ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอ ตอนที่ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 34 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอ ตอนที่ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด
ตอนที่ 14 เชื่อมโยงความนึกคิด
“โรงเรียนงั้นรึ”
เมื่อวานซืน หลังการพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตกับกลุ่มอัศวินลิลลี่ขาวที่ปัจจุบันกำลังรับผิดชอบทำหน้าที่เสริมกำลังรักษาความปลอดภัยของเขตมาเรียนา เมื่อข้ากลับมาถึงที่บ้านก็มีเรื่องที่ต้องประหลาดใจถึงสองเรื่อง เรื่องแรกคือ ใบหน้าของท่านพ่อตาที่ออกมาต้อนรับเป็นคนแรก และอีกเรื่องคือ เกี่ยวกับการเข้าโรงเรียนของอริซ
เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อตาว่าจะมาที่คฤหาสน์ในเร็วๆนี้ ข้าลืมบอกอริซเอาไว้เสียสนิท เพราะข้าเต็มไปด้วยเรื่องยุ่งๆของการรักษาความปลอดภัยในดินแดน แต่เดิมข้าก็ควรบอกเบลล์และอริซเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้พวกเธอเตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อมสำหรับการต้อนรับ ในเรื่องนี้ ข้าไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆ โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นหน้าท่านพ่อตาเต็มๆ
ท่านพ่อตาตักเตือนใส่ข้าที่กำลังผงะโดยความคาดไม่ถึงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจปนความเป็นห่วงเล็กน้อย ข้าได้แต่กล่าวว่าครั้งหน้าข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอีก ม๊า แต่ให้พูดตามจริงแล้ว ความไม่พอใจเกือบทั้งหมดเป็นการบ่นอย่างโศกเศร้าที่อริซจำท่านไม่ได้
ในขณะที่ข้าได้แต่ขอโทษด้วยรอยยิ้มขมขื่นตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ดูเหมือนว่าอริซจะถูกเบลล์พาตัวกลับห้องไปแล้ว เรื่องโรงเรียนจึงถูกตัดบทไปทั้งๆแบบนั้น
เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อตาได้ยินเรื่องที่อริซปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตลาด ข้าควรจะควบคุมผู้คนในอาณาเขตไม่ให้พูดถึงเวทมนตร์ของอริซ แต่…..ม๊า ข่าวลือของผู้คนย่อมเร็วกว่าม้า เลื้อยผ่านและแผ่กระจายดุจดังสายลม ยังไงก็ตาม…แต่
“ไม่สิ”
ท่านพ่อตาก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ท่านอยู่ในตำแหน่งที่ต้องคว้าข้อมูลข่าวสารไว้ให้ได้มากกว่าใครๆ นับประสาอะไรกับเรื่องราวการพยายามฆาตกรรมขุนนางที่เกิดขึ้นภายในเขตเป็นกลางระหว่างราชอาณาจักรกับจักรวรรดิ หากข้าตอบสนองอย่างไม่เป็นมืออาชีพด้วยการพยายามปกปิด การดำรงอยู่ของข้าคงถูกตั้งข้อสงสัย
“ซ๊า ข้าควรจะทำยังไงดี”
นอกเหนือจากนั้น อีกปัญหาคือการเข้าโรงเรียนของอริซ แน่นอนว่าคุณสมบัติสำหรับการรับเข้าเรียนขั้นต่ำคือ อายุ 6 ปีขึ้นไป หมายถึงอย่างเร็วที่สุดก็ประมาณปีหน้า แต่หากต้องการจะให้เข้าเรียนจริงๆ ข้าก็คิดที่จะรอจนถึงนาทีสุดท้ายที่สุด เพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
เรื่องเงินนั่นไม่ใช่ปัญหา ข้ามีทั้งเงินรางวัลตอบแทนและเงินเดือนที่เก็บสะสมเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอัศวิน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ เรื่องจิตใจของอริซ เป็นเรื่องยากที่จะพูดให้อริซต้องการที่จะออกจากบ้านไปอย่างเต็มใจ แม้จะใช้คำเยินยอก็ตาม
การพยายามทำความคุ้นเคยกับโลกภายนอกอย่างแข็งขันครั้งแรก จบลงด้วยสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป ก็ดูเหมือนจะยังคงทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ข้าได้ยินมาว่าระหว่างทางที่ต้องผ่านตลาดเพื่อไปทดสอบเวทมนตร์ อริซดูค่อนข้างหวาดกลัว
ข้าจะสามารถส่งไปโรงเรียนในสภาพเช่นนี้ได้หรือ
“อื~ม……………..”
