งนี้
เช่นเดียวกับดิฉัน นายท่านก็มีพื้นเพมาจากชุมชนแออัดเช่นกัน จึงทำให้นายท่านปกครองอาณาเขตได้ใกล้ชิดประชาชนทั่วไป และแม้หลังจากสูญเสียอลิเซียซามะและปิดกั้นตัวเอง ทัศนคติเหล่านี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนมากในพื้นที่อื่นเกลียดที่นี่
“ฮาๆๆๆ ข้ารู้อยู่แล้ว แค่ล้อเล่นนิดหน่อยน่ะ ….แล้วนั้นอะไรนะ?”
และนายท่านก็มองไปที่หนังสือภาพ
“ค่ะ เพราะอริซซามะต้องการเรียนรู้คำศัพท์เพิ่มเติม ดิฉันจึงใช้หนังสือภาพนะคะ”
“….เข้าใจแล้ว พยายามเข้าละ และก็เหนื่อยหน่อยนะ ….เพราะสภาพแวดล้อมที่ปิดแบบนั้น…”
เสียงดูหดหู่อีกครั้ง ความรู้สึกผิดยังคงหลงเหลืออยู่ในใจเข้มแข็งนี้ เหตุผลที่อริซซามะไม่เกลียดนายท่าน บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดมากกว่าความเกลียดชัง
“…ค่ะ แต่”
“ข้ารู้แล้ว แทนที่จะมัวแต่เสียใจ ตอนนี้ ข้าควรจะต้องทำในสิ่งที่สามารถทำได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่ออนาคตของอริซ”
แต่นายท่านก็ยังคงหันหน้าหลบไปด้านข้าง แม้จะตัดสินใจที่จะไม่มองย้อนกลับไป แต่ก็ยังคงต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำที่ฝังรากลึกที่ตื่นขึ้นมาจากการได้เจอหน้าลูกสาว ถึงเป็นเช่นนั้นพ่อลูกคู่นี้ก็กำลังพยายามก้าวเดินไปข้างหน้า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เช่นนี้แล้ว สิ่งที่จะปรากฏต่อไปจะเลิศค่าแค่ไหนกันนะ
“….ขอบพระคุณมากค่ะ”
“ข้าสิที่ต้องเป็นคนขอบคุณ หากไม่มีเบลล์ ข้าก็คงไม่สามารถออกมาเผชิญหน้าได้อีกแล้ว”
นั้นเพราะดิฉันต้องทนเห็นความโศกเศร้าของอริซซามะมาเสมอ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย นี่เป็นคำขอบคุณสำหรับสิ่งนั้น ตั้งแต่นั้นมาอริซซามะดูจะฝันร้ายน้อยลง ในทางกลับกันก็สามารถแสดงรอยยิ้มได้ดีขึ้น แค่นี้ก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่พอใจแล้ว
“…หากข้าทำงานเสร็จแล้ว ก็อยากจะไปเจอหน้าหน่อยเหมือนกัน เจ้าช่วยบอกให้หน่อยได้ไหม”
“รับทราบแล้วค่ะ แต่ หากนายท่านไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย อริซซามะอาจจะไม่ชอบอย่างแน่นอนค่ะ ถ้าจะให้ดีช่วยรอก่อนดีไหมคะ”
แน่นอนว่าเป็นเพราะดิฉันต้องการเวลาอยู่สองต่อสองกับอริซซามะ
ดิฉันไม่ได้บอกว่าดิฉันไม่ต้องการให้พบ นี่เป็นการขอร้องเพื่อเป็นการเจอกันระหว่างฮัททีเรียซามะและอริซซามะกับข้ารับใช้เช่นดิฉัน แต่ทว่านี่ก็เป็นการปฏิเสธครั้งที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่อลิเซียซามะยอมรับดิฉันเป็นครอบครัว
แต่ว่ายังไงดิฉันก็เป็นเพียง “น๊อกซ์เบล” ไม่มีทางเป็น “แฟร์มิล” สำหรับทั้งสองท่านที่พยายามทำลายกำแพงอันโดดเดี่ยวของกันและกัน เมื่อเวลานั่นมาถึงมันก็จะเหลือพื้นที่แค่สำหรับทั้งสองท่านเท่านั้น
“นั้นสินะ….ไม่สิ นั้นไง มันไม่แปลกไปหน่อยรึที่ผู้เป็นพ่อจะต้องส่งข้อความเพื่อขอเจอลูกสาวตัวเองแบบนี้ ข้าขอลองไปเจอด้วยตัวเองสักหน่อยเถอะ แต่วันนี้ข้าจะให้ไปบอกก่อนก็ได้”
“รับทราบแล้วค่ะ นอกจากนี้ยังมีคำสั่งอื่นๆอีกหรือไม่คะ?”
