ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 47 ตอนที่ 7 พูดเป็นเสียงเดียวกัน
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 47 ตอนที่ 7 พูดเป็นเสียงเดียวกัน
ตอนที่ 7 พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“อยู่ที่นั่น เหรอ?”
“ค่ะ ฮิเมะ ดูเหมือนพวกเราจะได้รออยู่ในห้องถัดไปค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ หากเกิดอะไรขึ้นพวกเราจะรีบเข้าไปที่ห้องเรียนในทันที”
“อืม”
หลังจากใช้เวลาเคี้ยวปลาเป็นครั้งแรกอย่างเพลิอเพลินไปพอสมควร ตอนนี้ฉันก็มาอยู่ที่หน้าห้องเรียนคลาสไอริสที่ชั้นหนึ่งของอาคารเรียน ดูเหมือนว่าผู้ดูแลจะถูกให้รอที่ห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดไป นั่นหมายความว่าผู้ที่ไม่ใช่นักเรียนจะไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาของบทเรียนใช่รึเปล่าน่ะ หากได้รับยกเว้นนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในหอพักแล้ว ยังสามารถฟังบทเรียนจริงได้แม้ว่าจะไม่ได้จ่ายค่าเล่าเรียนก็ตามอีก ดูเหมือนทางโรงเรียนเองก็จะรู้ดีว่าเป็นไปได้ที่จะมีสถานการณ์ที่สามารถเกิดเหตุละเมิดได้
แต่ยังไงก็ตามเมื่อลองพิจารณาความเป็นไปได้แล้ว ก็ยังสามารถทำได้อยู่ สำหรับสถานะสูงสุดเช่น ราชวงศ์ สถานะที่ไม่น่าจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในทุกราชอาณาจักร อาจจะมียกเว้นเป็นกรณีพิเศษเช่น ฉัน หรือไม่ก็ที่โรงเรียนนี้ ในความเป็นจริงอาจเป็นได้ว่าพวกเขาค่อนข้างไม่เต็มใจที่จะได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวเนื่องจากสถานะของพวกเขาเอง ถึงกระนั้นเมื่อเป็นเรื่องของราชวงศ์ ฉันคิดว่าก็ต้องพิจารณาเอาไว้บ้าง
“เช่นนั้นแล้วอริซซามะ ขอให้สนุกกับคาบเรียนแรกนะคะ พวกเราจะเฝ้ามองจากห้องข้าง ๆ “
“อืม แล้วเจอกัน เบลล์”
ฉันรับหนังสือเรียนหลายเล่มที่มิร่าถือมาให้ฉัน ซึ่งหนักกว่าที่ฉันคาดไว้และทำให้ฉันกำลังจะเสียการทรงตัว ฉันเห็นทั้งสองคนโปกมือให้ก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องถัดไป ฉันรู้สึกเหงาเล็กน้อบที่ไม่สามารถมองย้อนกลับไปเพราะทั้งสองมือเต็มไปด้วยหนังสือเรียน ฉันจึงต้องกดสวิตซ์เปลี่ยนความรู้สึก
“โย๊ตชิ”
ซ้า คาบเรียนแรกของฉัน ในฐานะที่ถูกเรียกว่าโรงเรียนเวทมนตร์ ดูเหมือนว่าคาบแรกก็น่าจะเป็นชั้นเรียนเรื่องเวทมนตร์ ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวเองเล็กน้อยที่เป็นผู้นำในวิชาคณิตศาสตร์ แต่ไม่ใช่เลยในวิชาเวทมนตร์ ฉันมีเพียงความรู้น้อยนิดที่ได้ยินมาจากเบลล์ซัง หวังว่าพวกเขาจะไม่เริ่มสอนโดยใช้ข้อสมมุติล่วงหน้าว่าทุกคนเข้าใจพื้นฐานแล้ว
