ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 27 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 7 พ่อและลูกสาว
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 27 เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ 7 พ่อและลูกสาว
ตอนที่ 7 พ่อและลูกสาว
“ฮ้าวววว”
ฉันมองส่งเบลล์ซังที่ออกจากห้องไปเพื่อจัดเตรียมอาหารเช้า นี่เป็นการได้เพลิดเพลินการได้อยู่คนเดียวหลังตื่นนอนเป็นครั้งที่สองของวันนี้
ไมหรอก ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรเป็นพิเศษหรอกนะ
เพียงแต่ฉันพึ่งกระจายหนังสือภาพไว้ฟากหนึ่งของเตียงแล้ว และกำลังคลุ่นคิดหาคำและประโยคใหม่ๆเพื่อเพิ่มคำศัพท์อย่างสม่ำเสมอ ในระหว่างที่รอเบลล์ซังกลับมาอย่างใจเย็น
“เวทมนตร์เติบโต”
ปับ ฉันปิด『เวทมนตร์ของมารีจัง』ลงอย่างพึ่งพอใจจนถึงบรรทัดสุดท้ายเป็นอย่างมาก
นี่เป็นหนังสือที่ถูกคัดเลือกมาเป็นตัวเลือกเมื่อวันก่อน ก่อนที่เบลล์ซังจะเลือกอ่านแมวสีทอง เนื้อหาของเรื่องนี้ ถ้าจะให้พูดก็ไม่มีคำอื่นใดได้นอกจากว่าธรรมดา คงต้องบอกว่ามันเป็นเทพนิยายทั่วไป
“……ของจักรพรรดิ์เหมือนกัน”
มารีจังเป็นลูกสาวคนเดียวของขุนนาง เธอไม่พอใจกับชีวิตในคฤหาสน์ ความไม่พอใจที่พูดถึงนั้นคือเรื่องที่เธอเบื่อที่จะกินอาหารซ้ำๆเดิมทุกมื้อ
เพื่อค้นหาเมนูอาหารใหม่ เธอจึงหนีออกจากบ้านไปยังเมืองของประชาชนทั่วไป แต่สิ่งที่เธอได้เห็นมีเพียงความเสื่อมโทรม อาหารหลายจานมีไว้เพียงเพื่อเติมเต็มกระเพาะอาหารเท่านั้น
แม้มารีจังจะไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอมุ่งถามเหล่าประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ที่นั้นเกี่ยวกับอาหารอร่อยๆ ในขั้นตอนนี้เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตที่ย่ำแย่ของประชาชนทั่วไป เธอจึงได้ข้อสรุปว่าเพราะประชาชนทั่วไปไม่มีกำลังมากพอที่จะใช้จ่าย จึงทำให้ไม่สามารถทำอาหารที่อร่อยๆออกมาได้ เช่นนั้นแล้ว เธอจึงมุ่งหน้าไปยังไร่สวนตามข้อมูลที่ได้รับมาจากชาวเมือง
“เอ่อ องค์ราชินี?”
