ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 30 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 10 เวทมนตร์ที่แท้จริง
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 30 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 10 เวทมนตร์ที่แท้จริง
ตอนที่ 10 เวทมนตร์ที่แท้จริง
“แช่แข็ง”
มือของฉันยังคงกุมอยู่ที่ยอดของคันชั่งที่หักลง น้ำแห่งการรู้แจ้งกลายเป็นน้ำแข็ง
ฉันนอนลงบนตักของเบลล์ซังแล้วสบตาคู่หูทั้งๆแบบนั้น แต่ก็ไม่มีการตอบสนองกลับมา
“…..เอ๊ะ”
พวกเบลล์ซังพูดไม่ออก การได้เห็นน้ำแห่งการรู้แจ้งกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้พวกเธอไม่สามารถหาคำใดๆมากล่าวได้
มิร่าซังบอกว่าเธอไม่เคยเห็นผลการทดสอบแบบนี้มาก่อนเลย และดูเหมือนเบลล์ซังและคลอริน่าซังเองก็เหมือนกัน
“เอ๊ะโตะ เอ๊ะโตะ”
ฉันเริ่มตื่นตระหนก ตอนแรกที่เห็นน้ำแห่งการรู้แจ้งล้น ฉันก็คิดว่าเป็นเวทมนตร์เกี่ยวกับน้ำ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ดีเวลาที่กระหายน้ำ ฉันคิดไปแต่เรื่องไร้สาระ จนกระทั้ง
……..น้ำถูกแช่งแข็ง มันทำให้ฉันแปลกใจเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับคนอื่นๆมันเป็นผลการทดสอบที่ดูพิเศษแปลกประหลาด
ไม่สิ ฉันได้ยินจากเบลล์ซังว่าเส้นผมสีเงินของฉันเป็นสีที่หาได้ยากมากๆ อยู่ในระดับที่ทั้งราชอาณาจักรมีแค่ฉันเพียงคนเดียวที่มี ดังนั้นฉันเลยคิดว่าเวทมนตร์เองก็คงเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ ในความเป็นจริง มันเป็นแค่การคิดไปเองของฉัน ความประหลาดใจและความสับสนทำให้ฉันเกร็งไปทั้งตัว
และเบลล์ซังดูเป็นกังวล มิร่าซังกับคลอริน่าซังมีแต่ความประหลาดใจอย่างหมดจด
มีแค่เบลล์ซังเท่านั้นที่ดูแตกต่างออกเล็กน้อย เธอดูเหมือนจะมีความสุขที่ผลการทดสอบออกมาดี แต่ใบหน้าของเธอดูเหมือนกำลังไตร่ตรองอย่างเคร่งเครียดมากกว่าที่จะประหลาดใจ
“….เบลล์?”
“มะ ไม่มีอะไรค่ะ อริซซามะ ……..ดิฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น”
เบลล์ซังพูดแบบนั้นแล้วหันไปมองสบตาคลอริน่าซังที่อยู่ข้างๆก่อนพยักหน้าให้กันอย่างล้ำลึก
จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยได้ยิน ต่างจากน้ำเสียงที่สงบนิ่งอยู่เสมอ
“――――เวทมนตร์、น้ำแข็ง เป็นเวทย์มนตร์ลึกลับที่ควรจะมีอยู่แต่เพียงในตำนาน เป็นเวทมนตร์ที่จะทำให้ทุกสรรพสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ผู้ที่จะใช้ได้ควรจะมีเพียงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่ง 〝ศาสนาเนยูมุร์อันศักดิ์สิทธิ์〟”
“เนยู….”