ในขณะที่พยายามยับยั้งความวิตกกังวล ฉันก็เดินลอดผ่านประตูที่มีตราสัญลักษณ์รูปดอกไอริส การตกแต่งภายในของห้องเรียนนั้นแทบจะเหมือนกับในชั้นเรียนอื่น ๆ ที่ฉันเห็นระหว่างทางมาถึงที่นี่ ความแตกต่างคือขนาดที่เล็กกว่าประมาณหนึ่ง คงมาจากการตัดสินที่ว่าจำนวนนักเรียนที่จะเข้าคลาสนี้ได้จะมีน้อยกว่านักเรียนคลาสอื่น ๆ
“เอ๊ะโตะ”
มีนักเรียนไม่กี่คนอยู่ข้างใน อาจจะมาจากการอุปาทาน แต่ทุกคนดูเหมือนจะฉลาดเหมือนอย่างที่คิดไว้ ภายในห้องเรียนเรียงรายไปด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว มีเก้าอี้ประมาณห้าตัวในแต่ละแถว ทุกคนนั่งอยู่ที่นั่นแล้วเปิดหนังสือเรียนตามเนื้อหาที่สนใจ หรือพูดคุยกับเพื่อนข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ฉันไม่ได้ยินเนื้อหา แต่ฉันมั่นใจว่าพวกเขากำลังคุยกันอยู่แน่ ๆ
“เอาไงดี เอาไงดี……”
ก่อนอื่นเลยที่นั่งของฉันอยู่ตรงไหน เห็นได้ชัดว่าไม่มีแผ่นป้ายชื่อแขวนอยู่บนเก้าอี้เหมือนในระหว่างการสอบ เป็นที่นั่งแบบไม่จัดเรียงงั้นเหรอ
เมื่อฉันมองไปรอบ ๆ ห้องเรียนเพื่อดูว่ามีการกำหนดที่นั่งหรือไม่ ฉันก็พบกับเด็กสาวผมบลอนด์ที่กำลังทำหน้าเบื่อหน่ายในที่นั่งแรกริมกำแพงฝั่งตรงข้ามของทางเดิน เจ้าหญิง…….รูนไฮม์ซัง ดูเหมือนเธอจะได้อยู่คลาสไอริสอย่างที่ได้ประกาศเอาไว้ ในตอนที่ฉันสงสัยว่าควรจะเรียกออกไปไหม เธอก็เห็นฉันเข้าเช่นกัน บางทีเธอคงเห็นฉันยืนตัวลีบอยู่ที่ข้างประตูจึงกวักมือเรียก ฉันอดไม่ได้ที่จะเชื่อฟัง รีบวิ่งทันทีโดยที่ระวังไม่ให้หนังสือเรียนหนัก ๆ หล่น
“สวัสดียามเช้า”
“อะ อรุณสวัสดิ์ก่ะ”
ฉันรีบก้มหน้าอย่างรีบร้อน และพูดออกไปอย่างเซ่อซ่าตามปกติ ทันใดนั้นก็มีเสียงปล่อยลมหายใจออกมาต่อเนื่อง ฉันคิดอย่างสิ้นหวังสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดตรงไหน แต่รูนไฮม์ซังกลับมีสีหน้าอ่อนลง
“พอได้เจอเธอแล้ว คนอื่น ๆ ก็ดูธรรมดาจนทำให้ฉันเบื่อไปเลย”
“เอ๊ะโตะ…..งะ งั้นเหรอกะ”
เหมือนอย่างเคย ฉันรู้สึกหนักใจกับคำพูดที่จะตัดโอกาสหาเพื่อนแบบนั้น ฉันตรวจสอบรอบ ๆ ดูว่ามีใครได้ยินสิ่งที่พวกเราคุยกันหรือไม่ แต่ดูเหมือนทุกคนจะกำลังหมกมุ่นกับการคุยกันเอง และดูเหมือนจะไม่สนใจทางนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
“แล้ว เธอตัดสินใจหรือยังว่าจะนั่งตรงไหน?”
