ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 29 ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 29 ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ
ตอนที่ 9 ชื่อคือตัวแทนแห่งกาย เวทมนตร์คือตัวแทนแห่งจิตใจ
ฉันจับมือเบลล์ซังที่ถือร่มอยู่ข้างๆเดินไปตามถนนมุ่งสู่เมืองอีกครั้ง โดยมีมิร่าซังเป็นคนนำ หลังจากลอดซุ้มประตูก็จะเข้าสู่ตลาด และที่ทางขวามือสุดถนน คือโบสถ์
โบสถ์ตั้งอยู่ที่หน้าทางแยกติดกับเส้นทางขึ้นเขา ห่างจากตัวเมืองเพียงเล็กน้อย ที่นี่เงียบมากๆซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศที่สดใสของตลาด
“สวย……..”
ฉันพูดได้คำเดียว มันเป็นอาคารสีขาว มีวัตถุทรงกลมตกแต่งอยู่ตรงกลางหลังคา
ยังไงก็ตาม ตั้งแต่ที่ออกจากบ้าน โดยเฉพาะตอนที่ผ่านตลาด ความหวาดระแวงมันถูกดึงจนตึงถึงขีดสุด จนเสียงที่ออกมามันเบาจนราวกับเป็นคำโกหก
“แม้ตัวอาคารจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็กลมกลืนกับธรรมชาติ ความงดงามของโบสถ์แห่งมาเรียนานั้น งดงามที่สุดในราชอาณาจักรแล้วค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ฉันสงสัยจังว่าคำอธิบายของเบลล์ซังนั้นเข้ามาในหัวบ้างรึเปล่า รูปลักษณ์อาคารที่ผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์นั้นช่างงดงามเอามากๆ ยังไงก็ตาม มันก็ทำให้ที่นี่ดูเป็นสถานที่ลึกลับไปในตัว
หลังจากฉันมองดูโบสถ์อยู่สักพักนึง ฉันก็สังเกตเห็นอาคารชั้นเดียวที่อยู่ถัดจากโบสถ์
ทันใดนั้นมิร่าซังก็เดินเข้ามาในสายตา
“ฮิเมะ ที่นั้นคือ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของคลอริน่าซังค่ะ”
“สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
เข้าใจล่ะ ที่นั้นเอง
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กกว่าที่ฉันจินตนาการไว้มาก เล็กกว่าคฤหาสน์ซะอีก
ใหญ่ประมาณแค่ห้องโถงรึเปล่านะ
…….ไม่ แต่ว่า
ในวันนั้น ฉันกำลังรู้สึกประหม่าที่ได้มาที่ตลาดเป็นครั้งแรกจนไม่ได้สังเกต แต่เธออยู่ในฐานะผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ตั้งติดกับโบสถ์แห่งนี้ได้ หมายถึง
คลอริน่าซังจะต้องเป็นซิสเตอร์ที่มีสถานะค่อนข้างสูงมากเลยนะสิ
“………กุเอ๊ะ”
อาจจะหยาบคายไปหน่อย
ถ้าฉันจะพูดว่า ฉันกำลังสงสัยว่าพวกเขากำลังแอบทำเสื้อผ้ากันอยู่รึเปล่า โดยเฉพาะพวกเด็กๆ เป็นคำถามที่ดูประมาทไปหน่อยรึเปล่าน่ะ
แต่ฉันสัญญาเอาไว้แล้วจะไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน ฉันแค่ขอบคุณสำหรับความใจกว้างของเธอ
“ต้องการที่จะเดินชมอีกสักหน่อยรึเปล่าคะ?”
