ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 48 ตอนที่ 8 คำที่ไม่คุ้นเคย
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 48 ตอนที่ 8 คำที่ไม่คุ้นเคย
ตอนที่ 8 คำที่ไม่คุ้นเคย
“เอาล่ะ พวกเจ้านึกถึงอะไรยามที่ได้ยินคำว่า เวทมนตร์”
จากคำถามดังกล่าวคลาสเรียนของคุณตาก็เริ่มขึ้น ปล่อยให้มีเพียงฉันคนเดียวเท่านั้นที่เวลาได้หยุดลง คำถามนั้นไม่ได้ถามถึงคำศัพท์พิเศษลึกลับและไม่รู้จักอย่างที่ฉันเป็นกังวล ดูเหมือนอาจจะกำลังตั้งใจชวนคุยเป็นการโหมโรง เวทมนตร์โดยพื้นฐานแล้วคืออะไร
“เปลวไฟ น้ำ เสริมพลังกาย …..อ้า…แล้วก็ 「แสง」 ล่ะมั้ง”
คุณตารอ ในขณะที่พวกเราทุกคนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเริ่มพูดคุยกันเอง ก่อนจะให้ความสนใจรูนไฮม์ซังที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉัน พอฉันเหลือบไปมอง ฟุ สายตาออดอายก็จ้องกลับมาและยิ้ม จากนั้นคุณตาก็พูดต่อ
“คำตอบทั้งหมดถูกต้อง และไม่ถูกต้อง”
จากนั้นไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เอียงหัว ทุกคนเบิกตากว้างและสงสัยว่าคืออะไรกัน สิ่งที่ลอยเข้ามาในหัวของฉันคือ เวทมนตร์ธาตุน้ำแข็งนั่นเอง สิ่งต่อไปที่คิดได้คือ เวทมนตร์เช่นเปลวไฟที่คุณตาเคยพูดถึง มีเวทมนตร์อื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงมากกว่านี้อีกเหรอ
คุณตามองไปรอบ ๆ พวกเราด้วยสีหน้าลึกลับ อืม ยิ่งทำให้อยากรู้คำตอบ
“เวทมนตร์นั้น คือ เวลา เวทมนตร์ทุกอย่างคือสายเลือดที่มาจากอดีตแสนไกล …..สายเลือดที่ไหลเวียนผ่านร่างกายพวกเจ้าจนสั่งสมจนกลายเป็นผนึกแห่งกาลเวลา”
“เวลา…….”
เข้าใจแล้ว ถ้าอธิบายแบบนั้นก็อาจจะจริง เวทมนตร์ที่พวกเราที่พวกเรามีในตอนนี้ คือ ผลผลิตจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและการปรับตัววิวัฒนาการซ้ำ ๆ นั่นคือประวัติสายพันธุกรรม อาจเรียกเป็นนัยว่าคือ เวลา ก็ได้
ฉันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเวทมนตร์ของคุณแม่ แต่จากปฏิกิริยาของเบลล์ซังและคนอื่น ๆ ในตอนนั้น ฉันก็มั่นใจว่าคล้ายกันกับของฉัน คุณตาน่าจะรู้ว่าเวทมนตร์ของคุณแม่คืออะไร ฉันเข้าใจว่าถ้าฉันอยู่ที่นี่ฉันสามารถพูดถึงได้ ความลับของฉันจะไม่รั่วไหล เพราะเวทมนตร์ธาตุน้ำแข็งก็คือ 「เวลา」 เช่นกัน
เมื่อมองไปข้าง ๆ รูนไฮม์ซังก็มีสีหน้ายอมรับเล็ก ๆ เช่นกัน ไม่มีใครส่งเสียงค้าน
“…..มีใครที่รู้เวทมนตร์ของข้าบ้าง?”
