ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 43 ตอนที่ 3 ผู้มีคุณธรรมจะมิโดดเดี่ยวและมิไร้มิตรสหายเคียงข้าง
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 43 ตอนที่ 3 ผู้มีคุณธรรมจะมิโดดเดี่ยวและมิไร้มิตรสหายเคียงข้าง
ตอนที่ 3 ผู้มีคุณธรรมจะมิโดดเดี่ยวและมิไร้มิตรสหายเคียงข้าง
“อืม…………”
ฉันตื่นเร็วกว่าปกติเพราะความกังวลและความตื่นเต้น พวกเราออกจากหอพักและมุ่งหน้าไปยังอาคารหลักของโรงเรียน สถานที่สอบอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ฉันแน่ใจว่าปกติห้องนี้จะใช้เป็นห้องเรียน มีขนาดประมาณหนึ่งในสามของหอประชุมนั้น ขนาดประมาณเท่ากันกับห้องโถงที่บ้านรึเปล่านะ
ฉันหายใจเข้าออกที่หน้าประตูสถานที่จัดการสอบเพื่อสงบสติอารมณ์
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะ”
ในขณะที่ฉันยิ้มอย่างคลุมเครือให้กับเบลล์ซังที่จับมือฉันแน่นเพื่อให้กำลังใจ ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่สามารถคลายความตึงเครียดได้ เมื่อคืนฉันเริ่มจะคิดในแง่ดีได้บ้างแล้ว แต่พอมาถึงหน้าสถานที่จัดการสอบแล้วนี่สิ
…..แต่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว สิ่งที่ฉันคาดการณ์ไว้ต่อจากนี้คือ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าการสอบนี่จะกำหนดชีวิตในโรงเรียนในอนาคตทั้งหมดของฉัน
แน่นอน เรื่องนั้นหมายถึงเนื้อหาการสอบคงไม่ใช่อะไรที่ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันเข้าใจแบบนั้น
ยังไงก็ตามเท่าที่ฉันสังเกตเด็กนักเรียนคนอื่นที่เข้ามาในช่วงเวลาเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้วอย่างที่คิดไว้โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงในช่วงอายุสิบกลางๆจนถึงสิบปลายๆ
คนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของการรับเข้าเรียนคืออายุสิบสี่ปี จนกระทั้งครั้งนี้ ฉันและเจ้าหญิงคือคนที่อายุน้อยที่สุด
แม้ว่าจะมีการกำหนดอายุขั้นต่ำไว้ที่ประมาณหกปี เช่นนั้นข้อสอบและบทเรียนก็น่าจะมีการพิจารณาให้เหมาะสมสำหรับในกรณีที่อาจจะมีสถานการณ์เกิดขึ้นมาจริง
แต่ฉันเป็นฮิคิโคโมริมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ฉันก็รู้ว่ามีบางอย่างที่ฉันค่อนข้างไร้เดียงสา กรณีของชั้นวางที่เก็บเสื้อผ้าเมื่อวานนี้เป็นตัวอย่างที่สำคัญ
“อู๊”
ไม่ๆ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ฉันก็ยิ่งไม่สบายใจ
บางทีฉันอาจจะตอบอะไรงี่เง่าๆออกไปจนโดนไล่ออกจากโรงเรียน! ฉันสงสัยว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น ความคิดบ้าๆผุดมาในหัวฉันทีละเรื่อง
ต้องให้ความตึงเครียดอยู่ระดับปานกลางเพื่อลดความผิดพลาด แต่ตอนนี้ตึงเครียดเกินไปแล้ว ค่อนข้างเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความผิดพลาดจนไม่สามารถคิดแก้ไขอย่างใจเย็นได้
ดังนั้นฉันต้องรีบตั้งหลักอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นเหตุให้ฉันยิ่งร้อนรน
“ฮิเมะ”
มิร่าซังช่วยหยุดทัศนวิสัยที่แคบลงของฉันที่ติดอยู่ในบึงแห่งความโกลาหล
ฉันเงยหน้าขึ้นมองมิร่าซัง แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นอกจากแค่ยิ้ม
“มิร่า”
มิร่าซังพยักหน้าผงกๆมาให้ ฉันหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง
ฉันส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดที่ไม่จำเป็นออกไป
“…..โย๊ตชิ”
ฉันฟื้นคืนจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมาได้ ช่วงเวลานี้ขอบเขตการมองเห็นที่เหมือนมองผ่านหลุมมืดมิดก็ฟื้นกลับคืนมา ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนนักเรียนหลายคนเดินผ่านข้างๆฉันไป พวกเขาเดินผ่านประตูไปนั่งยังที่นั่งที่กำหนดไว้ ทุกคนดูเหมือนจะวิตกกังวลและสงบพอๆกัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แวบแรกดูเหมือนว่าเขาสามารถสงบอยู่ได้ ยังไงก็ตามเท้าของเขากำลังกระแทกฟื้นอยู่ตลอดเวลาและกระสับกระส่าย
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่แม้แต่จะพยายามซ่อนความวิตกกังวลของเธอ เธอพึมพำตลอดเวลาเพื่อทบทวนความรู้ของตัวเอง
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังและมิร่าซัง ทั้งสองพยักหน้ากลับมา
แน่นอนว่าฉันอายุน้อยกว่าคนรอบตัวมากๆ――――เรียกอีกอย่างว่าเด็กเล็ก――――ฉันเสียเปรียบ แต่เพราะแบบนั้นจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ยิ่งในจังหวะสำคัญที่อาจส่งผลถึงการไล่ออกจากโรงเรียน!เป็นประเด็นสำคัญ
แต่ถ้าคิดว่าทุกคนก็กำลังกังวลอยู่เหมือนกันก็ช่วยทำให้ฉันรู้สึกว่าไหล่ของตัวเองเบาลงนิดหน่อย
“จ๊า ไปแล้วนะกะ”
“ค่ะ อริซซามะ ดิฉันจะเฝ้ามองท่านตลอดเวลาค่ะ”
“ข้าขออภัยด้วยที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ แต่ข้ามั่นใจว่าถ้าเป็นฮิเมะต้องไม่เป็นไรแน่นอน!”
ในที่สุดฉันก็พร้อมเข้าสถานที่จัดสอบ เบลล์ซังลูบผมฉันก่อนเดินไปยังด้านหลังห้องเรียนที่เป็นพื้นที่สำหรับผู้คุ้มกันและผู้ติดตามพร้อมมิร่าซัง――――แต่ถึงจะเรียกแบบนั้น――――ก็เป็นเพียงที่ๆมีเก้าอี้จัดเตรียมไว้สำหรับคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น
นอกจากทั้งสองคนแล้ว ยังมีผู้หญิงผมสีเขียวเข้มและอัศวินสองสามคนในชุดเกราะที่ยืนเรียงกันอยู่โดยไม่ยอมนั่งบนเก้าอี้ โดยมีตราเหมือนจันทร์เสี้ยวติดกันไว้ทุกคน น่าจะเป็นผู้ติดตามของเจ้าหญิง
การไม่นั่งลงเป็นสัญญาณของความกระตือรือร้นที่พร้อมเคลื่อนไหวได้ทันทีตลอดเวลา หรือเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวกันนะ
“เอ๊ะโตะ”
ที่นั่งของฉัน……อ้า ตรงนั้น
ฉันมองเห็นเก้าอี้ที่มีแผ่นป้ายชื่อตัวเองที่เขียนอย่างสุภาพเขียนอยู่
“…..หน้าสุด”
ปัญหาอยู่ที่นั่น แถวหน้าสุด ฉันหวังว่าฉันจะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะทำให้ไม่มีสมาธิ เพราะฉันเริ่มกังวลเกี่ยวกับสายตาของคุณครูที่น่าจจะมาในเร็วๆนี้
ว่าไปแล้ว มาตรฐานสำหรับการจัดที่นั่งแบบนี้คืออะไร
โดยชื่อ? ถ้าแบบนั้น ก็สมเหตุสมผลสำหรับฉันที่จะอย่หน้าสุด
นอกจากนี้ภาษาที่ใช้ทั่วไปในราชอาณาจักรยังมีตัวพยัญชนะบางอย่างที่คล้ายพยางค์ภาษาญี่ปุ่นในชาติก่อน และตามลำดับนั้นชื่อ”อริซ”ของฉันจึงอยู่อับดับต้นๆ
ฉันหันไปดูแผ่นป้ายทางซ้ายของที่นั่งแรกเพื่อยืนยันว่าคิดถูกไหม――――
“เอ๊ะ”
ฉันตัวเกร็งทันที
ความกังวลในการสอบกลายเป็น”สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น!”ทันที――――มีของเล่นนักบินอวกาศที่ส่งเสียงแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา――――อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กในชาติก่อน
…….อ้า ทำไมล่ะ ทำไมกันท่านตา!