“ค่ะ ตามความเชื่อของพวกเรา โลกนี้คือดินแดนโบราณที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า มีคำสอนที่ว่าในยามที่การลงทัณฑ์ของพระเจ้าได้ผ่านพ้นไป……..ในยามที่ยุคน้ำแข็งได้สิ้นสุดลงไป ยามนั้นทุกชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน”
“เนยูมุรุ”
จะว่าไป คำอวยพรอธิษฐานที่คลอริน่าซังพูดในวันเกิดของฉันก็มีคำนี้เหมือนกัน
เนยูมุร์ เข้าใจแล้ว ความเท่าเทียม เพราะแบบนั้นเลยใช้สัญลักษณ์เป็นคันชั่งสินะ
ยังไงก็ตาม
“แต่ ทุกคน กิน ปกป้อง”
คำถามผุดขึ้นมาในใจฉันอย่างเฉียบพลันจนเผลอถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ
ฉันรู้ดีว่านี้เป็นการออกนอกเรื่องเวทมนตร์ของฉัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันต้องการได้ยินคำตอบเพียงคำเดียวจากคำสอนของ 〝ศาสนาเนยูมุร์อันศักดิ์สิทธิ์〟
“…..ค่ะ ทุกสรรพสิ่งต้องหยิบยืมชีวิตของสิ่งอื่นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ทุกชีวิตล้วนมีความเท่าเทียมกัน พวกเราสามารถกินสัตว์ได้ และในทางกลับกัน เหล่าแมลงก็สามารถกัดกินพืชผลจนอาจนำมาซึ่งความอดอยาก อย่างไรก็ตาม นั่นก็หาใช่บาปของพวกเขาไม่”
“อืม”
“การแข่งขันเพื่อชีวิตในธรรมชาติคือ การอยู่ร่วมกันและเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ความตายของใครบางคนจะกลายเป็นชีวิตให้กับใครบางคน ยิ่งกว่านั้นความตายก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ พลังเวทมนตร์นั้น เป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ถูกสั่งสมอย่างพิเศษ และหากวันหนึ่งมันไม่สามารถส่งผ่านไปยังลูกหลานได้อีกแล้ว เวลานั้น มันจะหวนกลับสู่ธรรมชาติ และเริ่มต้นสร้างชีวิตใหม่อีกครั้ง”
“……..ยอดเยี่ยม”
ฉันเริ่มเข้าใจแล้ว การมองชีวิตจากที่สูง ฉันรู้สึกว่ามุมมองของฉันได้รับการขยายจากความคิดที่ยิ่งใหญ่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศาสนาเนยูมุร์ ใช้ธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นตัวแทนของความเชื่อในพระเจ้า
ดูเหมือนว่า〝คำสอน〟จะไม่ได้ผูกพันกับตัวตนความเป็นมนุษย์ แต่เป็นการบอกเล่าว่า การแย่งชิงชีวิตเพื่อให้มีชีวิต นั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ถูกรังสรรค์โดยพระเจ้า
แต่ในเวลาเดียวกัน หากมีการตีความผิดๆ ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถกลายเป็นวิธีคิดที่ว่าสามารถดูถูกเหยียดหยามผู้อ่อนแอได้
และเนื่องจากมีโบสถ์อยู่มากมาย ก็หมายความว่านี่เป็นความเชื่อที่มีผู้คนเชื่ออย่างกว้างขวาง
…..หรือก็คือ ความแตกต่างที่น่ากลัวระหว่างประชาชนธรรมดากับเหล่าชนชั้นสูงที่ฉันได้เห็นและได้ยินที่ตลาด ก็อาจเป็นผลมาจากการบิดเบือนคำสอนให้บิดเบี้ยว
“……และเมื่อใดที่ผู้คนออกห่างจากวิถีที่ควรจะเป็น เมื่อนั้นว่ากันว่าจะมีบางอย่างเช่น〝หิมะ〟ตกลงมาเป็นคำเตือนของพระเจ้า”
หิมะ หิมะงั้นเหรอ เข้าใจแล้ว หากยุคน้ำแข็งคือการลงทัณฑ์ การใช้หิมะเป็นคำเตือนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ
ว่าไปแล้ว ฉันเองก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินว่ามีหิมะตกที่ไหนมาก่อนเลยสักทีในช่วงห้าปีที่ฉันเกิดมา ในทางตรงกันข้ามฉันก็แทบไม่เคยรู้สึกหนาวถึงขั้นนั้นเลย
จริงอยู่ว่าฉันใช้เวลาส่วนใหญ่นอนอยู่บนเตียงจนอาจไม่ได้รู้สึกถึงอุณหภูมิจริงๆ แต่อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีหิมะตกในภูมิประเทศแถบนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่แปลกที่หิมะและน้ำแข็งจะเป็นสิ่งลึกลับ
ฉันยอมรับอะไรๆหลายๆอย่างได้แล้ว ฉันเลยพยักหน้า คลอริน่าซังดูจะพอใจและเริ่มพูดต่อ
“หรือก็คือเวทมนตร์น้ำแข็งได้รับการเคารพในฐานะผู้ส่งสารของพระเจ้า กะไว้แล้วว่าคุณหนู…….”