ทันใดนั้นก็ถามคำถามออกมา จะว่าไปแล้ว ฉันเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณตามีเวทมนตร์อะไร ฉันรู้สึกว่าฉันควรจะต้องรู้ดี เพราะเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ฉันนึกทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉันยังไม่เคยถูกบอกมาเลยสักครั้ง
เกิดความเงียบไปชั่วขณะ ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ เมื่อฉันกำลังจะมองกลับไปที่คุณตา คนข้าง ๆ ฉันก็ยกมือขึ้น ดูเหมือนท้ายที่สุดรูนไฮม์ซังน่าจะรู้
“…..「กระตุ้น」 ฉันได้ยินมาว่าเวทมนตร์แห่งการกระตุ้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากในโลก”
“ถูกต้อง”
อะ สมกับที่ถูกยกย่องให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ไม่สำคัญว่าจะแสดงออกแบบไหน กระตุ้น แล้วกระตุ้นคืออะไร หากคิดตามลายลักษณ์อักษรไปตรง ๆ ก็คงเป็นพลังที่สามารถกระตุ้นอะไรบางอย่าง พลังที่จะปลุกบางอย่างที่หลับใหลอยู่
“หลายคนคงไม่เคยได้ยินมาก่อน ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะเวทมนตร์นี้จะถูกแสดงออกมาเฉพาะใน「สายเลือด」ของตระกูลมอริสตาซึ่งไหลอยู่ในตัวข้า แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่รู้จักชื่อเวทมนตร์แห่งการกระตุ้น แต่เจ้าอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับเวทมนตร์นั่น?”
บางคนมีท่าทางตอบรับ ไม่สิ ไม่ใช่แค่บางคน แต่เป็นเกือบทุกคนยกเว้นฉัน ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดที่เหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้คนเดียวในบรรยากาศที่อ้างว้าง แล้วฉันก็รู้สึกเหมือนได้สบตากับคุณตาชั่วครู่
“ใช่ ที่เรียกกันทั่วไปว่า「เวทมนตร์แห่งการสืบทอด{Grimoire Depezi Gree グリモアデペズィグリー}」”
……เวทมนตร์แห่งการสืบทอด ฉันพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ฉันมั่นใจว่าเวทมนตร์ของฉันอยู่ในนั้นแน่นอน ไม่สิ รอก่อน คุณตาบอกว่าเวทมนตร์ของเขาคือ 「กระตุ้น」
“การอธิบายพลังเวทมนตร์ของข้า ก็สามารถอธิบายได้ตรงตามตัวอักษร นั่นคือ เวทมนตร์ที่จะกระตุ้นอะไรบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการปลุกศักยภาพในตัวพวกเจ้า เป็นเวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเป็นอาจารย์เลยล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
ฉันดีใจที่สามารถพูดได้ว่าคุณตานั้นยอดเยี่ยมอีกครั้ง และทุกคนก็เข้าใจ「กระตุ้น」 รวมถึงฉันด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีคำถามบางอย่างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในตัวฉัน หรือบางทีคุณตาจะสังเกตเห็นและพยายามสอน
“ซ้า พวกเจ้าจะเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้างน้อ”
ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณตาต้องการจะพูด ฉันก็มีใบหน้ายิ้มใจเย็นได้โดยไม่คาดคิด แล้วฉันก็ส่งเสียงพูดออกไปด้วยไม่ได้ตั้งใจ
“เว ลา”
เมื่อคุณตามองมาที่ฉัน เขาก็ยิ้มลึกลับยิ่งขึ้น พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดอีกครั้ง ตอบทันทีราวกับเอาใจใส่ฉัน แต่ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
“ถูกต้อง เวลา เจ้าคิดว่าหมายถึงอะไร อย่างที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ เวทมนตร์คือสายเลือดที่ไหลเวียนจนก่อกำเนิดผนึกแห่งกาลเวลา”
“หรือก็คือ ประวัติศาสตร์……เลือด ประวัติศาสตร์”
คราวนี้เป็นรูนไฮม์ซังที่ส่งเสียงออกมา ถูกต้อง คำพูดนั้นดังก้องอีกหลายครั้ง คุณตาเบิกตากว้างกว่าปกติเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ตัวอย่างเช่น เวทมนตร์ของข้า กล่าวคือ บรรพบุรุษของข้าอยู่ในสถานการณ์จำเป็นที่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจำเป็นต้องสอนบางสิ่งบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว นี่คือสิ่งที่เจ้าหญิงพูด ประวัติสายเลือด และเวลา”
ทุกคนกระตือรือร้นกับคลาสเรียนของคุณตา ครุ่นคิดในหัว ฟังอย่างตั้งใจ จนลืมหนังสือเรียนบนโต๊ะ และมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องราว เพราะอาจจะไม่ใช่ทุกวันที่จะได้มีโอกาสเรียนกับผู้อำนวยโรงเรียนโดยตรง แต่ฉันอยากได้ยินอย่างอื่น ฉันต้องการยืนยันบางอย่าง ฉันส่งสายตาขอร้องคุณตาอย่างหมดหวัง
“ข้าพูดมายืดยาวแล้ว แต่ข้าก็อยากให้พวกเจ้าจดจำสิ่งหนึ่งเอาไว้ ――――การแสวงหาเวทมนตร์คือ การแสวงหา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต สาระสำคัญคือการค้นหาตนเอง …..พวกเจ้ามีคำถามในเรื่องจนถึงตอนนี้หรือไม่?”
“ครับ มีครับ! “
“อาจารย์คะ หนูด้วย! “
ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างชื่นชมมากมายจากนั้นคำถามก็ผุดขึ้นทีละคำถาม คุณตามองมาที่ฉันอย่างเงียบ ๆ และฉันก็จ้องคุณตากลับไป ในที่สุดฉันก็ยกมือขึ้น
…..คุณตาบอกว่าเวทมนตร์ของเขาคือ กระตุ้น แปลว่าตราบใดที่คุณพ่อไม่มีพลังเวทมนตร์ เวทมนตร์ทั้งหมดของฉันก็ย่อมต้องได้รับสืบทอดมาจากคุณแม่ เช่นนั้นฉันก็ควรที่จะมีเวทมนตร์แบบเดียวกับคุณตาของฉัน
แต่เวทมนตร์ของฉันคือ น้ำแข็ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเวทมนตร์ที่ได้รับสืบทอดมา แต่ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ กระตุ้น ……ดังนั้น ฉันจึงอยากจะได้ยิน
――――ถ้า ถ้าหากเวทมนตร์แห่งการสืบทอด”สองอย่าง”ได้รับการสืบทอดในเวลาเดียวกัน …..จะเกิดอะไรขึ้นกับเวทมนตร์ของเด็กคนนั้น?
“…..อ้า ใช่ ใช่แล้วน้อ ในที่สุดก็มีคนสังเกต”
