ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์ - ตอนที่ 14 อัศวินกับเจ้าหญิง และวงแหวนแห่งพันธสัญญา
- Home
- All Mangas
- ノブリス・オブリージュ เหตุใดโลลินีทเช่นเธอจึงถูกเรียกว่าโลลิศักดิ์สิทธิ์
- ตอนที่ 14 อัศวินกับเจ้าหญิง และวงแหวนแห่งพันธสัญญา
ตอนที่ 14 อัศวินกับเจ้าหญิง และวงแหวนแห่งพันธสัญญา
“…..อริซ เจ้าได้ฟังเรื่องวันนี้จากเบลล์แล้วใช่ไหม?”
“อะ อืม…..”
ที่โต๊ะใหญ่กลางห้องโถง ฉันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีเบลล์ซังที่รับอนุญาตให้ยืนอยู่ด้านหลังข้างๆ ถูกคุณพ่อที่นั่งอยู่ถัดไปเอ่ยปากถาม
หมายถึงเรื่องเพื่อนของคุณพ่อ ลาบริกซ์คนนั้นเหรอ อาจเป็นการบ่งบอกว่าคนๆนั้นใกล้มาถึงแล้ว
เพื่อเป็นการยืนยัน ฉันเลยเงยหน้าขึ้นไปมองเบลล์ซังที่ยืนอยู่ด้านหลัง และส่งเสียงกระซิบถามเบาๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ อาจจะฟังดูเข้าใจยากนิดหน่อย แต่เขาค่อนข้างเป็นมิตรอย่างน่าประหลาดใจเลยล่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ”
ถ้าจะให้ฉันบอกว่าเครียดไหม ก็บอกได้เลยว่ารู้สึกเครียดมากๆ แต่เหตุผลที่เครียดเป็นเพราะไม่ได้ยินคำอธิยายช่วงหลังๆของเบลล์ซังดีนัก สาเหตุเป็นเพราะครู่หนึ่งสติทั้งหมดของฉันถูกกระตุ้นด้วยการแสดงออกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของเบลล์ซัง ซึ่งทำให้ฉันทำได้แค่แสดงให้เห็นว่ารับรู้หรือไม่รับรู้เท่านั้น
เกิดอะไรขึ้น จากเริ่มแรกเดิมทีฉันรู้สึกภูมิใจที่ได้รู้จักและเฝ้ามองการแสดงออกด้านต่างๆของเบลล์ซังมาอย่างยาวนาน แต่แล้วในทางกลับกัน การแสดงออกในครั้งนี้มันก็ฉุดให้ฉันคิดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเบลล์ซังเลย ทั้งเรื่องในอดีต ทั้งเหตุผลที่ทำให้เธอมาอยู่ที่นี่
เธอเคยใช้ชีวิตแบบไหนมาก่อน เคยเจออะไรมาบ้าง และทำอะไรมาก่อนที่จะได้มายังที่นี่
และจากการฟุ้งซ่าน ก็ทำให้ฉันได้ยินข้อมูลแบบง่ายๆทั่วไปของคนที่ดูเหมือนจะเป็นลาบริกซ์
ทำให้ฉันมีแค่ข้อมูลจากก่อนหน้านี้เท่านั้น เขาน่าจะเป็นเพื่อนของคุณพ่อ และเป็นอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ และอาจจะเป็นโลลิคอน
มันออกจะเป็นการคิดที่ตลกหยาบคายเกินไปเล็กน้อยละมั้ง แล้วประตูหน้าห้องโถงก็เปิดออกมาเข้ามาดึงดูดสายตา
เมดซังสองคนเดินเข้ามาในห้องโถง ก่อนที่เมดซังผมสีน้ำตาลจะปิดประตูเบาๆ ทั้งสองคนเดินมายังอีกด้านของโต๊ะที่ฉันกับคุณพ่อนั่งอยู่ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้พวกเรา นอกจากนี้ยังมีเมดซังคนอื่นๆยืนอยู่ข้างประตู
แล้วคุณพ่อก็ดูผ่อนคลายลง
“มาแล้วรึ?”