“ไม่มีแล้ว ….อ้า ข้าไม่ว่าอะไรหรอกนะที่เจ้ามาหาของด้วยตนเอง แต่ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับอริซมากกว่า”
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้าเช่นนั้น ดิฉันขอตัวไปก่อนที่จะถูกอริซซามะงอนนะคะ”
“ฮ่าๆๆๆ นั้นสินะ มันคงจะไม่ดีที่จะรั้งเจ้าไว้แล้ว แล้วเจอกันทีหลัง”
และดิฉันขอขอบพระคุณนายท่านอย่างสุดซึ้งที่เข้าใจดิฉัน
“ดิฉันคือเมดที่มีความสุขสูงสุดในการรับใช้นายท่าน”
ดิฉันพูดเล่นผสมกับความรู้สึกที่แท้จริงด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เดินขึ้นไปยังชั้นสามที่อริซซามะรอยู่
“ฟุมุ ฟุมุ”
ฉันกำลังอ่านและมองหาหนังสือภาพที่ยังไม่ได้อ่าน เพื่อฆ่าเวลารอเบลล์ซังกลับมา หนังสือเล่มนี้ทำจากกระดาษที่หายาก และอีกกว่าครึ่งก็ทำมาจากกระดาษเหมือนกัน มันแพงไหมนะ
กลับมาที่จำนวนหนังสือภาพที่ลดลง แม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจคำต่างๆ แต่ฉันก็พอจะสามารถอ่านและเข้าใจประโยคง่ายๆได้นิดหน่อย ยังไงก็ตามมันก็ช่วยให้คุยไม่ได้ดีขึ้นเลย ฉันต้องพยายามอ่านออกเสียงเนื้อหาเพื่อฝึกการออกเสียง
“เมื่อนานมาแล้ว อะริว…มีเหล่า…”
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีเริ่มต้นการเล่าเรื่องนิทานและเพลงกล่อมเด็กแบบมาตรฐานทั่วไปของโลกนี้ เมื่อเปิดไปที่หน้าแรกก็จะพบกับภาพที่ราบอันอุดมไปด้วยธรรมชาติ มีผู้คนที่สวมชุดหนังและถือค้อนหินกำลังสร้างสิ่งต่างๆสำหรับการตั้งถิ่นฐาน
“หมู่บ้านเล็กๆอาศัยอยู่ด้วยกันกับเหล่าสัตว์อย่างมีความสูด”
ดูเหมือนจะไม่ใช่ชนเผ่าเร่ร่อน เพราะพวกเขาสร้างสถานที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เรื่องราวดำเนินต่อไปและชุมชนของพวกเขาเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ขยายดินแดนไปจนทั่วทุ่งราบ จากนั้นมีฉากผู้นำหมู่บ้านได้รับการสวมมงกุฏจากพระสังฆราชต่อหน้าผู้คนวาดไว้
“เขากลายเป็นกษัตริย์ และสร้างประเทศ”
ดูเหมือนว่าเวทมนตร์จะมีอยู่ตั้งแต่เวลานี้ และในนั้นผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการก่อตั้งและจัดการการเมืองในประเทศจะถูกเรียกว่า “ขุนนาง” ในกลุ่มผู้ที่ทำการศึกษาวิชาการและเทคโนโลยีจะถูกเรียกว่า “จอมเวทย์” ผู้ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการล่าสัตว์และต่อสู้กับความขัดแย้งภายนอกจะถูกเรียกว่า “อัศวิน” และคนอื่นๆที่เหลือจะถูกเรียกว่า “ประชาชนทั่วไป” ดูเหมือนตำแหน่งต่างๆจะถูกแบ่งโดยกำเนิด
อย่างไรก็ตามในยุคนี้แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ก็ยังไม่ชัดเจน แต่เป็นที่รับรู้ทั่วกันว่าพวกเขามีแนวคิดเดียวกัน นั้นคือการติดตามรับใช้กษัตริย์ ผู้นำของทุกคน ตำแหน่งของแต่ละคนเกือบจะเท่ากัน ผู้คนถูกดึงดูดให้เข้ามาเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน
“ตั้งชื่อให้ประเทศนี่ว่า รูนา… 「รูเนเรีย」 ผู้คนทั้งหลายต่างมีความสุข”
ฉันปิดหนังสือภาพที่ลงท้ายด้วยวลีคลาสสิคอย่างคำว่า มีความสุข ฉันอ่านเรื่องนี้มากี่ครั้งกันแล้วนะ มันดูแพงมากและฉันกลัวที่จะทำมันพัง ฉันคิดว่าไม่ได้อ่านบ่อยนัก แต่ฉันก็จำเนื้อหาในหนังสือภาพเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากไปกว่านั้น ฉันก็จำเนื้อหาได้ชัดเจนจนสามารถทำซ้ำในหัวได้อย่างสมบูรณ์
เบลล์ซังคงน่ากำลังจะกลับมาเร็วๆนี้ ฉันเลยเก็บหนังสือภาพลงข้างเตียง แล้วถือตุ๊กตารอให้ประตูเปิดออก จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยพร้อมเสียงเคาะประตูของเบลล์ซัง
“อริซซามะ ขออนุญาตนะคะ?”