ยามเมื่อต้องเข้าเรียนที่โรงเรียน――――〝โรงเรียนเวทมนตร์หลวงรูเนเรีย〟 แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะเดินทางไปกลับโรงเรียนจากคฤหาสน์ได้แน่ๆ นอกจากนี้ ยังต้องใช้เวลาสามวันในการเดินทางจากที่นี่ไปยังเมืองหลวง แปลว่าอริซจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในหอพักของโรงเรียนเกือบตลอดเวลาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ยกเว้นการกลับบ้านในช่วงวันหยุด
“แต่”
แต่แน่นอนว่าท่าพ่อตาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน แม้จะเป็นหอพัก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องส่วนตัว และอนุญาตให้มีผู้ติดตามสองคนเข้าพักได้ด้วย โดยปกติมักเป็นอัศวินกับข้ารับใช้ แต่ก็มีกรณีพิเศษเช่น เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่จะมีอัศวินและข้ารับใช้ติดตามเป็นขบวน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านพ่อตาเองก็รู้สึกหนักใจเช่นกัน
และข้าเองก็กำลังกังวลเรื่องนั้นเช่นกัน ตอนนี้หากบอกว่าต้องอยู่คนเดียว อริซคงปฏิเสธโดยไม่ลังเล แต่การให้ไปอาศัยอยู่กับคนหมู่มากก็เป็นอีกเรื่องที่ปัญหาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ต่อให้ยอมไป แต่ผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนกัน”
หากพูดถึงผู้ติดตามแล้ว ก็คงเป็นเบลล์โดยไม่ต้องคิด ในฐานะพ่อแล้ว ข้าก็เหงานิดหน่อย แต่เบลล์เป็นคนที่อริซไว้ใจมากที่สุด แต่หากหัวหน้าข้ารับใช้ไม่อยู่เป็นเวลานาน นั้นก็จะส่งผลต่อการจัดสรรงานในคฤหาสน์ แต่ถ้าพูดในทางกลับกันนั่นคือมีเรื่องให้กังวลเพียงแค่นั้น
และอีกคนคือมิแรนดา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีอัศวินผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้าง และอริซก็ดูเหมือนจะชอบเธอเช่นกัน
“เงื่อนไขดีที่สุด แต่”
ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ของตัวอริซเองที่เป็นเหตุให้เงื่อนไขที่ดีทั้งหมดนี้ถูกพักเอาไว้ หากอริซปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนได้ไม่ดี อาจทำให้บาดแผลในใจลุกลามมากยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไป
“อ้าาา ข้าควรจะทำเช่นไรดี อลิเซีย……..”