“ค่ะ ลาบริกซ์ซามะ และสหายของท่านได้มาถึงเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ดี ให้เขาเข้ามา ระหว่างข้าและเขาไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษหรอก”
“รับทราบแล้วค่ะ”
เธอมองย้อนกลับไปและส่งสัญญาณไปให้เมดซังที่ประตู เมดซังคนนั้นพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูอย่างระมัดระวัง
เมื่อมองผ่านช่องว่างของประตูออกไปก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ ชายหนึ่งคน และหญิงอีกหนึ่งคน
สำหรับผู้ชายคงเป็นเพื่อนคนที่ว่า แต่ผู้หญิงอีกคนคือใครกัน บางทีอาจเป็นข้อมูลส่วนที่ขาดหายไปจากตอนที่เบลล์ซังเล่าให้ฟัง
ฉันนั่งอึดอัดเล็กน้อยจากความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ฟังเลยได้แต่ยิ้มตบตา แล้วมองไปที่ผู้มาใหม่ทั้งสองคนในระดับที่ไม่หยาบคาย
“ย้า แรบบิท ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ข้าบอกเจ้าบ่อยๆแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้หยุดเรียกชื่อนั้นได้แล้ว….แต่ก็นั้นสินะ ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็ไม่ได้นานเกินไปสำหรับพวกเราหรอกน่า แล้วเป็นไงบ้าง สบายดีสินะ? ฮัททีเรีย หรือจะให้เรียกว่า “แมด・แฮตเตอร์”ดีล่ะ?”
“….อย่าเรียกชื่อนั้นสิ เจ้าพูดเสมอว่าจะไม่เรียกชื่ออีกแล้วไม่ใช่รึไง?”
คนที่ตอบสนองต่อเสียงของคุณพ่อที่ยืนขึ้นพูด คือ ชายที่มีผมสั้นสีแดง
เขามีกล้ามเนื้อแน่นๆที่สามารถมองเห็นได้จากนอกเสื้อผ้า เคราและผมสีแดงที่ถูกดูแลมาอย่างดีเป็นเวลานาน บรรยากาศรอบตัวดูสงบ และยังให้ความรู้สึกถึงตัวตนอันแข็งแกร่งอีกด้วย
ฮ่าๆ ดูเหมือนทั้งคู่จะเป็นเพื่อนรู้ใจกันจนหัวเราะร่วมกันได้อย่างสบายใจ และอาจเป็นเพราะว่าชื่อ ลาบริกซ์ ออกเสียงได้ยาก หรือบางทีอาจจะเพราะเหตุผลอื่น คุณพ่อเลยเรียกเขาว่า แรบบิท
เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน แต่เมื่อกี้คือการแก้แค้นคืนสินะ แล้วชื่อแมดแฮตเตอร์คืออะไรกันนะ มันเป็นคำที่ฟังดูเหมือนจะผสมผสานทั้งความรักทั้งความกล้าหาญที่ออกมาจากก้นบึ่งของหัวใจ
อ้า ใช่แล้ว ทั้งคู่เป็นอัศวินที่ทำงานร่วมกันมา ก็คงจะมีชื่อเรียกที่ตั้งไว้เรียกกันเองแน่ๆ
“แล้ว แม่หนูนั้น…..?”
“อ้า ……มิแรนดา”
” ――― ฮ้า!? คะ ค่ะ! ดิฉันคือ มิแรนดา・คูเรีย เป็นอัศวินแห่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สังกัดหน่วยอัศวินลิลลี่ขาวแห่งราชอาณาจักรค่ะ”
เธอทักทายแบบอัศวินด้วยการประกาศชื่อพร้อมทุบมือขวาลงบนหน้าอกอย่างสวยงาม ดูเหมือนเธอจะชื่อมิแรนดาสินะ
ในขณะที่ยืนตัวตรงแน่วแน่ ความเป็นหญิงที่แสดงออกมาคือ ผมทรงโพนี่เทลสีฟ้าที่แกว่งไปมา และใบหน้าหวานดูอ่อนเยาว์จนดูราวกับลูกคุณหนูในโรงเรียนหญิงล้วนมากกว่าอัศวิน
อย่างไรก็ตามไม่มีหน้าอก ฉันทำได้แค่รู้สึกเห็นใจและมองอย่างเป็นมิตร
ย้า เป็นความคิดที่หยาบคายต่อสหายร่วมอุดมการณ์ไปแล้ว
“ฟุมุ ช่างเป็นท่วงท่าที่สง่างามมาก ดูเหมือนว่าจะสามารถคาดหวังได้เลย …..อ้า ขอโทษด้วย นี่ไม่ใช่คำที่ควรใช้ทักทายกลับเลย”
“…..ฮ่าๆ เจ้ายังมีสายตาแหลมคมเช่นเคยเลย มิแรนดาเป็นผู้ที่มีโอกาสในการได้รับเลือกให้เข้าสู่ขั้นที่สองเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น”
“ระ เรื่องนั้นมัน….. ! ต่อหน้าวีรบุรุษผู้โด่งดังทั้งสองท่าน ดิฉันก็เป็นเพียงมือใหม่ไร้ประสบการณ์เท่านั้นเองค่ะ”
“…..โอ้ เข้าใจล่ะ ข้ามองไม่เห็นความหยิ่งทะนงในตัวเจ้าเลย มิแรนดาสินะ? ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่ลืมปณิธานจนพวกเรามีโอกาสได้ร่วมงานกันในอนาคต”
“ค่ะ ข้าจะสลักคำพูดของท่านลงในอก และจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดอย่างเต็มความสามารถที่ทำได้ค่ะ”
เธอตอบกลับมาด้วยคำที่ฉันไม่เข้าใจอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว และไม่มีหยุดพักหายใจ จนทำให้ฉันสับสนหัวหมุนไปหมดแล้ว
แต่ในที่สุดฉันก็มีสหายที่สามารถพูดคำเดียวกันได้แล้ว อืม ไม่เป็นไรนะ ขอบคุณมาก …..ช่างเป็นเรื่องไร้สาระในระดับที่ยอมแพ้ให้กับอนาคต(หน้าอก)แล้ว
“สำหรับตอนนี้ นั่งลงกันเถอะ”
“อ้า….ฟู๊ ข้าแก่แล้วจริงๆ แค่เดินสั้นๆก็เหนื่อยมากๆแล้ว”
“นั้นเป็นคำพูดจากแม่ทัพประจำการงั้นรึ ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าการฝึกซ้อมของเจ้ามันสุดโหดไปเลยไม่ใช่รึไง?”
“ข้าก็แค่พยายามสอนถึงความรุนแรงของสงครามให้เจ้าพวกลูกเจี๊ยบโดยการให้รู้สึกด้วยร่างกายของพวกนั้นแค่นั้นเอง”
ฮะๆ เขาเกาแก้มตัวเองกลบเกลื่อนเรื่องที่พูดไป ก่อนนั่งลงตามคำชวนของคุณพ่อ เขานั่งลงถัดจากคุณพ่อที่นั่งเป็นประธานอยู่ที่กลางหัวโต๊ะ ซึ่งก็คือตรงหน้าของฉัน
“…..อ้า มิแรนดา เจ้าก็ด้วย”
“เรื่องนั้น ดิฉันไม่อาจทำเช่นนั้นได้หรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไร มันจะเป็นการไม่สุภาพมากกว่าถ้าหากให้แขกต้องยืน วันนี้ให้ลืมตำแหน่งของข้าไปก่อน แล้วให้คิดว่าตลอดเวลาที่เจ้าอยู่ในบ้านหลังนี้เจ้าคือแขกของข้า”
“คะ ค่ะ ….เช่นนั้น ขออนุญาตนะคะ”
คุณพ่อคะยั้นคะยอให้มิแรนดาที่ยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติงให้นั่งลงแม้เธอจะไม่อยาก จนในที่สุดเธอก็ยอมนั่งลงข้างๆลาบริกซ์ซัง ถึงแม้ว่าเธอจะดูสงบใจไม่ได้เลยสักนิด
“ยังไงก็เถอะ ฮัททีเรีย เจ้าเป็นยังไงบ้าง ……เจ้าทำใจได้แล้วงั้นรึ?”
“…..อ้า ข้าทำตัวให้ช่างน่าสังเวชมากนัก ข้าขอโทษด้วย แต่ในที่สุดตอนนี้ข้าก็สามารถยอมรับการจากไปของอลิเซียได้แล้ว และเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ความเป็นพ่อของตัวข้าเอง แม้มันอาจจะสายเกินไปแล้ว”
จากนั้นคุณพ่อกับลาบริกซ์ซังก็คุยกันต่อเนื่อง ฉันที่ไม่มีอะไรทำก็ได้แต่มองไปที่เบลล์ซังที่อยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ
“….มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“เปล่า”
ที่จริงก็อยากจะบอกว่าฉันกำลังฝืนอยู่ ที่นี่มีทั้งคุณพ่อ เบลล์ซัง คาลเมียร์ซัง และเหล่าเมดซังคนอื่นๆ ฉันใช้เวลาในห้องมาหลายปีโดยไม่ต้องติดต่อกับคนอื่นๆมาก่อน เลยทำให้อึดอัดนิดหน่อย จนฉันสงบใจไม่ได้เลย
อย่างที่คุณพ่อพูด มันค่อนข้างตึงเครียดเมื่ออยู่ในสถานที่นี้กับคนที่มาพบกันครั้งแรกโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
“….ฟุๆๆๆ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อริซซามะ ดิฉันอยู่ข้างๆท่านเสมอค่ะ นอกจากลาบริกซ์ซามะเองก็เป็นคนรักเด็กมากๆเลยล่ะค่ะ”
“โลลิคอน”
อย่างที่คิดไว้ ฉันสับสนจนเผลอพูดคำโลกเก่าอีกแล้ว ดวงตาตรงหน้าฉันเต็มไปด้วยความสงสัย
ตอบตามปกติทุกครั้งดีไหมนะ? ฉันส่ายหน้าบอกไม่มีอะไรกับเบลล์ซังที่เอียงคอสงสัยอยู่ ก่อนที่จะแกล้งทำเป็นอุ้มตุ๊กตาขึ้นเล่นแล้วแอบเหลือบมองไปที่คุณพ่อและลาบริกซ์ซังด้วยหางตา
ดูเหมือนโชคยังดีที่ทั้งสองคนจะคุยกันจนติดลม และไม่มีทีท่าว่าจะส่งสัญญาณถามไถ่อะไรเป็นพิเศษ
ไม่สิ ม๊า ต่อให้ถูกถามมาจริง ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายคำภาษาญี่ปุ่นพวกนี้ยังไงดีอยู่ดี
“…..หืม?”
ดังนั้นเมื่อพวกเขาไม่รู้ตัวแบบนี้ ฉันก็เลยเลิกสนใจ จนท่าทางของมิแรนดาซังที่อยู่ถัดไปดึงดูดความสนใจของฉัน เธอหันมามองที่ฉันแล้วหันหนีก่อนจะหันกลับมาแล้วหันหนีไปอีกซ้ำไปซ้ำมา
และเมื่อเธอสบตากับฉัน แล้วในไม่กี่วินาทีที่สบตากัน ฉันก็เหมือนจะได้ยินเสียงที่ไม่เหมือนเสียงดังมาจากริมฝีปากที่แข็งตัว
“….?”
“…..นะ น่าระ……ซู๊ด!?”
ฉันได้แต่เอียงคอลงกอดตุ๊กตาโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และด้วยเหตุผลบางอย่างเธอกดจมูกตัวเองเอาไว้
เอ๊ะ ฉันเริ่มสับสนกับกระทำโดยฉับพลันของเธอที่จู่ๆก็มองขึ้นไปบนเพดานโดยที่ยังกดจมูกค้างเอาไว้ เธอเริ่มดูมีความสุขแปลกๆ ฉันสงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“….ฮะแอ่ม”
“….ฮ้า!?”
หลังจากที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีอยู่สักพัก เบลล์ซังก็กระแอ่มเบาๆ
แล้วจากนั้นเธอเบิกตากว้างราวกับว่าเธอได้คืนสติจนรีบแก้ไขท่าทางของตัวเองทันที เธอเหมือนจะกล่าวคำขอโทษออกมาเบาๆ ฉันได้แต่สับสน โดยเฉพาะกับการขอโทษ ฉันจึงแค่พยักหน้าให้ตามความเหมาะสม
“……ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงจากบางเบาจากเบลล์ซังก็ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมาในทันที จากนั้นการสบตาที่แผ่ออร่าลึกลับก็เกิดขึ้นก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าให้กันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน
มีการสื่อสารอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในตอนนี้งั้นเหรอ? ฉันถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวด้วยสมบูรณ์แบบแล้ว
แม้ฉันจะสงสัยมากๆ แต่สุดท้าย ฉันก็ทำได้แต่กลับมากอดตุ๊กตาอีกครั้ง
แล้วในทันใดนั้นคุณพ่อก็หันมาเห็นฉันในตอนที่ก้มกอดตุ๊กตาอีกครั้งพอดี
“…..อ้า ขอโทษด้วยนะอริซ ดูเหมือนพ่อจะคุยนานไปหน่อย เอ๊ะโตะ มิแรนดา ข้าขอแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก”
พูดไป ฉันก็พึ่งนึกได้ว่าตัวเองยังไม่เคยได้แนะนำตัวเองให้รู้จักเลย
ในระหว่างที่ฉันกำลังสับสนว่าจะพูดอะไรดีเพราะมีคำศัพท์ในหัวไม่เพียงพอ คุณพ่อก็จัดการให้เรียบร้อย
“เด็กคนนี้คือ อริซ….อริซ・ฟอน・แฟร์มีล ลูกสาวของข้าเอง แม้อาจจะยังเด็ก แต่เธอก็เป็นเด็กดี ฉลาด และเรียบร้อย ทำความรู้จักกันดูสิ”
“ยะ ยินดี ที่ได้รู้จักก่ะ”
เพราะฉันไม่สามารถลุกออกจากที่นั่งได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวเอง เลยทักทายไปทั้งๆที่นั่งอยู่ และฉันก็สงสัยว่าตัวเองออกเสียงได้ชัดเจนดีแล้วหรือยัง
“ขะ ขอแนะตัวอย่างเป็นทางก๊าร….อีกครั้งหนึ่ง ดิฉันชื่อมิแรนดา คูเรียค่ะ และหากเป็นไปได้ดิฉันก็อยากขอให้ท่านพิจารณาแต่งตั้งดิฉันเป็นอัศวินผู้พิทักษ์ของท่านอย่างเป็นทางการด้วยค่ะ!”
“หะ หืม?”
ในขณะที่ถูกกดดันจากจิตวิญญาณทรงพลัง สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือเป็นห่วงเกี่ยวกับตัวเอง ลิ้นของฉันปลอดภัยดีสินะ ไม่ได้โดนกัดสินะ
หลังจากนั้นไม่นานฉันก็มองขึ้นไปที่เบลล์ซังที่มีสีหน้าวิตกกังวล แล้วลาบริกซ์ซังก็พูดแนะนำฉันก่อนที่เบลล์ซังจะทันได้อ้าปากแย้ง
“ต้องขอโทษด้วยที่มันออกจะกะทันหันไปหน่อย คุณหนูอริซ ข้าต้องการให้มิแรนดา……มีประสบการณ์การทำงานในภารกิจคุ้มกันปกป้องอารักขาบุคคล และเนื่องจากได้รับการยอมรับจากพ่อของคุณหนูด้วยเงื่อนไขบางประการไปแล้ว ถ้าหากคิดว่าดี จะช่วยรับมิแรนดาไปเป็นอัศวินของคุณหนูหน่อยได้ไหม”
“เอ๊ะ”
กะทันหันจริงๆ
….ไม่สิ นี่อาจเป็นเรื่องที่ฉันพลาดไปจากเบลล์ซัง
ยังไงก็ตาม อัศวิน อัศวินงั้นเหรอ