“ก๊า”
ประตูเปิดออกเบาๆ ในมือของเบลล์ซังที่เดินเข้ามามีหนังสือที่มีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของหนังสือที่เก็บไว้ข้างเตียง บางทีคงเป็นหนังสือภาพทั้งหมด
“ดิฉันขอโทษนะคะที่กลับมาช้า ครั้งนี้ดิฉันนำหนังสือภาพเรื่องสตรีศักดิ์สิทธิ์มาด้วยละค่ะ”
“สตรี ศักดิ์สิทธิ์…..?”
“ค่ะ เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย ท่านจะลงมาจากฟากฟ้าและช่วยเหลือผู้คน”
เข้าใจละ เรื่องตำนานแฟนตาซีสินะ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ที่โลกนี้มีศาสนาอยู่รึเปล่านะ ในโลกชาติก่อน ศาสนาอยู่ในฐานะต้นตอของการก่อจลาจล มันถูกปฏิเสธการมีตัวตน และในท้ายที่สุดก็ถูกกำจัดออกไปโดยเหล่าผู้มีอำนาจ
“เอาล่ะนะคะ มาลองอ่านกันเลย”
“อืม ขอความกรุณาด้วย”
เบลล์ซังวางหนังสือภาพที่ถือมาไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งออกมา ที่หน้าปกถูกวาดเป็นรูปหญิงสาวผมยาวสีขาวสวยกำลังอธิษฐานพร้อมถือของบางอย่างที่ดูคล้ายๆตราชั่งสมดุลยืนขึ้นสู่ท้องฟ้า เล่มนี่ก็เป็นกระดาษเหมือนกัน อย่างที่คิดไว้ทั้งหมดนี้ต้องราคาแพงสุดๆแน่ๆ
เบลล์ซังนั่งลงที่ปลายเตียงตามปกติและมองดูผมของฉัน ก่อนจะเริ่มต้นอ่าน เรื่องราวที่ถูกเล่าด้วยน้ำเสียงใสดุจระฆังเต็มไปด้วยความงดงาม และความโศกเศร้านิดหน่อย
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยความเศร้าของเด็กสาวคนหนึ่งที่พ่อแม่ได้จากไปสู่สวงสวรรค์ หลังจากที่เธอสูญเสียผู้ปกครองไป เธอก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ต้องไปใช้แรงงานที่หนักเกินไปสำหรับเด็ก ต้องกินขนมปังแห้งๆ และดื่มน้ำที่ไม่สามารถพูดได้ว่าดีพอสำหรับการประทังชีวิต
แต่เด็กสาวก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่พูดเรียกร้อง ในไม่ช้าเธอก็ได้รับความรู้สึกดีๆและความเห็นอกเห็นใจจากเหล่าผู้ที่ทำงานร่วมกัน ในวันหนึ่ง ชายชราที่ทำงานด้วยกันได้รับบาดเจ็บขณะทำงาน เธอที่มีจิตใจอ่อนโยนมาเห็นเข้าก็ถึงกลับหลั่งน้ำตา และเมื่อน้ำตาได้สัมผัสบาดแผล ทันใดนั้นบาดแผลก็หายไป เวทมนตร์ของเธอได้ตื่นขึ้นแล้ว
“และครั้งหนึ่ง สิ่งที่น่ากลัวก็ได้เกิดขึ้น มีพายุสีดำขนาดใหญ่เคลื่อนเข้ามายังประเทศ”
พายุสีดำที่ว่าคงเป็น การจลาจล ไม่ก็โรคระบาดสินะ หรือไม่ก็อาจเป็นอะไรที่คล้ายๆกันก็ได้
“ในเวลานั้นเอง เด็กสาวได้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้า เข้าพูดกับพายุสีดำที่กำลังพยายามโจมตีผู้คนว่า ทำไมท่านถึงทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้? “
เรื่องราวมาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว เหมือนว่าพายุสีดำนี่จะมีตาและปาก เด็กสาวเลยตั้งคำถามได้
“พายุได้ตอบคำถามกลับมาว่า ชีวิตของพวกเจ้าคืออาหารของข้า”
เป็นวายร้ายในแบบที่เข้าใจง่าย และดูเหมือนว่าจะแอบมีความรู้สึกเสียดสีต่อกษัตริย์และขุนนาง
“เด็กสาวกล่าว แต่หลังจากกินชีวิตพวกข้าทั้งหมดเช่นนั้นแล้ว ท่านก็ต้องอยู่โดดเดี่ยวอย่างแน่นอน และจะไม่เหลือสิ่งใดให้กินด้วย แบบนั้นท่านไม่เหงาเหรอ?”