ข้าเผลอตัวเรียกหาภรรยาของข้าที่มักจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ใจเย็น และถูกต้องในช่วงเวลาเช่นนี้ ข้าลูบแหวนบนนิ้วไปด้วยระหว่างที่ถาม
แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา
ยังไงก็ตาม
――――『ไม่ใช่ทุกสิ่งที่หมุนรอบตัวของท่าน』
“……นั้นสินะ อลิเซีย”
วันหนึ่งระหว่างการทำศึก ข้าถูกศัตรูซุ่มโจมตีในสนามรบ ในเวลานั้นข้าได้ทิ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังการถอยทัพต้องตาย
อลิเซียได้เข้ามาพูดกับข้าซึ่งกำลังโทษตนเองอยู่ว่า ทำไมถึงไม่เป็นตนเอง ทำไมถึงไม่รู้ตัว และอีกมากมาย
พวกเขาได้เลือกหนทางชีวิตของตนเองแล้ว พวกเขาตัดสินใจสละชีพที่นั่น พวกเขาจับดาบด้วยความมุ่งมั่งอันแรงกล้า การที่ข้ามาเสียใจโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง มันเป็นการดูถูกเหยียบย่ำชีวิตของพวกเขา อลิเซียพูดออกมาแบบนั้น
……บทบาทตัวเอกในชีวิตของใครบางคน ก็ย่อมเป็นตัวของเขาเอง
ทำเท่าที่สามารถทำได้ ทุ่มเทความรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีกำแพงมาขวางทางก็จงช่วยผลักดัน หากมีลูกศรตกลงมาก็จงเป็นเกราะกำบัง
ยังก็ตาม ข้าต้องไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจว่าจะไปทางไหน
“ดีล่ะ”
หากมีอะไรผิดพลาด แล้วอริซเจ็บปวดและร้องไห้กลับมา ข้าจะสนับสนุนเท่าที่จะทำได้จนกว่าความเจ็บปวดจะหาย และจนกว่าอริซจะยิ้มได้อีกครั้ง
อริซสามารถเริ่มต้นใหม่กี่ครั้งก็ได้ สามารถอยู่ในห้องได้ตลอดชีวิต
“ยังไงก็ตาม ต้องรวบรวมเงินทุนมาก่อนสินะ”
อริซต้องเป็นคนตัดสินใจชีวิตของอลิซเอง
“อื~~ม…….”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ อริซซามะ”
ฉันนอนร้องคร่ำครวญอยู่บนเตียงขณะที่มองเบลล์ซังกำลังเขียนอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันกำลังกังวลอยู่คือ เรื่องโรงเรียน แค่การได้พบกับคุณตาตัวต่อตัวอย่างกระทันหันก็สับสนมากเพียงพอแล้ว พอถูกขอให้เข้าเรียนที่โรงเรียนอีก นั้นยิ่งทำให้หัวของฉันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว อยากจะทำอะไร ฉันยังไม่รู้เลย
“……หมายถึงเรื่องโรงเรียนเหรอคะ?”
“อืม”
ฉันคลุ่นคิดแล้วมองย้อนกลับโดยไม่ได้ให้คำตอบ กับเบลล์ซังที่พูดพร้อมมองมาที่ฉัน เธอวางปากกาลงที่โต๊ะและยืนขึ้น เดินมานั่งลงข้างๆฉัน
“อริซซามะสนใจที่จะเรียนรู้เวทมนตร์และเรื่องอื่นๆอีกมากมายรึเปล่าคะ?”
“อืม”
ถ้าถามว่าสนใจไหม ก็สนใจแน่นอน ฉันอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกใบนี้ และเกี่ยวกับเวทมนตร์ นอกจากนี้ในแง่ของการเอาชนะความวิตกกังวลโลกภายนอกที่เหลืออยู่ด้วย การใช้เวลาอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่ผลเสียอย่างแน่นอน แน่นอนแม้ว่าจะหมายถึงฉันจะต้องอยู่โดดเดี่ยว
“ยังกลัวที่จะออกไปนอกคฤหาสน์รึเปล่าคะ?”
“อึ………..”
ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลยคงเป็นการโกหก จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ภายในคฤหาสน์คือโลกทั้งใบของฉัน
การกระโดดออกไปยังสิ่งที่ไม่รู้จักมักจะมีความวิตกกังวลอยู่เสมอ
ยังไงก็ตาม มือที่ลูบผมเบาๆนั้นอบอุ่นมาก ฉันมั่นใจว่าหากมีเบลล์ซังอยู่ข้างๆฉันสามารถไปได้ทุกทที่อย่างแน่นอน แล้วฉันก็พยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้ามีเบลล์อยู่ด้วย ก็ม๊ายเป็นร๊าย”
“เช่นนั้นรึคะ ดิฉันเองก็รู้สึกสบายใจที่สุดเมื่อได้อยู่ข้างๆอริซซามะเช่นกันค่ะ”
“เอะเฮะๆๆ”
ฉันมีความสุขมากกับคำพูดพร้อมรอยยิ้มของเบลล์ซัง ฉันเขินอายออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
จากนั้นเบลล์ซังก็กุมหน้าอกด้วยเหตุผลบางอย่าง และส่งเสียงแปลกๆออกมา
“กุกุกุกุ………. ⁉ “
“เบลล์?”