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงกล่าวว่า 〝หากไม่มีขนมปัง ก็จงเพาะปลูกเพิ่มซะ!〟 ฉันรู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหนสักแห่งมาก่อน จากนั้นก็มีการใช้เวทมนตร์ใส่ไร่สวนตามคำของเธอ
เวทมนตร์นั้นคือ พลังการกระตุ้นทุกสิ่งที่แห้งเหี่ยวให้เจริญเติบโตด้วยพลังเวทมนตร์ ในสวนที่ควรจะมีแต่เพียงต้นอ่อนก็มีพืชผลหลากหลายชนิดเจริญเติบโตออกผลนับไม่ถ้วน
ผู้คนที่เคยเป็นกังวลเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีต่างมีความสุขกันอย่างมาก พวกเขาใช้พืชผลที่มีอยู่อย่างมากมายมาทำอาหารและซุปกันอย่างเต็มที่ และมีมารีจังที่ยิ้มอย่างสนุกสนานพอใจไปกับอาหารเป็นพื้นหลังของบทส่งท้าย พร้อมคำพูด ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม
“เวทมนตร์ มีประโยชน์”
นี้คือคำสรุปความ เวทมนตร์แห่งการเจริญเติบโต หากมีคนที่สามารถใช้ได้จริง มันคงเหมือนมีสงครามเกิดรอบๆตัวคนๆนั้นไม่หยุด
ท้ายที่สุด หากเราสามารถเก็บเกี่ยวได้ในระดับเดียวกันกับที่วาดไว้ในหนังสือภาพ เราก็ไม่ต้องมากังวลเรื่องเวลาที่จะใช้ในการเพาะปลูก เพราะมันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันหลังแตกหน่อในการเติบโตจนสามารถเก็บเกี่ยวได้
ทำให้การคิดถึงเรื่องความอดอยากกลายเป็นเรื่องระดับที่ทำให้ดูงี่เง่าไปเลย
“อึง~”
และมันก็ให้ฉันเข้าใจทันทีถึงภาพลักษณ์ปัญหาความยากจนที่แท้จริงของประชาชนทั่วไป เวทมนตร์สามารถแก้ไขการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีได้อย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสิ่งที่มีไว้เพื่อสะสมความมั่งคั่งของเหล่าขุนนาง การคาดหวังว่าจะมีขุนนางที่แบ่งปัน มันก็เป็นความปรารถนาที่ไม่ต่างจากการประชดประชัน
“ฟุฟุ”
และยังไงก็ตาม ฉันหัวเราะตัวเองที่คิดจินตนาการถึงสมมติฐานคาดเดาที่ไม่มีมูลความจริง
…….บางทีฉันคงมีความคิดที่ลำเอียงมากไปหน่อย อย่างน้อยที่สุดฉันน่าจะสนุกไปกับโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความฝันมากกว่าที่จะไปคิดถึงเรื่องเบื้องหลังแบบนั้น
“ต่อไป เอ๊ะ~โตะ…… 『ท่านลุงของยูกิ』”
แล้วฉันก็พยายามเหยียดตัวเฉพาะส่วนบนของร่างกายเพื่อวางหนังสือภาพไว้ข้างเตียง โดยพยายามซ้อนไว้ด้านบนของกองหนังสือ
“อริซ ขอเข้าไปได้ไหม?”
ฉันหยุดมือให้กับเสียงของคุณพ่อ
ฉันโยนหนังสือแล้วลุกขึ้นคลานกลับไปนั่งก่อนที่จะตอบกลับไป ลูกบิดหมุนในทันที
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง? …….มิแรนด้าพึ่งจะมาถึง และอยากจะทักทายอีกครั้ง”
“ฮิเมะ ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ!”
คนที่เข้ามากล่าวคำทักทายหลังคุณพ่อคือ มิร่าซัง
เห็นได้ชัดว่าเธอย้ายเข้ามาที่นี่ได้อย่างรวดเร็วเป็นไปตามแผนที่วางไว้
…..ฉันเกือบจะเผลอยอมรับคำว่า ไม่พบกันนาน อย่างไม่ติดขัดไปแล้ว แต่หากคิดให้ดี เธอก็พึ่งที่จะมาเยี่ยมฉันไปตอนวันเกิดเอง เป็นเพราะว่าเธอมาให้เห็นหน้าเกือบทุกวันจนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่ามันไม่นาน แต่การที่เธอมาหาฉันได้ทุกวันก็นับว่าแปลกมาก ไม่ใช่ว่าเธออยู่ระหว่างการฝึกฝนกับอบรมอะไรอย่างอื่นอีกหรอกเหรอ
“พึ่งเจอวันเกิดเอง”
“แค่นั้นก็ช่างเป็นสัปดาห์ที่แสนยาวนานเกิดทนแล้วค่ะ”
“ระ เหรอ……”
เธอยิ้มแบบแปลกๆให้กับฉัน ช่างเป็นการแสดงสีหน้าที่ซับซ้อน แล้วด้วยเหตุผลบางอย่างเธอก็มองแลกสายตากับคุณพ่อ ฉันตอบกลับด้วยการพยักหน้ารับเล็กน้อย
“….เช่นนั้น ดิฉันขออนุญาตนำกระเป๋าไปไว้ที่ห้องก่อนนะคะ”
“อะ อืม”
“ดิฉันจะกลับมาในภายหลังนะคะ ฮิเมะ!”