ฉันพยักหน้าให้สำหรับคำถามเปิดตัวของ”อริซ” สำหรับเหตุการณ์เช่นนั้น ฉันก็ยังไม่เคยได้เรียนรู้ ถึงแม้จะเป็นเจ้าหญิง แต่ก็ยังหนีความจริงที่ว่าฉันพึ่งอายุแปดขวบไปไม่พ้น และมีการตัดสินใจในแบบมืออาชีพว่า ประเด็นความรู้ที่ความถูกต้องยังเป็นที่น่าสงสัยและไม่แน่นอน ไม่ควรที่จะถูกสอน นอกจากนี้สเตลล่าซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และข้ารับใช้ส่วนตัว โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นคนชอบภาคปฏิบัติจริงมากกว่า
“เพื่อที่จะอธิบายเรื่องนี้ ก่อนอื่นเราต้องมาพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเวทมนตร์ของเด็ก เมื่อมีผู้ใช้เวทมนตร์ที่ต่างกันมาผูกสัมพันธ์กัน”
ฉันแสดงท่าทีรับฟังอย่างเงียบ ๆ ผู้อำนวยการโรงเรียนเริ่มพูดอย่างสงบนิ่ง และพึ่งพอใจให้กับเด็กคนนี้ ม๊า นอกเหนือจากฉันก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีความรู้เรื่องนั้น แม้พวกเขาจะเป็นเพื่อนร่วมคลาสไอริสเหมือนกันก็ตาม แต่ยังไงซะก็ยังเป็นแค่นักเรียนใหม่ ยิ่งไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับความรู้ของฉันซึ่งได้รับการสั่งสอนมาในฐานะเจ้าหญิงตั้งแต่ยังเด็ก
…..ยังไงก็ตาม ในตอนที่เด็กคนนี้เห็นผู้อำนวยการ เธอก็ทำท่าตกใจและเผลอตะโกนว่า”โอจี่ซามะ” แต่จริง ๆ แล้วเธอมีความสัมพันธ์แบบตา-หลานจริง ๆ งั้นเหรอ ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่าง แฟร์มีล และ มอริสตา มาก่อน
เรื่องนี้อาจเป็นเพราะแฟร์มีลเป็นตระกูลขุนนางที่พิเศษมากที่พวกเขาเติบโตขึ้นและได้รับชื่อตระกูลจากสงคราม เดิมก็เป็นแค่สามัญชนที่จู่ ๆ ก็สว่างโชติช่วงขึ้นมา จึงไม่มีใครรู้แน่ชัดถึงความสัมพันธ์รอบตัว เมื่อเขาเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะวีรบุรุษระหว่างสงครามกับจักรวรรดิ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้นยังมีการตัดแบ่งปัญหาออกไปด้วย
และหลังสงคราม ศูนย์กลางของราชอาณาจักรได้ถ่ายโอนผู้ที่ไม่ชอบระบบในปัจจุบันจำนวนมากไปยังมาเรียน่า พวกที่ถูกส่งไปมากที่สุดเป็นอันดับแรกคือ ประชาชนทั่วไป มาเรียน่าถูกเรียกว่าเขตเป็นกลางแค่ชื่อ แต่จริง ๆ แล้วที่นั่นเป็นดังเขตกักกัน สำหรับทุกคนในศูนย์กลางที่มีแต่สวนดอกไม้ในหัว(โลกสวย)เชื่อว่าทุกคนจะปลอดภัยหากย้ายสิ่งที่เป็นอันตรายออกไป และเพราะด้วยเหตุนั้นข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลแฟร์มีล และดินแดนมาเรียนาจึงไม่สามารถหามาได้ง่าย ๆ แน่นอนว่าฉันแทบไม่รู้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับญาติหรือคู่สมรสของเขาเลย แต่กลับกันประชาชนทั่วไปต่างรู้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับมาเรียนาดีกว่า ในความเป็นจริง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแฟร์มีลมีลูกสาวจนได้มาเห็นอริซ
“อริ….. แฟร์มีล เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ หากเจ้าได้รับสายเลือดสองสายที่มีเวทมนตร์ที่แตกต่างกันจากพ่อแม่ เจ้าคิดว่าเวทมนตร์จะเปลี่ยนไปหรือไม่?”