“ไม่ล่ะ เข้าไปกัน”
ฉันหยุดรอที่หน้าประตูคฤหาสน์มานานพอแล้ว ฉันแทบรอไม่ไหลแล้วล่ะ
การเพลิดเพลินกับทัศนียภาพเป็นเรื่องที่สามารถทำได้หลังจากที่เข้ารับการทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“เช่นนั้นโปรดรอสักครู่นะคะ ฮิเมะ ดิฉันจะไปยืนยันกับผู้พิทักษ์ทวารบาลก่อนนะคะ”
และ มิร่าซังก็รีบเดินไปที่ทางเข้าโบสถ์ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทันสังเกตเห็น เพราะมัวแต่มองดูตัวโบสถ์อย่างเดียว ดูเหมือนเธอกำลังพูดคุยกับคนที่มีตำแหน่งที่เรียนกว่าผู้พิทักษ์ทวารบาล
เมื่อเห็นฉันจ้องไม่วางตา เบลล์ซังก็เริ่มอธิบายอีกครั้ง
“บุคคลผู้ที่ถูกเรียกว่าทวารบาลนั้น เป็นบุคคลที่มีหน้าที่จัดการการเข้าออกของโบสถ์ค่ะ ทุกโบสถ์จะมีบุคคลเช่นนี้อย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ แต่เดิมแล้วพวกเขาเป็นอัศวินมาก่อน ดูเหมือนพวกเขาจะมีสามารถทำได้หลายสิ่งหลายอย่างเลยนะคะ”
“งั้นเหรอ”
เข้าใจแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะทำหน้าที่ปกป้องประตูตามชื่อ มันอาจยากที่จะเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์อันตรายบางอย่างเกิดขึ้นที่โบสถ์ แต่ถึงจะเป็นไปได้ยากก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะแบบไหน การที่มีอดีตอัศวินมาเป็นผู้พิทักษ์ทวารบาลจำนวนมาก ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
ฉันคิดเช่นนั้นไปพร้อมกับที่มองมิร่าซังเดินกลับมาพร้อมชายคนนั้น
เขาหยุดยืนหลังมิร่าซังหนึ่งก้าวก่อนโค้งคำนับอย่างสุภาพ และเงยหน้าขึ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า ไม่มีปัญหา
“กระผมกำลังรอคณะของท่านตระกูลแฟร์มีลผู้ทรงเกียรติอยู่เลยขอรับ ให้กระผมได้เป็นผู้นำทางท่านนะขอรับ”
ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มเดินเข้าไปตามการนำทางของเขา ทางเดินทั้งสองข้างของทางเดินตกแต่งไปด้วยดอกไม้สีขาว และพวกเราก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรูปครึ่งวงรี บนประตูไม้มีสัญลักษณ์คันชั่งถูกแกะสลักเอาไว้ในวงกลมที่มีลวดลายสัญลักษณ์บางอย่าง
จากนั้นเขาก็เปิดประตู
ฉันเริ่มโดนความรู้สึกครอบงำอีกครั้ง
“เช่นนั้น เชิญทุกท่านได้โปรดนั่งรอยังจุดที่ชื่อชอบได้เลยขอรับ กระผมขอตัวไปเรียกคลอริน่าซามะก่อนขอรับ”
“ขอบพระคุณมากค่ะ”
ฉันรู้สึกทึ่งกับภายใจของโบสถ์มากๆจนไม่ได้ยินว่าหลังจากนั้นเขาพูดคุยอะไรกับเบลล์ซังที่ยืนเก็บร่มอยู่ด้านหลังก่อนจากไป
เก้าอี้ยาวเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ มีเสาหินสีขาวล้อมรอบอยู่ทั้งซ้ายขวา ด้านในมีรูปสลักขนาดใหญ่ที่ทำด้วยเงิน ที่ด้านหลังมีกระจกสีขนาดใหญ่ติดอยู่ แสงจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามากระทบเกิดเป็นแสงสีเหลือง น้ำเงิน เขียว และแดง สร้างฉากที่น่าอัศจรรย์ แก้วแบบนั้นฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
นั้นจะเป็นกระจกที่ถูกเรียกว่า〝งานกระจกสี〟แบบเดียวกับที่ถูกครอบครองโดยชนชั้นปกครองกลุ่มเล็กๆในโลกชาติก่อนของฉันรึเปล่านะ
“อริซซามะ…..?”