และทันใดนั้นเธอก็หยุดพูด ก่อนเบิกตากว้าง เอามือทาบอกมีสีหน้าจริงจัง
มิร่าซังที่อยู่ข้างๆเองก็ดูมีสีหน้าจริงจังด้วยเหมือนกัน
ทั้งสองคนเริ่มแสดงออกอย่างซับซ้อนเหมือนกับที่เบลล์ซังทำไป
“กะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ…….?”
เบลล์ซังจับมือฉันไว้แน่นด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อความเงียบดำเนินผ่านไป ก็เป็นมิร่าซังที่เอ่ยปากอธิบาย
“…..ฮิเมะ ทราบหรือไม่คะ ว่ามีกลุ่มคนที่ไม่พอใจในราชอาณาจักรปัจจุบันที่เรียกตนเองว่า〝กลุ่มต่อต้าน〟อยู่”
“รู้”
แน่นอนว่าฉันเข้าใจดีว่าทำไมถึงมีกลุ่มคนแบบนั้น มันเป็นขอบเขตที่สามารถรู้ได้
นอกจากนี้ ในชาติก่อน ฉันเองก็เคยเป็นคนของกลุ่มแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง
“ศาสนาเนยูมุร์อันศักดิ์สิทธิ์มีพลังอันแข็งแกร่งอยู่ ไม่ใช่พลังในแง่ของการต่อสู้ แต่เป็นในแง่ของอิทธิพล”
“อืม”
ฉันพยักหน้าตอบสนองเป็นช่วงๆให้มิร่าซังที่หัวหมุนพยายามอธิบายทุกอย่างด้วยคำพูดที่เข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉันเข้าใจดี แม้แต่ในชาติก่อน ศาสนาที่มีอิทธิพลมากๆก็ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น จำนวนคือพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีสิ่งยึดเหนี่ยวให้เป็นปึกแผ่น และศาสนาก็คือสิ่งที่ทำให้เป็นจริงได้
“ถ้าหากว่า มีคนรู้ว่าฮิเมะสามารถใช้เวทมนตร์น้ำแข็งได้ ทุกคนก็จะเรียกฮิเมะว่าเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า”
“……อืม”
แน่นอน ฉันสามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าความสามารถของฉันแพร่กระจายออกไป
…..ไม่สิ ใช่แล้ว กลุ่มต่อต้านก็จะรู้อย่างแน่นอน
“――――เป็นเป้า?”
“……ค่ะ และพวกเขาจะพยายามใช้พลังของฮิเมะอย่างแน่นอน”
จากนั้นมิร่าซังก็ก้มหน้าลงกำหมัดแน่น
ฉันเข้าใจ จากมุมมองของกลุ่มต่อต้านแล้ว พลังของฉันคือเครื่องแสนสะดวก
หากมีผู้ที่ถูกเคารพนับถือในฐานะผู้ส่งสารของพระเจ้าในศาสนาที่ถูกนับถืออย่างกว้างขวาง โดยปกติแล้วคนๆนั้นก็จะมีอิทธิพลเป็นอย่างสูงแน่นอน
และ หากมีหิมะแห่งคำเตือนตกมาอีก
――――จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้ส่งสารของพระเจ้า ผู้ใช้เวทมนตร์น้ำแข็ง ประกาศต่อต้านต่อผู้ปกครอง ต่อราชอาณาจักร
ไม่จำเป็นต้องคิด มันเป็นเหตุผลอย่างดีของการกบฏ
ผู้คนจำนวนมากจะชูธงผืนเดียวกัน
เช่นนั้นแล้ว มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเหตุใดกลุ่มต่อต้านถึงจะหันความต้องการเล็งมาที่ตัวฉัน
พวกเขาจะสามารถแพร่กระจายคำตัดต่อที่สามารถใช้ในการปลุกระดมและต่อต้านได้ ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องตัดต่อคำเลย แค่พูดเรื่องโกหกออกไปซะก็พอ
หรือจะลักพาตัว ใช้วิธีคุมคามโดยตรง บีบควบคุมให้ฉันพูดก็ได้
แน่นอนว่าหากข้อเท็จจริงที่ว่าฉันถูกลักพาตัวไปบังคับให้พูดหลุดออกมา ผู้ศรัทธาทุกคนก็จะกลายเป็นศัตรู ซึ่งคงไม่มีใครคิดทำแบบนั้น แต่อาจมีบางคนที่อยากครอบครองตัวฉันโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง
และมันหมายความว่ามันจะเกิดอันตรายต่อฉัน และทุกสิ่งรอบตัวฉัน
…….ร่างของเบลล์ซังที่ชุ่มไปด้วยเลือดปรากฏมาในความคิดของฉัน
“――――มะ、ม๊ายยยยย!?”
