ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 4 ความทุกข์ใจของผู้เป็นพ่อ
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 4 ความทุกข์ใจของผู้เป็นพ่อ
ตอนที่ 4 ความทุกข์ใจของผู้เป็นพ่อ
ซูด ข้าหายใจเข้าลึก ๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่หน้าประตูไม้ธรรมดาๆที่ปิดแน่น แต่ยังไงก็ตามข้าก็ไม่อาจที่จะสงบใจลงได้ เพราะสายตาแรงกล้าที่ถูกส่งมาจากเมดสาวผมดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
ข้าได้แต่วนอยู่ที่เดิมมานานกว่าสิบนาที ข้าถูกพามาที่นี่หลังจากที่หล่อนทานอาหารเช้าเสร็จ การได้ขึ้นมายังชั้นสาม ชั้นที่ลูกสาวได้อาศัยอยู่ มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของอริซ มันดีจริงแล้วหรือ ตอนนี้ใบหน้าของข้ากำลังทำหน้าเช่นไร ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ยังไงก็เถอะ ข้าจำครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าไปไม่ได้แล้ว หลังจากอริซเกิดมา ข้าเคยเข้าไปนอนในห้องนี่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ตอนนี้ลูกสาวที่น่ารักของข้าอายุถึงสี่ขวบแล้ว ข้าไม่รู้จะพูดยังไงดี
“ฮัททีเรียซามะ….”
“….อ้าาา ข้าเข้าใจแล้ว เบลล์”
เบลล์ น๊อกซ์เบล
เมื่อสิบปีที่แล้ว อลิเซีย ภรรยาผู้ล่วงลับของข้าได้ช่วยเธอคนนี้ที่มาหมดสติอยู่ที่หน้าคฤหาสน์เอาไว้ หลังจากนั้น เธอก็ได้รับการศึกษาในฐานะข้ารับใช้และกลายเป็นผู้อยู่อาศัยในคฤหาสน์หลังนี้ ช่างเป็นโชคชะตาที่พิเศษเล็ก ๆ
และเธอที่ต้องการตอบแทนที่ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ในเวลานั้น จึงได้ทำงานในฐานะข้ารับใช้อย่างสุดความสามารถ งานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายล้วนสมบูรณ์แบบ พูดได้ว่า เธอต้องฝึกฝนตนเองอย่างหนัก และผลตอบแทนคือ เธอได้ยกระดับตนเองจนได้เป็นคนสนิททำงานรับใช้ใกล้ชิดอลิเซีย นอกจากนี้เธอยังมีความคิดอ่านที่ลึกซึ่ง และยังเป็นที่นิยมในหมู่ข้ารับใช้คนอื่น ๆ อีกด้วย ในตอนนี้เธอก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าข้ารับใช้ที่ยอดเยี่ยม อยู่ในตำแหน่งที่สั่งเหล่าข้ารับใช้ที่เหลือได้โดยตรง
และเพราะอลิเซียมองเธอเหมือนเป็นคนในครอบครัว ข้าจึงเคยสงสัยว่าเธอจะโดนตามใจมากไปรึเปล่า
อลิเซียเสียชีวิตเนื่องจากความอ่อนแอหลังการคลอดบุตรี ข้าสิ้งหวัง แม้การเกิดของบุตรีจะช่างน่ายินดี แต่มันก็กลายเป็นบาดแผลที่ยากจะลืมเลือนสำหรับข้า
ข้าที่ไม่อาจยอมรับความตายของภริยาได้ จึงทุ่มเททุกอย่างวันแล้ววันเล่าให้กับงานในฐานะขุ่นนางผู้ปกครองดินแดนเป็นการวิ่งหนีจากอดีต ทิ้งลูกน้อย ทิ้งอลิซไว้กับเบลล์
แต่แม้จะทำเช่นนั้น ในช่วงแรกข้าก็ยังคงใช้เวลาทั้งหมดไปกับความโศกเศร้า และเมื่อความทรงจำที่ได้ทำงานร่วมกับอลิเซียย้อนกลับมา ข้าก็ได้แต่ร้องไห้ทุกครั้งไป ข้าเองก็กลุ้มใจกับการมาเยี่ยมเยือนคฤหาสน์บ่อย ๆ ของเหล่าเพื่อนเก่าที่ไม่พึงประสงค์ที่มักมองข้าที่เมามายด้วยหางตา และทุกครั้งหลังตื่นจากการดื่มอย่างหนัก ข้าก็จะร้องไห้ ข้าใช้เวลาชั่วขณะในแต่ละวันไปกับความเห็นแก่ตัวและการทำร้ายตัวเอง