“แล้วเจอกัน”
จากนั้นเธอก็คุกเข่าลงและก้มคำนับ มิร่าซังจากไปด้วยท่าทางแบบอัศวิน ฉันกับคุณพ่อมองตามเธอจนลับสายตา
เมื่อประตูปิดลง คุณพ่อก็เดินมาหยุดที่ข้างเตียง ก่อนนั่งลงจนระดับสายตาเท่ากัน
คุณพ่อเกาแก้มของตัวเอง เป็นนิสัยติดตัวที่จะทำเวลาที่ต้องการจะพูดอะไรบ้างอย่าง
“มีอะไรรึกะ ท่านพ่อ”
“ไม่ คือว่า ไม่สิ”
“หืม?”
“….พ่อขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาที่ห้องบ่อยนัก”
ฉันมั่นใจว่าถ้วยคำที่ซ่อนอยู่หลังความเงียบก่อนหน้านี้คือความทุกข์ใจที่ไม่สามารถมาดูแลฉันที่บาดเจ็บและหลับอย่างโดดเดี่ยวได้
“ม๊ายเป็นร๊าย ท่านพ่อ พยายามดีแล้ว รู้ก่ะ”
ถึงแม้จะไม่ได้รับการบอกเล่าเรื่องราวหลังจากเหตุการณ์นั้นอย่างละเอียด แต่ว่าคุณพ่อ มีภาระหน้าที่สืบสวนเรื่องราวหลังเหตุการณ์ และยุ่งกับการไล่ล่าผู้ร้ายในฐานะลอร์ดผู้ปกครองดินแดน มันเป็นเหตุผลที่ชัดเจนในตัวเอง เพราะงั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่สามารถใช้เวลาเพื่อตัวเองได้
ไม่เป็นไร ฉันรู้ดีว่าต้องพยายามเป็นอย่างมาก ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่ดูอาการไม่ดีตรงหน้า
“――――อ้าาาาา อริซ………”
“เดจาวู”
จากนั้นการบ่นพึมพำคนเดียวที่เหมือนจะช่วยให้อดทนต่อความเศร้าได้ก็เริ่มขึ้น
ฉันแน่ใจว่าคุณพ่อจะต้องก้าวข้ามผ่านไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ฉันก็เคยชินกับการก้าวข้ามโดยไม่มีใครอยู่ด้วยไปแล้ว สิ่งที่ควรทำคือการไม่ทำให้คุณพ่อสับสนจากการทำความเข้าใจความรู้สึก
“เดล・จา・วิว รึ”
“เดจาบุ!”
ฉันทำผิดพลาดซ้ำเหมือนตอนเบลล์ซัง เหมือนภาพวนซ้ำที่เปลี่ยนเป็นคุณพ่อ
การออกเสียงเดจาวูของฉัน ดูเหมือนจะคล้ายกับการออกเสียงภาษาของจักรวรรดิที่ฟังดูคล่อง ถึงมันจะแตกต่างสุดๆก็ตาม
“……..อริซ?”
“มะ ไม่มีอาร๊ายก่ะ”
“งะ งั้นรึ”
คุณพ่อสับสนเล็กน้อย ไม่สิ ฉันต่างหากที่สับสนมากกว่า
“แล้วอาการบาดเจ็บล่ะ ยังเจ็บอยู่ไหม?”