ยิ่งฉันคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่ความหวาดกลัว
ในที่สุดเมื่อฉันตระหนักได้ถึงความสำคัญของสิ่งต่างๆ ร่างกายของฉันก็สั่นอีกครั้ง เหมือนกับคราวที่กำลังจะออกจากบ้าน
“อริซซามะ! ได้โปรดสงบใจลงด้วยเถอะค่ะ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะคะ…….”
“อึก อึกกกก………!”
ถึงจะตื่นตระหนก แต่ มือของเบลล์ซังที่กอดฉันไว้แน่นก็เริ่มลูบหลังของฉัน เอ่ยคำปลอบโยนพยายามให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ฉันรู้สึกว่าตัวเองสั่นน้อยลง
ฉันพยายามทำให้ตัวเองสงบลงด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเงยหน้าที่ถูกกอดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะ ตอนนี้ มีใครบ้างที่รู้ถึงเวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะบ้าง?”
“ฉัน กับ……เบลล์ มิร่า คลอริน่าซัง”
“ใช่แล้วค่ะ ไม่มีคนนอกที่ได้รู้ถึงเวทมนตร์ที่แท้จริงของอริซซามะ”
เมื่อฉันไปที่มิร่าซังและคลอริน่าซัง ทั้งสองคนก็จ้องตาตอบ
ฉันเข้าใจสิ่งที่ทุกคนต้องการจะสื่อแล้ว
กล่าวคือเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ทุกอย่างจะไม่เป็นไร ถ้าไม่ไปบอกใคร
“…..ฮิเมะ ดิฉันคือ อัศวินของท่านค่ะ”
“คุณหนูคือแสงสว่างของฉันค่ะ”
มิร่าซังและคลอริน่าซังพูดออกมาให้เห็นอย่างแรงกล้า
“อริซซามะ”
ในตอนท้ายเบลล์ซังก็พูดเพียงคำเดียวคือเรียกชื่อของฉัน
แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
…..แค่นั้น ใจฉันก็เย็นลงได้
มีโอกาสไม่มากนักที่จะได้ใช้เวทย์มนตร์น้ำแข็ง
นอกจากนี้ ฉันแน่ใจว่ามีหลายคนที่เห็นฉันใช้เวทมนตร์ในการย้ายบาดแผลของเบลล์ซัง พวกเขาจะต้องจดจำว่านั้นคือเวทมนตร์ที่แท้จริงของฉันอย่างแน่นอน
ถ้าแพร่กระจายไปอาจจะมีเรื่องลำบากเกิดขึ้น แต่ความสงสัยอาจจบลงที่ว่านั้นคือเวทมนตร์เสริมพลังที่หายาก มันอาจเป็นของพิเศษสำหรับอัศวินหรือจอมเวท แต่ตอนนี้ฉันเป็นขุนนาง ไม่มีทางที่พวกเข้าจะบังคับพาตัวฉันไปวิจัยหรือเข้ากองทัพได้
จากนี้ไป สิ่งที่ต้องทำคือ เตรียมพร้อมที่จะเรียกพลังในตอนนั้นว่าเวทมนตร์ที่แท้จริงของตัวเอง
“…..ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมค่ะ?”