ฉันกลัวที่จะอ่านชื่ออีกครั้ง ในขณะที่ไม่พอใจคุณตาอยู่ในใจอย่างไม่มีเหตุผลโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดลำดับที่นั่งหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้เป็นความผิดพลาด
ยังไงก็ตามก็เป็นความจริงที่ไร้ความปราณี
“…..รูนไฮมะ、โรโดะ、รูเนเรีย”
นี่เป็นการก่อกวนแบบไหนกัน
ไม่สิ ปกติแล้วต้องดีใจที่ได้อยู่ตรงนี้และถือว่าเป็นเกียรติด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ……………..”
ใช่ ชื่อนั่น ถ้าความทรงจำของฉันจำไม่ผิดพลาด……..
“อาร๊าๆ โกคิเก็นโย(ご機嫌よう) คุณหนูตัวน้อยตัวน้อย(小さな小さなお嬢さん)?”
ผมม้วนโรลส่องแสงเหมือน”แสงจันทร์” ออดอาย(ตาสองสี) สีแดงเข้มและสีเขียว
ยามยืนเปรียบได้ดอกแปะเจียก、ยามนั่งเปรียบดั่งดอกโบตั๋น、ยามเดินดุจเช่นดอกลิลี่
(สำนวนสาวงาม 立てば芍薬(しゃくやく)、座れば牡丹(ぼたん)。歩く姿は百合の花。)
――――เจ้าฟ้าหญิงรูนไฮม์・โร้ด・รูเนเรีย
เธอคือเจ้าหญิงตัวน้อยคนนั้น
“อะ อะโน เอ๊ะโตะ…….”
ฉันเหลือบไปมองเด็กผู้หญิงที่พยายามพึมพำๆทักทายอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าน่ารักที่ยังคงอยู่ในวัยเด็กอย่างเด่นชัดพร้อมผมสีเงินโดดเด่น ยังไงก็ตามเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปราบางลักษณะเหมือนกับ”หิมะ”
แค่ใจเย็นๆเข้าไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ฉันต้องการที่จะช่วย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้
ฉันเป็นเจ้าหญิง ฉันต้องปฏิบัติตัวน่าเกรงขามให้เหมาะสมกับผู้ที่อยู่ต่ำกว่า
“หึ ไม่พอใจกับคำทักทายของฉันงั้นรึ?”
อ้า ไม่นะ ฉันไม่อยากพูดแบบนี้
นี่ไม่ใช่วิธีที่จะใช้พูดกับเด็กผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกันแบบนี้ ใช่ ดังนั้นต้องใช้รอยยิ้มสันติ และจับมือทำความรู้จักกัน……..