“อะ อา…อะ อืม”
ฉันตั้งสติกลับมาได้หลังได้ยินเสียงเรียกจากเบลล์ซังที่เข้ามายืนอยู่ข้างๆ
เบลล์ซังกับมิร่าซังยิ้มและหัวเราะ จากนั้นมิร่าซังก็เดินไปที่เก้าอี้ตรงแถวกลางๆก่อนหันหลังกลับมากวักมือเรียก ตรงนี้ ให้ฉันตามไป
“สวย”
“ใช่แล้วค่ะ อริซซามะ ดิฉันมาที่นี่เป็นครั้งคราว แต่ก็ยังสร้างประทับใจทุกครั้งที่ได้เห็นเลยค่ะ”
เบลล์ซังตอบกลับมาในขณะที่จับมือของฉันเบาๆพร้อมกับเดินตามจังหวะของฉัน
เข้าใจแล้ว บางทีอาจจะมีพระเจ้าอยู่จริงๆก็ได้ เพราะตัวฉันเองก็ได้รับประสบการณ์แปลกๆมากมาย หัวใจจึงเริ่มเอนเอียงเข้าไปสู่ความเชื่อ
“เก้าอี้ที่นี่ออกจะสูงไปสักหน่อย อริซซามะมานั่งตักดิฉันนะคะ”
“เอ๊ะ”
พื้นนั่งของเก้าอี้ทำมาจากไม้ที่อยู่สูงระดับเหนือเอวของฉันเล็กน้อย ซึ่งค่อนข้างสูงสำหรับฉัน ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถขึ้นไปนั่งเองได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเบลล์ซัง หรือมิร่าซัง
…..เพียงแต่ว่า จำเป็นต้องนั่งตักด้วยเหรอ?
“อะ อืม”
ยังไงก็ตามฉันไม่สามารถพูดอะไรต่อใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเบลล์ซังได้ ฉันจึงถูกอุ้มขึ้นอย่างเงียบๆ และวางลงบนตัก จากนั้นเธอก็ยืนมือโอบมาด้านหน้าแล้วประสานกันไว้แน่นราวกับว่ากำลังกอดฉันอยู่
“…..ออู”
ฉันแน่ใจว่าที่เธอทำคือระวังไม่ให้ฉันตกและได้รับบาดเจ็บ แต่ฉันก็รู้สึกว่าได้รับการปกป้องมากกว่าปกติเล็กน้อย
ต้องบอกว่าค่อนข้างน่าอาย แม้ฉันจะตั้งใจเลิกหาข้อแก้ตัวเพื่อขัดขืน แต่เรื่องน่าอายยังไงก็คือน่าอาย
ว่าแล้วว่า การพาคู่หูมาด้วยเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
มุกิ๊ว ฉันซ่อนทุกอย่างยกเว้นดวงตาไว้หลังคู่หูเหมือนทุกครั้ง บางทีการทำแบบนี้อาจจะทำให้พลังเวทมนตร์ของฉันเข้าไปสะสมในตัวคู่หูเป็นเวลานานแล้วก็ได้
ถ้ามีอยู่จริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นกัน บางทีมันอาจเริ่มเคลื่อนไหวได้เอง
ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำอย่างตั้งใจ
“คู่หู”
〝ย้า อริซ เป็นยังไงบ้าง?〟 …….อะไรแบบนั้น
ฉันขยับมือของคู่หูไปมา ในขณะที่ลองนึกภาพว่าสามารถพูดคุยกับเขาได้อย่างอิสระ
มันฟังดูเป็นหนังสยองขวัญเบาๆเหมือนกันน่ะ
……ไม่สิ นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ แค่นั่งบนตักเบลล์ซังก็น่าอายมากพออยู่แล้วแท้ๆ
“ฟู๊ว…… !?”
“น็อกซ์เบลซัง ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ช่วยสงบใจเอาไว้ด้วยค่ะ!”
“คะ ค่ะ มิแรนดาซัง….”
ฉันเอียงคอมองทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างกันอยู่แค่สองคน ยังก็ตามรู้สึกเหมือนว่าตำแหน่งบางอย่างมันสลับกัน
กลับมาเข้าเรื่อง การทดสอบพลังเวทมนตร์นั้น ทำกันยังไงนะ
มิร่าซังเป็นอัศวินดังนั้นต้องเคยผ่านการทดสอบมาก่อนอย่างแน่นอน เธอได้เข้าโบสถ์แล้วตื่นเต้นแบบฉันรึเปล่านะ
“……มิร่า”
“คะ ฮิเมะ”
“มิร่า ที่โบสถ์?”
“การทดสอบสินะคะ?”
“อืม”
มิร่าซังสามารถคาดเดาเจตนาของคำถามสั้นๆไร้คำศัพท์ของฉันได้อย่างรวดเร็ว อาจเป็นไปได้ว่ามิร่าซังจะอ่านใจได้เหมือนเบลล์ซัง หรือว่าตัวฉันอ่านเข้าใจง่ายไปกันนะ
“นั้นสินะคะ ดิฉันเองก็ได้เข้ารับการทดสอบที่โบสถ์เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ที่นี้หรอกนะคะ เป็นการทดสอบที่โบสถ์ที่ดูแลเขตพื้นที่ที่ดิฉันเกิด……แต่ ดิฉันมั่นใจว่าวิธีในการทดสอบนั้นไม่แตกต่างกัน ดิฉันแน่ใจว่าฮิเมะเองก็จะได้รับการทดสอบแบบเดียวกันอย่างแน่นอนค่ะ”
“งั้นเหรอ ……แล้วมันคือ?”