“ยังก่ะ เรื่องนั้น……”
นั่นหมายความว่าเป็นที่นั่งแบบไม่จัดเรียงอย่างที่คิด แบบนั้นแล้ว ฉันต้องการนั่งในที่นั่งที่ไม่โดดเด่นเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนสุดสายตาเพื่อหาว่าตรงไหนดี แน่นอนว่าตัดรูนไฮม์ซังออก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่เธอ เธอก็ชี้ไปข้าง ๆ ตัวเอง ข้างหลังฉัน
“ฉันจะยอมให้เธอนั่งข้าง ๆ ฉัน ถือเป็นเกียรติสูงสุดเลยล่ะ”
กลยุทธ์การไม่สร้างความโดดเด่นของฉันกลายเป็นฟองน้ำในพริบตา แม้ว่าฉันจะรู้ว่าหยาบคาย แต่เสียง”เอ๊ะ”ก็รั่วไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ฉันไม่คาดคิดจริงๆว่าจะถูกขอให้นั่งใกล้ ๆ แบบนี้ แต่ก็ถูกบอกแบบนั้นจริง ๆ
ไม่ ฉันไม่ได้เกลียดเธอ แค่ค่อนข้างที่จะสับสนเล็กน้อย แต่เธอก็ปฏิบัติต่อฉันในทางที่ดี แถมยังเป็นเด็กผู้หญิงอายุใกล้ ๆ กันอีกด้วย ฉันเองถ้ามีโอกาสก็หวังว่าจะได้เป็นเพื่อนเช่นกัน แต่ปัญหาคือ เธอเป็นเจ้าหญิง…..ช่างเป็นเกีนรติจริง ๆ
“ท่าทางแบบนั้น คงจะไม่บอกว่าไม่พอใจหรอกนะ?”
“ระ เรื่องนั้น…..ขอบคุณก่ะ”
ฉันรีบนั่งลงข้าง ๆ เธอ ก่อนที่เธอจะอารมณ์ไม่ดี แล้วในที่สุดฉันก็รู้สึกตัวถึงความรู้สึกของคนโดยรอบที่ว่าทำไมพวกเขาถึงเหมือนไม่สนใจที่นี่อย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจแต่ดูเหมือนจะจงใจเพิกเฉย เข้าใจล่ะ บางทีพวกเขาอาจกลัวสายตาชวนอึดอัดของรูนไฮม์ซังจนอาจพาลทำให้เธออารมณ์เสีย หรือก็คือ เธออารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว
แต่ทันทีที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เล็กกว่าทุกคนหลายเท่าเดินเข้ามา หน้าตาบูดบึ้งก็อ่อนลง และก็เกิดการพูดคุยอย่างที่รู้ ๆ กัน ในขณะเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจอย่างท่วมท้ม
พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือเรื่องของฉันด้วยรึเปล่าน่ะ …..อ้า ใช่ แม้จะไม่มีเรื่องนี้ ฉันก็เป็นจุดเด่นเพราะเรื่องอายุอยู่ดี ต่อให้นั่งที่ท้ายห้องไม่ให้เป็นจุดสนใจก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“…..อะ อือ”
“….ฮะ แฮ่ม”
……น่ากระอักกระอ่วน
เป็นเรื่องดีที่ได้เป็นอิสระจากน้ำหนักของหนังสือเรียน แต่การได้นั่งข้าง ๆ เธอก็ชวนอึดอัด
ฉันไม่รู้จะคุยอะไรดี ไม่สิ ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แค่ขอบคุณก็พอ ฉันเอาแต่นั่งงุ่มง่ามเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ การเอาแต่เงียบคงไม่หยาบคายใช่ไหม
……แต่หากฝืนดันทุรังก็คงกลายเป็นเรื่องผิดพลาดพูดอะไรแปลก ๆ ไม่เหมาะสมออกไป ตั้งแต่แรกแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะคุยอะไรกับเจ้าหญิง!
“…..จะ จะว่าไปแล้ว!”
“ฮี่!? ก่ะ กะ!”