“ม๊า ช่วยไม่ได้ก็ยังอยู่ในวัยแค่นั้นเองนินะ ฉันล่ะสงสัยจริงๆทำไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอถึงสมัครเข้ามาเรียนได้ แต่เอาเถอะ ฉันจะให้จับมือเป็นกรณีพิเศษเพื่อสานสัมพันธ์ที่ได้นั่งข้างๆกัน ไม่คิดว่าเป็นเกียรติรึ?
ฉันยืดอกอย่างหยิ่งผยองและยื่นมือออกไป มือคงไม่สั่นสินะ
วิธีการพูดแบบนี้ต้องถูกรังเกียจแน่นอน ฉันเห็นเธอตกใจมากๆ เธอยืนแขนที่ทั้งขาวทั้งผอมที่กำลังสั่นกลัวกลับมา
โม๊ โฮระ ฉันไม่ได้น่ากลัวสักหน่อย บางครั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ฉันไม่สามารถขอโทษได้อย่างซื่อตรง แต่ฉันแค่รำคาญสถานะที่เรียกว่าเจ้าหญิงของตัวเองที่ทำให้ฉันไม่สามารถซื่อตรงออกไปได้
“คือ…..ขอบคุณมากๆเลยก่ะ เจ้าหญิง”
“…..ฟุ ฟุมุ ฉันแค่รู้สึกสงสารเด็กตัวน้อยที่มาตัวสั่นอยู่นอกบ้านคนเดียวแบบนี้เป็นพิเศษ”
ฉันเองก็เป็นเด็กเล็กอยู่นอกบ้านคนเดียวเหมือนกัน ในขณะที่ระงับความรู้สึกของตัวเองด้วยการเม้มริมฝีปากแน่นเย็บปากเข้าหากัน ฉันก็จับมือเธอแน่นขึ้น
“นุ่มนิ่ม…….”
มือนั้นนุ่มนิ่มมากจนน่าประหลาดใจเกินกว่าจะเป็นมือเด็กธรรมดาๆ เป็นมือเล็กๆที่ถ้าจับไว้แน่นเกินไปก็จะละลายหายไป
ฉันเผลอทำส่งเสียงออกไปรึ ฉันส่ายหัวเพื่อกลบเกลื่อนเธอที่เอียงหัวสงสัย
“แล้วเธออายุเท่าไรล่ะ?”
เห็นได้ชัดว่าเธออายุน้อยกว่าฉัน อายุประมาณเจ็ดขวบรึเปล่าน่ะ
หลังจากรอให้เธอหายลังเลและกระวนกระวายใจไม่กี่วินาที ในที่สุดเธอก็เปิดปาก
“หกขอบก่ะ”
“งั้นรึ หกขวบสินะ ―――― หะ หกขวบ!?”
หกขวบ…………..หกขวบ!?
นั้นอายุขั้นต่ำในการเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ไม่ใช่หรือไง ฉันคิดว่าตัวเองอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว แต่นี่ยิ่งน้อยกว่าอีกงั้นรึ
ยังไงก็ตามแม้แต่ฉันซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเด็กอัจฉริยะและได้รับการศึกษาเป็นพิเศษมาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มจำความได้ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลกับการเข้าเรียนในวัยนี้ เธอคงไม่ได้โดนยกยอจากคนโดยรอบหรอกใช่ไหม
ราชครู……..เมดส่วนตัวของฉันต่างเอาแต่พูดว่าฉันจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แต่นั่นเป็นการประเมินตัวฉันในฐานะผู้ใหญ่และอาจรวมถึงเป็นการประจบประแจงต่อราชวงศ์อีกด้วย นั่นหมายถึงการประเมินส่วนใหญ่อาจยืนยันความจริงไม่ได้ ม๊า แต่เด็กคนนี้ช่างแตกต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”
แน่นอนว่าฉันมั่นใจว่าตัวเองมีความรู้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้เมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