เรื่องราวของอัศวินที่เคยอ่านจากชาติก่อนคือ การได้งานเป็นผู้พิทักษ์บุคคลในตระกูลขุนนางชั้นสูงจะถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับอัศวิน ถึงจริงๆแล้วฉันจะไม่รู้ว่าอัศวินในโลกเก่าจริงๆแล้วเป็นยังไง และก็ไม่รู้ว่าอัศวินในโลกนี้เป็นยังไง แต่อย่างน้อยเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันแล้ว
ถึงจะบอกว่าให้มาคุ้มกันฉัน แต่ฉันก็ไม่มีทางตกเป็นเป้าหมายของใครอยู่แล้ว ดังนั้นจุดประสงค์หลักก็คงเป็นการเก็บประสบการณ์อย่างที่ลาบริกซ์ซังพูดมา บางทีตอนที่คุณพ่อได้ยินเรื่องนี้อาจจะกำลังกังวลใจเรื่องที่ฉันเป็นฮิคิโคโมริเก็บตัวอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่ก็เลยยอมรับให้มีอัศวินเข้ามา
“…..ลูกอาจรู้สึกประหลาดใจ แต่ว่าพ่อต้องการให้ลูกรู้สึกปลอดภัย เงื่อนไขที่กำหนดโดยพ่อคือ ถ้าสามารถทำให้ลูกบอกว่ายอมรับได้ด้วยตัวเอง และอธิบายสั้นๆ อัศวินผู้พิทักษ์ คือ อัศวินที่จะอยู่เคียงข้างลูกเกือบตลอดเวลาเสมอเพื่อความสะดวกในการปกป้อง”
“อาสาดวินผู้ปิทักษ์”
“พูดง่ายๆคือ หมายถึงมีคนทำงานแบบดิฉันเพิ่มขึ้นมาอีกคนค่ะ อริซซามะ”
ถ้าฉันพูดซ้ำคำที่ได้ยินเป็นครั้งแรก เบลล์ซังก็จะช่วยเสริมให้
เข้าใจล่ะ แต่แล้วฉันควรจะตัดสินใจยังไงดี
ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้สัมผัสโลกภายนอกมานานเกินไปแล้ว ฉันอาจต้องการรับมาเพื่อใช้สร้างความคุ้นเคยในการสื่อสารกับคนอื่นๆ
และนอกจากนี้ ยังไงซะเบลล์ซังก็เป็นหัวหน้าเมดไม่สามารถอยู่กับฉันได้ตลอดเวลา และในบางครั้งฉันก็อยากที่จะทำอะไรบ้างแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอไม่อยู่ ฉันดีใจมากที่จะมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้น
เมื่อความคิดลงตัว ฉันก็มองไปที่เธออีกครั้ง
“ท่านอาสาดวิน”
“―――ฮี่ ฮิ ฮิเมะ…..ซาม๊า”
“ตัดสินใจได้เร็วมาก มิแรนดา”
ท่านอัศวิน แค่คำพูดเดียว พวกเขาก็จับมือกันด้วยความยินดี ดูเหมือนการได้รับเลือกให้ได้รับใช้จะเกียรติสูงสุดจริงๆ ลาบริกซ์ซังที่อยู่ถัดไปดูเหมือนจะมีความสุขมากเกินหน้าเกินตาจนน่าประหลาดใจ คงจะเป็นเรื่องที่พิเศษสำหรับมิแรนดามากๆเลยสินะ ฉันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเธอจะรู้สึกหดหู่ขนาดไหนถ้าฉันปฏิเสธ แต่ฮี่เมะคืออะไรนะ
…..ม๊า เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนละกัน เพื่อตอบสนองความคาดหวังของเธอ และเพื่อขจัดความกังวลใจของคุณพ่อ ต่อจากนี้ไปฉันจะไม่ทรยศต่อความรู้สึกเหล่านั้น
“…..อืม ขอความกรุณาด้วย มิรันด้า ซามะ”
“ฮี่ ฮิเมะ!? ไม่จำเป็นต้องเติมซามะในชื่อของดิฉันหรอกนะคะ! แค่มิแรนดา….. ไม่สิ หากเป็นไปได้ ได้โปรดเรียกดิฉันว่า มิร่า ด้วยเถอะค่ะ!”
ได้โปรดเรียกงั้นเหรอ ถึงพูดสุภาพแบบนั้น แต่ก็เป็นการพูดที่ทรงพลังมากๆเลย
ม๊า ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธล่ะนะ
แล้วสรุปว่าฮี่เมะคืออะไรน่ะ
“จ๊า เอ๊ะโตะ กรุณามาเป็นอาสาดวินของฉันด้วย…..มิร่า?”