ยังไงก็ตามหลังจากผ่านไปหลายปี จิตใจที่ถูกครอบง่ำด้วยความโศกเศร้าจากความตายของภริยาก็ถูกปัดเป่าออกไปทีละน้อย เวลาจะทำให้ความโศกเศร้าบรรเทาเบาบางลง แต่จากนั้นจิตใจที่เริ่มดีขึ้นก็ถูกความรู้สึกผิดเข้าแทรกแซง
ความจริงที่ว่าข้าได้ทอดทิ้งลูกสาวไว้เพียงลำพังจนถึงตอนนี้ กลายเป็นความจริงที่ข้าต้องเผชิญหน้า
ข้าพยายามจะที่มาพบหลายต่อหลายครั้ง พยายามพูดแบบเผชิญหน้า ข้าต้องการที่จะขอโทษ แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันช่วยไม่ได้ที่ข้าจะกลัว ข้าแน่ใจว่าตนเองจะต้องถูกเกลียดอย่างแน่นอน เพราะข้าเป็นพ่อที่ทิ้งลูกเอาไว้เพียงลำพังอยู่หลังประตูบานนี้ หรืออย่างน้อย ก็คงไม่มีความรู้สึกดีใดๆ
ไม่สิ การที่ถูกทิ้งเอาไว้ในห้องแคบๆที่เหมือนกับกล่องมาตลอด บางทีอาจมีความเป็นไปได้ที่จะไม่เข้าใจความหมายของพ่อแม่ก็ได้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าได้ยินจากเบลล์ว่าอริซพึมพำอย่างเศร้าสร้อยและโดดเดี่ยว เรื่องที่ได้ยินทำให้ข้ารู้สึกว่าหน้าอกของตนเองแน่นขึ้น แม้การกอดอกเอาไว้จะทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยแบบแปลก ๆ ก็ตาม
แต่การได้ยินอาการของลูกสาวจากเบลล์ มันก็เร่งความกลัวและความรู้สึกผิดนั้นขึ้นมา หลังจากทั้งหมด ข้าบอกเบลล์ว่าไม่ว่าจะต้องการอะไรก็ให้พูดมาได้เลย แต่เด็กคนนั้นก็ไม่ขออะไรเลย ข้ารู้ดีว่าที่อยู่ มันเป็นความต้องการทำเพื่อตอบสนองความเห็นแก่ตัวของตัวข้าเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยปกติแล้ว เด็กในวัยนี้จะเอาแต่ใจมาก ๆ ต้องการสิ่งนั้น ต้องการสิ่งนี้ ต้องการทำเช่นนั้น ต้องการทำเช่นนี้ ลูกสาวที่อายุเท่านี้ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ลูกของข้าแทบจะไม่เคยลุกออกจากเตียง ดูเหมือนว่าจะกอดตุ๊กตาเอาไว้เสมอ ๆ และจดจ่ออยู่กับการดูหนังสือภาพ
ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินว่าลูกของข้าเลิกร้องไห้ตอนกลางคืนตั้งแต่เมื่ออายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ เงียบจนดูผิดปกติ แม้ตอนนี้จะสี่ขวบแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไป แต่ดูเหมือนจะมีการออกกำลังกายเบา ๆ ในห้องมาได้ซักพักแล้ว ในมุมมองของการเติบโตและความแข็งแรงแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา
และนั่นก็เพราะข้าเป็นต้นเหตุสินะ การที่ต้องเติบโตขึ้นมาเช่นนี้ก็เพราะข้าไม่ได้มอบความรักให้อย่างเหมาะสมสินะ ความสงสัยดังกล่าวติดอยู่ในใจของข้า ไม่สิ ในความเป็นจริงมันอาจไม่เกี่ยวข้องกัน
ในที่สุดข้าก็ถูกเบลล์ตำหนิจนสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้ และตัดสินใจที่จะมาพบและพูดคุย แต่ ตอนนี้ เด็กคนนี้จะจำผู้เป็นพ่อเช่นข้าได้หรือไม่
“ฮัททีเรียซามะ ถ้าให้รอนานกว่านี้ อาจจะถูกโกรธเอาก็ได้นะคะ?”