ฉันได้พบปะสังสรรค์กับเหล่าขุนนางส่วนกลางในงานที่เรียกว่างานสังคม ลูกสาวของพวกเขาเอาแต่สรรเสริญฉันด้วยคำศัพท์อันน้อยนิดจนเหมือนคนโง่ แต่ทันทีที่ฉันถามถึงเรื่องยากๆ เช่น ระบบภาษี ตัวตนที่แท้จริงของพวกเธอก็หลุดออกมาทันที พวกเธอเปลี่ยนไปยกย่องการครองราชย์ของกษัตริย์องค์ปัจจุบันว่ายอดเยี่ยมแค่ไหนอย่างเร่งรีบ
……..การกดขี่เช่นตอนนี้มีอะไรที่ยอดเยี่ยมกันนี่เหมือนกับการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก
ตั้งแต่แรกแล้ว พ่อ……กษัตริย์องค์ปัจจุบันไม่ควรที่จะได้ขึ้นครองราชย์ด้วยซ้ำ
กษัตริย์องค์ก่อนนั้นถูกเรียกว่าราชานักปราชญ์ ผู้มีความชาญฉลาดและความสามารถในด้านกิจการภายในประเทศ แทนที่จะเพิ่มคุณค่าให้ต้นน้ำจากชนชั้นกลางเช่นอัศวินและนักเวทย์ หรือจากเหล่าขุนนางจอมหลอกลวง ท่านกลับหันไปสนใจสนับสนุนประชาชนทั่วไปแทน
เนื่องจากเกิดในราชวงศ์จึงยังมีส่วนที่ดูถูกประชาชนทั่วไปอยู่ แต่ท่านก็ยังพยายามปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขา แม้ว่าจริงๆแล้วจะมาจากการพยายามปกป้องตัวเองจากความกลัวในการกบฎก็ตาม แต่เทียบแล้วก็ยังดีกว่ากษัตริย์องค์อื่นๆ
ยังไงก็ตามเมื่อพูดถึงการฑูตและการเข้าสังคมแล้วบ้าสิ้นดี
เมื่อท่านถูกคุกคามก็จะหวาดกลัวและยอมแพ้ทันที คำพูดและการกระทำหลายๆอย่างก็จะค่อยกังวลกับอารมณ์ของรอบข้างเสมอซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควรจะเรียกตัวเองว่าราชาได้เลย แน่นอนว่าฉันไม่ได้เห็นเรื่องทั้งหมดด้วยตาตัวเอง แต่ก็มีบันทึกจำนวนเล็กน้อยที่บันทึกลักษณะนิสัยเอาไว้อย่างชัดเจน
เมื่อประเทศเพื่อนบ้านที่แย่งชิงความเป็นใหญ่กันมานานอย่างจักรวรรดิเห็นดังนั้น เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเขาจะเห็นว่าเป็นโอกาสในการรุกราน และเริ่มทำสงครามโดยคิดว่าจะเผด็จศึกได้ในไม่ช้า ผลลัพธ์คือท่านได้กลายเป็นเหตุให้เกิดสงคราม
……และพ่อของฉันก็ได้ใช่เรื่องนั้นเข้าโจมตีทันที ในเวลานั้นพ่อมีสิทธิ์สืบทอดราชบังลังก์ในลำดับที่สอง นั่นคือพ่อเป็นน้องชายของอดีตกษัตริย์ พ่อชิงชังต่อพี่ชายของตนเองมาโดยตลอด ไม่สามารถยกโทษให้คนอ่อนแอที่ยืนเหนือตนมาตลอดได้
พ่อไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สร้างขึ้นมาด้วยทักษะทางสังคมที่เชี่ยวชาญต้องสูญเปล่า เขาประณามราชาและบีบให้ต้องลงจากบังลังก์ มีแม้กระทั้งข่าวลือที่ว่าท่านถูกลอบปลงพระชน เนื่องจากไม่เคยมีใครได้เห็นช่วงเวลาที่ราชาถูกบังคับให้สละราชสมบัติ
อย่างไรก็ตาม หลังพ่อได้ครองบังลังก์แล้ว เขาก็ถูกเหล่าขุนนางในสังกัดของตัวเองเสนอบุตรีมาให้อย่างประจบประแจง หนึ่งในนั้นที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดคือแม่ของฉันที่ได้รับการต้อนรับในฐานะราชินี เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อความปรารถนา
ฉันเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนฉันทำได้แค่คิดว่าไร้สาระและปล่อยผ่านไป พ่อแม่สนใจแต่ความปรารถนาของตนเอง การดูแลเด็กเป็นเรื่องไร้สาระ และไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้สืบทอด
อันที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะมีลูกเพิ่มเลยด้วยซ้ำ ทั้งพ่อและแม่ของฉันดูเหมือนจะเบื่อซึ่งกันและกัน ฉันเห็นแต่สิ่งที่พวกเขาทำตามอำเภอใจอะไรก็ได้ที่พวกเขาอยากจะทำและสนแค่อำนาจที่มีอยู่ในมือ
“ฮา………”
ฉันลืมเด็กผู้หญิงตรงหน้าและถอนหายใจ
――――”โลกนี้เน่าเฟะ”
ปัจจุบันประชาชนทั่วไปถูกบังคับให้ทำงานเยี่ยงทาสเป็นเวลานานโดยได้รับแค่ค่าจ้างต่ำๆที่บางครั้งเพียงพอแค่ค่าอาหารมื้อต่อมื้อ แม้แต่ความอดอยากเนื่องจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีก็ถูกแสร้งทำเป็นว่าไม่มีใครเห็น
Noblesse oblige เป็นแค่เทพนิยาย มนุษย์ที่มีอำนาจมักจะต่อสู้แก่งแย่งกันในความมืดมิดอันแสนสกปรกเพื่อแสวงหาความคุ้มครองหรือความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้น ท้ายที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าสำหรับพวกเขา ประชาชนทั่วไปก็เป็นเพียงเครื่องมือที่มีไว้นำไปสู่ความมั่งคั่งของพวกเขาเท่านั้น
“เอ๊ะโตะ เอ๊ะโตะ……..”
….ฉันแน่ใจว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เองก็คงถูกบังคับให้เข้าโรงเรียน เพราะหน้าตาของพ่อแม่ที่เป็นชนชั้นสูงหรืออะไรสักอย่าง
ฉันได้ยินมาว่าโดยพื้นฐานแล้วไม่มีการบังคับให้ออกกลางคัน แต่ในกรณีของเธออาจเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกโดดเดี่ยวจากรอบข้างและสุดท้ายก็คงต้องตัดใจออกไปเอง
เมื่อคิดแบบนั้นในใจ ฉันก็รู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ฉันไม่รู้ว่าเธอจะมีความสามารถพอที่จะอยู่ในชั้นเรียนเดียวกับฉันได้หรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้วฉันมั่นใจว่าการที่มีเด็กอายุใกล้เคียงกันอยู่ด้วยจะช่วยสถานการณ์เปลี่ยนไปได้
“นะ หนูชื่ออาริซ・ฟอน・แฟมีล ขุนนางจากมาเรียน่าก่ะ”
“เหรอ ฉัน….ชื่อของฉันถึงไม่บอกก็คงรู้อยู่แล้ว ถ้าอย่างงั้นยินดีที่ได้รู้จักก็แล้วกัน”
อริซ……สงสัยว่าจะเป็นการเล่นคำกับชื่อไอริซ เป็นชื่อที่ดีมากๆ
ฉันแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันกลับรู้สึกว่าชื่อนี้เหมาะกับเธออย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันหวังว่าการได้พบกับเธอจะเป็น”ข่าวดี”สมดังภาษาดอกไม้ ตอนนี้ฉันปฏิบัติกับเธอเหมือนเด็กๆมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่คิดแบบนั้นฉันก็ปล่อยมือเธอ
………ไม่ แฟมีล “แฟร์มีล”?