“ไม่ค่อบเจ็บแล้วก่ะ ม๊ายเป็นร๊ายแล้ว”
ถึงจะต้องโน๊ตเอาไว้ว่าห้ามให้โดนแผลโดยตรงก็ตาม
นี่บางทีอาจจะเป็นการเกริ่นนำก่อนเข้าสู่คำถามหลัก และจากโทนเสียงก็ทำให้แน่ใจว่าคุณพ่อรู้แล้ว น่าจะได้ยินมาจากเบลล์ซังล่ะนะ
“―――― ที่ลูกกำลังคิดที่จะรับการทดสอบเวทมนตร์ เรื่องนั้น……..”
หลังจากเสียงขาดไปครู่หนึ่งด้วยความลังเลบ้างอย่าง คุณพ่อก็ตัดสินใจเอ่ยปาก
ฉันแทบจะสามารถจินตนาการได้ในทันทีว่าคุณพ่อกำลังเป็นห่วงเรื่องอะไรอยู่
“ถ้าอริซไม่อยากออกไปข้างนอก ยังไงให้ซิสเตอร์……..อย่างเช่นว่าให้พ่อเรียกคลอริน่าซังมาทำการทดสอบที่นี่ก็ได้”
คุณพ่อถามฉันว่าอยากทำแบบไหน
กะแล้วว่าเวลานี้ คุณพ่อเป็นกังวลว่าฉันจะยังรู้สึกหวาดกลัวหรืออยากหลีกหนีการออกไปข้างนอก
แน่นอนว่า ฉันไม่ได้กังวลอะไรเลย สิ่งที่กลัวก็มีแค่ความกลัว
แต่ว่าถ้าหากถามอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ฉันเองก็ไม่อยากออกไปเจอเหตุการณ์แบบนั้นเป็นครั้งที่สองเหมือนกัน
….แม้ว่าการทดสอบเวทมนตร์งั้นเหรอ แน่นอนว่าฉันต้องการที่จะทำสิ่งนั้น ฉันอยากที่จะรู้ว่าเวทมนตร์ที่แท้จริงของฉันคืออะไร หรือมันจะเป็นลักษณะพิเศษแบบที่ปรากฏมาเลย ฉันต้องการไขข้อข้องใจทั้งหมด
มันน่าตื่นเต้นนิดหน่อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเข้าทดสอบที่ไหน แต่เพราะการเรียกหาซิสเตอร์ ก็แปลว่าอาจจะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา
ตัวอย่างเช่น
“โบด?”
“อ้า”
“เหรอกะ”
พอจะมองเห็นภาพแล้ว
มันรู้สึกแย่ที่จะต้องให้คลอริน่าซังไปๆมาๆอีกครั้ง และในตอนนี้ก็มีอัศวินหลายคนกำลังลาดตระเวนเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนอยู่แล้ว ทำให้ค่อนข้างปลอดภัย
เช่นนั้นแล้ว คำตอบที่ถูกต้องก็มีหนึ่งเดียว
“อืม ไป”
“ไป ที่พูดนั้นคือ…….”
“ไป โบด”
ทันใดนั้นคุณพ่อก็เบิกตากว้าง สงสัยคงคิดไปว่าฉันจะปฏิเสธ
ม๊า ก็แน่นอนล่ะ เพราะถ้าให้คิดกันให้ดี การออกไปรอบก่อนก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันบาดเจ็บหนักเกือบตายนินะ ยังไงก็ตาม ฉันก็ไม่อยากถอยกลับไปเป็นฮิคิโคโมริอีกแล้ว
“จะไม่หักโหมมากไปรึ?”
หากพูดว่าไม่ มันก็เป็นการโกหกอีกครั้ง หากเป็นเมื่อหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อน จิตวิญญาณของฉันคงไม่แข็งแกร่งพอที่จะพูดตัดแบบห้วนๆ และตื่นตัวอยู่เสมอๆแบบนี้
“พักฟื้น”
“พัก……?”