“อืม ขอโทษก่ะ”
“ไม่ ไม่ค่ะ อริซซาะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ”
“…..ขอบกุณ”
ถูๆ ก่อนจะรู้ตัวเธอก็เช็ดน้ำตาที่อาบแก้มของฉันอยู่ออกไป
มันน่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถพูดถึงเวทมนตร์ที่แท้จริงได้ แต่ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนั้น ฉันก็ไม่ได้คิดที่จะสร้างปราสาทน้ำแข็งด้วย
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ความลับจะรั่วไหลจากพวกเบลล์ซัง ข้อกังวลเพียงอย่างเดียว คือ เกล็ดน้ำแข็งที่ดูเหมือนจะไม่ยอมละลายเลย
คลอริน่าซังมองไปตามสายตาของฉัน เมื่อเธอสังเกตเห็นเธอก็ยกมันขึ้นมาทันที
“อัตโตะ ม๊า! ฉันมือลื่นไปหน่อย”
“เอ๊ะ”
เธอทิ้งมันลงบนพื้นด้วยท่าทางคำพูดแสร้งทำ
เพล้ง น้ำแข็งร่วงลงแตกกระจายเป็นชิ้นๆในจาน
“นั้นแย่แล้ว! คลอริน่าซังบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ? …..วาๆ ดิฉันเผลอเหยียบไปซะแล้วสิ”
“เอ๊ะ”
มิร่ากุมมือคลอริน่าซังไว้แล้วแสร้งตื่นตระหนกเช่นกัน ก่อนจะเหยียบลงบนจานของคันชั่งอย่างแรง
เพล้งๆ และก้อนน้ำแข็งที่แตกอยู่บนจานก็ถูดบดขยี้หายไปจากจานอย่างหมดจด
“อ้า ดิฉันจะทำยังไงดี กรุณาลงโทษดิฉันด้วยเถอะค่ะ”
“ไม่ๆค่ะ มิแรนด้าซามะ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะท่านพยายามช่วยดิฉัน ดังนั้นไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ”
ฉัรู้สึกสับสนนิดหน่อยกับการคุยโต้ตอบไปมาของทั้งสองคน คราวนี้เป็นเบลล์ซังที่ปล่อยแขนที่กอดฉันไปหยิบคันชั่ง
“อาร๊า ดูเหมือนว่าตอนที่ตกลงไปเมื่อสักครู่จะทำให้มีฝุ่นเกาะค่ะ ขออนุญาตทำความสะอาดให้นะคะ มิแรนด้าซังขอยืมมีดหน่อยจะได้ไหมคะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว น็อกซ์เบลซัง”
ทันใดนั้นมิร่าซังก็ดึงมีดมีดออกจากปลอกที่เอวส่งให้ เบลล์ซังที่รับไปก็ใช้มันขูดน้ำแข็งที่เหลืออยู่อย่างคล่องแคล่ว
“ตอนนี้มันสะอาดหมดจดแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมากนะคะ น็อกซ์เบลซามะ”
“อย่างที่คาดไว้น็อกซ์เบลซังทำความสะอาดได้อย่างยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
จากนั้นมิร่าซังก็รวบรวมน้ำแข็งที่ยังหลงเหลืออยู่ และยกเท้าอีกครั้ง
“เท๊ะ”
“เอ๊ะ”
ตึก เธอบดขยี้พื้นด้วยความเร็วและพลังมหาศาลที่มนุษย์ธรรมดาๆไม่สามารถทำได้อีกครั้ง
ขาเรียวยาวของเธอปลดปล่อยพลังมหาศาลที่เร็วจนมองแทบไม่ทัน บดขยี้ลงไปบนน้ำแข็งที่ไร้ทางหนี เมื่อเท้าของเธอกระทบถึงพื้น เศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วนก็สลายหายไปทันที
จากนั้นพวกเบลล์ซังก็หันมายิ้มให้กันและกัน
แล้วเบลล์ซังก็นั่งย่องๆลงมามองสบตา และยิ้มให้ฉันที่กำลังตกตะลึงกับเรื่องที่เห็น
ยังไงก็ตาม มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“ยังไงก็ตามอริซซามะ มีอะไรเกิดขึ้นกับคันชั่งรึเปล่าคะ?”