“มะ ไม่มีอะไรค่ะ”
ฉันมองใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นดูเหมือนสง่างามและหนักแน่นอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่จะส่ายหัว
“อริซซามะ?”
“ม๊ายมีอาร๊ายก่ะ”
ฉันตอบกลับไปแบบเดียวกัน จากนั้นรอยยิ้มจากที่ไหนก็ไม่รู้ก็ทะลักออกมา
ในที่สุดฉันก็รู้สึกผ่อนคลาย หัวของฉันที่ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายมาจนถึงตอนนี้ได้สงบลงอย่างสมบูรณ์ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองใจเย็นลงแล้ว
ฮา、ฟู้ ฉันอยากเข้าใจให้มากกว่านี้ ฉันลุกขึ้นและเงยหน้ามองเบลล์ซัง
“……ขอบกุณ”
“หมายถึงเรื่องอะไรรึคะ?”
เบลล์ซังกางฝ่ามือทั้งสองข้างข้างไหล่ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่อง และกอดฉันเบาๆจากด้านหน้าโดยไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความกังวลใจ หางม้าสีดำวาวของเธอตกลงมาจักจี้ข้างหูฉัน
“สบายใจ”
“ดิฉันเองก็สบายใจเหมือนกันค่ะ อริซซามะ”
มือถูกกอดรอบเอวเพื่อไม่ให้สัมผัสบาดแผลที่หลัง พอฉันเงยหน้าขึ้นไปดวงตาคู่สีดำวาวก็ก้มลงมามองอย่างอ่อนโยน ด้วยเหตุผลบางอย่างหน้าอกของฉันก็เต้นดัง ตึกตัก
“บะ เบลล์”
“อะไรเหรอคะ”
จี่~ ทันใด ฉันก็รู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปหาดวงสีดำวาวของเธอที่มองมาที่ฉัน แล้วฉันก็ก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ม๊ายมี……..อือึอ”
ฉันตอบกลับเสียงเรียก「อริซซามะ? 」ด้วยเสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ไม่ใช่การกลบเกลื่อน เป็นเรื่องที่จู่ๆฉันก็อยากพูด
“รักที่สุด”
” ――――っ、…… “
ドクン ไม่ใช่ความผิดของฉันนะที่ทำให้เบลล์ซังใจเต้นแรงแบบนั้น แก้มของเธอถูกย้อมเป็นสีแดงอย่างรวดเร็วราวกับแสงที่ถูกจุด แรงที่ใช้กอดฉันเพิ่มมากขึ้น
ใบหน้าของฉันถูกฝังลงที่หน้าอกนุ่มนิ่ม
“ฟุกิ๊ว”
“อริซซามะ ไม่เอาสิคะ”
“อู…………?”
ฉันไม่ได้ยินคำห้ามที่พูดออกมา เพราะฉันกำลังพยายามเอาตัวรอดจากการขาดอากาศอย่างเต็มที่
เพราะมือของเธออยู่รอบเอวของฉัน ทำให้เมื่อเบลล์ซังเพิ่มแรงกอดขึ้น ก็ทำให้กลายเป็นท่าทางการกอดยกขึ้นในแนวเฉียงขึ้นเข้าหาหน้าอกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ยากต่อการเอาหน้าออก
หลังพยายามต่อสู้กับการถูกหน้าอกหนีบหน้าเป็นแซนวิช ในที่สุดฉันก็ยกหัวขึ้นได้
“ฟู๊ว…….”
“วะๆๆๆ ขอประทานโทษด้วยค่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?”
ในที่สุดเบลล์ซังก็สังเกตเห็นอาการไม่สู้ดีของฉันที่คอถูกหนีบไว้ด้วยหน้าอกของเธอ เธอฝืนยิ้มแล้วหัวเราะ อะฮะๆๆ
ฉันทำปากพองประท้วง และจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย
“ไม่”
“กู๊ว……. !? “
ฉันพูดสั้นๆออกไประหว่างหอบหายใจ ทันใดนั้นเบลล์ซังก็จับจมูกแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน
“โอ้ พระเจ้า”
“เบลล์………..?”
“อย่างที่ดิฉันคิดเสมอ เวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะคือ〝มนตร์เสน่ห์〟อย่างแน่นอน เฮะๆๆๆ”
“เอ่อ?”