จังหวะหนึ่ง เบลล์ซังก็เริ่มลูบหัวฉัน เธอกำลังรู้สึกไม่สบายใจที่ฉันถามรายละเอียดรึเปล่า
เมื่อมิร่าซังกำลังจะตอบ ประตูด้านหลังก็เปิดออก
เบลล์ซังกับมิร่าซังหันกลับไปมอง ฉันเองก็พยายามหันกลับไปมองด้วยคน แต่มีเพียงแค่หน้าอกของเบลล์ซังเท่านั้นที่ฉันมองเห็นได้
“ต้องขออภัยที่ทำให้ต้องรอนะคะ น็อกซ์เบลซามะ、มิแรนด้าซามะ….และ”
ด้วยเสียงที่เหมือนกำลังมองหาใครบางคน ฉันจึงมุดตัวออกจากตักของเบลล์ซังด้วยการลอดแขนที่คลายลงของเธอ ฉันนั่งคุกเข่าบนที่นั่ง โผล่ใบหน้าออกไปจากพนักพิงได้แค่เล็กน้อย
“คุณหนู”
“สวัสดีก่ะ คลอริน่าซัง”
“สวัสดีค่ะ คุณหนู ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้างคะ?”
เมื่อเธอสังเกตเห็นฉัน เธอก็ยิ้มให้พร้อมเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ในมือของคลอริน่าซังมีของบางอย่างที่ดูเหมือนคันชั่งและมีถ้วยของเหลวอะไรบ้างอยู่บนนั้น บางทีมันอาจจะใช้สำหรับทำการทดสอบ
“แข็งแรง”
“เหนืออื่นใด……คุณหนูทราบวิธีทดสอบไหมคะ?”
และคลอริน่าซังก็เอียงคอถามเพื่อยืนยัน
“ไม่”
ฉันส่ายหน้า และตอบว่าไม่กลับไป
โดยปกติเบลล์ซังหรือคุณพ่อ หรือไม่ก็มิร่าซังจะเป็นคนอธิบายกับฉันล่วงหน้า แต่ทุกคนก็ยุ่งอยู่กับการช่วยกันย้ายห้องให้เบลล์ซัง หรือไม่ก็การประเมินสถานการณ์จากเหตุการณ์นั้น เหนือสิ่งอืนใด ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฉันที่เกิดอาการที่ทำให้ไม่สามารถพูดได้ว่าสบายดีก่อนออกจากคฤหาสน์ ฉันคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันทำให้ไม่เวลาเหลือที่จะอธิบาย
“ตอนนี้ ฉันกำลังขอให้มิร่าอธิบายให้ฉัน”
“เข้าใจค่ะ เช่นนั้นแล้ว ให้ฉันได้เป็นผู้อธิบายให้ฟังเองนะคะ”
“อืม ฝากด้วยก่ะ”
คลอริน่าซังยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉันที่ตอบกลับอย่างให้เกียรติและเตาะแตะ
เธอเดินมาถึงเก้าอี้ยาวที่พวกเรานั่ง ทันใดนั้นเบลล์ซังกับมิร่าซังก็ทำท่าลุกขึ้นเพื่อที่จะช่วยเหลือเธอ จนคลอริน่าซังต้องทำไม้ทำมือห้ามทั้งคู่
“ไม่ค่ะ ไม่ค่ะ ได้โปรดนั่งอยู่เช่นเดิมเถอะค่ะ ให้ฉันจัดการทั้งหมดนี่เอง”
“เข้าใจแล้วค่ะ เช่นนั้นวันนี้ก็ขอฝากด้วยนะคะ คลอริน่าซัง”
จากนั้นมิร่าซังก็โค้งคำนับให้ หลังจากที่ทั้งสองโค้งให้กันอย่างสุภาพ คลอริน่าซังก็มาหยุดและนั่งคลุกเข่าลงที่ตรงหน้าของฉัน ฉันเลยหยุดคลุกเข่าเกาะพนักพิง แล้วกลับไปนั่งตามเดิม