“อืม………ไม่ก่ะ กะ ผสม เปลี่ยน “
“ฟุมุ”
เธอพูดแบบนั้น นักเรียนคนอื่น ๆ รอบตัวต่างก็พยักหน้า แม้จะสีหน้าสงสัยว่าทำไมเด็กไร้เดียงสาคนนี้ถึงยังไม่ถอนตัวไป แต่ก็ดูจะเห็นพ้องกับสิ่งที่เธอพูดในขณะนี้ อย่างไรก็ตามก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะเผลอดูถูกเด็กที่รูปลักษณ์ที่น่ารักเช่นนี้ มีแต่ฉันที่ตระหนักถึงสติปัญญาที่ไม่สมกับวัย ที่จริงแม้แต่ฉันเองก็ยังแปลกใจที่ได้ยินเธอตอบผู้อำนวยการในทันทีว่า “เวลา”
ยังไงก็ตาม ไม่ว่าเธอจะมีความสามารถมากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถคาดเดาทุกสิ่งที่เธอไม่รู้ได้ ส่วนฉันพูดได้ว่า ฉันรู้คำตอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเวทมนตร์ที่ได้รับสืบทอดเมื่อพ่อแม่มีพลังเวทมนตร์ต่างกัน เป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนมาแล้วจากสเตลล่า
ผู้อำนวยการหยุดชั่วคราวและไม่นานก็เริ่มพูด
“ก็ไม่ผิด แต่ นั่นสินะ นั่นเป็นกรณีพิเศษมาก”
“พิเศษ”
“อุมุ โดยปกติเวทมนตร์ที่สืบทอดจากพ่อแม่จะมีเพียงหนึ่ง ไม่มีทางที่จะผสมหรือเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้”
ใช่ โดยพื้นฐานแล้วในกรณีนี้เวทมนตร์ที่จะแสดงออกมาก็จะมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ส่วนเวทมนตร์ที่จะแสดงออกจากสายเลือดของพ่อหรือแม่ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสายเลือดที่ได้รับ สายเลือดในที่นี่มีลักษณะความใกล้ชิดกันมากกว่า พูดอย่างละเอียด เด็กที่เกิดมาจะได้รับเวทมนตร์ทั้งสองอย่าง
ยังไงก็ตาม เวทมนตร์ที่ใช้ได้จะเป็นเวทมนตร์ที่ตรงกับลักษณะของผู้ใช้ที่สุด นั่นคือ จากพฤติกรรมของเด็ก กล่าวอีกนัยคือ จะตรงกับบุคลิกภาพที่เขาแสดงออกมา ตัวอย่างเช่นสมมติว่าพวกเขาเกิดจากพ่อกับแม่ที่มีเวทมนตร์ธาตุไฟและเวทมนตร์เสริมพลังกายตัวตามลำดับ คุณสมบัติแต่ละอย่างจะแบ่งตามบุคลิกที่รอบคอบและอนุรักษ์นิยม กับบุคลิกที่น่าหลงใหล แม้จะสามารถปรับเข้าหากันได้ แต่ไม่มีทางที่จะสมดุลได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยสุดท้ายจะลงเอยด้วยการแสดงออกทางใดทางหนึ่งอย่างเด่นชัด และเวทมนตร์จะใกล้เคียงกับนิสัยพื้นฐานที่สุด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพลังที่ปรากฏตามธรรมชาติจะเป็นเวทมนตร์ของคน ๆ นั้น
“ดังนั้น แทบที่จะไม่เคยมีเวทมนตร์ใหม่ที่เกิดจากการผสมกันของคุณสมบัติสองอย่างถือกำเนิดขึ้นมาเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นมาไม่ได้”
เปรียบเทียบคำอธิบายของผู้อำนวยการกับความรู้ในความทรงจำ ฉันรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ผู้อำนวยการพูดต่อหลังจากยืนยันว่าคนส่วนใหญ่มีสีหน้าเข้าใจแล้ว
“อย่างที่แฟร์มีลพูด ในบางกรณีที่หายาก คุณสมบัติพลังทั้งสองอาจสามารถผสมกันได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้สามารถใช้พลังเวทมนตร์อื่นได้ ว่ากันว่ามีหลายกรณีที่มีคุณสมบัติทางเวทมนตร์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากเวทมนตร์ที่คุ้นเคยกัน และเป็นคุณสมบัติที่มีมาแต่กำเนิดด้วย ในอดีตแม้จะน้อยนิดแต่ก็มียืนยันว่าเคยปรากฏมา……ในราชอาณาจักร ไม่เว้นแม้แต่ในจักรวรรดิ์”
ว่ากันว่าเคยมีมาก่อนในอดีต สามารถย้อนรอยอดีตทั้งหมดได้จากเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมา แต่ใด ๆ ก็ล้วนปลอมและเป็นเหมือนเทพนิยาย และตัวแทนของเรื่องทั้งหมดคือ “สตรีศักดิ์สิทธิ์”ที่มีชื่อเสียง
“ความสามารถใหม่ดีกว่า เอ๊ะโตะ สุดยอด….ใช่ไหมกะ?”