ใบหน้าที่พึมพำบางอย่างราวกับเสียงกระซิบ ดูราวกำลังลอยไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ฉันยอมแพ้ทันทีหลังเรียกไปแล้วเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ ฉันทำได้แต่เอาคางวางไว้บนหน้าอกรอเบลล์ซังกลับมาที่โลกใบนี้
“…….ฮะแอม”
“ยินดีต้อนรับกลับ”
“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยค่ะ อริซซามะ”
“ไปที่ไหนมาเหรอ”
“ค่ะ น่าจะสรวงสวรรค์เล็กๆค่ะ”
“สรวงสรววค์?”
“ดิฉันเห็นนางฟ้าด้วยค่ะ”
เบลล์ซังพยักหน้าแรงๆพูดอะไรแปลกๆด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาของเธอดูจริงจังจนฉันต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปแตะต้อง
ในที่สุดเธอก็คลายแขนที่กอดอยู่ออก แต่ฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางของตัวเอง ไม่มีคำพูดใดๆ พวกเราแค่นั่งจ้องหน้ากัน
“อริซซามะ”
“กะ”
ทันใดนั้นเบลล์ซังก็มองไปที่หน้าต่างที่มีแสงอันอบอุ่นสาดส่องเข้ามา ฉันเองก็ถูกดึงดูดให้มองตามไป และมองเห็นท้องฟ้าใสผ่านกรอบหน้าต่างที่เปิดอยู่
วันนี้ข้างนอก ก็มีแดดสดใส
เบลล์ซังพูดต่อขณะมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดผ่านด้วยกลุ่มเมฆหลายชั้นที่ไม่สม่ำเสมอและดูยาวไม่มีที่สิ้นสุด
“……พรุ่งนี้ อยากจะออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยไหมคะ”
“เดินเล่น?”
“ค่ะ นั้นสินะคะ พาคาลเมียร์ไปที่สวนแมเรียนด้วย”
“แมเรียน”
ฉันตอบสนองต่อคีย์เวิร์ดมหัศจรรย์จนเกือบจะบอกว่าไปในทันที แต่ก็กลืนไว้ได้ทันก่อน
เดินเล่น เป็นคำชวนที่กะทันหันมากๆ โดยพื้นฐานแล้ว เบลล์ซังไม่ค่อยได้เดินจูงมือฉันข้างนอก กาทำเช่นนั้น จากจุดยืนของข้ารับใช้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ อย่างเช่นตอนที่คุณตามาเยี่ยมฉันเมื่อวันก่อนเองก็เช่นกัน
ดังนั้นจึงค่อนข้างหายากที่เธอจะแนะนำอย่างยินดีให้ฉันออกไปเดินเล่น
“……เดินเล่น”
“ใช่ค่ะ ถึงจะไม่ควรทำนิดหน่อย แต่การได้นอนกลิ้งบนทุ่งหญ้าใกล้ๆสวน และมองไปยังท้องฟ้า ก็ทำให้รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ”
เสียงที่มาจากความรู้สึกที่แท้จริง ชวนให้ฉันลอกนึกภาพถึงฉากที่ว่า
อย่าง วางตะกร้าใส่อาหารเบาๆไว้ข้างๆ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีเบลล์ซังกับคาลเมียร์ซัง พวกเราสามคนนอนเคียงกัน มองขึ้นไปยังท้องฟ้า ทิ้งตัวลงในทะเลทุ่งหญ้าที่พลิ้วไหวตามสายลม
……..เข้าใจแล้ว นั่นดูสบายมากๆ
“…….อืม”
อาจเป็นความคิดที่ดีที่จะออกไปข้างนอกสักครั้งเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ นอกจากนี้ฉันรู้สึกว่าท้องฟ้าที่ฉันมองขึ้นไปจะทำให้ฉันลืมความกังวลและความกลัวไปได้
“……แต่ ทำไม?”
แล้วเบลล์ซังก็เกาแก้มโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่คุณพ่อชอบทำ
“ดิฉันแค่อยากให้อริซซามะได้เห็นทิวทัษน์ที่ดิฉันรักค่ะ”
“…….ของเบลล์?”