ระหว่างที่ฉันไม่พอใจโลกใบนี้อยู่ในใจ ฉันก็ต้องตกใจที่จู่ ๆ ก็โดนคุยด้วย และไม่ว่าจะคิดยังไงฉันก็เผลอทำเรื่องเสียมารยาทไปแล้ว ฉันแกล้งทำเป็นไอและพยายามกลบเกลื่อน แต่คงจะโดนมองออกแน่นอน แล้วฉันก็มองไปที่รูนไฮม์ซังอย่างกลัว ๆ
“มะ เมื่อวาน ฉันเรียกชื่อ แค่ครั้งเดียว นั่น ฉันสงสัย……ไม่พอใจหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ”
แทนที่จะโกรธในความหยาบคายของฉัน เธอกลับถามฉันว่าไม่พอใจไหม ไม่พอใจเรื่องอะไรกันน่ะ หรือว่า ฉันไม่เคยโกรธที่ถูกเรียกชื่อของตัวเอง แม้แต่ราชวงศ์ยังห่วงใย การเรียกชื่อโดยไม่มี”ซัง”สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ
“ยะ อย่าเข้าใจผิดแปลก ๆ ไปนะ นะ นี่ฉันถามในฐานะเจ้าหญิงหรอก……. !”
ฉันควรเข้าใจผิดอะไรงั้นเหรอ ไม่มีทาง ระดับเจ้าหญิงคงไม่ลังเลที่จะเรียกชื่อเด็กสาวชนชั้นสูงเช่น ฉัน อย่างที่เธอพูด นี่อาจจะเป็นการโต้ตอบอย่างเหมาะสมตามพิธีการ ฉันต้องรีบปรับตัวสำหรับเรื่องนั้น
….ไม่สิ เข้าใจแล้ว ฉันแน่ใจว่ารูนไฮม์ซังต้องการสอนทางอ้อมให้กับฉันที่ยังไม่รู้ถึงสามัญสำนึกของสังคม ยังไงก็ตามเพื่อรักษาความน่าเกรงขามของฐานะเจ้าหญิงจึงไม่อาจให้ใครรู้ได้ ดังนั้นเธอจึงเสริมว่าอย่าเข้าใจผิดอย่างรีบร้อน
ช่างใจดีเหลือเกิน เมื่อมองแวบแรกเธออาจดูเหมือนเย่อหยิ่ง แต่นั่นเป็นเพราะเธอเป็นเจ้าหญิง และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีทางเลือกให้แสดงออกมากนัก เนื้อแท้แล้ว เธออาจเป็นเด็กสาวใจดีก็ได้
“แน่นอน ความไม่พอใจ ไม่มีหรอกก่ะ ขอบคุณมากเลยก่ะ….. !”
“……เอ๊ะ?”
ในระหว่างที่ฉันรู้สึกประทับใจในความเอื้ออาทรและความเมตตาของเธอ เธอก็เอียงหัวด้วยเหตุผลบางอย่าง เหมือนเธอจะมึนงงไม่เข้าใจว่าคำขอบคุณของฉันคืออะไร …….หรือว่าฉันจะเข้าใจผิดไปอีกแล้ว
“เอ๊ะ”
“เอ๊ะ……..”
จากนั้นเกมรับส่งบอลเครื่องหมายคำถามก็เริ่มขึ้น ปัจจุบันลูกบอลอยู่ข้างฉัน รูนไฮม์ซังรับบอลคืนได้อย่างมั่นคงก่อนโบกมืออีกครั้ง และทุกครั้งที่โยนกลับไปกลับมาลูกบอลก็โตขึ้นจากการทำงานร่วมกัน ซ้า จากนี้คือเกมแข่งไก่ การโยนนี้จะไม่มีสิ้นสุดจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมหยุด!
“มะ ม๊า ถ้าอย่างงั้น――――”
“หยุดก่อนー!”
“อี่!? อะ อะไรล่ะ……?”
“ขอโทษก่ะ”
เธอถามด้วยน้ำตาที่เกือบไหล ขณะที่สะดุ้งจนไหล่เด้ง ไม่น๊า ฉันขอโทษจริง ๆ
ฉันไม่เก่งเรื่องคาดเดาจิตใจของคนอื่นซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ไม่ว่าจะแย่แค่ไหนก็ตามก็อย่าได้ดึงคนอื่น ๆ มาติดร่างแห เพียงความสิ้นหวังในทักษะการสื่อสารของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นเจ้าหญิง ยิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ฉันเกลียดตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องตลกเลย
“ไม่ได้ เหรอก่ะ”
เตือนตัวเองด้วยการพูดสโลแกนที่ได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่อาจจะสายเกินไปแล้ว
ฉันมองไปที่รูนไฮม์ซังด้วยความคาดหวัง เธอยังคงสับสน
“ฟุ ฟุๆๆ ม๊า ถ้าไม่รู้สึกไม่พอใจ ก็จงเรียกชื่อฉันต่อไปสิ!”