เธอที่มีผมสีขาวที่สวยงามเหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์คนนั้นและถามด้วยคำศัพท์ที่ไม่ดี
แน่นอนเมื่อมองแวบแรก การที่สามารถใช้เวทมนตร์สองอย่างได้จริง ก็ยอมมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าระดับและพลังของ”เวทมนตร์ใหม่”นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างยุคอดีตและยุคหลัง เมื่อพูดถึงเวทมนตร์ในอดีตที่ปรากฏในเทพนิยาย จะเห็นความย้อนแย้งที่ง่ายต่อการเข้าใจ ในระยะสั้นเป็นเพียงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริง ๆ
ถึงอย่างงั้นเธอก็ฟังอย่างตั้งใจ ไม่สิ เหมือนต้องการจะยืนยันอะไรบ้างอย่างมากกว่าสนใจจริง….?
“ช่วงหลังพลังเหล่านั้นจะมีชื่อเสียงในแง่ เวทมนตร์แห่ง「คำเตือน」อย่างที่เจ้าอาจเคยได้ยิน ดูเหมือนจะมีความเป็นไปด้ที่เกิดการรวมกันระหว่างเวทมนตร์ธาจุไฟและเวทมนตร์เสริมพลังกาย ในทางทฤษฎีเวทมนตร์สืบทอดก็ทำในสิ่งเดียวกัน แต่ เรื่องนี้…….อุมุ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีการยืนยันแม้แต่คนเดียว”
เข้าใจล่ะ แม้ว่าจะเป็นเวทมนตร์ที่สืบทอดมา แต่เวทมนตร์คือเวทมนตร์ ดูเหมือนว่าพื้นฐานจะไม่แตกต่างจากเวทมนตร์ธรรมดาอื่น ๆ มากนัก นักเขียนบางคนจดคำบรรยายลงบนกระดาษที่พวกเขาพกมา ส่วนฉันเขียนลงไปในหัว
แต่เด็กสาวที่อยู่ข้าง ๆ เธอยอมรับในคำตอบได้แล้วงั้นเหรอ ดูท่าจะยัง ความสงสัยดูเหมือนจะยังไม่เย็นลง ดูดื้อรั้นจนประหม่า ในความเป็นจริงความอยากรู้อยากเห็นอาจแข็งแกร่งกว่าทุกคนในคลาสนี้
“…..งั้น เด็กที่มีเวทมนตร์ใหม่ เกิดอะไรขึ้น”
“โดยพื้นฐานแล้ว ก็จะถูกพาตัวไป แต่ในกรณีของอดีต…..”
ไม่แปลกที่ผู้อำนวยการจะลังเล เพราะในอดีตก็ไม่เคยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาก่อน เธอเชื่อในเทพนิยายและฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้นอย่างงั้นเหรอ แล้วอย่างงั้นความฉลาดที่ซ่อนอยู่ของเธอคือะไรกัน เธอก้มหน้าลง นอกจากนี้อารมณ์ของผู้อำนวยการดูหม่นหมองลงเล็กน้อย
“อ้า ข้าไม่รู้ ……ข้าเองก็ไม่รู้ ดังนั้นเพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องเรียนเวทมนตร์ให้มาก”
“อืม……ไม่ ก่ะ จะพยายาม”
ดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ตา-หลานมีแนวโน้มว่าจะเป็นเรื่องจริง ดูจากท่าทาวการพูดคุยแลกเปลี่ยน ทั้งคำถามและคำตอบ ดูเหมือนว่ามีบางอย่างที่มีความหมายที่เกี่ยวข้องกับพวกเขามาก ๆ …..แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญเป็นพิเศษสำหรับฉัน
“….ฟู๊ว”
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ―――― อริซมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างน่าประหลาด จนฉันเองก็อดเป็นห่วงไม่ได้