“…..มะ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
ฉันไม่มีทางเลือก นอกจากตอบไปแบบนั้น
ความร่วมมือกันที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มันอะไรกัน ฉันคิดว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้การวางแผนที่น่าทึ่งมาก
“…..ขอบกุณ”
“ค่ะ อริซซามะ”
ฉันเริ่มเขินที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักเบลล์ซังอีกครั้ง จนได้แต่หยิบคู่หูบนเก้าอี้ขึ้นมาบังหน้าตัวเอง ฉันสงสัยจังว่าจะมีวันที่ฉันจะไม่ต้องพึ่งพาคู่หูมาถึงไหมนะ
“……เช่นนั้น ในตอนนี้การทดสอบเวทมนตร์ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะคะ คุณหนู”
“อืม ขอบกุณมากๆเช่นกันก่ะ”
“ไม่หรอกค่ะๆ ฉันต่างหากที่ต้องรู้สึกขอบคุณ ถ้าเช่นนั้นฉันต้องขออนุญาตกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ……แต่จะกลับเลยรึเปล่าคะ?”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองเบลล์ซังเพื่อพูดคุยผ่านสายตาหาคำตอบให้คลอริน่าซัง
“อริซซามะอยากกลับบ้านเมื่อไรก็ได้ค่ะ”
“……….อืมมมมมม”
ฉันมีภารกิจกินแมเรียน…..มะ หมายถึงกินอาหารกลางวัน ฉันควรรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด
แต่ ฉันก็ยังอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่กับเบลล์ซัง มิร่าซังอีกสักหน่อย
อีกอย่าง ฉันอยากดูแสงที่เหมือนเทพนิยายที่เกิดจากกระจกสีและคันชั่งสีเงินนั่นอีก
“อีกสักพัก”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นเมื่อคุณหนูต้องการที่จะกลับ โปรดติดต่อกับทวารบาล แล้วฉันจะมาพบ…….”
เธอโค้งคำนับให้ฉัน ก่อนจะถือคันชั่งกับถ้วย แต่ก่อนที่เธอจะหันหลังเดินออกไป ฉันก็พยายามหยุดเธอไว้
ฉันมีคำขอหนึ่งขอที่คิดไว้ว่าจะขอกับคลอริน่าซังตอนที่ได้เจอกัน
“คลอริน่าซัง คือ”
“มีอะไรรึคะ คุณหนู……..?”
หลังจากนั้นฉันก็ขอให้เธอก้มลงมาเพื่อกระซิบที่ข้างๆหู
ฉันถามด้วยเสียงเบาๆไม่ให้เบลล์ซังได้ยิน
“……..เข้าใจแล้วค่ะ ฟุๆๆๆๆ ได้แน่นอนค่ะ ฉันจะจัดเตรียมให้พร้อมเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง”
“อืม ขอบกุณ”
เธอตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง ฉันรู้สึกขอบคุณเธอมากๆ
แล้วหลังจากที่เห็นคลอริน่าออกจากประตูไปไม่นาน มิร่าซังก็รีบถามฉันทันที
“……ฮิเมะ คือ ไม่ทราบว่าขออะไรไปเหรอคะ?”
“เอ~”
ถ้าฉันตอบที่นี่ตอนนี้ ที่แอบขอไปก็ไม่มีความหมายนะสิ เบลล์ซังกระแอมไอเตือน
“…..ขะ ขอประทานอภัยด้วยค่ะ ฮิเมะ แม๊ม!”
“เหมือนกัน”
“คะ!?”
“ม๊ายมีอาร๊าย”
แมม เป็นคำพูดแรกที่คาลเมียร์ซังหลุดออกมาเสมอในเวลาแบบนี้
แล้วในขณะที่ฉันกำลังดูท่าทางเธออยู่ เบลล์ซังก็อุ้มฉันขึ้นและวางลงบนตักของเธอ
ยังไงก็ตาม ฉันรู้จักวิธีนี้ดี
“……อริซซามะ?”
ที่จริงแล้วเมื่อกี้เบลล์ซังพยายามแอบฟังเนื้อหาอย่างตั้งใจ
จากนั้นสักครู่ ฉันก็เงยหน้ามองเธอพร้อมคูหู่
“ความ~ล๊าบ~~”
ฉันขอเล่นซุกซนสักนิด ก่อนยิ้มกลบเกลื่อน