“รูนไฮม์จามะ”
อ้า นี่คือความเมตตาใช่ไหม ดูเหมือนเธอจะยกโทษให้กับความผิดพลาดที่โง่เขลาของฉัน ช่างเป็นจิตใจที่โอบอ้อมอารีดังเช่นพระแม่มารี แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เรียกแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว เข้าใจแล้ว นี่คือความเป็นเจ้าหญิงสินะ
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมีซามะ…..ฮา พอได้คุยกับเธอ ฉันก็รู้สึกเหนื่อยแปลก ๆ”
“ขะ ขอโทษก่ะ?”
รูนไฮม์ซังหัวเราะเล็กน้อย เมื่อเห็นฉันขอโทษพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อฉันรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อยกับรอยยิ้มอันนุ่มนวลนั้น ทันใดนั้นเธอก็ชี้ไปที่หนังสือเรียน
“เธอได้อ่านหนังสือบ้างรึยัง?”
“แค่ นิดหน่อย……”
ฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องของรูนไฮม์ซังจนไม่มีเรื่องพวกนี้เลย ฉันเลยได้อ่านแค่บทแรก ๆ เท่านั้น หนังสือเรียนบางเล่มเป็นหนังสือเรียนทั่วไป และบางเล่มมีไว้สำหรับแต่ละคลาสเรียน หนังสือเรียนทั่วไปเขียนเกี่ยวกับที่มาที่ไปและคำอธิบายของคำศัพท์เฉพาะขั้นพื้นฐานที่จะพบได้บ่อย ๆ แม้แต่ฉันก็ยังสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เรื่องนี้ดูเหมือนฉันจะสามารถตามทันได้ไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาคือเนื้อหาเฉพาะของคลาสไอริส เนื้อหามีข้อสมมุติฐานเบื้องต้นที่ว่าทุกคนเข้าใจเนื้อหาเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลานานมากในการอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำความเข้าใจทั้งหมดจากการเรียนในห้อง ฉันจะยินดีเป็นอย่างมากหากจะเริ่มสอนตั้งแต่พื้นฐาน แต่ก็ขึ้นกับอาจารย์อีกนั่นแหละ
ความวิตกกังวลดังกล่าวปรากฏบนใบหน้าของฉันหรือเปล่า รูนไฮม์ซังหันตาหนี
“….ถ้าเธอไม่เข้าใจอะไร สามารถบอกฉันเป็นพิเศษก็ได้นะ”
“รูนไฮม์ซามะ”
ที่จริงไม่ใช่เจ้าหญิงแต่เป็นท่านนักบุญใช่ไหม ความคิดแบบนั้นเริ่มเข้ามาในใจ เมื่อฉันจ้องเธอด้วยดวงตาที่ชุ่มชื้นอีกครั้ง แก้มของรูนไฮม์ซังก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเหตุผลบางประการ เธอกระแอมไอในลำคอราวกับว่าทนไม่ไหวในยามที่เหมือนกำลังจะปล่อยไอน้ำออกมา
“อย่าจ้องหน้าคนอื่นเขม็งแบบนั้นสิ! ไร้มารยาท!”
“ขะ ขออภัยด้วยก่ะ”
ถูกต้องแล้วถ้าคุณจะถาม ฉันเองก็รู้สึกไม่ดีหากถูกจ้องจริงจังแบบนั้น ฉันสงสัยจริง ๆ ว่ากี่ครั้งแล้วที่ฉันทำตัวหยาบคายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เจ้าหญิงรูนไฮม์คนนี้ ฉันคงต้องถูกลงโทษฐานหยาบคายหลายต่อหลายครั้ง
……ไม่สิ ถ้าให้พูด อาจจะเพราะว่าเป็นรูนไฮม์ซัง ฉันไม่รู้ว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันดูเหมือนรู้สึกอยากใกล้ชิดกับเธอ ฉันพยายามที่จะไม่หยาบคายกับเธอ แต่ก่อนที่จะรู้ตัวฉันก็ไม่ได้ระวังตัวเลย
ฉันรู้สึกเหมือนมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับเธอ ทั้งที่ฉันน่าจะเพิ่งได้เจอเธอเมื่อวันก่อน แต่ความรู้สึกใกล้ชิดแบบแปลก ๆ ไม่สิ ความรู้สึกต้องการเข้าใกล้นี้คืออะไรกัน อาจจะเพราะอยู่ในวัยที่ใกล้เคียงกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดที่ฉันมีความรู้สึกแบบนี้
“อาโน๊”
“อะไร?”
แต่นอกเหนือจากความรู้สึกลึกลับนั้น ก่อนอื่นก็ความรู้สึกขอบคุณ ฉันแน่ใจว่าจะต้องมีเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจในชั้นเรียนแน่ ๆ ดังนั้นการที่เธอบอกเช่นนั้นถือว่าเป็นกำลังใจกับฉันอย่างมาก แน่นอนว่าอาจจะมีเรื่องที่รูนไฮม์ซังไม่สามารถบอกได้ แต่ฉันก็นึกสถานการณ์แบบนั้นไม่ออกเลย ทั้งความมั่นใจว่าการประกาศผลเมื่อวานต้องเป็นไอริสก่อนที่จะได้ฟัง ทั้งการแสดงสีหน้าสบาย ๆ มีเวลาเหลือระหว่างการสอบ มีภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนจะจัดการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น
“ขอบคุณมากเลยก่ะ”
“……หืม”
รูนไฮม์ซังยังคงหันตาหนีตามเดิม เมื่อฉันกังวลเล็กน้อยว่าเธออารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า ประตูห้องเรียนก็เปิดออกดังแกร๊ก ๆ ฉันหันไปมองก่อน แต่ฉันก็ไม่ใช่นักเรียนคนเดียวที่หันไปมอง เป็นชายชราผมสีบลอนด์ยาวที่มีผมสีเทาแทรกรวบมัดไว้ด้านหลังหัว นอกจากนี้ยังมีเคราสีทองสวยงามที่ไว้ยาวเหนือลิ้นปี่เล็กน้อย คิ้วหย่อนคล้อย ดวงตาเรียวยาวเป็นคันศรและดูเหมือนว่าพวกเขากำลังยิ้ม
“――――อารมณ์ดีกันจังน้อ นักเรียนใหม่ทุกคน”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เสียงในห้องก็เงียบลงราวกับเรื่องโกหก เสียงแหบสงบ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่สะท้อนออกมาก็ยังฟังดูน่าประทับใจ และดูเหมือนจะมีทั้งความร่าเริงและความเข้มงวดในเวลาเดียวกัน เมื่อฉันเหลือบไปมองข้าง ๆ แม้แต่รูนไฮม์ซังเองก็ยังกระตือรือร้นกับการปรากฏตัวของเขา
“โอ้ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม………การสามารถรับฟังผู้คนได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ ก็สมควรประเมินด้วยตัวเอง ฮาฮาฮา”
เขาหัวเราะเหมือนกับกำลังชื่นชมอยู่ ก่อนเดินเข้ามาวางหนังสือที่ใช้มานานลงบนโพเดียม เขามองไปรอบ ๆ พวกเราที่รอคำพูดของเขาอย่างเงียบ ๆ แล้วเขาก็พยักหน้าบางอย่าง
“นี่เป็นครั้งแรกนับจากพิธีเปิดภาคเรียนการศึกษา ข้าขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าคือ แม็กพ็อด・มอริสตา เป็นผู้รับผิดชอบคลาสเรียนไอริส …….ยินดีที่ได้รู้จักพวกเธอนับจากนี้”
ทุกคนต่างก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ
ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เขากำลังประกาศตนเช่นเดียวกับตอนพิธีเปิดภาคการศึกษาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ใช่ ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้……..
“――――หะ โอจี่ซามะไม่ใช่เหรอ!?”
ฉันตบมุกสุดตัวออกไปทันทีโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