“มะ ไม่หร……อ้า นั้นสินะ……”
“…..แม้ดิฉันจะไม่อาจเข้าถึงจิตใจทั้งหมดของอริซซามะได้ แต่อย่างน้อยก่อนหน้านี้ที่ดิฉันได้บอกว่าฮัททีเรียซามะจะมาพบ ดิฉันก็ไม่เห็นถึงความเกลียดชังหรอกนะคะ อาจจะสับสนเล็กน้อย แต่…”
มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว การที่จู่ๆพ่อที่ไม่เคยรู้จักหรือรู้ว่ามีอยู่จะมาพบโดยฉับพลัน ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกสับสน
แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป อย่างน้อยข้าก็อยากจะได้พูดคุยและขอโทษ นั้นคือความคิดทั้งหมดของข้าตอนนี้
มิฉะนั้นทั้งข้า ทั้งอริซ คงไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้
ข้ายกแขนที่หนักอึ้งขึ้นจับลูกบิดประตู
“เข้าไปละนะ…….”
ข้าหมุนลูกบิดเบาๆในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ข้าก้าวเข้าไปในขณะที่สายตามองลอดช่องว่างของประตูที่เปิดออก
“อริซซามะ ขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
“….ก๊า”
เสียงขออนุญาตดังขึ้นที่หน้าประตู แต่เป็นแบบที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน พอก้าวผ่านเข้าประตูมาด้วยเสียงต่ำ ฉันรู้ว่าเป็นเบลล์ซังจากน้ำเสียงที่ใสเหมือนกระดิ่ง แต่ว่าฉันก็สังเกตเห็นใครบางคนที่ตามเข้ามาด้วย
คนที่ตามเข้ามาเป็นชายผมสีดำผมเข้มที่มีบรรยากาศเหนื่อยล้า อายุน่าจะประมาณ 40 ปี ถ้าเดาจากรูปร่างหน้าตา
มีผมหงอกเยอะมาก ใบหน้าเองก็ดูเหนื่อยล้าเหมือนกัน มันทำให้ฉันนึกถึงสมัยที่ต้องดิ้นรนโหมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะคลื่นงานที่ถาโถมเข้ามา
……บางทีเขาอาจเป็นพ่อของฉัน บางส่วนของใบหน้ามีความคล้ายคลึงกัน และเบลล์ซังที่ติดตามเข้ามาอย่างมั่นใจ หรือว่าที่บอกว่า พ่อของฉันจะมาพบตอนที่ฉันทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว อ้า ลืมไปเลย
เขาเครียดหรือเปล่า นี่เป็นการพบกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฉันจำความได้ หรือดูเหมือนจะกำลังสับสนว่าต้องใช้น้ำเสียงแบบไหนดี
เบลล์ซังไม่ได้พูดอะไร ทำแค่ยืนดูฉันและเขาอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างประตูที่ปิดไปแล้ว
ฉันพยายามทำตัวให้ปกติมากที่สุด แม้จะมองเห็นว่ายังสงบอยู่ แต่ฉันกอดตุ๊กตากับหนังสือภาพที่พึ่งอ่านเอาไว้แน่น
ขณะที่ฉันรอคำพูดของเขา
“…..ขอโทษด้วย”
คำแรก คือ คำขอโทษ
ฉันสามารถอ่านความคิดต่าง ๆได้จากร่างที่ก้มศีรษะ และน้ำเสียงอันเจ็บปวดของเขา
เสียใจ สงสาร สับสน และ การทรมานตัวเอง
ทุกสิ่งผสมปะปนกันอยู่ภายในใจของเขา สิ้นหวังกับการหาคำพูดที่จะพูดต่อไป ดูเหมือนเด็กที่กำลังรอคอยที่จะโดนดุ สำหรับเขาแล้ว คงมองเห็นฉันในตอนนี้เป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกผิดและตราบาป
ถ้าตัวฉันที่ไม่ใช่”ฉัน”เกิดขึ้นมาบนโลกนี้แทน ฉันคนนั้นคงแตกสลายไปแล้ว ความหวาดระแวง ความโกรธเกรี้ยว หรือไม่รู้จัก เลวร้ายสุดก็คงเป็นไม่แม้แต่จะแยแสคำพูดของเขาเลย