การพูดคุยของเด็กสาวและพายุดำเนินต่อไป ในท้ายที่สุด พายุก็ได้ร้องไห้ออกมาพร้อมพูดว่า หากข้าไม่กินพวกเจ้า ข้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เด็กสาวที่ได้ยินก็รีบเข้าปลอบโยนพายุ
“เหตุผล หากเหตุผลมีเพียงเท่านั้น หากท่านต้องใช้เวทมนตร์จากชีวิต――― เพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปได้ เช่นนั้น ข้าจะให้เลือดของตัวเองแก่ท่านทุกวันเอง หากท่านเหงา ก็มาเป็นเพื่อนกับข้า ดังนั้นได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย มาจับมือกัน แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเถอะ?”
พายุที่ได้ยิน ก็ยินดีทำสัญญากับเด็กหญิง เมื่อได้รับเลือดของเด็กหญิงไปแล้วพายุก็หายไป และจากนั้นเธอก็ได้ถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้ปกป้องประเทศจากวิกฤตการณ์โดยไม่ต้องมีการต่อสู้ระหว่างคนและพายุ และในหน้าสุดท้ายก็จบด้วยบทสรุปว่า ทุกคนก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีรูปตัวละครทุกคนจับมือกันด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”
ฉันมองบันทึกท้ายเล่มของหนังสือที่ปิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตบมือ
“ฟุๆๆ ขอบพระคุณมากค่ะ รู้สึกเช่นไรบ้างค่ะ?”
“….ชอบ”
โดยเฉพาะในภาพสุดท้าย มีบางสิ่งที่น่าดึงดูด นั้นคือทุกคนมีความสุขและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เหตุผลที่มันดึงดูดสายตาฉันเข้าไปก็คงเป็นเพราะมันมีหลายส่วนที่ซ้อนทับกับเหตุการณ์ในชาติก่อน
“ดีใจจังค่ะ ดิฉันคิดแล้วว่าอริซซามะจะต้องชอบอย่างแน่นอน”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์”
“ค่ะ อริซซามะเองก็มีผมสีขาวเงินเช่นเดียวกัน”
“อุฟุๆๆ”
“ร่างกายเองก็ดูงดงามมากๆ ….และก็หลังจากนี้ฮัททีเรียซามะก็จะมาพบด้วยเช่นกันค่ะ”
“ท่านพ่อ?”
“ค่ะ จะเป็นหลังจากที่ทำงานเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในระหว่างนั้นดิฉันจะมีธุระที่ต้องทำเล็กน้อย ต้องขอประทานอภัยที่ไม่สามารถอยู่ด้วยได้ในตอนที่ฮัททีเรียซามะมาถึงนะคะ”
“ก๊า”
เป็นการตัดสินใจของเบลล์ซังหรือเปล่าที่จะให้พ่อลูกได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีกขค ช่างเป็นเมดที่แสนยอดเยี่ยมเกินไปสำหรับฉันแล้วจริงๆ
คุณพ่อกำลังมา นั้นสินะ จะทำอะไรยังไงดี? อืมมมม จะให้อ่านหนังสือภาพต่อดีไหม แบบนั้นฉันก็จะได้เรียนรู้คำศัพท์และการสื่อสารด้วย นั่นละดีเลย
ในวันที่ได้ทานอาหารกลางพร้อมหน้ากันสามคนจะรู้สึกยังไงกันนะ เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันรู้สึกคาดหวังตั้งตารอนิดหน่อย เมื่อลองนึกภาพดู ฉันก็หลุดยิ้มออกมา
“ฟุๆๆ ถ้าเช่นนั้น ให้ดิฉันอ่านหนังสือภาพเล่มต่อไปเลย ดีไหมค่ะ?”