หลังจากรอสักครู่ คลอริน่าซังก็เริ่มอธิบาย
“การทดสอบคือ การใช้คันชั่ง และ〝น้ำแห่งการรู้แจ้ง〟นี่…..มันคือน้ำที่ทำการผสมกับหินเวทมนตร์ที่บดจนละเอียดค่ะ”
“น้ำรู้แจ้ง”
“ค่ะ น้ำแห่งการรู้แจ้ง คุณหนู”
คลอริน่าซังวางคันชั่งลงข้างๆฉัน ก่อนอธิบายว่าน้ำที่อยู่ในถ้วยคืออะไรให้ฉันฟัง
มันเป็นของเหลวสีขาวขุ่นเล็กน้อยที่เกือบจะโปร่งใส และถึงจะบอกว่ามีหินเวทมนต์บดผสมอยู่ แต่มันดูเหมือนกับเมล็ดข้าวที่ไม่ลอยน้ำมากกว่า ดูเหมือนกำลังพยายามละลายของที่บดมา
เนื่องจากหินเวทมนตร์เป็นทรัพยากรที่หายาก ดังนั้นการซื้อมาเพื่อทำน้ำแหงการรู้แจ้งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากอย่างแน่นอน
“เริ่มจากเทสิ่งนี้ลงบนจานของคันชั่งให้เสมอขอบทั้งสองด้าน หลังจากนั้นก็ให้คุณหนูเรียกใช้พลังเวทมนตร์ของตนเองค่ะ”
“ใส่ น้ำรู้แจ้ง”
“ค่ะ และจากนั้นเราก็จะดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับน้ำแห่งการรู้แจ้งและคันชั่ง เพื่อระบุคุณสมบัติของเวทมนตร์ แต่ทว่านี่เป็นแค่กระบวนการที่แสดงข้อมูลหยาบๆเท่านั้น ยังไม่สามารถบอกประเภทแบบลึกซึ้งได้ค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ฉันหันไปถามเบลล์ซังเมื่อมีคำที่ไม่เข้าใจออกมา เธอก็จะแปลงคำก่อนหน้าให้เป็นคำง่ายๆที่ฉันสามารถเข้าใจได้
แต่ก็ทำให้เข้าใจแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ลายระเอียดอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่าฉันจะสามารถใช้เวทมนตร์ชนิดไหนได้บ้าง บางทีมันอาจจะบอกแค่ว่าฉันใช้เวทมนตร์กลุ่มไหนได้เท่านั้น
เมื่อฉันพยักหน้าเข้าใจ คลอริน่าซังก็อธิบายต่อ
“ตัวอย่างเช่น หากเป็นเวทมนตร์ที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบางสิ่ง เช่น ร่างกายหรือสิ่งของ คันชั่งสามารถเอียงไปด้านใดก็ได้ เพราะเวทมนต์เสริมความแข็งแกร่งคือการปกคลุมพื้นผิวหรือเสริมภายในด้วยพลังเวทมนตร์ จึงทำให้น้ำแห่งการรู้แจ้งแข็งแกร่งขึ้น และน้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ”
“อืม อืม”
“แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่ บางคนมีคุณสมบัติของการเสริมความแข็งแกร่งโดย 〝การขยาย〟 ไม่ใช่โดย 〝การเสริม〟 ในกรณีนั้นจะเกิดการขยายจนผิวน้ำสั่นไหวเล็กน้อย และอาจแรงจนถึงน้ำแห่งการรู้แจ้งกระดอนออกจากจาน”
“โอ…..”
“นอกเหนือจากนี้ก็ ถ้าเกี่ยวกับไฟ น้ำแห่งการรู้แจ้งจะร้อนขึ้น หรือถ้าหากเกี่ยวกับน้ำ น้ำแห่งการรู้แจ้งก็จะเพิ่มและล้นค่ะ”
เข้าใจแล้ว ดูเหมือนนี่จะเป็นวิธีการทดสอบเพื่อค้นหาคนที่เหมาะสมมากกว่าที่จะให้รู้ผลอย่างแน่นอน แต่ฉันก็คิดว่าเป็นวิธีที่ดีใช้ได้เลย
การทดสอบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆโดยประมาณขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นคันชั่งที่มีปฏิกิริยา หรือน้ำแห่งการรู้แจ้งจะมีปฏิกิริยาเอง
ถ้าหากเป็นคันชั่งที่มีปฏิกิริยา หมายความว่ามีการเปลี่ยนแปลงของมวลที่เกี่ยวกับเสริมความแข็งแกร่ง หากน้ำแห่งการรู้แจ้งมีปฏิกิริยาก็จะกลายเป็นพลังทางปรากฏการณ์
ปกติการเกิดไฟต้องใช้ความร้อนและออกซิเจน ดังนั้นบางทีพลังเวทมนตร์อาจเป็นตัวกำเนิดความร้อน ทำให้น้ำแห่งการรู้แจ้งร้อนขึ้น ในกรณีของน้ำ น่าจะสร้างน้ำจนปริมาณของน้ำล้นออกจากจานล่ะมั้ง
เพราะว่าชีวิตฉันลงเอยแบบนั้น ไม่ได้ไปที่โคโลนี่เพื่อการวิจัยทางเทคโนโลยี ดังนั้นฉันจึงไม่ทราบรายละเอียด แต่พลังเวทมนตร์คืออะไร ฉันคิดว่ามันคือพลังงานบริสุทธิ์
“เช่นนั้น เรามาเริ่มการทดสอบเวทมนตร์ของคุณหนูกันเลยเถอะค่ะ”
“อืม”
ดูเหมือนช่วงเวลาแห่งการอธิบายได้จบลงแล้ว คลอริน่าซังจับส่วนบนของคันชั่งไว้ด้วยสองนิ้ว ก่อนที่จะเทน้ำแห่งการรู้แจ้งลงในจานอย่างระมัดระวัง และปรับสมดุลของจานทั้งสองด้วยความรู้สึกของน้ำหนักบนนิ้ว
คลอริน่าซังปรับสมดุลของคันชั่งด้วยความคุ้นเคย หลังจากค่อยๆเติมน้ำเพิ่มหลายครั้ง เธอก็ค่อยๆปล่อยนิ้วช้าๆ ความสมดุลของคันชั่งนั้นประณีตมาก ประสบการณ์สินะ ทั้งหมดนั้นคือ สิบวินาที
“สุดยอด”
“ฟุๆๆ…..ขอบพระคุณมากค่ะ คุณหนู”
ฉันยื่นมือทั้งสองข้างไปที่จานใส่น้ำแห่งการรู้แจ้งทั้งซ้ายและขวาตามที่คลอริน่าซังบอก โดยมีเบลล์ซังกับมิร่าซังเฝ้ามอง
“เช่นนั้น……..”
“อืม …. ――――เอ๊”
จากนั้นฉันก็ปล่อยพลังเวทมนตร์จากฝ่ามือทั้งสองอย่างระมัดระวังโดยเล็งไปที่น้ำแห่งการรู้แจ้ง
ฉันค่อยขยายพลังอย่างช้าๆ จินตนาการถึงภาพการหลอมละลาย
ทันใดการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
คันชั่งเริ่มเอียง
แต่ไม่ใช่ว่านั้นคือ เวทมนตร์เสริมความแข็งแกร่งงั้นเหรอ
“…….เข้าใจแล้ว”
“ว่าแล้วเชียว นี่คือหมายความว่าคุณสมบัติเฉพาะของเวทมนตร์ของอริซซามะไม่ตรงกับความสามารถในการย้ายบาดแผล”
“วะ……”
แต่ทันใดนั้นความไวของน้ำก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
คันชั่งก็ยังคงเอียงด้วยน้ำหนัก
เห็นได้ชัดว่า ฉันมีเวทมนตร์เกี่ยวกับน้ำ――――
“――――ไม่ๆ ได้โปรดรอก่อนนะคะ นี่มัน!?”
“…..สะ สมแล้วที่เป็นฮิเมะจริงๆค่ะ? ปฏิกิริยาแบบนี้ แม้แต่ในหมู่อัศวินเองก็เห็นได้………”
“……..อริซซามะ”
แต่ 〝ความแปรปรวน〟 ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
น้ำที่ล้นหกออกมาไม่ได้เปียกเก้าอี้
ข้อต่อและบาลานซ์หักออก คันชั่งล้มลง
“เอ๊ะ…….เอ๊ะ?”
ฉันได้แต่ทำเสียง พิคิพิคิ
น้ำไหลล้นออกจากจาน แต่ทันที่ที่หกถึงพื้น
น้ำแห่งการรู้แจ้งก็ถูกแช่แข็งจากบนจาน