แต่ฉันคือฉัน ผู้ที่มีทั้งความทรงจำและอัตตาที่ถ่ายทอดมาจากชาติก่อน ที่สำคัญ ฉันไม่รู้สึกเกลียดเขาเลย
มันเป็นการยากที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ฉันไม่สามารถจินตนาการถึงความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสียคนรักไปในทันทีได้ แถมยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุยังมาจากการให้กำเนิดลูกสาวของตัวเองอีกด้วย
การที่คุณเป็นผู้ให้กำเนิด ไม่ได้แปลว่าคุณจะกลายเป็นพ่อแม่โดยอัตโนมัติ
“…อริซซามะ…”
เบลล์ซังพยายามช่วยหลังจากเห็นแต่ความเงียบ แต่เหมือนจะรู้สึกตัวว่าทำพลาดไป
เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เธอหวังอยากจะให้พวกเราคืนดีกัน ดังนั้นจึงพยายามกระตุ้นให้ฉันพูดอะไรสักอย่าง ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดในอนาคต ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลย มั่นใจได้เลยว่าทุกอย่างจะมุ่งสู่จุดจบทันที
ถ้าฉันต้องอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ตลอดไป ฉันคงถูกบดขยี้แน่ ๆ ฉันจึงพยายามใช้คำศัพท์ที่มีอยู่น้อยนิดในหัวตอบกลับไปอย่างสุดความสามารถ ฉันอยากจะบอกว่าไม่ได้เกลียดหรือเศร้า ด้วยคำที่ฉันเรียนรู้จากรอบๆตัวบนโลกนี้―――
“――― ม๊าย เป็นร๊าย”
ไร้ประโยชน์สุด ๆ เลย
ฉันต้องเรียนรู้คำศัพท์อย่างจริงจังซะแล้ว การสื่อสารทั้งหมดที่ได้เรียนรู้กับเบลล์ซังจนถึงตอนนี้มีแค่ในระดับหนังสือภาพเท่านั้น คำศัพท์ที่ได้ทั้งสั้นและน้อยเกินไป
“อริซซามะ….”
กรุณาหยุดเถอะ ได้โปรดอย่ามองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองเด็กที่น่าผิดหวังแบบนั้น ฉันทำดีที่สุดแล้ว แต่นี่เป็นคำ ๆ เดียวที่ฉันรู้ว่าตัวเองเข้าใจความหมายถูกต้องแน่ ๆ
….แน่นอนว่าฉันรู้ว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เบลล์ซังตั้งใจจะทำแน่นอน
และ ตอนนี้พ่อของฉันก็ได้กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจน เขาหันมามองฉันตรงๆด้วยดวงตาสีทองที่เหมือนกันกับฉัน
“…..อึก….ข้าขอโทษ…. ――― ข้าขอโทษ อลิซซซซ…! ตั้งแต่ที่เจ้าเกิดมา ข้าก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรกับการเรียกว่าพ่อเลยสักครั้ง! ข้าทิ้งทุกอย่างเอากับพวกเมด กับเบลล์ ข้าไม่แม้แต่จะคุยกับเจ้า! ข้ามองเห็นแววตาที่มองโลกด้วยความเศร้าหมองจากนัยน์ตาของเจ้า ข้านะ…..ข้านะ…… ! ในที่สุดก็สังเกตเห็น……”
ได้โปรดรอก่อนนน เข้าใจผิดกันหมดแล้ว ฉันแค่กำลังสิ้นหวังกับการไม่รู้ภาษาแค่นั้นเอง ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีสายตาที่เหมือนกับกำลังมองจุดจบของชีวิตแบบชาติก่อนหรอกน้าาา
“อะโน เน๊ะ”
“――― ข้าผิดเอง! ….ทั้งหมด เป็นความผิดของข้าเอง…. ทั้งๆที่เจ้าต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ สูญเสียอลิเซีย สิ่งที่ข้าควรจะทำคือการรักเจ้าด้วยพลังทั้งหมดที่ข้ามี! เจ้าควรที่จะมีความสุข เพราะเจ้าเป็นผู้ที่เกิดมาด้วยความรักระหว่างข้ากับแม่ของเจ้า ข้าควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ทอดทิ้งเจ้า…..”