“อื~ม….”
และเบลล์ซังก็หยิบหนังสือภาพที่ซ้อนกันบนโต๊ะขึ้นมาโชว์หน้าปกให้ฉันดู
ภาพของอัศวินและเจ้าหญิงก็เข้ามาอยู่ในสายตาของฉัน ภาพของห้องพักผ่อนในชาติก่อนย้อนกลับมาที่นั้นตอนนั้นฉันไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องความรัก
ใช่แล้ว ภาพในหน้าสุดท้ายของหนังสือภาพสตรีศักดิ์สิทธิ์ สาเหตุที่มันทำให้ฉันติดใจ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการในตอนนั้น ฉากที่รวบรวมความฝันทุกอย่างที่ฉันอยากได้ ก่อนที่ฉันจะตายในชาติก่อน ฉันได้ภาวนาต่อพระเจ้า ปรารถนาโลกที่มีความสุขและเมตตาต่อฉัน ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้ฉันได้มาอยู่ในโลกที่เมตตาต่อการมีตัวตนอยู่ของฉันโดยไม่ได้คาดฝัน
“นี่”
“เรื่องราวของอัศวิน ฟุๆๆ อริซซามะจะต้องเติบโตเป็นเจ้าหญิงที่ได้พบกับอัศวินของตนเองแน่นอนค่ะ”
“เหรอ?”
“ค่ะ ดิฉันไม่มีทางโกหกอยู่แล้ว”
“ขอบคูณ”
บางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าเบลล์ซังเป็นคนจริงจังหรือคนชอบยกยอ แต่ฉันคิดว่าคราวนี้น่าจะเป็นคำยกยออย่างแน่นอน ที่บอกว่าฉันเป็นเจ้าหญิงมันมากเกินหน่อยไป เพราะจิตใจบางส่วนที่ยังคงเป็นผู้ชายของฉันไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ แม้ที่ฉันตอบกลับจะมีความหมายว่าปฏิเสธและการถามกลับไปด้วย แต่ดูเหมือนเบลล์ซังจะคิดอย่างนั้นแบบจริงจังสุดๆ และถึงใจจะบอกปฏิเสธ ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน ถึงมันจะน่าอายนิดหน่อยในการยอมรับเรื่องนี้
“ไม่สิ ความรู้สึกนี่…….สมกับที่เป็นพ่อลูกกัน”
“ฟุเอ๊ะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ ก่อนหน้านี้ดิฉันได้คุยกับฮัททีเรียซามะมา ถึงเรื่องที่คุยจะต่างกันแต่ให้ความรู้สึกที่เหมือนกันเลยค่ะ ฟุๆๆๆ”
“เหรอ”
ฉันก็แค่พูดแบบทุกทีเองไม่ใช่เหรอ
ในชาติก่อนนี้ฉันสามารถอยู่รอดในโลกที่ถูกทำลายปราศจากความหวังได้ด้วยวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้น เพราะฉะนั้นตามปกติฉันไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่ในหลักการวิทยาศาสตร์
แต่ยังไงก็ตามการที่ฉันได้มาสู่อีกโลกโดยที่ยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ช่างเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ มุมมองเกี่ยวกับเหตุการณ์และการดำรงอยู่ของเรื่องต่างๆได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมหาศาล กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าอาจจะมีอยู่จริงก็ได้
ท้ายที่สุดมนุษย์ก็ไม่สามารถเชื่ออะไรได้เลย หากพวกเขาไม่ได้ประสบกับมันโดยตรง
“เช่นนั้น จุดเริ่มต้นของเรื่องราวคือ…”
“เย้ๆๆ”
ถ้าหากฉันมีโอกาสได้พบกับตัวตนที่ดำรงอยู่เหนือขึ้นไปอีกสักครั้ง ฉันก็อยากจะกล่าวว่า “ขอบคุณ”
เอาละ มาฝึกคำศัพท์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จนกว่าคุณพ่อจะมากันดีกว่า
เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับเบลล์ซังและคุณพ่อของฉันได้มากยิ่งขึ้น
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสถานที่แห่งหนึ่ง ――― “
เรื่องราวที่เล่ามาเป็นเรื่องราวในราชสำนักที่เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง ผู้คนในโลกใบไหนก็ล้วนไม่แตกต่าง ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย