ไหปีศาจ - บทที่ 992 จักรพรรดิเทียม
บทที่ 992
จักรพรรดิเทียม
เกิดความเงียบขึ้นในค่ายหน่วยสยบมังกร
กองไฟสว่างเจิดจ้า
แสงไฟดวงเล็ก ๆ นั้นสว่างอย่างมากในตอนกลางคืน
ในค่าย ผู้คนกำลังศึกษาวิธีที่ปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียงบอกไว้
วิธีนี้เข้าใจได้ยาก เฉพาะเมื่อมิติวิญญาณถึงระดับจริง ๆ แล้วเท่านั้นถึงจะสัมผัสความละเอียดอ่อนของวิธีการได้ แต่สิ่งนี้หยุดความอยากเข้าใจของลั่วอู๋และคนอื่น ๆ ไม่ได้
หลังจากที่หลงเซี่ยเข้าใจวิธีการอย่างถ่องแท้ เขาก็เขียนมันเป็นลายลักษณ์อักษรและจัดเป็นแผ่นพับ
มันทั้งลึกลับและพิศวง ความสัมพันธ์กับแก่นแท้ยิ่งยากจะอธิบาย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้าใจส่วนบุคคล สิ่งที่ทุกคนรู้สึกได้นั้นแตกต่างกัน แก่นแท้เป็นเพียงขบวนการทางความคิด
ผู้บัญชาการหลิงหลงมองดูวิธีการราวกับว่านางกำลังครุ่นคิดและเข้าใจบางส่วนแล้ว
แต่หลงเซี่ยกล่าวว่า “เป็นการยากที่จะก้าวข้ามระดับด้วยวิธีนี้ ถึงจะใช้เพียงแค่เวลาเท่านั้น แต่อย่าเลยดีกว่า”
“ทำไมล่ะ?” ผู้บัญชาการหลิงหลงถาม
“ที่ข้าพูดกับปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียงไม่ใช่เรื่องเท็จหรอกนะ” หลงเซี่ยอธิบาย “การเป็นจักรพรรดิในลักษณะนี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นการปกปิดสวรรค์ ไม่ใช่การโกงสวรรค์และโลก แต่เป็นการโกงตัวเอง ไม่มีการแยกออกจากสวรรค์และโลก จริง ๆ และความแข็งแกร่งนั้นถึงจะดีกว่าตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับจักรพรรดิที่แท้จริงได้”
“ข้าอยากเรียกระดับจักรพรรดิแบบนี้ว่าระดับจักรพรรดิเทียม”
“เมื่อเจ้ากลายเป็นจักรพรรดิเทียมไปแล้ว เจ้าก็จะแยกตัวออกจากสวรรค์และโลกได้ยากขึ้น เพราะเจ้าถูกพันธนาการกับแก่นแท้แห่งสวรรค์และโลกอย่างสุดซึ้งจนเจ้าไม่สามารถแยกจากมันได้”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ผู้บัญชาการหลิงหลงก็ถอนหายใจ “ข้าได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากพลังของพยัคฆ์ขาว มันไม่ง่ายเลยที่จะแยกออกไปได้”
ความหมายก็คือ นางดูเหมือนจะอยากพยายามเป็นจักรพรรดิเทียม
“คิดแบบนั้นไม่ได้นะ” หลงเซี่ยขมวดคิ้ว “การหลอกลวงตัวเองแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำ เจ้าไม่เคยเป็นแบบนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้บัญชาการหลิงหลงก็ยิ้ม “เจ้าก็รู้จักข้านี่!”
จากนั้นนางก็พูดอย่างมั่นใจ “ถ้าข้าไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้จริง ๆ แล้วยอมเป็นจักรพรรดิเทียมจะไปมีความหมายอะไร ข้าไม่สนใจที่จะทำแบบนั้นหรอก”
ร่างกายของผู้บัญชาการหลิงหลงดูเหมือนจะเปล่งประกายด้วยแสงพิเศษ
“แล้วทำไมเจ้าพูดอย่างนั้นล่ะ” หลงเซี่ยงงงวย
ผู้บัญชาการหลิงหลงกลอกตา “เจ้าโง่เอ๊ย”
หลงเซี่ยรู้สึกเสียศูนย์เล็กน้อย แต่ลั่วอู๋หัวเราะในใจ
เห็นได้ชัดว่า ผู้บัญชาการหลิงหลงต้องการได้รับความสนใจจากหลงเซี่ยซึ่งก็เป็นปฏิสัมพันธ์เล็กน้อยระหว่างคนใกล้ชิด
สมแล้วที่เป็นผู้บัญชาการหลิงหลง แม้แต่ความคิดแบบผู้หญิง ๆ ก็สามารถแสดงความครอบงำเช่นนั้นออกมาได้
“อะแฮ่ม” ลั่วอู๋กระแอมเบา ๆ และดึงดูดความสนใจของพวกเขา “การใช้วิธีนี้สามารถลดความยากลำบากในการก้าวข้ามระดับได้ แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิเทียม ข้าก็เชื่อว่าจะต้องมีระดับเพชรสูงสุดบางคนเต็มใจที่จะเป็นเช่นนั้น”
หลงเซี่ยและผู้บัญชาการหลิงหลงไม่ชอบมัน ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่ชอบ
ในทางตรงกันข้าม หากวิธีนี้แพร่กระจายออกไปย่อมทำให้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน
หลงเซี่ยส่ายหัว “แม้ว่าจะช่วยลดความยาก แต่ก็ยังยากมากอยู่ดี ข้าเกรงว่าวิธีนี้อาจจะไม่มีประโยชน์”
เหมือนความยากจากหนึ่งร้อยกลายเป็นเก้าสิบ
สำหรับคนอย่างหลงเซี่ยและผู้บัญชาการหลิงหลงมันถือว่าง่ายลงมาก
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะง่ายสำหรับคนอื่น
สำหรับคนส่วนใหญ่ มันไม่มีความแตกต่างระหว่างภูเขาสูงหมื่นเมตรกับภูเขาสูงหนึ่งล้านเมตร จะอย่างไหนพวกเขาไม่กล้าที่จะขึ้นไป
ลั่วอู๋รู้สึกผิดหวัง “มันก็…”
เขาคิดว่าเขาได้สิ่งที่น่าทึ่งมา
“อย่าคิดว่าการเป็นระดับจักรพรรดิมันง่ายนัก” ผู้บัญชาการหลิงหลงสีหน้าจริงจัง “ไม่เช่นนั้นมนุษย์คงไม่มีจักรพรรดิเพียงคนเดียวหรอก”
ลั่วอู๋พยักหน้าและคิดอะไรบางอย่าง “ในสมัยโบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองมาก มันจะเกี่ยวข้องกับวิธีนี้รึเปล่า?”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ถ้าคิดให้ดีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“มันก็อาจจะมีส่วน… แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดอย่างแน่นอน” หลงเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ผู้คนมองเขาราวกับว่าพวกเขากำลังรอคำอธิบายของหลงเซี่ย
วิธีฝึกฝนของหลงเซี่ยมาจากสมัยโบราณ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องสมัยโบราณมาก
“ในสมัยโบราณ ผู้แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์สามารถต่อสู้กับระดับจักรพรรดิแต่กำเนิดด้วยตัวคนเดียวได้ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้ไม่เคยพ่ายแพ้” หลงเซี่ยกล่าว
“ดังนั้น ข้าคิดว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียง บอกน่าจะเป็นความจริง ประสบการณ์ของบรรพบุรุษของเราจะช่วยได้มาก แต่ก็น่าเสียดายที่ประสบการณ์เหล่านั้นได้สูญหายไปแล้ว”
หลงเซี่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
การเพิ่มขึ้นของผู้ฝึกพลังวิญญาณและการเสื่อมถอยของศิลปะการต่อสู้โบราณ
ต่อด้วยยุคมืด
สิ่งที่ศิลปะการต่อสู้โบราณสามารถทิ้งไว้ให้คนยุคหลังได้จึงมีน้อยมาก
บรรยากาศมีความตึงเครียด ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหานี้
“ข้าสามารถนำวิธีนี้กลับไปที่สำนักเฉียนหลงได้หรือไม่?” ลั่วอู๋ถาม
หลงเซี่ยพยักหน้า “เจ้าจะเอาวิธีนี้ไปก็แล้วแต่เจ้าเลย ข้ามีวิธีอยู่ในใจแล้ว และข้าจะไม่ใช้วิธีนี้จริง ๆ”
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย ลั่วอู๋ก็จากไป
ฉูจงฉวนกล่าวด้วยเสียงต่ำ “เอาสำเนาของวิธีนี้ให้ข้าที”
“อะไรกัน?” ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉูจงฉวน ผู้มีจิตใจที่สูงส่งกว่าท้องฟ้าเสมอ เหลียวมองของแบบนี้ด้วยรึ”
“เตรียมไว้ก่อนก็ไม่เห็นเป็นไร เขตแดนธาตุทั้งห้ากินทั้งเวลาและพลังงานมากเกินไป สำหรับข้าหนทางการเป็นจักรพรรดินั้นยากกว่าคนส่วนใหญ่มาก” ฉูจงฉวนกล่าวอย่างหมดหนทาง
พอมาถึงขั้นนี้ เขาก็รู้ว่าหนทางต่อไปนั้นยากแค่ไหน
พรสวรรค์สามารถทำให้เจ้าแข็งแกร่ง
แต่ไม่มีทางที่จะทำให้เจ้าไปถึงจุดสูงสุดได้
หยู่เฮาพูดด้วยเสียงต่ำ “ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น งั้นให้ข้าด้วยสิ”
เมื่อเผชิญกับปัญหานี้ ทุกคนดูมีความมั่นใจน้อย
อาจจะไม่ใช่เพราะขาดความมั่นใจ
แต่เพราะว่านรกมนตรา สร้างแรงกดดันต่อผู้คนมากเกินไป
ขนาดร่างแยกของปรมาจารย์ปีศาจแห่งหว่านเซียงยังจัดการได้ยาก ถ้านรกมนตราบุกจริง ๆ เราจะทำอะไรได้บ้างในตอนนั้น มิติวิญญาณระดับเพชรนั้นยังห่างไกลจากการที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์สงครามได้
หลังจากได้ยินแบบนี้ ลั่วอู๋ก็หัวเราะ “จู่ ๆ ก็เป็นอะไรกันไป? การฝึกฝนก็เหมือนการแล่นเรือต้านกระแสน้ำ ถ้าเจ้าไม่ก้าวไปข้างหน้า เจ้าก็จะถอยหลง เจ้าจะเดินหน้าอย่างกล้าหาญได้อย่างไรเมื่อเจ้ามีทางสำรอง”
“ต้องให้เจ้ามาสอนข้าเรื่องนั้นด้วยรึ?”
“ข้าไม่สนแรงกดดันของนรกมนตราหรอก”
“อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพราะนรกมนตราที่ทำให้เราควรไปถึงเป้าหมายที่สูงขึ้น ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเราสามารถปกป้องสิ่งที่เราต้องการปกป้องได้จริงไหม?”
ลั่วอู๋สีหน้าจริงจังมาก “พอมาคำนวณดูแล้ว ข้าก็เป็นฝ่ายแพ้สินะ”
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก
“เจ้าก็พูดถูกเช่นกัน” ฉูจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่หลงเซี่ยก็บอกไว้ด้วยว่าถึงแม้จะเป็นจักรพรรดิเทียม ก็ยังมีโอกาสที่จะออกไปได้ แต่มันแค่ยากกว่าเท่านั้น ถ้าข้าโชคดีพอที่จะควบคุมเขตแดนธาตุทั้งห้าได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงจักรพรรดิเทียมจริง ๆ แต่ข้าเชื่อว่าข้ามีพลังพอที่จะสู้กับพวกระดับจักรพรรดิได้”
หยู่เฮาหัวเราะและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ข้าก็เหมือนกัน ถ้านรกมนตรามา ไม่สำคัญว่าข้าจะต้องเป็นจักรพรรดิเทียมไปก่อนหรอก เจ้ากลัวว่าข้าจะออกมาไม่ได้หรือไง?”
เขาเป็นลูกศิษย์ที่ท่านหม่าเฉินยอมรับ
หลังจากได้ยินแบบนี้ ลั่วอู๋ก็โล่งใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราล้วนเป็นระดับเพชรมือใหม่ พวกเราจะเริ่มกังวลเรื่องการเป็นจักรพรรดิกันแล้วรึ? บางทีพวกเราอาจไปไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับเพชรด้วยซ้ำ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ทุกคนหัวเราะและบรรยากาศก็ผ่อนคลาย