ฉันมีความสุขมากเลย ถึงจะมีความไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการดูแลจากคุณเมดสุดสวยเป็นอย่างดี มีชีวิตที่สามารถกินอาหาร พักผ่อนอย่างปลอดภัยได้โดยไม่ต้องทำอะไร
แค่นี้ก็เหมือนกับฝันแล้ว ไม่เหมือนในชาติก่อนที่ฉันทำได้เพียงแค่ทำงาน แล้วนอน แล้วตื่นมาทำงาน ถึงฉันจะมีความปรารถนาที่อยากจะออกไปจากห้องอยู่เล็กน้อย แต่พูดตามตรง ฉันอยากใช้ชีวิตแบบฮิคิโคโมริไปตลอดชีวิตเลยละ
เพราะอย่างงั้น เพราะอย่างงั้น
“อาโน๊”
“――― อ้าาา อริซ! ….ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริงๆ …..ข้าจะทำทุกๆอย่างที่ทำได้ ….ข้าจะไม่พูดว่าให้เจ้ายอมรับข้าเป็นพ่อซะตอนนี้ ข้าจะไม่พูดว่าขอให้เจ้าอภัยให้ข้า แต่อย่างน้อย… อย่างน้อยให้ข้าได้ช่วยเจ้าให้มีความสุขทีเถอะ ――― ให้ข้าได้บอกว่ารักเจ้าเพียงใด….ได้โปรด”
ได้โปรด
“อะ”
“ขอร้อง――― !”
ได้โปรดฟังที่ฉันอยากจะพูดที ท่านพ่อ……
“อริซ―――!? “
“อริซซามะ….. !?”
เรื่องราวที่ถูกขยายความกลายเป็นดราม่าโศกเศร้าบดบังความตั้งใจที่อยากถ่ายทอดจนไปไม่ถึงอีกฝั่ง ในที่สุดมันก็ทำให้อารมณ์และต่อมน้ำตาตื่นขึ้นมา เดี๋ยวสิ รอก่อน
“ฟุ แง~~~~~~~….”
ไม่เหมือนอย่างเคย ตอนนี้ฉันควบคุมร่างกายทั้งภายในและภายนอกไม่ได้อีกแล้ว ฉันเริ่มร้องไห้ อัตตาของฉันถูกทำลายโดยความเยาว์วัย ตอนนี้ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร ฉันก็ไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้อีกแล้ว
“อริซซามะ กำลังร้องไห้…….”
ฉันคือคลาล่า?
(TN. 私はクララか ตรงนี้จนด้วยปัญญาจริงๆว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไร)
ในตอนนี้มีแนวโน้มว่าภาษาญี่ปุ่นจะหลุดออกมาโดยอัตโนมัติ โชคดีที่เสียงมันหายไปในคอของฉัน แต่แน่นอนว่านี้เป็นการแสดงออกทางอารมณ์อย่างรุนแรงนับตั้งแต่ที่ฉันกลายมาเป็นอริซของโลกใบนี้
และไม่เพียงเท่านั้น สาเหตุที่ทำให้น้ำตาไหลอย่างต่อเนื่องคือ
เป็นอันว่าฉันยังอยากทำงานที่ทำให้ตัวเองตาย และด้วยอัตตาที่หลงเหลือจากอีกโลกหล่นติดมาในยามกำเนิดใหม่ จึงทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดูผิดปกติ ไม่จำเป็นต้องเดาเลยว่าต้องมีความเครียดสะสมมาจากการเห็นสิ่งที่แตกต่าง สิ่งที่ไม่รู้จัก
“อึก อึก….”
ฉันซ่อนตัว ฉันซ่อนความอ่อนแอของตัวเอง จากสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า ความโศกเศร้าและความว่างเปล่าเอ่อล้นไม่รู้จบ แต่ฉันไม่อยากให้ใครๆคิดแบบนั้น เป็นอารมณ์ที่ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่แน่นอนว่านี่เป็นอารมณ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดแล้ว
จากนั้นมีใครบางคนโอบกอดฉันที่ยังคงร้องไห้
“――― อริ..ซ….”
เป็นการกอดเงอะงะที่แตกต่างจากเบลล์ซัง มือที่กำลังจับหัวของฉัน มันสั่น หน้าอกที่หน้าฉันซบกำลังเต้นแรง มันยากที่จะพูดว่านี่มันดี แต่ฉันรู้สึกผ่อนคลาย
――――แต่ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นละ
“ใช่จริงๆ ข้าช่างแย่จริงๆ…..”
ตอนนี้ ฉันรู้สึกดีมากๆ อบอุ่นมากๆ
ตุ๊กตาหมีสีขาวที่ฉันอุ้มไว้เสมอ กำลังกลิ้งตกไปที่ปลายเท้า
เขากำลังคิดอะไรอยู่กันนะ ทำไมเขาถึงดูเหมือนกำลังยิ้มทั้งๆที่กำลังร้องไห้อยู่
“อึกーー อึกーー …..”
“ขอโทษ พ่อขอโทษ….”
อ้า งั้นเหรอ
สาเหตุที่ทำไมฉันถึงรู้สึกโล่งใจ
คำตอบนั้นอยู่ต่อหน้าฉันอยู่แล้ว
“….ท่าน ป้อ….”
ฉันคือ… ของเขา
“….โอ้ ….อา อ้าาาา! ใช่แล้ว พ่อเอง อริซ….”
――― ฉันคือ “ลูกสาว” ของคุณพ่อ
ในชีวิตชาติก่อน ฉันไม่รู้จักความรักของพ่อแม่ ในความทรงจำที่เหลืออยู่ พวกเขาต้องทำงานอย่างหนักเช่นกัน
ฉันต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันไม่มีแม้แต่ความจำเดียว พวกเขาทิ้งฉันไว้คนเดียว
ในวันนั้นฉันเคยพยายามอย่างบ้าคลั่งเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด และสุดท้ายสิ่งที่ยังไหลเวียนอยู่ก็มีเพียงเลือด และชีวิต
“…ขอบคุณนะอริซ ที่ยอมเรียกพ่อว่า พ่อ….”
“อริซซามะ ฮัททีเรียซามะ…! อา ดีจริงๆ ช่างดีจริงๆเลยค่ะ….”
ฉัน… อริซ(โลกเก่า)… อริซ… ในที่สุดฉันก็ได้พบ….
“―――― ต้องขอประทานอภัยด้วยค่ะ ได้เวลาเปลี่ยนกระโถนปัสสาวะ….แล้วค่ะ…..?”
ใช่แล้ว เปลี่ยนกระโถนปัสสาวะ……….
อันดับแรก เมดที่เปิดประตูเข้ามาตัวแข็งทื่อ อันดับสอง ท่านพ่อที่โดนเห็นใบหน้าที่กำลังร้องไห้ตัวแข็งทื่อ และสุดท้าย เบลล์ซังที่ดูเหมือนกำลังสวมหน้ากากฮันเนีย ฉันแน่ใจว่า ฉันเห็นดวงตาไร้แววจากเบลล์ซัง
“…วันนี้ไม่มีพักกลางวันค่ะ”
“อะ อะไรกัน….”
เมดสาวผมแดงทรุดลงอย่างไม่มีแรง ก่อนโดนเบลล์ซังเทศนา
ฉันดิ้นจนหลุดออกมาจากอ้อมแขนของคุณพ่อที่ยังตัวค้างแข็งเป็นBGMประจำห้อง และเริ่มทำการตรวจสอบผ้าอ้อมของตัวเองทันที โอ้ สบายมาก ไม่มีรั่วละ
――――ก่อนที่น้ำตาจะแห้ง ฉันวาดริมฝีปากโค้งแค่เล็กน้อยก่อนกลับมากอดตุ๊กตาสัตว์อีกครั้ง มีเพียงดวงตาสีดำเท่านั้นที่มองเห็น
(TN. ตัดอารมณ์กันสุดกู่เลย ฮา)