“ค่ะ …….นี่เป็นการพูดกับตัวเองนะคะ”
เบลล์ซังพูดเกริ่นเอาไว้กิ่น แล้วในที่สุดก็เริ่มเล่า
ฉันเลือกที่จะไม่พูดขัด ทำเพียงแต่ฟังอย่างเงียบๆ
“ดิฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักหน้าตาพ่อแม่ของตัวเอง ตั้งแต่ที่จำความได้ดิฉันก็ทำงายอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองที่เหมือนเป็นจุดรวมตัวของคนเร่ร่อน”
“อืม”
“…….วันหนึ่งดิฉันก็ทนไม่ไหวกับชีวิตแบบนั้น จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น เงินกับอาหารก็หมดลงในไม่ช้า และมีคนจำนวนไม่มากที่จะช่วยเหลือเด็กกำพร้า สุดท้าย ดิฉันก็มาล้มลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่”
ที่กำลังเล่าอยู่คืออดีตของเธอ ประวัติของเบลล์ซังที่ฉันไม่เคยรู้จนกระทั้งถึงตอนนี้
ฉันไม่แม้แต่จะแปลกใจหรือพยักหน้า
“……คฤหาสน์”
“ค่ะ นั่นคือที่นี่ ที่พักอาศัยของตระกูลแฟร์มีล และ…….อลิเซียซามะก็เป็นผู้ที่มาพบดิฉัน และรับดิฉันเข้ามาดูแล ฮัททีเรียซามะและอลิเซียซามะได้ดูแลดิฉันเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง”
เบลล์ซังได้มาถึงที่นี่ด้วยผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่ซ้อนทับกันโดยบังเอิญ
แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ในช่วงนั้น ดิฉันก็ได้รับการสอนงานของข้ารับใช้ทีละเล็กทีละน้อย แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่ทำได้ไม่ดีนัก”
“อืม”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำทุกอย่างได้ตั้งแต่เริ่มต้น
ต้องมีสะดุดบ้างอย่างแน่นอน
“ตอนนั้น อลิเซียซามะได้พาดิฉันไปที่สวนแมเรียนเพื่อเดินเล่น ……ณ ที่แห่งนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ทำเพียงนอนมองท้องฟ้า”
“อืม”
เมื่อพูดถึงตรงนั้น เบลล์ซังก็เบนสายตาจากหน้าต่างกลับมามองที่ฉัน
ทันใดนั้นฉันรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของคุณแม่ที่ฉันไม่ควรรู้จักได้ซ้อนทับกันกับเธอ
“จากนั้นระหว่างการเดินทางกลับที่ดิฉันเดินอยู่ถัดจากอลิเซียซามะ ด้วยเหตุผลบางอย่างดิฉันรู้สึกสดชื่นมากๆ”
แผ่นหลังทั้งสองที่ปรากฏมารางๆให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหงาเล็กๆนิดๆหน่อยๆ
เบลล์ซังลูบผมของฉันเพื่อปลอบใจ
“――――ดิฉันอยากให้อริซซามะเป็นกังวลในตอนนี้ได้เป็นทิวทัศน์เดียวกันกับที่อลิเซียซามะเคยใช้สอนดิฉันค่ะ”
นั่นเป็นคำพูดของเบลล์ซัง ในขณะเดียวกันก็เป็นคำพูดของคุณแม่
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังที่กำลังเช็ดน้ำตาที่ไหลทะลักของเธอ
“อืม”
“……ขอบพระคุณมากค่ะ อริซซามะ”
คำพูดที่หนักแน่นและเข้าใจ ไม่เพียงพอเหมือนอย่างเคย
จากนั้นเบลล์ซังก็ออกห้องไปโดยบอกว่าจะไปเอาผ้าสำหรับเปลี่ยนที่หลังมาให้ ฉันกังวลมากจนสงสัยว่าเธออาจจะเป็นเอสเปอร์จริงๆ
เมื่อฉันอยู่คนเดียวได้สักพัก”
“อึก……ท่านแม่…….ท่านแม่…….. !”
ฉันร้องไห้โดยกอดเงาของคุณแม่ที่ “ ไม่ได้รักษาเอาไว้ ”