“อืม ม๊ายเป็นร๊ายก่ะ”
แต่มันก็มีเหตุผลอยู่ ฉันยังไม่ได้จัดระเบียบภายในตัวเองให้เรียบ เหตุผลที่ฉันต้องการออกไปข้างนอกและสร้างความทรงจำที่สนุกสนาน ก็เพราะหากทำแบบนั้นก็จะสามารถทำให้ขับไล่ความรู้สึกไม่ดีให้จางหายไปได้อย่างแน่นอน
“…..งั้นเหรอ”
“อืม”
“ถ้าอย่างงั้น หากต้องการไปเมื่อไร ให้อริซตัดสินใจเองได้อย่างอิสระเลย”
“อืม~~~”
แน่นอนว่าถ้าหากแผลยังคงเจ็บอยู่ ก็ต้องเลื่อนเวลาออกไป แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการเดินทางในเมืองไม่น่าจะมีอันตรายอะไรแล้ว พูดตามตรงมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
แต่ในเมื่อฉันได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจเอง ฉันควรจะทำยังไงดี
พูดอย่างจริงใจความอยากรู้อยากเห็นเรื่องเวทมนตร์ของฉันอยู่เหนือกว่าการพักฟื้น ความหวาดกลัวและความหวาดระแวง
ถ้านี่เป็นการออกไปเพื่อเดินเล่นโพนทะนาเรื่องของตัวเอง ฉันก็คงลังเลอยู่ไม่น้อย
แม้ว่าแผลจะยังไม่หายดี แต่ ณ จุดๆนี้ความอยากรู้อยากเห็นในเวทมนตร์ของฉันเหนือกว่าอย่างรุนแรง
เพราะแบบนั้นความสมดุลในใจฉันจึงค่อยๆเอียงเข้าหาเวทมนตร์อย่างสมบูรณ์
“……จ๊า พรุ่งนี้”
“งั้นเหรอ พรุ่งนี้สินะ เข้าใจแ――――พะ、พรุ่งนี้!?”
“พรุ่งนี้”
ฉันพยักหน้าซ้ำๆอย่างมั่นใจ คุณพ่อจ้องมาด้วยอาการอ้าปากค้างตัวแข็งทื่อ ฉันรู้สึกอายเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของคุณพ่อ เลยหลบตา
ม๊า มันก็ทันทีทันใดเกินไปจริงๆล่ะนะ
แต่ฉันรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะกระโดดออกไปพิสูจน์ทันทีแทนที่จะวางไว้รอเวลาเฉยๆ
นั้นคือสิ่งที่ฉันคิด แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป อย่างที่คิดไว้ฉันยังไม่กล้าพอที่จะขอเป็นวันนี้ทันที
“ละ ลูกไม่ได้หักโหมฝืนตัวเองจริงๆใช่ไหม? อริซ ถ้าลูกรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ให้รีบบอกพ่อทันทีเลยนะ”
…..ไม่ ว่าแล้วเชียวเห็นได้ชัดเลยว่าเร็วเกินไป บางทีอาจจะคิดว่าฉันหัวดื้ออย่างสมบูรณ์แบบ หรือบางทีอาจจะเป็นห่วงฉันจริงๆเพียงแต่ฉันไม่รู้ตัว
“แปลก?”
“ใช่มันแปลก…….ไม่สิ เข้าใจแล้ว ถ้าอริซพูดแบบนั้น พรุ่งนี้ก็ได้”
“อืม!”
ในขณะที่กอดคู่หูเอาไว้ ราวกับจะกลบเกลื่อนบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนและความกังวลและความระแวดระวังอันตรายจากภายนอก
หัวใจฉันเต้นแรงที่จะได้รู้พลังที่แท้จริงของเวทมนตร์ที่หลับใหลอยู่ในร่างนี้
“ฟู๊~ เท่านี้ก็เข้าที่แล้ว”
หลังจากจัดเรียงของใช้ส่วนตัวบางส่วนให้เข้าที่แล้ว ข้าก็มองไปรอบห้องของน็อกซ์เบลซังที่ว่างเปล่าและถอนหายใจออกมา
มีการตัดสินใจให้ข้าย้ายเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์แห่งนี้ซักพักแล้ว แต่ในตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในคืนวันเกิดของฮิเมะ เวลานั้นข้าต้องฟังถึงสามรอบ และต้องมาเอียงคอสงสัยว่าที่นี่มีห้องว่างให้รับคนด้วยรึเปล่า
นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ปกติจะไม่มีการรับคนเข้าจนกว่าห้องของข้ารับใช้จะว่างอยู่ แม้ว่าคนผู้นั้นจะอัศวินผู้พิทักษ์ก็ตาม หลังจัดระเบียบเสร็จแล้ว ข้าอยู่หน้าที่ที่จะเป็นห้องส่วนตัวของข้าโดยที่มีความรู้สึกไม่ดีผุดขึ้นมา
“แบบนี้ดีแล้วจริงๆรึ?”
แม้ว่าจะมีการพูดคุยตัดสินใจขั้นสุดท้ายไปแล้ว ข้าจะต้องไม่ทำให้น็อกซ์เบลซังที่ออกจากห้องไปต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ไม่สิ แต่ว่า
“ห้องเดียวกันกับฮิเมะ…… !”
ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าจะไม่มีห้องว่างที่สามารถย้ายเข้าไปได้ แล้วเมื่อถามว่าเธอจะไปอยู่ที่ไหน ก็ได้คำตอบเป็นห้องของฮิเมะ
ใช่ เพราะแบบนั้น เธอก็จะสามารถมองใบหน้ายามหลับ ยามง่วง ยามตื่นนอน และใบหน้าอันไร้เดียงสาทั้งหมดได้อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา …….ไม่ ข้าไม่ได้อิจฉาเลย
ในตอนที่เธอบอกว่าอยู่ห้องเดียวกันกับฮิเมะ แม้เธอจะทำท่าทางจริงจังแต่แก้มของเธอก็ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ความสุขที่เธอไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาด เธอคอยเฝ้าดูอยู่เคียงข้างฮิเมะที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเท่าที่จะสามารถทำได้จนอดทนปกปิดสีหน้าไม่ไหว
ตอนนี้เธออาจจะรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย
ข้าเองก็สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อร่างเล็กๆนั้น แม้ว่าข้าจะภาคภูมิใจในตนเอง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ข้าก็ได้รู้อีกครั้งว่าความแข็งแกร่งต่อความเชื่อมั่นของข้านั้นยังห่างไกลจากของเธอ
ข้า ยังไม่รู้จักฮิเมะ……อริศซามะ
“โยะชิ”
แปะๆ ข้าตบไปที่แก้มเบาๆเพื่อปรับอารมณ์ใหม่
ข้าไม่ต้องการที่จะคิดเรื่องนี้อีกแล้ว ยิ่งแช่อยู่กับมันนานเท่าไรความรู้สึกที่สลัดไม่หลุดก็ยิ่งเอ่อออกมาเท่านั้น แบบนั้นข้าคงมีความรู้สึกว่าทุกอย่างในชีวิตประจำวันกำลังแตกสลายแน่ๆ ข้าไม่ต้องการที่จะลิ้มรสมันอีกครั้ง
ในตอนนั้นข้าปกป้องฮิเมะจากลูกศรได้อย่างรวดเร็ว แต่เป้าหมายที่แท้จริงกลับถูกเล็งไปที่หลังของ〝อัศวิน〟ที่แท้จริง และยอมเสียสละแม้แต่ตนเองเพื่อรักษาบาดแผลปกป้อง〝เจ้าหญิง〟ตัวจริง
จากนี้ไปข้าจะเฝ้ามองทั้งสองจากข้างหลัง และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะขึ้นไปยืนอยู่ข้างหน้าอุทิสตนให้กลายเป็นเกราะคุ้มกันจากคมศรทั้งหลาย
…..ข้าทำได้ ข้าทำได้แน่นอน
〝การฝึกอบรมพิเศษ〟ที่ได้รับจากท่านแม่ทัพลาบริกซ์ช่วยสร้างความมั่นใจใหม่ให้กับข้าที่โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ซ้า ก่อนอื่นไปทักทายเพื่อนร่วมงานใหม่กันก่อน…….”
และในตอนที่พยายามจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ กระดาษแผ่นหนึ่งก็หล่นจากโต๊ะ
“อ…….อ้า ของคาลเมียร์”
ข้าหยิบมันขึ้นมาตรวจดู เธอมามอบให้ข้าเพื่อฝากส่งไปกับรายงานในครั้งหน้า โดยปกติแล้ว หน้าที่การส่งรายงานเป็นของคาลเมียร์ที่มาอยู่ที่นี่เป็นเวลานานแล้ว แค่เมื่อข้ามาอยู่ที่นี่หน้าที่นั้นจึงตกมาอยู่ที่ข้า
แต่ว่าแผ่นกระดาษนี้ก็สั้นเกินไปสำหรับการเป็นรายงาน และตัวอักษรเองก็ดูน่ารักมากเกินกว่าที่จะเป็นเอกสารสำคัญ
พอมาลองคิดดูแล้ว ฉันก็ไม่เห็นเข้าใจเหตุผลที่ถูกไหว้วานเลย ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยากที่จะใช้คนกลางส่งมอบไปมาแบบนี้ แต่คาลเมียร์ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยขี้เกียจหรือฉลาดแกมโกงอะไร
“…….ขอโทษน๊า คาลเมียร์”
ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ข้าก็สงสัยจริงๆว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ขอโทษเพื่อนที่ดีที่สุดของข้าด้วย ข้าขอดูสักนิดหน่อยเถอะนะ
“อะไรอะไร…… 『ขอโทษด้วยค่ะที่ส่งจดหมายมาอย่างกระทันหันเช่นนี้』”
โอ้ๆ คำนำยังเห็นข้อความที่ค่อนข้างสวยเหมือนตัวอักษรจริงๆ
ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
『เข้าใจว่าพวกเราควรจะพูดคุยกันโดยตรง แต่หากได้อยู่ตรงหน้า คงไม่อาจเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ดีนัก』
มันเป็นจดหมายรักใช่ไหม ข้าไม่เคยเห็นด้านนั้นของคาลเมียร์เลย มันช่างสดใหม่จริงๆ
『ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจที่จะถ่ายทอดความรู้สึกที่ซื่อสัตย์ผ่านจดหมายทีละเล็กทีละน้อย กรุณายกโทษให้ด้วย หากอนุญาต ก็จะขอส่งจดหมายต่อไป ……….จากคาลเมียร์』
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน เธอจะมอบจดหมายนี้ให้กับใครกัน
หรือว่า ไม่มีทาง……… !?
“ท่านแม่ทัพลาบริกซ์กับคาลเมียร์!?”
ช่างเป็นคู่ที่น่าเหลือเชื่อไม่น่าจะเข้าคู่กันได้
เพื่อเป็นการยืนยัน ข้ารีบค้นหาชื่อผู้รับที่อยู่ด้านล่าง
“『ถึงลาบริกซ์ซามะ คุณพ่อที่หนูเคารพรัก』 …….อะไรกัน สุดยอดเลยนี่ ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ”
ข้าสงสัยจริงๆว่า ข้าควรแสดงความยินดีกับท่านนายพลและเพื่อนรักที่จะได้แต่งงานกันยังไงดี ข้านึกใบหน้าของตนเองตอนอวยพรทั้งสองคนไม่ออกเลยจริงๆ แต่แบบนี้ข้าก็รู้สึกเศร้าใจเหมือนกัน
“หืม……………..?”
พอโล่งใจแล้ว ข้าก็ถอนหายใจบรรเทาความรู้สึกที่ทำตัวหยาบคายไปเล็กน้อย แต่พอหัวโล่งแล้วบางอย่างก็สะกิดใจข้า
“พ่อ………. ――――พ่อออออออออออออออออ!? เดี๋ยวเซ้ คาลเมียรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร์!!”
ความยุ่งเหยิงและความประหลาดใจที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งทำให้ข้ากระโดดออกจากห้องไปทันที
ข้ากรีดร้องสุดเสียงและพุ่งเข้าไปตะโกนใส่คาลเมียร์ที่อยู่ห้องถัดไปทันที