ตอนแรกฉันจำไม่ได้ เพราะเป็นชื่อตระกูลที่ฉันไม่ค่อยได้ยิน แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด
ถ้าพูดถึงแฟร์มีลแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาคือ”วีรบุรุษ”ผู้ที่ไต่เต้าจากประชาชนทั่วไปจนกลายเป็นอัศวินในสงครามครั้งนั้น และได้รับชนชั้นขุนนางหลังจบสงคราม ฉันได้ยินมาว่ามาเรียน่าที่เขาปกครองมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ประชาชนทั่วไป โดยพื้นฐานแล้วแม้ว่าจะถูกเหล่าชนชั้นสูงเก่าเกลียดชัง แต่ก็ยังคงถูกมองในแง่ดีมาโดยตลอด มีค่าควรแก่การจับตามอง
ถ้าเป็นลูกสาวของคนๆนั้น ดูเหมือนว่าจะน่าสนใจกว่าลูกขุนนางตัวประกอบจอมคุยโวคนอื่นๆ
……เข้าใจล่ะ ฉันรู้สึกพึ่งพอใจกับการจัดลำดับที่นั่งครั้งนี้จริงๆ พอมองย้อนกลับไปที่ด้านหลังห้องเรียน ที่นั่นราชครู เมดส่วนตัว――――”สเตลล่า”ยิ้มเงียบๆ
ว่าแล้ว ดูเหมือนสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็หมุนอยู่ในกำมือเธอ
เป็นดังที่ฉันคิดเอาไว้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เธอคิดว่าฉันสามารถเป็นเพื่อนกับเด็กคนนี้ได้ จึงทำให้เด็กคนนี้มานั่งอยู่ข้างๆฉัน
“ฟุมุ…..”
ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันอาจล้มเหลวในการพบกันครั้งแรกไปซะแล้ว
….ไม่ๆ ยังก่อน อย่างเพิ่งยอมแพ้ ฉันแน่ใจว่าความประทับใจแรกพบยังไม่ถูกสลักลงไป เพราะเธอน่าจะยังเบลอจากความตกใจที่เห็นว่าคนที่นั่งถัดไปคือเจ้าหญิง ฉันยังสามารถจับมือกับเธอได้ ดังนั้นอย่าพึ่งถึงขั้นมองโลกในแง่ร้ายไป
“สวัสดีเด็กใหม่ทุกคน จากนี้ไปจะเริ่มทำการแจกกระดาษข้อสอบในทันที”
ครูมายืนอยู่บนแท่นก่อนที่ฉันจะรู้ตัว จากนั้นฉันก็รับกระดาษ ปากกา และหมึกที่แจกโดยครู
อ้า มาคิดๆดูแล้ว ฉันมาเพื่อทำการสอบแยกระดับ
“ทุกคนมีเวลาจำกัดคือ หนึ่งชั่วโมง นั่นคือจนกว่าเข็มนาทีของนาฬิกาเรือนนี้เดินครบหนึ่งรอบ”
ดูเหมือนพวกเขาจะใช้นาฬิกาเพื่อจับเวลาในการสอบ โดยปกติแล้วในฐานะเจ้าหญิง ฉันคุ้นเคยกับนาฬิกาดี แต่ก็บอกได้เลยว่าช่างหรูหราอะไรเช่นนี้ หากโรงเรียนเวทมนตร์ในพื้นที่อื่นๆได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต้องเป็นลมหมดสติแน่ๆ
“เช่นนั้น…..มาเริ่มกันเลย!”
จากนั้นเมื่อไล่ดูคำถาม ฉันก็โล่งใจเล็กน้อยที่ง่ายพอที่จะพิชิตได้ง่ายๆ
ดังนั้นสติสัมปชัญญะของฉันจึงมุ่งไปที่เด็กผู้หญิง อริซที่อยู่ข้างๆ