แล้วจากนั้นเธอก็เปล่งประกายออร่าแห่งความสุขมากล้นที่ทำให้ฉันเหมือนเห็นภาพลวงตาที่ทำให้ไม่ใช่แค่มือสั่นแต่เป็นทั้งร่างกายที่สั่น แต่ทันใดนั้นเธอก็ใช้ประโยชน์จากร่างกายที่รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีพุ่งอ้อมรอบโต๊ะด้วยความว่องไวมายืนข้างฉันในพริบตา
เธอจับมือของฉัน แล้วพูดรัวเร็วจนเหมือนกำลังร้องเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครสามารถเข้ามาหยุดได้
“…..ฮิเมะ จากนี้ไปข้าจะเป็น”อัศวิน”ของท่านค่ะ ข้าจะเป็นทั้งโล่เพื่อปกป้องท่าน จะเป็นทั้งดาบเพื่อฟาดฟันศัตรูของท่าน ท่านผู้งดงามและบอบบางดุจดังหิมะ ข้าจะปกป้องท่านจากความชั่วร้ายทั้งหลายที่หมายย่างกรายเข้าหาท่าน ข้าจะแสดงให้ท่านได้เห็น”
เธอสาบานด้วยคำพูด และท่าทางที่เปลี่ยนไปในระหว่างที่พลิกเอาหลังมือของฉันขึ้น ทำเอาฉันรู้สึกทึ่งมากๆ
ในที่สุดเธอก็เงยหน้าขึ้น เมื่อสบตากัน ฉันก็มองเห็น”ความเชื่อมั่น”ที่แข็งแกร่งอยู่ในดวงตาสีฟ้าของเธอ
ฉันมองเห็น”ตัวตน”ของอาจารย์ผู้มีพระคุณซ้อนทับอยู่ แต่ไม่นานก็กระจายหายไป
“….ท่าน อาสาดวิน”
เสียงที่ดังก้องจากปากฉัน ทำให้เธอมีรอยยิ้มบานอยู่บนใบหน้า
“ค่ะ องค์หญิง ……กรุณาเรียกข้าว่า”มิร่า””
“…..อืม ฝากตัวด้วยนะ “มิร่า””
เธอ ไม่สิ มิร่า ก้มหน้านำริมฝีปากเข้าใกล้กับหลังมือของฉัน
“ต้องขอประทานอภัยด้วยค่ะ อาหารเตรียมพร้ออมเสร็จแล้ว―――มิแรนดา!? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่……ไม่จริงน้า ……มือของอริซซามะ… !?”
อย่างแรกที่เกิดขึ้น คุณพ่อกับลาบริกซ์ซังที่เฝ้ามองมาด้วยรอยยิ้มตัวแข็งทื่อ
จากนั้น มิร่าซังที่แสดงอารมณ์ออกมาอย่างลึกซึ้งในระหว่างการสาบานเมื่อครู่ก็หายไป
ที่ตามมาคือ เบลล์ซังที่สวมหน้ากากฮันเนียเหมือนที่เคยเห็นในวันนั้น
เธอมองไปที่คาลเมียร์ซัง พร้อมประกาศคําพิพากษาอย่างคร่าวๆ
ฉันแน่ใจว่า คาลเมียร์ซังมีดวงตาที่ตายไปแล้วอีกครั้ง
“….คาลเมียร์ งดพักทานอาหารกลางวัน”
“มะ ไม่จริงน้า อีกครั้งแล้ววววววว……. !?”
อีกแล้ว เธอพูดแบบนั้น แต่ก็สมแล้วที่จะค้องพูดแบบนั้น เพราะไม่รู้ทำไมเธอถึงปรากฏตัวในช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบทุกครั้งราวกับว่าเล็งเอาไว้แล้วเสมอ
“ยะ ยังไงก็เถอะค่ะ อริซซามะ ท่านคงยังไม่ได้ยื่นมือยอมรับมิแรนดาไปแล้วหรอกสินะคะ!?”
คาลเมียร์ซังเอะอะถลึงตามองมิร่าซังโดยไม่สนใจว่าจะโดนลงโทษเพิ่มเติม
ใช้เวลาไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
“….ฟุๆๆๆ”
มันความสุขที่มากล้นผสมปนเปอยู่ในฉากนี้
ในขณะที่กอดตุ๊กตาหมีหิมะตัวสำคัญ ในที่สุดฉันก็ได้ชื่อที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนหมีขาวตัวนี้แล้ว
เป็นเจ้าตัวเล็กที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม